1 / 60

ระเบียบพิธีการในการนำสืบพยานหลักฐาน

9. ระเบียบพิธีการในการนำสืบพยานหลักฐาน. 9.1 หลักทั่วไป. การนำพยานหลักฐานมาสืบ ตามปกติหมายถึง พยานหลักฐาน 3 ประเภท คือ พยานบุคคล พยานเอกสาร และพยานวัตถุ (แต่ปัจจุบันมีกฎหมายให้ยอมรับฟังข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์เป็นพยานหลักฐานด้วย)

Download Presentation

ระเบียบพิธีการในการนำสืบพยานหลักฐาน

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. 9 ระเบียบพิธีการในการนำสืบพยานหลักฐาน

  2. 9.1 หลักทั่วไป การนำพยานหลักฐานมาสืบ ตามปกติหมายถึง พยานหลักฐาน 3 ประเภท คือ พยานบุคคล พยานเอกสาร และพยานวัตถุ (แต่ปัจจุบันมีกฎหมายให้ยอมรับฟังข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์เป็นพยานหลักฐานด้วย) การนำเสนอพยานหลักฐานกฎหมายกำหนดหลักเกณฑ์และพิธีการในการเสนอพยานหลักฐานต่อศาล โดยมีวัตถุประสงค์คือ (1) เพื่อให้ศาลตรวจสอบว่าพยานหลักฐานนั้นเกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริงหรือประเด็นที่จะสืบในเรื่องนั้น (2) เพื่อให้คู่ความทราบเกี่ยวกับพยานหลักฐานที่จะนำสืบ (3) เพื่อให้กระบวนพิจารณาเป็นไปโดยมีระเบียบและตรวจสอบได้

  3. 9.2 อำนาจศาลในการที่จะรับหรือไม่รับพยานหลักฐานใด คดีแพ่ง ป.วิ.พ. มาตรา 85 บัญญัติว่า “คู่ความฝ่ายที่มีหน้าที่ต้องนำสืบข้อเท็จจริงย่อมมีสิทธิที่จะนำพยานหลักฐานใดๆ มาสืบได้ ภายใต้บังคับแห่งประมวลกฎหมายนี้ หรือกฎหมายอื่นอันว่าด้วยการรับฟังพยานหลักฐานและการยื่นพยานหลักฐาน” ป.วิ.พ. มาตรา 86 บัญญัติว่า “เมื่อศาลเห็นว่าพยานหลักฐานใดเป็นพยานหลักฐานที่รับฟังไม่ได้ก็ดี หรือเป็นพยานหลักฐานที่รับฟังได้ แต่ได้ยื่นฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ ให้ศาลปฏิเสธไม่รับพยานหลักฐานนั้นไว้ เมื่อศาลเห็นว่าพยานหลักฐานใดฟุ่มเฟือยเกินสมควรหรือประวิงให้ชักช้า หรือไม่เกี่ยวแก่ประเด็น ให้ศาลมีอำนาจงดการสืบพยานหลักฐานเช่นว่านั้น หรือพยานหลักฐานอื่นต่อไป เมื่อศาลเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมเป็นการจำเป็นที่จะต้องนำพยานหลักฐานอื่นอันเกี่ยวแก่ประเด็นในคดีมาสืบเพิ่มเติม ให้ศาลทำการสืบพยานหลักฐานต่อไป ซึ่งอาจรวมถึงการเรียกพยานที่สืบแล้วมาสืบใหม่ด้วย โดยไม่ต้องมีฝ่ายใดร้องขอ”

  4. คดีอาญา ป.วิ.อ. มาตรา 226 บัญญัติว่า “พยานวัตถุ พยานเอกสาร หรือพยานบุคคล ซึ่งน่าจะพิสูจน์ได้ว่าจำเลยมีผิดหรือบริสุทธิ์ ให้อ้างเป็นพยานหลักฐานได้ แต่ต้องเป็นพยานชนิดที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากการจูงใจ มีคำมั่นสัญญา ขู่เข็ญหลอกลวง หรือโดยมิชอบประการอื่น และให้สืบตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ หรือกฎหมายอื่นอันว่าด้วยการสืบพยาน”

  5. ข้อสังเกต 1. พยานหลักฐานที่รับฟังไม่ได้ หมายถึง กรณีมีกฎหมายบัญญัติมิให้รับฟังพยานหลักฐานนั้นซึ่งมีตั้งแต่กฎหมาย - รัฐธรรมนูญ - ประมวลรัษฎากร - ป.วิ.พ. ป.วิ.อ. ฯลฯ 2. พยานหลักฐานที่รับฟังได้ คือพยานหลักฐานที่ไม่ต้องห้ามด้วยบทตัดพยานบทใดบทหนึ่ง

  6. ฎ. 306/2485 เมื่อศาลเห็นว่ามีการประวิงความ ก็มีอำนาจสั่งงดการสืบพยานได้ คดีมีการประวิงความหรือไม่นั้น เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ฎ. 4549/2540 การเดินเผชิญสืบเป็นการสืบพยานหลักฐานอย่างหนึ่งซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลที่จะใช้ดุลพินิจว่าสมควรจะเดินเผชิญสืบหรือไม่ หากข้อเท็จจริงที่มีอยู่เพียงพอแก่การวินิจฉัยคดีแล้วก็ไม่จำเป็นต้องเดินเผชิญสืบอีก คดีนี้มีประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทหรือไม่ ไม่มีประเด็นพิพาทเกี่ยวกับเนื้อที่ดินหรือแนวเขตที่ดิน ทั้งในการวินิจฉัยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทดังกล่าว ได้มีคำพิพากษาในคดีก่อนวินิจฉัยไว้แล้ว กรณีจึงไม่มีความจำเป็นที่ศาลจะต้องเดินเผชิญสืบอีก

  7. ฎ. 574/2543 การที่ศาลชั้นต้นจะส่งหนังสือสัญญากู้เงินฉบับพิพาทไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อผู้กู้หรือไม่ เป็นดุลพินิจของศาลชั้นต้นที่มีอำนาจกระทำได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 86 วรรคสอง เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์จำเลยที่นำสืบมาเพียงพอที่จะวินิจฉัยได้โดยไม่ต้องส่งหนังสือสัญญากู้ดังกล่าวไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อผู้กู้อีก คำสั่งของศาลชั้นต้นจึงชอบแล้ว มิใช่เป็นการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย

  8. 9.3 พยานหลักฐานต้องเกี่ยวถึงข้อเท็จจริงในคดี (relevancy) และประเด็นแห่งคดี (in issue) คดีแพ่ง ป.วิ.พ. มาตรา 87 บัญญัติว่า “ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานใดเว้นแต่ (1) พยานหลักฐานนั้นเกี่ยวถึงข้อเท็จจริงที่คู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดในคดีจะต้องนำสืบ…” และมาตรา 104 วรรคหนึ่งบัญญัติว่า “ให้ศาลมีอำนาจเต็มที่ในอันที่จะวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบมานั้นจะเกี่ยวกับประเด็นและเป็นอันเพียงพอให้เชื่อฟังเป็นยุติได้หรือไม่ แล้วพิพากษาคดีไปตามนั้น”

  9. บทบัญญัติทั้ง 2 มาตราดังกล่าวจึงให้อำนาจศาล • ไม่ยอมรับการนำเสนอพยานหลักฐานที่ไม่เกี่ยวถึงข้อเท็จจริงในคดีเสียแต่ในชั้นต้น หรือ • ในกรณีที่ศาลอาจรับพยานหลักฐานเช่นว่านั้นแล้วในสำนวน ศาลก็ยังมีอำนาจเต็มที่ในอันที่จะวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบมานั้นไม่เกี่ยวกับประเด็น • หลักในเรื่องการนำสืบพยานหลักฐานที่เกี่ยวถึงข้อเท็จจริงที่จะต้องนำสืบนี้เป็นหลักสากลตรงกับกฎหมายคอมมอนลอว์ เรื่อง relevancy • “ไม่มีระบบการพิจารณาคดีใดในโลกที่ยอมให้คู่ความนำเสนอพยานหลักฐานต่อศาลได้โดยไม่จำกัด ศาลย่อมต้องการที่จะรับฟังพยานหลักฐานเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องในคดีเท่านั้น”

  10. คดีอาญา พยานหลักฐานที่จะรับฟังได้ต้องเป็นพยานหลักฐาน ซึ่งน่าจะพิสูจน์ได้ว่าจำเลยมีผิดหรือบริสุทธิ์ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 226 ประเด็นในคดีอาญามีเพียงประเด็นว่า “ได้มีการกระทำความผิดและจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดนั้นหรือไม่” อย่างไรก็ตามในการสืบพยานหลักฐานในคดีอาญานั้นมีบทตัดพยานหลักฐานซึ่งจะต้องนำมาพิจารณา ดังนี้ (1.) ป.วิ.อ. มาตรา 84 วรรคท้าย (ห้ามรับฟังถ้อยคำที่เป็นคำรับสารภาพว่าได้กระทำผิดของผู้ถูกจับ) (2.) ป.วิ.อ. มาตรา 134/4 วรรคท้าย (ห้ามรับฟังถ้อยคำของผู้ต้องหาและพยานในชั้นสอบสวน)

  11. (3.) ป.วิ.อ. มาตรา 226 (ห้ามมิให้รับฟังพยานหลักฐานที่เกิดขึ้นโดยมิชอบ) (4.) ป.วิ.อ. มาตรา 226/1 (ห้ามมิให้รับฟังพยานหลักฐานที่เกิดขึ้นโดยชอบแต่ได้มาเนื่องจากการกระทำโดยมิชอบ หรือเป็นพยานหลักฐานที่ได้มาโดยอาศัยข้อมูลที่เกิดขึ้นหรือได้มาโดยมิชอบ) (5.) ป.วิ.อ. มาตรา 226/2 (ห้ามมิให้รับฟังพยานหลักฐานที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดครั้งอื่นๆ หรือความประพฤติในทางเสื่อมเสียของจำเลย) (6.) ป.วิ.อ. มาตรา 226/3 (ห้ามรับฟังพยานบอกเล่า) (7.) ป.วิ.อ. มาตรา 226/4 (ห้ามมิให้จำเลยนำสืบด้วยพยานหลักฐานหรือถามค้านอันเกี่ยวกับพฤติกรรมทางเพศของผู้เสียหายกับบุคคลอื่นนอกจากจำเลยในคดีความผิดเกี่ยวกับเพศ) จะได้ศึกษาโดยละเอียดเมื่อถึงบทที่อธิบายในเรื่องนั้นๆต่อไป

  12. 9.4 บทสรุปในเรื่องพยานหลักฐานเกี่ยวกับข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่เกี่ยวแก่ประเด็น ศาลไม่เข้มงวดในเรื่องที่ว่า “พยานหลักฐานนั้นเกี่ยวถึงข้อเท็จจริงที่คู่ความจะต้องนำสืบ” ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 87(1) แต่จะเข้มงวดในเรื่องของ “การเป็นประเด็นในคดีหรือไม่” พึงระลึกว่าแม้ศาลได้รับพยานหลักฐานที่ไม่เกี่ยวแก่ประเด็นมาในชั้นสืบพยาน แต่ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 104 ให้ศาลมีอำนาจเต็มที่ในอันที่จะวินิจฉัยว่า พยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบมานั้นเกี่ยวแก่ประเด็นหรือไม่

  13. ฎ.1438/2524 ประเด็นมีว่าพินัยกรรมฉบับพิพาทปลอมหรือไม่ การที่ศาลล่างยกเอาเรื่องความสมบูรณ์ของพินัยกรรมว่าเจ้ามรดกได้ลงชื่อในพินัยกรรมต่อหน้าพยานสองคนหรือไม่มาเป็นข้อวินิจฉัย แม้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยฯ ที่ให้อำนาจศาลหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้โดยที่ไม่มีคู่ความฝ่ายใดกล่าวอ้างตามป.วิ.พ.มาตรา 142(5) ก็ตามแต่จะต้องเป็นข้อกฎหมายที่ได้มาจากข้อเท็จจริงในการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบตามมาตรา 87 ข้อเท็จจริงที่เกิดจากพยานนอกเรื่องนอกประเด็นไม่เกี่ยวกับที่คู่ความจะต้องนำสืบ หรือ มีกฎหมายบังคับให้ต้องแสดง ศาลจะรับฟังมาวินิจฉัยเป็นข้อกฎหมายตาม มาตรา 142(5) หาได้ไม่ ฎ.3580/2525 จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ว่าจำเลยไม่ใช่ทายาทผู้ตาย ข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยเป็นทายาทของผู้ตายหรือไม่ เป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏขึ้นมาจากคำพยานในทางนำสืบ ซึ่งเป็นเรื่องนอกข้อต่อสู้ในคำให้การและนอกประเด็นข้อพิพาทที่ศาลกำหนดไว้ จึงเป็นข้อเท็จจริงที่ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 87 ศาลจะรับฟังมาวินิจฉัยเป็นข้อกฎหมายตาม ป.วิ.พ. 142(5) ไม่ได้

  14. ฎ.1000/2527 ปัญหาที่ว่าสัญญาเลิกกันแล้วหรือไม่ กับการนำเอาสัญญาที่เลิกกันแล้วกลับมาใช้ใหม่ตามข้อตกลงในสัญญาใหม่นั้น หาเหมือนกันไม่ ดังนั้น เมื่อโจทก์ไม่ได้ตั้งเรื่องการมีข้อตกลงในสัญญาใหม่ให้นำสัญญาที่จำเลยต่อสู้ว่าเลิกกันแล้วกลับมาใช้ใหม่แต่กลับปรากฏว่ามีสัญญาใหม่ดังกล่าวในชั้นสืบพยานจึง ย่อมถือได้ว่าโจทก์นำสืบถึงสัญญาใหม่ดังกล่าวนอกฟ้องนอกประเด็นจะรับฟังนำมาวินิจฉัยคดีหาได้ไม่ ฎ.7/2534 จำเลยกู้เงินโจทก์จำนวน 32,000 บาทตามเอกสารหมาย จ.2 จำเลยเบิกความยอมรับได้ว่าทำสัญญากู้เงินจำนวน 32,000 บาทตามเอกสารหมาย จ.2 จริง สัญญากู้ตามฟ้องจึงไม่เป็นเอกสารที่โจทก์กรอกข้อความเองโดยจำเลยมิได้ยินยอม มิใช่เอกสารปลอมดังที่จำเลยให้การ ส่วนที่จำเลยนำสืบว่าจำเลยกู้เงินโจทก์เพียง 20,000 บาทและชำระหนี้ให้โจทก์แล้ว เป็นการนำสืบในข้อเท็จจริงที่จำเลยมิได้ให้การไว้และมิใช่เป็นการนำพยานหลักฐานมาสืบเพื่อสนับสนุนคำให้การ จึงเป็นพยานหลักฐานที่ไม่เกี่ยวถึงข้อเท็จจริงที่คู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะต้องนำสืบ ต้องห้ามมิให้ศาลรับฟังตาม ป.วิ.พ.มาตรา 87

  15. ฎ.686/2535 ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้เพียงว่า (1) โจทก์เช่าที่พิพาทจากจำเลยหรือไม่ (2) โจทก์ได้สิทธิครอบครองที่พิพาทโดยแย่งการครอบครองหรือไม่ (3) โจทก์ต้องชดใช้ค่าเสียหายให้จำเลยหรือไม่เพียงใด โดยไม่ได้กำหนดประเด็นว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือไม่ ดังนี้ โจทก์ย่อมไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบในประเด็นที่ว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินเพราะจะเป็นการนำสืบนอกประเด็น ฎ.3415/2535 โจทก์จำเลยพิพาทกันว่าที่งอกริมตลิ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หรือจำเลย ไม่มีประเด็นพิพาทว่าเป็นที่ชายตลิ่งหรือไม่ การที่ศาลเดินเผชิญสืบที่ดินพิพาทในประเด็นที่ว่าฝ่ายใดครอบครองที่ดินพิพาทแล้ววินิจฉัยข้อเท็จจริงที่ปรากฏขึ้นจากการเดินเผชิญสืบว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่กรรมสิทธิ์ของโจทก์และจำเลย แต่เป็นที่ชายเลนน้ำท่วมถึงจึงเป็นที่ชายตลิ่ง เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เป็นข้อเท็จจริงที่ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาต้องห้ามตาม ป.วิ.พ.มาตรา 87 และเป็นการวินิจฉัยนอกฟ้อง

  16. ฎ.2808/2537 ตามคำให้การของจำเลยและตามประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นกำหนดในการชี้สองสถาน ไม่มีประเด็นข้อที่ว่าจำเลยได้ชำระหนี้ตามฟ้องให้โจทก์เสร็จสิ้นแล้วหรือไม่ เมื่อคดีไม่มีประเด็นข้อพิพาทกันดังกล่าว แต่จำเลยขอส่งประเด็นไปสืบพยานจำเลยทั้งสองปากในประเด็นนั้น ดังนี้ จึงเป็นการขอส่งประเด็นไปสืบพยานจำเลยที่ไม่เกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทในคดี ที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้จำเลยส่งประเด็นและงดสืบพยานจำเลยจึงชอบแล้ว ฎ.4607/2540 โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเข้าไปก่อสร้างรั้วกำแพงคอนกรีต สิ่งปลูกสร้างและปลูกต้นไม้ในที่ดินโจทก์ ขอให้รื้อถอนออกไป จำเลยให้การว่าจำเลยมิได้รุกล้ำที่ดินของโจทก์ แต่จำเลยกระทำลงบนที่ดินของจำเลยที่ซื้อมา หลังจากซื้อมาแล้วจำเลยได้ครอบครองโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า 10 ปีแล้ว ดังนั้น รูปคดีตามที่โจทก์ฟ้องและจำเลยให้การ ไม่มีประเด็นเรื่องการครอบครองปรปักษ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 เพราะการครอบครองปรปักษ์จะมีได้ก็แต่ในที่ดินของผู้อื่นเท่านั้น การที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกประเด็นดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์จึงไม่ชอบ

  17. ฎ.4664/2543 โจทก์ฟ้องเรียกค่าจ้างก่อสร้างค้างชำระ จำเลยให้การต่อสู้เพียงว่าจำเลยชำระค่าจ้างครบถ้วนทั้งเกินไปกว่าที่โจทก์ฟ้อง ดังนี้ การที่จำเลยนำสืบว่าโจทก์ก่อสร้างไม่แล้วเสร็จและไม่เรียบร้อย จำเลยต้องจ้างผู้รับเหมาอื่นเข้าทำงานแทน ทั้งต้องซื้อวัสดุเครื่องมือก่อสร้างให้โจทก์ด้วย จำเลยสามารถนำค่าใช้จ่ายดังกล่าวไปหักออกจากค่าจ้างที่จะต้องจ่ายนั้น เป็นการสืบนอกประเด็นไปจากคำให้การหาใช่เป็นการนำสืบพยานในรายละเอียดเพื่อขยายข้อความในคำให้การไม่ ฎ.1048/2546 ปัญหาว่าระเบียบตลาดหลักทรัพย์เรื่องกำหนดหลักเกณฑ์การบังคับขายหลักทรัพย์กำหนดไว้อย่างไร เป็นปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งจำเลยมิได้ให้การต่อสู้และศาลไม่ได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ การที่ระเบียบจะกำหนดไว้เช่นนั้นหรือไม่ จึงเป็นข้อเท็จจริงนอกประเด็นที่ไม่เกี่ยวกับที่คู่ความจะต้องนำสืบ ศาลจึงรับฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวมาวินิจฉัยเป็นข้อกฎหมายตาม ป.วิ.พ.มาตรา 142(5) ไม่ได้ เพราะเป็นข้อเท็จจริงที่ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาต้องห้ามตาม ป.วิ.พ.มาตรา 87 ที่ศาลอุทธรณ์ยกปัญหาว่าโจทก์บังคับขายหลักทรัพย์โดยไม่ชอบขึ้นวินิจฉัยเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นข้อพิพาท

  18. ฎ.812/2547 โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทซึ่งเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับภริยาซึ่งตาม ป.พ.พ.มาตรา 1477 ถือว่าการที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทเป็นการสงวนบำรุงรักษาสินสมรส หรือ เพื่อประโยชน์แก่สินสมรส โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องจำเลยได้โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากภริยา จำเลยฎีกาว่าภริยาโจทก์อนุญาตให้จำเลยอยู่ในที่ดินพิพาทโดยให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ให้ครบถ้วนนั้น จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้คดีในปัญหาดังกล่าวไว้ แม้จะได้นำสืบในชั้นพิจารณาก็เป็นการนำสืบนอกคำให้การต้องห้ามมิให้รับฟังตาม ป.วิ.พ.มาตรา 87 ฎ. 670/2549 จำเลยให้การเพียงว่า ส.นำที่ดิน 2 แปลง ไปจดทะเบียนขายฝากจำนวน 715,000 บาท เพื่อชำระหนี้ดอกเบี้ยที่ค้างชำระแก่โจทก์ แต่มิได้ให้การถึงการขายฝากที่ดินแปลงอื่นอีก การที่จำเลยนำสืบว่า ส. นำที่ดินแปลงอื่นจำนวน 3 แปลง ไปขายฝากแก่บุคคลภายนอกแล้วนำเงินที่ได้จากการขายฝากจำนวน 200,000 บาท ไปชำระหนี้ให้แก่โจทก์ จึงเป็นการนำสืบนอกคำให้การ เป็นการไม่ชอบ ต้องห้ามมิให้รับฟังตาม ป.วิ.พ. มาตรา 87

  19. ฎ. 746/2552 คดีมีประเด็นข้อพิพาทที่ ศาลชั้นต้นกำหนดไว้เพียงว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่พิพาทหรือไม่ โดยจำเลยยกข้อต่อสู้ขึ้นเป็นประเด็นว่า ป. แจ้งสิทธิครอบครองตามส.ค.1 ในที่ดินพิพาทซึ่งเป็นของล. มารดาจำเลยเท่านั้น การที่จำเลยฎีกา ปัญหาอื่นนอกจากนี้ แม้จำเลยจะได้สืบพยานหลักฐานด้วย ก็ถือว่าเป็นการนำสืบนอกประเด็น ศาลฎีกาไม่อาจวินืจฉัยประเด็นดังกล่าวได้

  20. 9.5 การอ้างพยานหลักฐานต้องยื่นบัญชีระบุพยานหลักฐาน

  21. 9.5.1 เหตุผลที่ต้องมีการยื่นบัญชีระบุพยานหลักฐาน (1) เพื่อให้ศาลและคู่ความทุกฝ่ายทราบถึงพยานหลักฐานที่จะนำสืบโดยคู่ความอีกฝ่ายจะได้เตรียมการต่อสู้คดีได้ถูกต้อง (2) เพื่อให้ศาลได้ควบคุมการนำเสนอพยานหลักฐานของคู่ความให้เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย (3) เพื่อควบคุมการพิจารณาคดีให้เสร็จไปในเวลาอันควร

  22. หลักการยื่นบัญชีระบุพยานหลักฐานทั้งในคดีแพ่งและคดีอาญาใช้บังคับเฉพาะการสืบพยานหลักฐานที่สนับสนุนข้ออ้างข้อเถียงในประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีเท่านั้นหลักการยื่นบัญชีระบุพยานหลักฐานทั้งในคดีแพ่งและคดีอาญาใช้บังคับเฉพาะการสืบพยานหลักฐานที่สนับสนุนข้ออ้างข้อเถียงในประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีเท่านั้น เพราะฉะนั้นถ้าเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาอื่นๆก็ไม่จำต้องยื่นบัญชีระบุพยานหลักฐานเช่น การไต่สวนคำร้องที่มิได้มีการสืบพยานหลักฐานเพื่อใช้สนับสนุนข้ออ้างข้อเถียงในประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีเช่น (1) การไต่สวนคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่การไต่สวนคำร้องที่จำเลยอ้างว่าโจทก์ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความตามคำพิพากษาตามยอม(ฎ.6143/2531)

  23. (2) กรณีที่คู่ความถามค้านโดยอ้างส่งเอกสาร หรือวัตถุเพื่อประกอบการถามค้าน (ฎ.798–799/2499, ฎ.850/2534 และฎ.2251/2536) (3) การพิสูจน์ต่อพยานตามป.วิ.พมาตรา 89 เป็นกรณีที่ศาลอนุญาตให้มีการสืบพยานเพื่อทำลายน้ำหนักพยานของฝ่ายตรงข้ามโดยไม่จำต้องมีการยื่นบัญชีระบุพยานหลักฐานเพราะโดยสภาพคู่ความไม่อาจทราบมาก่อนว่าจะมีการสืบพยานในลักษณะนี้ (4) การที่ศาลใช้อำนาจสืบพยานเพิ่มเติมตามป.วิ.พมาตรา 86 วรรคสองหรือป.วิ.อมาตรา 228 หรือกรณีการส่งพยานหลักฐานไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์ตามป.วิ.พมาตรา 99 (ฎ.58/2531)

  24. 9.5.2 การยื่นบัญชีระบุพยานหลักฐานใช้บังคับกับพยานหลักฐานทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น พยานบุคคล พยานเอกสาร พยานวัตถุ รวมถึงการตรวจบุคคล วัตถุ สถานที่ และพยานผู้เชี่ยวชาญ ผู้มีความรู้เชี่ยวชาญ หรือพยานหลักฐานอื่นใด ฎ. 3130/2523 จำเลยไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยาน จำเลยอ้างตัวเองเป็นพยานเข้าสืบไม่ได้ จำเลยจะอ้างว่าจำเลยเป็นคู่ความไม่จำเป็นต้องยื่นบัญชีระบุอ้างตนเองเป็นพยานตาม ป.วิ.พ. มาตรา 88 ไม่ได้ ฎ. 1972/2525 การเบิกความต่อศาลเป็นกิจเฉพาะตัว โดยสภาพไม่อาจตั้งให้ผู้อื่นทำแทนได้ ตามบัญชีพยานระบุว่าจำเลยอ้างตนเองเป็นพยาน โดยมิได้ระบุ ส. เป็นพยาน ดังนี้ แม้ปรากฏว่า ส. ได้รับมอบอำนาจจากจำเลยให้ยื่นคำให้การและเบิกความแทนจำเลย และศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยนำ ส. เข้าเบิกความ ศาลก็จะรับฟังคำเบิกความของ ส. เป็นพยานหลักฐานไม่ได้

  25. ข้อสังเกตเกี่ยวกับการอ้างสำนวนความในคดีอื่นข้อสังเกตเกี่ยวกับการอ้างสำนวนความในคดีอื่น โดยหลักการอ้างสำนวนความในคดีอื่นเป็นพยานหลักฐานจะต้องยื่นบัญชีระบุพยานหลักฐานเช่นกัน (ฎ. 1775/2500) แต่ 1. กรณีที่คู่ความแถลงรับกันให้นำสำนวนความมาประกอบการพิจารณาคดีและศาลได้มีคำสั่งให้นำสำนวนนั้นมาผูกติดไว้แล้ว ศาลย่อมมีอำนาจรับฟังสำนวนนั้นประกอบการพิจารณาคดีได้ แม้จะมิได้มีการยื่นบัญชีระบุพยานอ้างสำนวนนั้นอีกก็ตาม (ฎ. 445/2509 และฎ. 997/2521) 2. เมื่อโจทก์อ้างสำนวนในบัญชีระบุพยานแล้ว หากเป็นสำนวนในศาลนั้นเอง โจทก์ก็ไม่จำเป็นต้องยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องให้เรียกสำนวนนั้นมารวมไว้ในคดีอีก (ดู ฎ. 2728/2523) 3. เมื่ออ้างสำนวนคดีความใดไว้ ศาลย่อมนำเอกสารที่ใช้อ้างอิงในสำนวนที่ถูกอ้างนั้นมาเป็นพยานหลักฐานได้โดยไม่จำเป็นต้องมีการระบุพยานของเอกสารที่อยู่ในสำนวนอีก (ดู ฎ. 3046/2523)

  26. 9.5.3 หลักเกณฑ์การยื่นบัญชีระบุพยานหลักฐาน (ป.วิ.พ. มาตรา 88) ป.วิ.พ. มาตรา 88 ได้แก้ไขเพิ่มเติมครั้งสุดท้ายเมื่อปี พ.ศ. 2550 โดยมีการแก้ไขเพิ่มเติมเฉพาะมาตรา 88 วรรคแรก เพียงเล็กน้อย ได้แก่การเพิ่มเติมให้ชัดเจนว่า การอ้างความเห็นของพยานผู้มีความรู้เชี่ยวชาญจะต้องมีการยื่นบัญชีระบุพยานด้วย และมีการแก้ไขข้อความเล็กน้อยให้ชัดเจนว่า บัญชีระบุพยานหลักฐานหมายถึงพยานหลักฐานทุกประเภท นอกนั้นยังคงหลักการตาม มาตรา 88 ที่มีการแก้ไขเพิ่มเติมเมื่อปี พ.ศ. 2538

  27. 1) การยื่นบัญชีระบุพยานหลักฐานครั้งแรก (ป.วิ.พ. มาตรา 88 วรรคแรก) วิธีการ (1) ยื่นบัญชีระบุพยานหลักฐานต่อศาล (2) พร้อมสำเนาให้เพียงพอแก่คู่ความอีกฝ่าย ระยะเวลา ก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 7 วัน

  28. 2) การยื่นบัญชีระบุพยานหลักฐานเพิ่มเติม (ป.วิ.พ. มาตรา 88 วรรคสอง) วิธีการ (1) ยื่นคำแถลงต่อศาลพร้อมบัญชีระบุพยานหลักฐานเพิ่มเติม (2) พร้อมสำเนาให้เพียงพอแก่คู่ความอีกฝ่าย ระยะเวลา ภายในกำหนดเวลา 15 วันนับแต่วันสืบพยาน

  29. 3) การขออนุญาตยื่นบัญชีระบุพยานหลักฐาน (ป.วิ.พ. มาตรา 88 วรรคสาม) เงื่อนไข (1) ระยะเวลาในการยื่นบัญชีระบุพยานหลักฐานตามวรรคหนึ่งและวรรคสองสิ้นสุดลง (2) คู่ความต้องแสดงเหตุอันสมควรดังนี้ (ก) ตนไม่ทราบว่าต้องนำพยานหลักฐานบางอย่างมาสืบเพื่อประโยชน์แห่งคดีหรือ (ข) ไม่ทราบว่าพยานหลักฐานหลักฐานนั้นได้มีอยู่หรือ (ค) มีเหตุอันสมควรอื่นใด

  30. วิธีการยื่นคำร้องขออนุญาตต่อศาลวิธีการยื่นคำร้องขออนุญาตต่อศาล ระยะเวลาก่อนศาลพิพากษาคดี ถ้าศาลเห็นว่าเพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาดข้อสำคัญแห่งประเด็นเป็นไปโดยเที่ยงธรรมจำเป็นต้องสืบพยานเช่นว่านั้นก็ให้ศาลอนุญาตตามคำร้อง

  31. ข้อสังเกต (1) การขออนุญาตยื่นบัญชีระบุพยานหลักฐานตามมาตรา 88 วรรคสามทำได้เมื่อกำหนดเวลายื่นบัญชีระบุพยานหลักฐานตามวรรคหนึ่งและวรรคสองสิ้นสุดลงแล้ว ซึ่งอาจเป็นกรณีที่ไม่เคยระบุพยานฯ ไว้เลยหรือเคยยื่นบัญชีระบุพยานฯ ไว้แล้วแต่ศาลสั่งไม่รับดังนี้คู่ความมีสิทธิยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นบัญชีระบุพยานฯ ตามมาตรา 88 วรรคสามได้อีก(ฎ.3777/2542, ฎ.2032/2541) แต่ต้องแสดงเหตุอันสมควรที่ไม่สามารถยื่นบัญชีระบุพยานฯ มาด้วยมิฉะนั้นศาลชอบที่จะไม่รับบัญชีระบุพยานฯ(ฎ.1471/2529, ฎ.6520/2539)

  32. (2) การยื่นบัญชีระบุพยานหลักฐานเพิ่มเติมเป็นสิทธิของคู่ความไม่จำต้องขออนุญาตศาลก่อน (3) ถ้ามิได้มีการยื่นบัญชีระบุพยานหลักฐานครั้งแรกไว้โดยชอบจะยื่นบัญชีระบุพยานหลักฐานเพิ่มเติมไม่ได้

  33. ข้อพิจารณา (1) “วันสืบพยาน”หมายถึงวันสืบพยาน ครั้งแรกที่ได้มีการนำสืบพยานจริงๆ ถ้าศาลนัดสืบพยานไว้แต่ไม่มีการสืบพยานยังไม่ถือว่าวันนัดนั้นเป็นวันนัดสืบพยาน(ฎ.1813/2516) (2) ระยะเวลาที่กำหนดตามมาตรา 88 ไม่ว่าจะเป็น 7 วันหรือ 15 วันจะต้องมีช่วงเวลาอย่างน้อย 7 หรือ 15 วันเต็ม เช่นศาลนัดสืบพยานโจทก์นัดแรกในวันที่ 26 มกราคม 2551 โจทก์ต้องยื่นบัญชีระบุพยานหลักฐานอย่างช้าวันที่ 18 มกราคม 2551 (เทียบฎ.566/2540, ฎ.1066/2519 ซึ่งวินิจฉัยตามบทบัญญัติเดิม)

  34. (3) การที่คู่ความฝ่ายที่ขอเลื่อนคดีไม่ยื่นบัญชีระบุพยานหลักฐานภายในกำหนดเวลาศาลจะถือเป็นเหตุที่จะไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีไม่ได้(ฎ.456/2521, ฎ.994/2532) แต่ถ้าเป็นกรณีที่คู่ความไม่ยื่นบัญชีระบุพยานหลักฐานจนพ้นกำหนดเวลาย่อมไม่มีสิทธินำพยานหลักฐานเข้าสืบอยู่แล้วศาลมีอำนาจงดสืบพยานจึงเท่ากับศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีนั่นเองเพราะแม้ศาลจะอนุญาตให้คู่ความเลื่อนคดีได้เนื่องจากทนายความป่วยก็ไม่ทำให้เกิดสิทธิแก่คู่ความที่จะนำพยานหลักฐานเข้าสืบได้(เทียบฎ.3717/2538).. (4) ในชั้นอุทธรณ์/ฎีกาคู่ความอาจยื่นคำร้องขอระบุพยานหลักฐานเพิ่มเติมได้หากมีเหตุตามป.วิ.พ. มาตรา 88 วรรคสาม(ฎ.770/2520, ฎ.3502/2532)

  35. (5) ดุลพินิจของศาล VS. ป.วิ.พ. มาตรา 88 วรรคสาม ฎ.6501/2539แม้ตามป.วิ.พ. มาตรา 88 วรรคสามจะให้สิทธิแก่คู่ความในการยื่นคำร้องขอระบุพยานเพิ่มเติมได้แต่ศาลก็มีอำนาจพิเคราะห์ว่าบัญชีระบุพยานเกี่ยวกับประเด็นหรือไม่เป็นการประวิงคดีให้ชักช้าหรือไม่หากเป็นเช่นนั้นก็ชอบที่ไม่รับบัญชีระบุพยานได้ คำสั่งศาลตามมาตรานี้เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาเมื่อคู่ความเห็นว่าศาลสั่งรับโดยไม่ชอบต้องโต้แย้งคัดค้านไว้มิฉะนั้นจะยกขึ้นอุทธรณ์–ฎีกาไม่ได้(ฎ.6108/2531) แต่การที่คู่ความฝ่ายตรงข้ามมิได้คัดค้านนั้นไม่ตัดอำนาจศาลที่จะเพิกถอนคำสั่งเดิมเองและสั่งตัดพยานหลักฐานตามบัญชีดังกล่าว(ฎ.566/2540)

  36. (7) เหตุอันควรตามป.วิ.พ. มาตรา 88 วรรคสาม ฎ.1416–1418/2508โจทก์จำเลยร้องขอต่อศาลให้ไปเดินเผชิญสืบตรวจดูพนังทุ่งปุยรายพิพาทจะเป็นประโยชน์ในการเพาะปลูกของจำเลยหรือไม่การที่ศาลไปเดินเผชิญสืบจึงเป็นการไปสืบพยานของทั้งสองฝ่ายแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยื่นแสดงรายการวัตถุพยานก่อนตามป.วิ.พ. มาตรา 88 ก็ชอบที่จะระบุเพิ่มเติมได้ตามป.วิ.พ. มาตรา 88 วรรคสามถือว่าเป็นการอนุญาตตามที่ศาลเห็นว่าเพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาดข้อสำคัญแห่งประเด็นเป็นไปโดยเที่ยงธรรม

  37. ฎ.5321/2531อ้างว่าไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานเพราะทนายไม่ได้อ่านหมายนัดสืบพยานโดยเข้าใจว่าเป็นหมายนัดชี้สองสถานนั้นเป็นข้ออ้างที่ปราศจากเหตุผลไม่อาจรับฟังได้หรือฎ.5321/2531อ้างว่าไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานเพราะทนายไม่ได้อ่านหมายนัดสืบพยานโดยเข้าใจว่าเป็นหมายนัดชี้สองสถานนั้นเป็นข้ออ้างที่ปราศจากเหตุผลไม่อาจรับฟังได้หรือ อ้างว่าทนายจำเลยลืมยื่นบัญชีระบุพยานโดยมิได้อ้างเหตุตามมาตราป.วิ.พ. มาตรา 88 วรรคสามแต่อย่างใดจึงไม่มีเหตุอันสมควรที่จะอนุญาตให้จำเลยยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มได้ (ฎ.4540/2536)

  38. ฎ.2500/2548(ป.) แม้โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมพ้นระยะเวลาตามกฎหมาย แต่โจทก์ยังมีสิทธิที่จะยื่นบัญชีระบุพยานไม่ว่าเวลาใดๆ ก่อนมีคำพิพากษาได้อีก หากโจทก์ขออนุญาตต่อศาลโดยแสดงเหตุอันสมควรที่ต้องยื่นบัญชีระบุพยานเช่นนี้พร้อมสำเนาเอกสารที่อ้างในบัญชีระบุพยานและสำเนาบัญชีระบุพยานดังกล่าวมาด้วย เมื่อศาลใช้ดุลพินิจสั่งรับบัญชีระบุพยานของโจทก์เป็นพยาน จึงรับฟังเอกสารนั้นเป็นพยานหลักฐานได้

  39. 9.5.4 ผลของการไม่ยื่นบัญชีระบุพยานหลักฐาน มีผลตามป.วิ.พ. มาตรา 87 คือ ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานที่ไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานตามมาตรา 88 แต่ถ้าศาลเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวแก่ประเด็นข้อสำคัญในคดีโดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของอนุมาตรานี้ให้ศาลมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้(ดู ฎ.2500/2548, ฎ.53/2552,ฎ.1289/2552, และ ฎ.5416/2552)

  40. 9.6 หลักเกณฑ์การยื่นบัญชีระบุพยานหลักฐานในคดีอาญา แบ่งออกเป็น 3 กรณีคือ 1 กรณีที่ศาลกำหนดให้มีวันตรวจพยานหลักฐาน ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 173/1 2 กรณีที่ศาลไม่ได้กำหนดให้มีวันตรวจพยานหลักฐาน ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 229/1 วรรคหนึ่ง 3 กรณีไต่สวนคำร้องขอคืนของกลางที่ศาลสั่งริบหรือขอให้ริบ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 229/1 วรรคสอง

  41. 9.6.1 กรณีที่ศาลกำหนดให้มีวันตรวจพยานหลักฐาน ป.วิ.อ. มาตรา 173/1 วรรคสองและวรรคสาม “ก่อนวันตรวจพยานหลักฐานตามวรรคหนึ่งไม่น้อยกว่า 7 วันให้คู่ความยื่นบัญชีระบุพยานต่อศาลพร้อมสำเนาในจำนวนที่เพียงพอเพื่อให้คู่ความฝ่ายอื่นรับไปจากเจ้าพนักงานศาลและถ้าคู่ความฝ่ายใดมีความจำนงจะยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมให้ยื่นต่อศาลก่อนวันตรวจพยานหลักฐานเสร็จสิ้น การยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมเมื่อล่วงพ้นระยะเวลาตามวรรคสองจะกระทำได้ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากศาลเมื่อผู้ร้องขอแสดงเหตุอันสมควรว่าไม่สามารถทราบถึงพยานหลักฐานนั้นหรือเป็นกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมหรือเพื่อให้โอกาสแก่จำเลยในการต่อสู้คดีอย่างเต็มที่”

  42. เงื่อนไข  ศาลกำหนดให้มีวันตรวจพยานหลักฐาน วิธีการ คู่ความต้องยื่นบัญชีระบุพยานหลักฐานพร้อมสำเนาต่อศาลก่อนวันตรวจพยานหลักฐานไม่น้อยกว่า 7 วัน การยื่นบัญชีระบุพยานหลักฐานเพิ่มเติม  ยื่นต่อศาลก่อนวันตรวจพยานหลักฐานเสร็จสิ้น

  43. การขออนุญาตยื่นบัญชีระบุพยานหลักฐานเพิ่มเติมการขออนุญาตยื่นบัญชีระบุพยานหลักฐานเพิ่มเติม พ้นระยะเวลาตาม  และ  ผู้ร้องขอต้องแสดงเหตุอันสมควรว่า 1. ไม่สามารถทราบถึงพยานหลักฐานนั้นหรือ 2. เป็นกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมหรือ 3. เพื่อให้โอกาสแก่จำเลยในการต่อสู้คดีอย่างเต็มที่

  44. 9.6.2 กรณีที่ศาลไม่ได้กำหนดให้มีวันตรวจพยานหลักฐาน (บังคับกับคดีที่ต้องมีการไต่สวนมูลฟ้องและคดีอาญาทั่วไป) ป.วิ.อ. มาตรา 229/1 วรรคแรก “ภายใต้บังคับมาตรา 173/1 ในการไต่สวนมูลฟ้อง หรือการพิจารณา โจทก์ต้องยื่นบัญชีระบุพยานหลักฐาน โดยแสดงถึงประเภทและลักษณะของวัตถุ สถานที่พอสังเขป หรือเอกสารเท่าที่จะระบุได้ รวมทั้งรายชื่อ ที่อยู่ของบุคคลหรือผู้เชี่ยวชาญเท่าที่จะระบุได้ ซึ่งโจทก์ประสงค์จะนำสืบ หรือขอให้ศาลไปตรวจหรือแต่งตั้งต่อศาลไม่น้อยกว่าสิบห้าวันก่อนวันไต่สวนมูลฟ้องหรือวันสืบพยาน พร้อมทั้งสำเนาบัญชีระบุพยานหลักฐานดังกล่าวในจำนวนที่เพียงพอเพื่อให้จำเลยรับไป ส่วนจำเลยให้ยื่นบัญชีระบุพยานหลักฐานพร้อมสำเนาก่อนวันสืบพยานจำเลย”

  45. (ก) กรณีโจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานหลักฐาน - ยื่นบัญชีระบุพยานหลักฐาน โดยแสดงถึง ประเภทและลักษณะของวัตถุ สถานที่พอสังเขป หรือเอกสารเท่าที่จะระบุได้ รวมทั้งรายชื่อ ที่อยู่ของบุคคลหรือผู้เชี่ยวชาญเท่าที่จะระบุได้ ซึ่งโจทก์ประสงค์จะนำสืบ หรือขอให้ศาลไปตรวจหรือแต่งตั้ง - ยื่นพร้อมสำเนาบัญชีระบุพยานหลักฐานในจำนวนที่เพียงพอเพื่อให้จำเลยรับไป - ยื่นต่อศาลไม่น้อยกว่า 15 วันก่อนวันไต่สวนมูลฟ้องหรือวันสืบพยาน (ข) กรณีจำเลยยื่นบัญชีระบุพยานหลักฐาน - ยื่นต่อศาลก่อนวันสืบพยานจำเลย

  46. ฎ. 373/2553 พนักงานอัยการโจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานโดยมิได้อ้างเอกสารแต่ละฉบับ เพียงระบุว่า บรรดาสรรพเอกสาร แต่มีข้อความในสำนวนต่อไปว่า ในสำนวนการสอบสวนคดีนี้ จึงพอถือได้ว่า โจทก์ได้ยื่นบัญชีระบุพยานโดยแสดงสภาพของเอกสารที่อ้างแล้ว จึงชอบด้วยปวิพ.ม. 88 วรรคหนึ่ง ประกอบปวิอ.ม. 15 หมายเหตุ ฎีกานี้วินิจฉัยโดยอ้างกฎหมายเก่า ซึ่งข้อเท็จจริงในขณะที่มีการยื่นบัญชีระบุพยานยังอยู่ในบังคับของกฎหมายเก่า ดังนั้นปัจจุบันกฎหมายใหม่มีผลใช้บังคับแล้ว การยื่นบัญชีระบุพยานจึงต้องบังคับตามมาตรา 229/1

  47. 9.6.3 คดีที่มีการร้องขอคืนของกลางหรือกรณีร้องขอให้ศาลริบทรัพย์ ป.วิ.อ. มาตรา 229/1 วรรคสอง “ในการไต่สวนกรณีร้องขอคืนของกลางที่ศาลสั่งริบ หรือกรณีร้องขอให้ศาลริบทรัพย์ ให้บุคคลที่เกี่ยวข้องยื่นบัญชีระบุพยานหลักฐานต่อศาลไม่น้อยกว่าเจ็ดวันก่อนวันไต่สวนพร้อมทั้งสำเนาบัญชีระบุพยานหลักฐานดังกล่าวในจำนวนที่เพียงพอ เพื่อให้บุคคลที่เกี่ยวข้องอื่น ถ้ามี รับไป”

  48. การยื่นบัญชีระบุพยานหลักฐานเพิ่มเติมการยื่นบัญชีระบุพยานหลักฐานเพิ่มเติม 1) กรณีที่คู่ความยื่นบัญชีระบุพยานหลักฐานไว้แล้ว ระยะเวลาที่กำหนด (15 วันตาม ว.หนึ่ง หรือ 7 วันตาม ว.สอง) ได้สิ้นสุดลง ผู้ร้องขอต้องแสดงเหตุอันสมควรว่า 1. ไม่สามารถทราบได้ว่าต้องนำพยานหลักฐานบางอย่างมาสืบ หรือ 2. หรือไม่ทราบว่าพยานหลักฐานบางอย่างได้มีอยู่ หรือ 3. มีเหตุสมควรอื่นใด ไม่ว่าเวลาใดๆ ก่อนเสร็จสิ้นการสืบพยานของฝ่ายนั้น ศาลเห็นว่าจำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานดังกล่าวเพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาดข้อสำคัญแห่งประเด็นเป็นไปโดยเที่ยงธรรม ให้ศาลมีอำนาจอนุญาตให้สืบและรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้

  49. 2) กรณีที่คู่ความไม่เคยยื่นบัญชีระบุพยานหลักฐานไว้เลย ระยะเวลาที่กำหนด (15 วันตาม ว.หนึ่ง หรือ 7 วันตาม ว.สอง) ได้สิ้นสุดลง ผู้ร้องขอต้องแสดงให้เป็นที่พอใจแก่ศาลว่ามีเหตุอันสมควรที่ไม่สามารถยื่นบัญชีระบุพยานหลักฐานตามกำหนดเวลาได้ และต้องแสดงเหตุดังต่อไปนี้ 1. ไม่สามารถทราบได้ว่าต้องนำพยานหลักฐานบางอย่างมาสืบ หรือ 2. หรือไม่ทราบว่าพยานหลักฐานบางอย่างได้มีอยู่ หรือ 3. มีเหตุสมควรอื่นใด ไม่ว่าเวลาใดๆ ก่อนเสร็จสิ้นการพิจารณา ศาลเห็นว่าจำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานดังกล่าวเพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาดข้อสำคัญแห่งประเด็นเป็นไปโดยเที่ยงธรรม ให้ศาลมีอำนาจอนุญาตให้สืบและรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้

  50. 9.6.4 ผลของการไม่ยื่นบัญชีระบุพยานหลักฐานในคดีอาญา มาตรา 229/1 วรรคท้าย“ห้ามมิให้ศาลอนุญาตให้สืบและรับฟังพยานหลักฐานใดซึ่งคู่ความหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องซึ่งอ้างพยานหลักฐานนั้นมิได้แสดงความจำนงจะอ้างอิงพยานหลักฐานนั้นตามวรรคหนึ่ง วรรคสอง หรือวรรคสามแต่ถ้าศาลเห็นว่าจำเป็นที่จะต้องคุ้มครองพยาน หรือจะต้องสืบพยานหลักฐานดังกล่าวเพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาดข้อสำคัญแห่งประเด็นเป็นไปโดยเที่ยงธรรม หรือเพื่อให้โอกาสแก่จำเลยในการต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ให้ศาลมีอำนาจอนุญาตให้สืบและรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้”

More Related