1 / 115

๒. ผู้ค้ำประกันชำระหนี้แทนลูกหนี้ชั้นต้นไปแล้ว ถ้ายังไม่คุ้มหนี้ ลูกหนี้ชั้นต้นยังต้องรับผิด

มาตรา ๖๘๐ อันว่าค้ำประกันนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลภายนอกคนหนึ่งเรียกว่าผู้ค้ำประกัน ผูกพันตนต่อเจ้าหนี้คนหนึ่ง เพื่อชำระหนี้ใ น เมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ นั้น. ๑. ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดเฉพาะเท่าที่ลูกหนี้ชั้นต้นต้องรับผิด ส่วนใดที่ ลูกหนี้ชั้นต้นไม่ต้องรับผิด ผู้ค้ำประกันก็ไม่ต้องรับผิด

Download Presentation

๒. ผู้ค้ำประกันชำระหนี้แทนลูกหนี้ชั้นต้นไปแล้ว ถ้ายังไม่คุ้มหนี้ ลูกหนี้ชั้นต้นยังต้องรับผิด

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. มาตรา ๖๘๐ อันว่าค้ำประกันนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลภายนอกคนหนึ่งเรียกว่าผู้ค้ำประกัน ผูกพันตนต่อเจ้าหนี้คนหนึ่งเพื่อชำระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้นั้น ๑.ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดเฉพาะเท่าที่ลูกหนี้ชั้นต้นต้องรับผิด ส่วนใดที่ ลูกหนี้ชั้นต้นไม่ต้องรับผิด ผู้ค้ำประกันก็ไม่ต้องรับผิด ฎ. ๔๒๔๖/๒๕๔๙ ข้อตกลงตามสัญญาค้ำประกันที่ธนาคารจำเลยทำให้ไว้แก่หน่วยราชการโจทก์เพื่อค้ำประกันผู้รับเหมางานของหน่วยราชการโจทก์ มิใช่ข้อตกลงที่ให้สิทธิหน่วยราชการโจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องบังคับชำระหนี้ตามสัญญาค้ำประกันโดยไม่คำนึงว่าบริษัทผู้รับเหมาจะมีหนี้ที่ต้องรับผิดชำระแก่หน่วยราชการโจทก์หรือไม่ จึงต้องพิจารณาว่าบริษัทผู้รับเหมาต้องรับผิดชำระหนี้ต่อหน่วยราชการโจทก์เพียงใดหรือไม่ก่อน เพราะธนาคารจำเลยต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันเพียงเท่าที่บริษัทผู้รับเหมาต้องรับผิด ต่อหน่วยราชการโจทก์เท่านั้น

  2. ฎ. ๔๖๖๑/๒๕๔๙ เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าผู้กู้ได้กู้ยืมจากโจทก์ ผู้กู้ไม่ต้องรับผิดชำระเงินต้นและดอกเบี้ยแก่โจทก์ ผู้ค้ำประกันซึ่งแม้จะขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาก็ไม่ต้องรับรับผิดต่อโจทก์ด้วย • ฎ. ๓๔๒๘/๒๕๕๓ ยังคงมีหนี้ส่วนที่ลูกหนี้ชั้นต้นจะต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้หลังจากชำระหนี้ตามแผนฟื้นฟู้ด้วยการให้เจ้าหนี้เป็น ผู้ถือหุ้นของบริษัทลูกหนี้ชั้นต้นอยู่ 130,000,000 บาท เมื่อโจทก์ไม่ได้เปลื้องความรับผิดให้แก่จำเลยในฐานะผู้ค้ำประกัน จำเลยจึงต้องรับผิดในหนี้ดังกล่าวและโจทก์มีอำนาจนำมูลหนี้ดังกล่าวมาฟ้องจำเลยเป็นคดีล้มละลายได้

  3. ฎ. ๑๐๒๐๘/๒๕๕๓ความรับผิดของผู้ค้ำประกันคือผูกพันตนเพื่อชำระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ชั้นต้นไม่ชำระหนี้ เมื่อระหว่างที่ลูกหนี้ชั้นต้นทำสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ได้ชำระเงินเพื่อบรรเทาความเสียหาย 8,060,965.87 บาท ดังนั้น ที่ศาลล่างพิพากษาให้ผู้ค้ำประกันร่วมกันรับผิดชำระเงินแก่โจทก์ โดยมิได้นำเงินที่ลูกหนี้ชั้นต้นชำระหนี้ให้แก่โจทก์มาหักออก จึงไม่ถูกต้อง พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสามในฐานะผู้ค้ำประกัน ร่วมกันชำระเงินและดอกเบี้ยตามคำพิพากษาศาลล่าง โดยให้นำมูลค่าหุ้นตามราคาตลาดที่แท้จริงที่โจทก์ได้รับชำระหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ ชั้นต้น และนำเงินจำนวน 8,060,965.87 บาท ซึ่งลูกหนี้ชั้นต้นชำระให้แก่โจทก์หักชำระดอกเบี้ยก่อน และหากลูกหนี้ชั้นต้นชำระหนี้เพิ่มเติมให้แก่โจทก์อีก ให้หักชำระดอกเบี้ยก่อนเช่นเดียวกัน

  4. ๒. ผู้ค้ำประกันชำระหนี้แทนลูกหนี้ชั้นต้นไปแล้ว ถ้ายังไม่คุ้มหนี้ ลูกหนี้ชั้นต้นยังต้องรับผิด • มาตรา ๖๘๕ ถ้าเมื่อบังคับตามสัญญาค้ำประกันนั้น ผู้ค้ำประกันไม่ชำระหนี้ทั้งหมดของลูกหนี้ รวมทั้งดอกเบี้ย ค่าสินไหมทดแทน และอุปกรณ์ด้วยไซร้ หนี้ยังเหลืออยู่เท่าใด ท่านว่าลูกหนี้ยังคงรับผิดต่อเจ้าหนี้ในส่วนที่เหลือนั้น • ข้อสอบสมัย ๕๙ ปี ๒๕๔๙ ออกหลักว่า หนี้ที่เหลือที่ผู้ค้ำประกันยังไม่ชำระนั้น ลูกหนี้ชั้นต้นยังคงต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้ ตามมาตรา ๖๘๕ แม้เจ้าหนี้จะไม่ติดใจเรียกร้องจากผู้ค้ำประกันด้วยการปลดหนี้ ก็ยังคงเป็นหนี้ส่วนที่มิได้มีการชำระ ลูกหนี้ชั้นต้นยังคงต้องรับผิดชำระเงินกู้ส่วนที่เหลือให้แก่เจ้าหนี้

  5. ๓. ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ไปแล้วมีสิทธิไล่เบี้ยเอาจากลูกหนี้ชั้นต้นได้ • มาตรา ๖๙๓ผู้ค้ำประกันซึ่งได้ชำระหนี้แล้ว ย่อมมีสิทธิที่จะไล่เบี้ยเอาจากลูกหนี้ เพื่อต้นเงินกับดอกเบี้ยและเพื่อการที่ต้องสูญหายหรือเสียหายไปอย่างใด ๆ เพราะการค้ำประกันนั้น

  6. ๔. เป็นเรื่องความผูกพันตนจะชำระหนี้เมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ ดังนั้นหากมี เงื่อนไขว่าเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ ต้องแจ้งให้ผู้ค้ำประกันทราบภายในระยะเวลาที่กำหนดด้วย การไม่แจ้งจึงไม่ทำให้การค้ำประกันเสียไป • ฎ.๒๙๖-๒๙๗/๒๕๕๒ สัญญาค้ำประกันข้อ ๒ ระบุว่า จำเลยที่ ๒ รับรองว่าขณะใดที่ได้รับหนังสือแจ้งความจากโจทก์ว่า จำเลยที่ ๑ ปฎิบัติผิดสัญญาและไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ จำเลยที่ ๒ ยอมชำระเงินแทนภายในกำหนด ๑๕ วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งความดังกล่าว แต่โจทก์จะต้องแจ้งเหตุแห่งการปฎิบัติผิดสัญญาให้จำเลยที่ ๒ ทราบภายในกำหนด ๑๕ วัน นับแต่วันที่เหตุการณ์นั้น ๆ ได้เกิดขึ้น ข้อความดังกล่าวไม่ใช่เงื่อนไขความสมบูรณ์ของสัญญาค้ำประกัน แม้ไม่แจ้งก็ยังบังคับตามสัญญาค้ำประกันได้

  7. ๕. ค้ำประกันการทำงาน เป็นการค้ำประกันความเสียหายที่เกิดจากการทำงานตำแหน่งหน้าที่ที่ค้ำประกัน ถ้าเปลี่ยนตำแหน่งที่มีความเสี่ยงภัยมากขึ้น แล้วทำผิดเมื่อเปลี่ยนตำแหน่งแล้ว ผู้ค้ำประกันไม่ต้องรับผิด (ฎ. ๘๒๘๖/๒๕๕๐, ๖๐๒๐/๒๕๕๑ และ ๑๕๙๐๔/๒๕๕๓ ออกข้อสอบสมัย ๖๔ แล้ว) • ฏ. ๑๕๙๐๔/๒๕๕๓ย้ายจาก PASSENGER SERVICE ไปเป็นเลขานุการ ผู้อำนวยการใหญ่อาวุโสฝ่ายการพาณิชย์ มีหน้าที่ส่งคำสั่งอนุมัติไปให้เจ้าหน้าที่พิมพ์คำสั่งออกบัตรโดยสารราคาพิเศษ เป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 สามารถกระทำการทั้งในหน้าที่ตามระเบียบและฝ่าฝืนระเบียบ เป็นการเพิ่มความเสี่ยงภัย จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์

  8. มาตรา ๖๘๑ วรรคแรก ค้ำประกันนั้นจะมีได้แต่เฉพาะเพื่อหนี้อันสมบูรณ์ • หนี้ไม่สมบูรณ์ ได้แก่ กรณียังไม่มีการส่งมอบเงินกู้ให้แก่ผู้กู้ • ฎ. ๔๗๒๙/๒๕๔๗ สัญญากู้ที่โจทก์ทั้งสี่ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ เป็นสัญญาที่จำเลยทำให้โจทก์ทั้งสี่ เนื่องจากการที่โจทก์ทั้งสี่ได้ทำสัญญาค้ำประกันและจดทะเบียนจำนองที่ดินเป็นประกันหนี้ที่ ม. กับ บ. ร่วมกันกู้ยืมเงินจากธนาคาร หากโจทก์ทั้งสี่ต้องชำระหนี้แก่ธนาคารแล้วจำเลยจะต้องรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์ทั้งสี่ตามสัญญา โจทก์ทั้งสี่ฟ้องคดีนี้โดยที่ยังไม่ได้ชำระหนี้ตามภาระการค้ำประกันแก่ธนาคารอันเนื่องจากมูลหนี้ของ ม. กับ บ. จำเลยยังไม่ต้องรับผิดตามสัญญากู้ดังกล่าว โจทก์ทั้งสี่จึงไม่มีอำนาจฟ้อง

  9. ๒. หนี้ประธานไม่ทำตามแบบที่กฎหมายกำหนด เช่น • สัญญาเช่าซื้อลงลายมือชื่อผู้เช่าซื้อฝ่ายเดียวเป็นโมฆะ เจ้าของทรัพย์สินที่ให้เช่าซื้อจะฟ้องผู้เช่าซื้อให้รับผิดตามสัญญาหาได้ไม่ ผู้ค้ำประกันตามสัญญาเช่าซื้อดังกล่าวไม่ต้องรับผิด เพราะการค้ำประกันจะมีได้แต่เฉพาะเพื่อหนี้อันสมบูรณ์ (ฎ. ๑๘๐๐/๒๕๑๑) สัญญาเช่าซื้อที่ไม่ปิดอากร รับฟังเป็นพยานหลักฐานไม่ได้ เท่ากับไม่ได้ทำสัญญาเช่าซื้อ ผู้ค้ำไม่ต้องรับผิดไปด้วย • ฎ.๘๘๘๐/๒๕๔๗ สัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ ไม่อาจใช้รับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ คดีจึงไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าซื้อกับโจทก์ และแม้จำเลยที่ ๒ จะให้การรับว่าจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าซื้อโดยมีจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกันจริง แต่คำให้การของจำเลยที่ ๒ ดังกล่าว ก็หามีผลถึงจำเลยที่ ๑ ไม่ เมื่อจำเลยที่ ๑ เป็นลูกหนี้ชั้นต้น คดีจึงมีผลถึงจำเลยที่ ๒ ในฐานะผู้ค้ำประกันด้วย จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ไม่ต้องรับผิด • หมายเหตุ ตามฎ.๘๘๘๐/๒๕๔๗ เท่ากับไม่มีการทำสัญญาเช่าซื้อจึงไม่มีหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อ ดังนั้น ไม่ว่าจะมีการค้ำประกันหรือจำนองหรือจำนำ เมื่อไม่มีหนี้ประธาน ค้ำประกันจำนองหรือจำนำก็ไม่สมบูรณ์ไปด้วย

  10. หนี้สมบูรณ์แล้ว ได้แก่ • มอบเงินกู้แล้วแต่ขาดหลักฐานเป็นหนังสือตามที่กฎหมายกำหนด เช่น กู้ยืมเงินกว่า ๒,๐๐๐ บาท ผู้ให้กู้ส่งมอบเงินให้ผู้กู้แล้ว สัญญากู้ยืมบริบูรณ์แล้ว ตามมาตรา ๖๕๐ วรรคสอง “สัญญานี้ (ยืมใช้สิ้นเปลือง) ย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินที่ยืม” ดังนั้น แม้การกู้ยืมที่มีการส่งมอบเงินกันแล้ว นั้นจะไม่ได้ทำสัญญากันไว้เป็นหนังสือและยังไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือก็มีการค้ำประกันหนี้รายนั้นได้ แม้เจ้าหนี้จะฟ้องผู้กู้ไม่ได้เพราะไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ แต่ถ้าการค้ำประกันนั้นมีหลักฐานเป็นหนังสือ เจ้าหนี้ก็มีสิทธิฟ้องผู้ค้ำประกันได้ เพียงแต่ผู้ค้ำประกันมีสิทธิตามมาตรา ๖๙๔ ที่จะยกข้อต่อสู้ของลูกหนี้คือผู้กู้ขึ้นต่อสู้เจ้าหนี้ได้ • หมายเหตุ มีข้อสอบสมัยที่ ๔๗ ปี ๒๕๓๗ ออกหลักว่า แม้การกู้ยืมเงินไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ แต่เมื่อเป็นหนี้อันสมบูรณ์เพราะมีการได้รับเงินกู้ไปแล้ว การจำนองเป็นประกันหนี้นั้นก็สมบูรณ์ตาม มาตรา ๖๘๑ ประกอบมาตรา ๗๐๗ ฟ้องบังคับผู้จำนองได้

  11. ตัวอย่างกรณีหนี้สมบูรณ์ แต่ขาดหลักฐาน ฎ. ๕๑๘๙/๒๕๔๐ จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ลงลายมือชื่อไว้โดยเอกสารสัญญากู้พิพาทยังไม่มีการกรอกข้อความ และจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ขอกู้ยืมจากโจทก์เป็นจำนวนเงินเพียง ๒๐๐,๐๐๐ บาท แต่ปรากฏว่าสัญญากู้ดังกล่าวกลับมีการกรอกข้อความว่าจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ กู้ยืมเงินจากโจทก์เป็นจำนวน ๒,๘๐๐,๐๐๐ บาท จึงเป็นการกรอกข้อความลงในสัญญากู้ซึ่งจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ เพียงแต่ลงลายมือชื่อให้ไว้ผิดไปจากความจริงโดยจำเลยทั้งสองมิได้รู้เห็นยินยอมด้วย สัญญากู้พิพาทจึงเป็นเอกสารปลอม และสัญญาค้ำประกันที่จำเลยที่ ๓ ที่ ๔ ลงลายมือชื่อไว้แล้วมีการกรอกข้อความว่าเป็นการค้ำประกันหนี้จำเลยที่ ๑ จำนวนเงิน ๒,๘๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งผิดไปจากความเป็นจริงโดยจำเลยที่ ๓ ที่ ๔ มิได้รู้เห็นยินยอมด้วย จึงเป็นเอกสารปลอมเช่นกัน ถือได้ว่าการกู้ยืมเงินและการค้ำประกันคดีนี้ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องบังคับตามสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันดังกล่าว

  12. จำเลยที่ ๓ ได้ฟ้องโจทก์เป็นจำเลย ขอให้จดทะเบียนปลดจำนองรายเดียวกันนี้ต่อศาลชั้นต้นซึ่งต่อมาคดีถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลฎีกาว่ามีหนี้เงินกู้จำนวน ๒๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งผูกพันสัญญาจำนอง คำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวจึงผูกพันจำเลยที่ ๓ และโจทก์ซึ่งเป็นคู่ความรายเดียวกันนี้ ตาม ป.วิ.พ.มาตรา๑๔๕ วรรคหนึ่ง เมื่อมีหนี้เงินกู้จำนวน ๒๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงผูกพันสัญญาจำนองรายนี้ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องบังคับจำเลยที่ ๓ ตามสัญญาจำนองได้ • (มีฎ.๔๓๑/๒๕๔๔,๑๙๙/๒๕๔๕ และ๑๕๓๙/๒๕๔๘ วินิจฉัยไว้ในทำนองเดียวกัน)

  13. หมายเหตุ มาตรา ๗๐๗ ให้นำบทบัญญัติมาตรา ๖๘๑ ว่าด้วยค้ำประกันมาใช้กับการจำนอง ซึ่งตามมาตรา ๖๘๑ การค้ำประกันจะมีได้แต่เฉพาะเพื่อหนี้อันสมบูรณ์ และมาตรา ๖๕๐ วรรคสอง การให้ยืมใช้สิ้นเปลืองนั้น สัญญายืมใช้สิ้นเปลืองย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินที่ให้ยืม ดังนั้นแม้สัญญากู้และค้ำประกันจะปลอม ฟ้องบังคับตามสัญญาทั้งสองไม่ได้ แต่การกู้เงินจำนวน ๒๐๐,๐๐๐ บาท บริบูรณ์แล้ว จึงมีการจำนองได้และฟ้องบังคับจำนองได้

  14. ตัวอย่างหนี้สมบูรณ์บางส่วน และมีหลักฐานการกู้การค้ำ และแยกหนี้ส่วนที่สมบูรณ์ออกจากส่วนที่ไม่สมบูรณ์ได้ • ฎ. ๔๓๗๒/๒๕๔๕ โจทก์นำเงินดอกเบี้ยจำนวน ๖๐,๐๐๐ บาท ที่จำเลยค้างชำระซึ่งเป็นดอกเบี้ยที่คิดในอัตราร้อยละ ๒ ต่อเดือน อันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราฯ มาตรา ๓ ประกอบด้วย ป.พ.พ.มาตรา ๖๕๔ ไปรวมเข้ากับต้นเงิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท ที่กู้ยืม แสดงว่าโจทก์และจำเลยมีเจตนาที่จะแบ่งแยกการกู้เงินออกเป็นสองส่วน ส่วนที่หนึ่งคือกู้เงินจำนวน ๓๐๐,๐๐๐ บาท อีกส่วนหนึ่ง คือ ๖๐,๐๐๐ บาท เฉพาะนิติกรรมการกู้ยืมส่วนที่เป็นดอกเบี้ยจำนวน ๖๐,๐๐๐ บาท เท่านั้น ที่ตกเป็นโมฆะ ส่วนนิติกรรมการกู้ยืมเงินระหว่างโจทก์กับจำเลยในส่วนจำนวน ๓๐๐,๐๐๐ บาท ยังคงสมบูรณ์อยู่ตาม ป.พ.พ.มาตรา ๑๗๓ หนี้กู้ยืมระหว่างโจทก์จำเลยในเงินส่วนนี้จึงเป็นหนี้ที่สมบูรณ์ เมื่อจำเลยจดทะเบียนจำนองที่ดินเป็นประกันหนี้เงินกู้ในวงเงิน • ๓๖๐,๐๐๐ บาท สัญญาจำนองประกันหนี้จึงมีผลใช้บังคับได้ตามจำนวนหนี้ประธานที่สมบูรณ์ คือ จำนวน ๓๐๐,๐๐๐ บาท เมื่อโจทก์บอกกล่าวบังคับจำนองแล้วโจทก์ย่อมมีสิทธิบังคับจำนองในหนี้ส่วนนี้ได้

  15. มีฎีกาน่าสนใจตรงที่แยกส่วนหนี้ที่สมบูรณ์ออกจากส่วนที่ไม่สมบูรณ์ไม่ได้จึงโมฆะทั้งฉบับมีฎีกาน่าสนใจตรงที่แยกส่วนหนี้ที่สมบูรณ์ออกจากส่วนที่ไม่สมบูรณ์ไม่ได้จึงโมฆะทั้งฉบับ • ฎ. ๑๐๘๕๒/๒๕๕๑ จำเลยกู้เงินโจทก์จำนวน ๓๕๐,๐๐๐ บาท และค้างชำระดอกเบี้ยโจทก์ ต่อมาสามีจำเลยได้ทำสัญญาขายบ้านพิพาทให้โจทก์ในราคา ๕๙๐,๐๐๐ บาท โดยมีการโอนหนี้เงินกู้และดอกเบี้ยที่จำเลยค้างชำระโจทก์จำนวน ๕๙๐,๐๐๐ บาท แทนการชำระราคาบ้าน เมื่อพิจารณาดอกเบี้ยเงินกู้ที่จำเลยค้างชำระโจทก์แล้วนำมารวมกับต้นเงินกู้เป็นเงินที่ชำระราคาซื้อขายบ้านพิพาทนั้น เป็นการคิดดอกเบี้ยร้อยละ ๕ บาทต่อเดือน ซึ่งเป็นอัตราที่เกินกว่าร้อยละ ๑๕ ต่อปี เป็นดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดอันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราฯ มาตรา ๓ ประกอบ ป.พ.พ.มาตรา ๖๕๔ ดอกเบี้ยดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะ สัญญาซื้อขายบ้านพิพาทจึงเกิดจากหนี้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แม้ราคาบ้านพิพาทที่กำหนดในสัญญาจะรวมเอาต้นเงินกู้ที่โจทก์มีสิทธิได้รับไว้ด้วยก็ตาม แต่โจทก์และสามีจำเลยมิได้มีเจตนาจะแบ่งแยกซื้อขายบ้านบางส่วนในราคาต้นเงิน ๓๕๐,๐๐๐ บาท ที่จำเลยค้างชำระอยู่ สัญญาซื้อขายบ้านพิพาทระหว่างโจทก์กับสามีจำเลยย่อมเป็นโมฆะทั้งฉบับตาม ป.พ.พ.มาตรา ๑๗๓ โจทก์จึงฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านพิพาทไม่ได้

  16. มาตรา ๖๘๑ วรรคสอง หนี้ในอนาคตหรือหนี้มีเงื่อนไข จะประกันไว้เพื่อเหตุการณ์ซึ่งหนี้นั้นอาจเป็นผลได้จริง ก็ประกันได้ • ค้ำประกันและจำนองเป็นประกันหนี้ในอนาคตได้ • ฎ. ๕๙๘/๒๕๔๔ สัญญาค้ำประกันและจำนองเป็นประกันระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ ตกลงค้ำประกันหนี้ในอนาคตของจำเลยที่ ๑ ด้วย เมื่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๘๑ วรรคสอง บัญญัติว่าหนี้ในอนาคตก็ประกันได้ และมาตรา ๗๐๗ บัญญัติว่าบทบัญญัติมาตรา ๖๘๑ ว่าด้วยค้ำประกันนั้น ท่านให้ใช้ได้ในการจำนองอนุโลมตามควร ดังนั้น แม้จำเลยที่ ๒ ได้ทำสัญญาจำนองและสัญญาค้ำประกันไว้ก่อนที่จำเลยที่ ๑ กู้ยืมเงินโจทก์ครั้งที่ ๓ ก็ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ในหนี้ที่เกิดจากการกู้ยืมเงินครั้งที่ ๓ ด้วย (นอกจากนี้ดู ฎ. ๕๑๓๓/๒๕๕๐ ค้ำประกันการทำงาน ก่อนการทำงานจริงก็ได้)

  17. แต่ก็มีฎีกาที่เป็นข้อเท็จจริงเฉพาะคดีแต่ก็มีฎีกาที่เป็นข้อเท็จจริงเฉพาะคดี • ฎ. ๑๗๙๗/๒๕๔๙ สัญญาค้ำประกันเป็นแบบฟอร์มสัญญาสำเร็จรูปที่ธนาคารจำเลยทำขึ้นเพื่อใช้เป็นหนังสือค้ำประกันได้ทุกประเภท ข้อความในสัญญามีลักษณะเขียนครอบคลุมให้ลูกหนี้ต้องรับผิดทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ซึ่งอาจไม่ตรงกับเจตนาของคู่สัญญา เมื่อปรากฏว่าโจทก์มีเจตนาเพียงค้ำประกันหนี้ที่อาจเกิดขึ้นจากการที่ห้าง ก. ขอให้จำเลยออกหนังสือค้ำประกันการยื่นซองประกวดราคา มิได้มีเจตนาค้ำประกันหนี้สินอย่างอื่นที่ห้าง ก.มีต่อธนาคารจำเลย การที่ธนาคารจำเลยหักเงินฝากชำระหนี้ห้าง ก.จึงก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์

  18. ในสมัย ๖๒ และ ๖๔ ออกในเรื่องนี้ แต่มุมที่ตรงข้ามกัน • สมัย ๖๒ เฉลยว่า แม้การจำนองอาจเป็นประกันหนี้ที่มีอยู่แล้วหรือหนี้ในอนาคตได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 707 ประกอบมาตรา 681 แต่การจำนองที่ดินประกันหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินเกิดขึ้นหลังจากที่ผู้กู้ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับธนาคารสาขาแรก และเป็นประกันในวงเงินเท่ากับจำนวนเงินตามสัญญากู้ยืมเงินธรรมดาที่ทำขึ้นภายหลังกับธนาคารสาขาที่สอง โดยที่สัญญาจำนองนี้ไม่มีข้อความตอนใดที่แสดงให้เห็นว่าสัญญาจำนองที่กระทำกันภายหลังนี้เกี่ยวข้องกับหนี้ที่ผู้กู้มีอยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว ทั้งหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินนั้นมีลักษณะที่แยกต่างหากจากหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องและสัมพันธ์กันข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจำนองจึงมิอาจตีความให้รวมถึงหนี้คนละประเภทและคนละสาขากัน เมื่อผู้กู้และผู้กู้ร่วมได้นำเงินไปชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินแก่ธนาคารสาขาหลัง จนครบถ้วนอันทำให้หนี้ประธานระงับสิ้นไปแล้ว หนี้ตามสัญญาจำนองซึ่งเป็นหนี้อุปกรณ์ จึงระงับไปด้วย ตามมาตรา 744 (1) (คำพิพากษาฎีกาที่ 1023/2548)

  19. สมัย ๖๔ เฉลยดังนี้ ข้อความในสัญญาจำนองที่ระบุว่าเป็นการประกันหนี้ที่ผู้กู้กู้เงินจากผู้ให้กู้ขณะทำสัญญาจำนองและหนี้ที่ผู้กู้จะกู้เงินจากผู้ให้กู้ในอนาคตตราบเท่าที่สัญญาจำนองยังมีผลอยู่ในวงเงินไม่เกิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท แสดงว่า เป็นการจำนองเพื่อประกันหนี้ในอนาคต ตามป.พ.พ.ม.๗๐๗ ประกอบม.๖๘๑ ด้วย เช่นนี้แม้ผู้กู้ชำระหนี้ตามสัญญากู้เงินฉบับแรกครบถ้วนแล้ว แต่เมื่อมีหน้เงินกู้อันเป็นหนี้ประธานเกิดขึ้นและยังอยู่ในวงเงินจำนอง จึงถือว่าเป็นหนี้ในอนาคต สัญญาจำนองย่อมเป็นประกันหนี้นั้นด้วย โดยไม่ต้องจดทะเบียนจำนองไม่อีก สัญญาจำนองจึงครอบคลุมหนี้เงินกู้ ๑๐๐,๐๐๐ บาท ตามสัญญากู้เงินระหว่างผู้กู้กับผู้ให้กู้ฉบับหลังด้วย ข้อต่อสู้ของนายลมส่วนนี้ฟังไม่ขึ้น (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ ๕๓๘๔/๒๕๔๘)

  20. มาตรา ๖๘๒ วรรคสอง • ถ้าบุคคลหลายคนยอมตนเข้าเป็นผู้ค้ำประกันในหนี้รายเดียวกันไซร้ท่านว่าผู้ค้ำประกันเหล่านั้นมีความรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกัน แม้ถึงว่ามิได้เข้ารับค้ำประกันรวมกัน

  21. มีความรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกันแม้ไม่ได้เข้าเป็นผู้ค้ำประกันพร้อมกัน

  22. จะต้องนำบทบัญญัติในเรื่องลูกหนี้ร่วมมาใช้บังคับ แต่ที่เกี่ยวข้องโดยตรงที่ต้องจดจำคือชุดมาตรา ดังนี้ • มาตรา ๒๙๑ “...เจ้าหนี้ชอบที่จะได้รับชำระหนี้สิ้นเชิงแต่เพียงครั้งเดียว...” • มาตรา ๒๙๖ ในระหว่างลูกหนี้ร่วมกันทั้งหลายนั้น ท่านว่าต่างคนต่างต้องรับผิดเป็นส่วนเท่า ๆ กัน เว้นแต่จะได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น ถ้าส่วนที่ลูกหนี้ร่วมกันคนใดคนหนึ่งจะพึงชำระนั้นเป็นอันจะเรียกเอาจากคนนั้นไม่ได้ไซร้ ยังขาดจำนวนอยู่เท่าไร ลูกหนี้คนอื่น ๆ ซึ่งจำต้องออกส่วนด้วยนั้นก็ต้องรับใช้ แต่ถ้าลูกหนี้ร่วมกันคนใดเจ้าหนี้ได้ปลดให้หลุดพ้นจากหนี้อันร่วมกันนั้นแล้ว ส่วนที่ลูกหนี้คนนั้นจะพึงต้องชำระหนี้ก็ตกเป็นพับแก่เจ้าหนี้ไป

  23. มาตรา ๒๙๓ การปลดหนี้ให้แก่ลูกหนี้ร่วมกันคนหนึ่งนั้น ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่ลูกหนี้คนอื่น ๆ เพียงเท่าส่วนของลูกหนี้ที่ได้ปลดให้เว้นแต่จะได้ตกลงกันเป็นอย่างอื่น • มาตรา ๒๒๙ “การรับช่วงสิทธิย่อมมีขึ้นด้วยอำนาจกฎหมายและย่อมสำเร็จเป็นประโยชน์แก่บุคคลอังจะกล่าวต่อไปนี้คือ...(๓) บุคคลผู้มีความผูกพันร่วมกับผู้อื่นหรือเพื่อผู้อื่นในอันจะต้องใช้หนี้มีส่วนได้เสียด้วยในการใช้หนี้นั้น และเข้าใช้หนี้นั้น”

  24. หลักกฎหมายกลุ่มนี้ แยกจำได้เป็น ๔ ข้อ • ๑. สำหรับความผิดของผู้ค้ำประกันที่มีต่อเจ้าหนี้ต้องเป็นไปตามสัญญาค้ำประกัน ต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้เต็มจำนวนตามมาตรา ๒๙๑ แล้วจึงมาไล่เบี้ยจากผู้ค้ำประกันอื่น ตามมาตรา ๒๒๙(๓) ประกอบมาตรา ๒๙๖ • เช่น มีหนี้อยู่ ๓๐,๐๐๐ บาท ก. ข. ค.ต่างคนต่างเข้าไปค้ำประกันหนี้ ก.หรือ ข.หรือ ค. แต่ละคนต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้เป็นเงิน ๓๐,๐๐๐ บาท ถ้า ก. คนเดียวใช้หนี้ไปแล้ว ๓๐,๐๐๐ บาท ก็มีสิทธิไล่เบี้ยจาก ข. ได้ ๑๐,๐๐๐ บาท และจาก ค. ได้อีก ๑๐,๐๐๐ บาท หรือไล่เบี้ยเอาจากลูกหนี้ ๓๐,๐๐๐ บาท ตามมาตรา ๖๙๓ วรรคแรก

  25. ฎ. ๓๕๙/๒๕๐๙ ในระหว่างผู้ค้ำประกันด้วยกันบทบัญญัติลักษณะค้ำประกันไม่ได้กำหนดความรับผิดต่อกันไว้ จึงต้องใช้หลักทั่วไปตามมาตรา ๒๒๙, ๒๙๖ ในกรณีผู้ค้ำประกันสองคน ผู้ค้ำประกันคนหนึ่งชำระหนี้ทั้งหมดแทนลูกหนี้ไปย่อมรับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้ไล่เบี้ยแก่ผู้ค้ำประกันอีกคนหนึ่งได้กึ่งหนึ่ง (นอกจากนี้ดู ฏ. ๒๑๑๑/๒๕๕๑)

  26. ฎ. ๑๒๑๖๘/๒๕๕๓ ความรับผิดของโจทก์และจำเลยที่ 2 ซึ่งค้ำประกันหนี้รายเดียวกันนั้นเป็นความรับผิดต่อเจ้าหนี้อย่างลูกหนี้ร่วมกันตามป.พ.พ. มาตรา 682 วรรคสอง และศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้โจทก์กับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันร่วมกับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้รับผิดต่อบริษัทบริหารสินทรัพย์พญาไท จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าหนี้แล้วตามคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 1382/2548 ของศาลชั้นต้น การที่โจทก์เรียกให้จำเลยที่ 2 รับผิดต่อโจทก์เพราะเหตุที่โจทก์ได้ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา 17,000,000 บาท จึงเป็นการฟ้องผู้ค้ำประกันซึ่งต้องรับผิดร่วมกันด้วยตนเอง เมื่อบทบัญญัติในลักษณะค้ำประกันมิได้กำหนดความรับผิดของผู้ค้ำประกันต่อกันไว้ จึงต้องใช้หลักทั่วไปตามป.พ.พ. มาตรา 229 และ 296 ดังนั้น โจทก์ย่อมรับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยที่ 2 ได้ตามส่วนเท่าๆ กันตามป.พ.พ. มาตรา 229 (3) และมาตรา 296 ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยให้จำเลยที่ 2 รับผิดต่อโจทก์กึ่งหนึ่งนั้นชอบแล้ว เมื่อโจทก์ชำระให้แก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแล้ว 17,000,000 บาท โจทก์ย่อมไล่เบี้ยจากจำเลยที่ 2 ได้ 8,500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย

  27. คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๘๗๖/๒๕๕๑ จำเลยที่ ๑ ทำสัญญากู้ยืมไว้กับธนาคารเจ้าหนี้จำนวน ๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย โดยมีโจทก์ จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ กับพวกอีก ๖ คน เป็นผู้ค้ำประกันในวงเงินต่างกันโดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมตาม ป.พ.พ.มาตรา ๖๘๒ วรรคสอง เมื่อโจทก์ชำระหนี้แทนจำเลยที่ ๑ ไปจำนวน ๔,๘๘๐,๐๐๐ บาท ให้แก่ธนาคารเจ้าหนี้ โจทก์ย่อมมีสิทธิไล่เบี้ยจำเลยที่ ๑ และเข้ารับช่วงสิทธิของธนาคารเจ้าหนี้ไล่เบี้ยผู้ค้ำประกันอื่นได้ตามสัดส่วนที่ผู้ค้ำประกันแต่ละคนเข้าผูกพันชำระหนี้ตามมาตรา ๖๙๓ ประกอบมาตรา ๒๒๙(๓), ๒๙๖

  28. ๒. เจ้าหนี้ปลดหนี้ให้ผู้ค้ำรายหนึ่งย่อมเป็นประโยชน์แก่ผู้ค้ำคนอื่นเพียงเท่าส่วนที่ผู้ค้ำรายนั้นต้องรับผิดตามมาตรา ๒๙๓ นอกจากนี้ตามมาตรา ๒๙๖ ในกรณีที่ปลดหนี้ให้แก่ผู้ค้ำประกันคนหนึ่ง หนี้ส่วนของผู้ค้ำประกันคนนั่นตกเป็นพับแก่เจ้าหนี้ • ตอนท้ายของมาตรา ๒๙๖ “ปลดให้หลุดพ้นจากหนี้อันร่วมกันนั้น ส่วนที่ลูกหนี้คนนั้นจะต้องชำระตกเป็นพับแก่เจ้าหนี้ไป”

  29. เช่น ลูกหนี้เป็นหนี้อยู่ ๓,๐๐๐ บาท มีผู้ค้ำประกันสามคนคือ ก. ข. ค. เจ้าหนี้ปลดหนี้ให้แก่ ค. ๑,๐๐๐ บาท ในระหว่าง ก. ข. ค. เข้าต้องรับผิดคนละ ๑,๐๐๐ บาท เมื่อเจ้าหนี้ปลดหนี้ให้แก่ ค.ไป ดังนั้น ก.และข. ก็ยังคงต้องร่วมกันรับผิดในหนี้จำนวน ๒,๐๐๐ บาท ถ้า ก.ใช้หนี้ไป ๒,๐๐๐ บาท ก็มีสิทธิไล่เบี้ยจากลูกหนี้ ๒,๐๐๐ บาท มีสิทธิไล่เบี้ยจาก ข.ได้ ๑,๐๐๐ บาท สำหรับส่วนของ ค. ๑,๐๐๐ บาท ที่ ค. ต้องรับผิดนั้น เจ้าหนี้ได้ปลดหนี้ให้ ค. ไปแล้ว ส่วนนี้จึงตกเป็นพับแก่เจ้าหนี้ ก. ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันร่วมไม่มีสิทธิไล่เบี้ยจาก ค. การปลดหนี้ดังกล่าวเป็นการที่เจ้าหนี้ปลดหนี้ให้แก่ผู้ค้ำประกันเท่านั้น ลูกหนี้ชั้นต้นไม่หลุดพ้นความรับผิด เจ้าหนี้ยังคงมีสิทธิฟ้องเรียกหนี้อีก ๑,๐๐๐ บาท จากลูกหนี้ชั้นต้นได้

  30. ข้อสอบสมัย ๕๙ ปี ๒๕๔๙ ผู้ค้ำประกันร่วมมีความรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมตามมาตรา ๖๘๒ วรรคสอง เมื่อผู้ค้ำประกันร่วมคนหนึ่งชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้บางส่วนและเจ้าหนี้ได้ปลดหนี้ส่วนที่เหลือให้แก่ผู้ค้ำประกันรายนั้น ย่อมมีผลให้หนี้สำหรับผู้ค้ำประกันร่วมอีกรายระงับไปด้วยตามมาตรา ๓๔๐ และมาตรา ๒๙๓ ผู้ค้ำประกันร่วมอีกรายจึงหลุดพ้นไม่ต้องรับผิด (ธงคำตอบอ้างคำพิพากษาฎีกาที่ ๘๙๓/๒๕๔๐ และ ๒๕๕๑/๒๕๔๔)

  31. คำพิพากษาฎีกาที่ ๘๙๓/๒๕๔๐จำเลยที่ ๒ กับ ท. ค้ำประกันหนี้รายเดียวกัน ย่อมมีผลเป็นผู้ค้ำประกันร่วมกันตามมาตรา ๖๘๒ วรรคสอง เมื่อ ท. โดยบุคคลภายนอกได้ชำระหนี้ที่ตนค้ำประกันเต็มจำนวนตามที่โจทก์เรียกร้องแล้ว ทำให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้สละสิทธิต่อ ท. มีผลให้หนี้ระงับสำหรับ ท. ย่อมมีผลให้หนี้สำหรับจำเลยที่ ๒ระงับไปด้วยตามมาตรา ๓๔๐ และมาตรา ๒๙๓ จำเลยที่ ๒ จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์

  32. คำพิพากษาฎีกาที่ ๒๑๑๑/๒๕๕๑ ผู้ค้ำประกันร่วมในหนี้รายเดียวกันย่อมต้องรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมตาม ป.พ.พ.มาตรา ๖๘๒ วรรคสอง เมื่อบทบัญญัติในลักษณะค้ำประกันมิได้กำหนดความรับผิดของผู้ค้ำประกันต่อกันไว้จึงต้องใช้หลักทั่วไปตามมาตรา ๒๒๙ และมาตรา ๒๙๖ การที่เจ้าหนี้ยอมรับการชำระหนี้จากผู้ค้ำประกันรายหนึ่งเป็นเงิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท และปลดหนี้ให้โดยการถอนฟ้องผู้ค้ำประกันรายนั้นคงเป็นประโยชน์แก่ผู้ค้ำประกันอีกรายหนึ่งเพียงเท่าส่วนของผู้ค้ำประกันรายแรกที่ได้ปลดไปเท่านั้น ผู้ค้ำประกันรายแรกไม่ต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้อีกต่อไปเพราะหนี้ส่วนที่เหลือสำหรับผู้ค้ำประกันรายแรกระงับไปแล้วตามมาตรา ๓๔๐ ดังนั้น หากต่อมาผู้ค้ำประกันรายที่หลังชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ไปเพียงใดก็ไม่อาจใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาแก่ผู้ค้ำประกัน รายแรกได้อีกต่อไป • หมายเหตุ หลักเรื่องไล่เบี้ยนี้ไม่นำไปใช้ในเรื่องจำนองและจำนำ ผู้จำนองหรือผู้จำนำที่ชำระหนี้ไปแล้วไม่มีสิทธิไล่เบี้ยผู้จำนองหรือผู้จำนำรายอื่น เพราะบทบัญญัติในมาตรา ๖๘๒ เกี่ยวกับความรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมของผู้ค้ำประกันหลายคนไม่นำไปใช้ในเรื่องจำนองและจำนำ

  33. คำพิพากษาฎีกาที่ ๒๕๔๑/๒๕๔๔ จำเลยและ ส.ได้ทำสัญญาค้ำประกันการกู้เงินของบริษัท อ. จำกัด โดยยอมรับผิดต่อโจทก์เจ้าหนี้อย่างลูกหนี้ร่วม จำเลยและ ส.ได้จดทะเบียนจำนองที่ดินไว้เป็นประกัน ต่อมาจำเลยได้ขายที่ดินที่จำนองเป็นประกันหนี้ไป และ ส.ได้ชำระหนี้แก่โจทก์จำนวนหนึ่งซึ่งโจทก์ก็ได้ออกหนังสือปลดหนี้แก่ ส.แล้ว จำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันร่วมในหนี้รายเดียวกันย่อมต้องรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกันตาม ปพพ.มาตรา ๖๘๒ วรรคสอง เมื่อบทบัญญัติในลักษณะค้ำประกันมิได้กำหนดความรับผิดชอบผู้ค้ำประกันต่อกันไว้ จึงต้องใช้หลักทั่วไปตาม ปพพ.มาตรา ๒๒๙ และ ๒๙๖ การที่โจทก์สละสิทธิต่อ ส.ย่อมมีผลทำให้หนี้ส่วนที่เหลือสำหรับ ส.ระงับไปตาม ป.พ.พ.มาตรา ๓๔๐ และย่อมมีผลให้หนี้สำหรับจำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันร่วมระงับไปด้วย ตาม ปพพ.มาตรา ๒๙๓ (ออกข้อสอบสมัย ๕๙ ปี ๒๕๔๙)

  34. คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๔๑๔๔/๒๕๕๓ • จำเลยที่ 4 และที่ 5 ต่างทำสัญญาค้ำประกันหนี้กู้ยืมเงินและหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีจำนวนเดียวกันไว้ต่อโจทก์ โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม พร้อมกับจดทะเบียนจำนองที่ดินของจำเลยที่ 4 และที่ 5 ไว้เป็นประกันหนี้ดังกล่าวด้วย ต่อมาจำเลยที่ 5 ขายที่ดินที่จำนองให้แก่จำเลยที่ 2 และโจทก์มีหนังสือที่แสดงเจตนาว่ายอมปลดหนี้ภาระการค้ำประกันให้แก่จำเลยที่ 5 จนหมดสิ้นแล้ว เมื่อบทบัญญัติในลักษณะค้ำประกันมิได้กำหนดความรับผิดชอบของผู้ค้ำประกันต่อกันไว้ จึงต้องใช้หลักทั่วไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 293 และมาตรา 296 การที่โจทก์สละสิทธิต่อจำเลยที่ 5 ย่อมมีผลทำให้หนี้ตามภาระการค้ำประกันสำหรับจำเลยที่ 5 ระงับไปตามมาตรา 340 และย่อมมีผลทำให้หนี้ตามภาระการค้ำประกันสำหรับจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันร่วมระงับไปด้วยตามมาตรา 293

  35. ๓. แต่ผู้ค้ำประกันคนที่ได้ชำระหนี้ไปแล้ว ถ้าได้ไปทำสัญญาแปลงหนี้กับลูกหนี้เดิมไปแล้ว ไล่เบี้ยกับผู้ค้ำประกันร่วมไม่ได้อีกแล้ว • คำพิพากษาฎีกาที่ ๔๕๗๔/๒๕๓๖ โจทก์และจำเลยทำสัญญาค้ำประกันในการที่นายเนตรทำสัญญากู้เงินจากสหกรณ์ โจทก์ได้ชำระหนี้แก่สหกรณ์แทนนายเนตรทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นเงิน ๔๐,๗๐๐ บาท หลังจากโจทก์ชำระหนี้จำนวนดังกล่าวแล้วโจทก์ได้ให้นายเนตรทำสัญญากู้เงินให้โจทก์ ปัญหามีว่าสัญญากู้เงินที่โจทก์กับนายเนตรทำไว้ต่อกันเป็นหลักฐานเกี่ยวกับการแปลงหนี้ใหม่หรือไม่ เห็นว่า โจทก์ได้ชำระหนี้ให้สหกรณ์เมืองนครปฐม จำกัด แทนนายเนตรไปจำนวน ๔๐,๗๐๐ บาท ตามจำนวนเงินที่นายเนตรเป็นหนี้อยู่ โจทก์และจำเลยเป็นผู้ค้ำประกันหนี้รายเดียวกัน จึงเป็นลูกหนี้ร่วมตาม ม.๖๘๒ ว.๒ • เมื่อโจทก์ชำระหนี้แทนนายเนตรไปแล้ว โจทก์ย่อมรับช่วงสิทธิของ

  36. เจ้าหนี้ไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยได้กึ่งหนึ่งตามป.พ.พ.มาตรา ๒๒๙(๓) และ มาตรา ๒๙๖ นอกจากนี้โจทก์ยังมีสิทธิที่จะไล่เบี้ยเอาแก่นายเนตรลูกหนี้เพื่อให้ชำระหนี้ดังกล่าวทั้งหมดได้ ตามป.พ.พ. มาตรา ๖๙๓ วรรคแรก อีกด้วย ข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์ตกลงกับนายเนตรทำหนังสือสัญญากู้เงินไว้ต่อกันมีข้อความสรุปว่านายเนตรเป็นหนี้เงินกู้โจทก์เป็นเงิน ๔๐,๗๐๐ บาท กรณีดังกล่าวถือได้ว่ามีหนี้ใหม่เกิดขึ้นตามสัญญากู้เงินดังกล่าวเป็นการเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้ จึงเป็นการแปลงหนี้ใหม่ มีผลทำให้หนี้ตามสิทธิไล่เบี้ยนั้นระงับไป โจทก์ชอบที่จะฟ้องบังคับตามมูลหนี้ใหม่ในสัญญากู้เงินกรณีดังกล่าว ความรับผิดของจำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันหนี้เดิมของนายเนตรและในฐานะลูกหนี้ร่วมกับโจทก์ย่อมระงับไปด้วย โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยได้อีก

  37. หมายเหตุ • คำพิพากษาฎีกานี้มีหลักกฎหมายแทรกอยู่มากมาย ออกข้อสอบสมัย ๕๙ ปี ๒๕๔๙ ไปแล้ว

  38. มาตรา ๖๘๓ อันค้ำประกันอย่างไม่มีจำกัดนั้นย่อมคุ้มถึงดอกเบี้ยและค่าสินไหมทดแทนซึ่งลูกหนี้ค้างชำระ ตลอดจนค่าภาระติดพันอันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้รายนั้นด้วย • ค้ำประกันโดยระบุวงเงิน ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดในต้นเงินตามวงเงินที่ระบุและดอกเบี้ยตามที่ระบุในสัญญา (คำพิพากษาฎีกาที่ ๒๗๓๐/๒๕๓๔ และ ๓๘๒/๒๕๓๗) • แต่ถ้าทำสัญญากันชัดเจนว่ารวมทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยแล้วไม่เกินวงเงินที่ระบุไว้ ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดไม่เกินวงเงินดังกล่าว แต่ถ้าผิดนัดต้องเสียดอกเบี้ยเพราะผิดนัดด้วย

  39. คำพิพากษาฎีกาที่ ๓๓๔๗/๒๕๒๙ หนังสือสัญญาค้ำประกันมีข้อความว่า ผู้ค้ำประกันตกลงยินยอม ชำระหนี้ทั้งต้น เงินและดอกเบี้ยรวมทั้งอุปกรณ์แห่งหนี้ทั้งสิ้น ตามสินเชื่อดังกล่าวข้างต้นให้แก่ธนาคารเป็นจำนวนเงินไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท โดยรับผิดเป็นลูกหนี้ร่วม เป็นการค้ำประกันอย่างจำกัด จำนวนโดยเมื่อรวมต้น เงินดอกเบี้ยและอุปกรณ์แห่งหนี้เข้าด้วยกันแล้ว ผู้ค้ำประกันจะรับผิดไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ข้อความที่ว่ายอมรับผิดเป็นลูกหนี้ร่วม หมายถึงในจำนวนเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท จะรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม หาใช่ขยายจำนวนเงินที่จะรับผิดออกไปจากข้อความตอนต้นไม่ อย่างไรก็ดีหนี้ดังกล่าวเป็นหนี้เงิน จำเลยที่ ๓ ต้องชำระดอกเบี้ย แก่โจทก์ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีระหว่างผิดนัดตาม ป.พ.พ. มาตรา ๒๒๔ วรรคหนึ่ง เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ทวงถามจำเลยที่ ๓ เมื่อใด จำเลยที่ ๓ จึงต้องเสียดอกเบี้ยในกรณีผิดนัดแก่โจทก์นับแต่วันฟ้อง (นอกจากนี้มีคำพิพากษาฎีกาที่ ๓๑๔๘/๒๕๔๗)

  40. สรุปได้ว่า • ๑. ถ้าเขียนคำว่า “ค้ำประกันวงเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท” ก็หมายถึงต้องชำระต้นเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท บวกดอกเบี้ยตามสัญญากู้ • ๒. ถ้าเขียนว่า “ค้ำประกันทั้งต้นเงินดอกเบี้ยรวมทั้งอุปกรณ์แห่งหนี้ไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท” ก็หมายถึงรวมทุกอย่างแล้วไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท • ๓. หลักตามฏ. ๓๓๔๗/๒๕๒๙ ออกข้อสอบไปแล้ว ในการสอบสมัย ๕๖ ปี ๒๕๔๖โดยโยงไปมาตรา ๗๐๑ คือผู้ค้ำขอปฎิบัติการชำระหนี้ในกรณีที่สัญญาค้ำประกันเขียนไว้ว่า “ค้ำประกันทั้งต้นเงินดอกเบี้ยรวมทั้งอุปกรณ์แห่งหนี้ไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท” แต่เจ้าหนี้ไม่ยอมรับ ผู้ค้ำประกันจึงหลุดพ้นความรับผิด • ๔.มาตรา ๗๒๗ จำนองให้เอามาตรา ๗๐๑ ไปใช้ด้วย • ๕. ผู้ค้ำประกันไล่เบี้ยกันเอง ไล่เบี้ยได้ ๕๐,๐๐๐ บาท บอกดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่ผู้ค้ำประกันอีกรายผิดนัด

  41. มาตรา ๖๘๖ ลูกหนี้ผิดนัดลงเมื่อใด ท่านว่าเจ้าหนี้ชอบที่จะเรียกให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ได้แต่นั้น • หลักกฎหมายมาตรานี้ มีข้อควรจำ ดังนี้ • ๑. แม้ผู้ค้ำประกันจะไม่ได้รับหนังสือทวงถามก่อนฟ้องเลย ก็มีอำนาจฟ้อง • ฏ. ๖๓๘๙/๒๕๓๔ โจทก์บอกกล่าวทวงถามจำเลยที่ ๑ แล้ว แต่จำเลยที่ ๑ เพิกเฉยต้องฟังว่าจำเลยที่ ๑ ผิดนัดแล้ว โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันชำระหนี้ได้ทันที โดยไม่ต้องบอกกล่าวก่อน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๘๖ จึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่าโจทก์แจ้งให้จำเลยที่ ๓ ชำระหนี้แล้วหรือไม่ (มีฏ. ๓๔๗๓/๒๕๒๕ ตัดสินไว้ในทำนองเดียวกัน)

  42. หมายเหตุ • ๑.ข้อสอบสมัย ๕๗ ปี ๒๕๔๗ ออกหลักตามคำพิพากษาฎีกานี้ โดยมีธงคำตอบว่าแม้ผู้ให้กู้ลืมบอกกล่าวทวงถามให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ แต่เมื่อลูกหนี้ชั้นต้นผิดนัดแล้ว ผู้ให้กู้ย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ได้ ตามมาตรา ๖๘๖ โดยไม่จำต้องบอกกล่าวทวงถามแก่ผู้ค้ำประกันก่อน อ้างฎ.๖๓๘๙/๒๕๓๔ • ๒. ข้อสอบดังกล่าวออกประเด็นเกี่ยวกับการบอกกล่าวลูกหนี้ชั้นต้นผู้กู้ยืมและบอกกล่าวผู้รับจำนองมาอีก ๒ ประเด็นด้วย

  43. ฎ. ๒๗๙๐/๒๕๔๙ ห้างหุ้นส่วนจำกัด อ. ตกเป็นผู้ผิดนัดตั้งแต่วันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๓๓ ซึ่งเป็นวันครบกำหนดตามสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างอาคารที่ต่ออายุสัญญาออกไป โจทก์มีสิทธิเรียกให้จำเลยในฐานะผู้ค้ำประการชำระหนี้ได้นับแต่วันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๓๓ ความรับผิดตามสัญญาค้ำประกันไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะจึงมีอายุความ ๑๐ ปี โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๒ ยังไม่เกิน ๑๐ ปี ฟ้องโจทก์ยังไม่ขาดอายุความ

  44. ๒. เพียงการไม่ชำระดอกเบี้ยตามกำหนดนัด หรือผิดนัดชำระหนี้เพียงงวดใดงวดหนึ่งก็ถือเป็นการผิดนัดแล้ว ฟ้องผู้ค้ำประกันให้ชำระหนี้ได้เลยทันที (ฏ.๕๓๖/๒๕๑๓ , ๓๐๒๗/๒๕๒๘, ๕๒๑/๒๕๑๐ ประชุมใหญ่) • ฏ.๑๔๗–๑๔๘/๒๕๔๔ สิทธิเรียกร้องให้ชำระหนี้ตามสัญญาค้ำประกันไม่มีกฎหมายบัญญัติกำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีอายุความ ๑๐ ปี ตามมาตรา ๑๙๓/๓๐ (นับแต่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้ (มาตรา ๑๙๓/๑๒) ซึ่งหมายถึงนับแต่ลูกหนี้ผิดนัด เพราะลูกหนี้ผิดนัดเมื่อใดก็บังคับแก่ผู้ค้ำประกันได้ ตามมาตรา ๖๘๖

  45. มาตรา ๖๘๗ ผู้ค้ำประกันไม่จำต้องชำระหนี้ก่อนถึงเวลากำหนดที่จะชำระแม้ถึงว่าลูกหนี้จะไม่อาจถือเอาซึ่งประโยชน์แห่งเงื่อนเวลาเริ่มต้นหรือเวลาสุดสิ้นได้ต่อไปแล้ว • กรณีที่ลูกหนี้ไม่อาจถือประโยชน์แห่งเงื่อนเวลา ได้แก่กรณีลูกหนี้สละประโยชน์แห่งเงื่อนเวลา ตามที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ.มาตรา ๑๙๒ ตัวอย่างที่สำคัญของการสละประโยชน์แห่งเงื่อนเวลาได้แก่กรณีที่เมื่อถูกทวงถามหรือฟ้องให้ชำระหนี้เงินกู้แล้วไม่ได้ปฎิเสธว่าหนี้ยังไม่ถึงกำหนด แต่กลับปฎิเสธว่าไม่ได้เป็นหนี้ • ฏ.๑๐๙๘/๒๕๐๗ เจ้าหนี้ฟ้องเรียกเงินกู้ก่อนถึงกำหนดชำระ ลูกหนี้ปฎิเสธความรับผิด อ้างว่าชำระหนี้เงินกู้ตามสัญญาแล้ว ย่อมแสดงว่าลูกหนี้ไม่ถือเอาประโยชน์แห่งเงื่อนเวลาในสัญญากู้นั้น เงื่อนเวลาจึงไม่เป็นข้อที่ลูกหนี้จะอ้างเป็นประโยชน์ได้ต่อไป • หมายเหตุ แม้ลูกหนี้ชั้นต้นคือผู้กู้ไม่อาจถือประโยชน์แห่งเงื่อนเวลา แต่ผู้ค้ำประกันก็ยังถือประโยชน์จากมาตรา ๖๘๗ ได้

  46. มาตรา ๖๙๐ ถ้าเจ้าหนี้มีทรัพย์ของลูกหนี้ยึดถือไว้เป็นประกันไซร้ เมื่อผู้ค้ำประกันร้องขอ ท่านว่าเจ้าหนี้จะต้องให้ชำระหนี้เอาจากทรัพย์ซึ่งเป็นประกันนั้นก่อน • หมายเหตุมีข้อสอบสมัยที่ ๔๐ ปี ๒๕๓๐ ออกหลักที่ว่าผู้ค้ำประกันจะร้องขอให้เจ้าหนี้บังคับชำระหนี้เอาได้จากทรัพย์ของลูกหนี้ที่เอามาเป็นประกันการชำระหนี้เท่านั้นจะขอให้บังคับชำระหนี้จากที่ดินของบุคคลอื่นที่เอามาจำนองเป็นประกันหนี้ของลูกหนี้ไม่ได้

  47. มาตรา ๖๙๒ อายุความสะดุดหยุดลงเป็นโทษแก่ลูกหนี้นั้น ย่อมเป็นโทษแก่ผู้ค้ำประกันด้วย • หมายเหตุ เคยมีข้อสอบสมัยที่ ๕๑ ปี ๒๕๔๑ ออกหลักว่า การที่เป็นผู้ค้ำประกัน(ในหนี้ค่าจ้างทำของ) โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม มีผลเป็นเพียงสละสิทธิบางประการที่ผู้ค้ำประกันอาจยกขึ้นมาต่อสู้เจ้าหนี้เท่านั้น แต่ยังอยู่ในฐานะผู้ค้ำประกัน เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว ๑ ปี ลูกหนี้ชำระหนี้ให้เจ้าหนี้ไปบางส่วน อายุความย่อมสะดุดหยุดลงตามมาตรา ๑๙๓/๑๔(๑) และเหตุที่อายุความสะดุดหยุดลงเป็นโทษแก่ลูกหนี้ย่อมเป็นโทษแก่ผู้ค้ำประกันด้วย ตาม มาตรา ๖๙๒ จะนำมาตรา ๒๙๕ ที่ว่ากำหนดอายุความย่อมเป็นคุณเป็นโทษเฉพาะแก่ลูกหนี้คนนั้นในเรื่องลูกหนี้ร่วมมาใช้บังคับในกรณีนี้ไม่ได้ หนี้ค่าจ้างจึงยังไม่ขาดอายุความ

  48. หลักมาตรานี้ มีข้อควรจดจำ ๓ ข้อ ๑.ทายาทของลูกหนี้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ก็ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงและมีผลถึงผู้ค้ำประกันด้วย • ฎ.๑๘๘๗/๒๕๐๖ สัญญาค้ำประกันมีข้อความว่า เมื่อลูกหนี้ตายผู้ค้ำประกันยอมเป็นลูกหนี้ร่วม ย่อมหมายความว่าผู้ค้ำประกันยอมเข้าเป็นลูกหนี้ร่วมในหนี้ของลูกหนี้ซึ่งจะตกทอดไปยังทายาทของลูกหนี้ เมื่อปรากฎว่าทายาทของลูกหนี้ได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ไว้ก่อนอายุความ ๑ ปี สิ้นสุดลง ผู้ค้ำประกันก็ย่อมเป็นลูกหนี้ร่วมกับทายาทนั้นต่อไปตามจำนวนหนี้ที่ค้ำประกันไว้และใช้อายุความตามมูลหนี้เดิม

  49. ๒.ถ้าผู้ค้ำประกันเป็นผู้ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงเอง ก็จะไม่มีผลถึงลูกหนี้ด้วย • ฎ. ๑๔๓๘/๒๕๔๐ การที่ ว. ผู้ค้ำประกันซึ่งเป็นลูกหนี้ร่วมคนหนึ่งได้ชำระให้แก่เจ้าหนี้ ย่อมทำให้อายุความสะดุดหยุดลงโทษแก่ผู้ค้ำประกันไม่มีกฎหมายบัญญัติให้มีผลไปถึงลูกหนี้ด้วย แม้ลูกหนี้ทั้งสองจะต้องรับผิดร่วมกับผู้ค้ำประกัน กำหนดอายุความของลูกหนี้แต่ละคนก็ต้องเป็นไปเพื่อคุณและโทษเฉพาะลูกหนี้คนนั้นเท่านั้น การที่ ว.ชำระหนี้ให้เจ้าหนี้ไม่มีผลทำให้อายุความของลูกหนี้ทั้งสองสะดุดหยุดลง

  50. หมายเหตุ • ๑.ข้อสอบครั้งที่ ๖๑ ปี ๒๕๕๑ ออกคำพิพากษาฎีกานี้โดยธงคำตอบมีว่าผู้ให้กู้ฟ้องคดีหลังจากหนี้ถึงกำหนดชำระเกิน ๑๐ ปีแล้ว หนี้กู้ยืมเงินขาดอายุความ การที่ผู้คำประกันชำระหนี้บางส่วนเป็นการรับสภาพหนี้ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงเป็นโทษแก่ผู้ค้ำประกัน แต่ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้มีผลไปถึงลูกหนี้ กรณีไม่ต้องตามป.พ.พ.มาตรา ๖๙๔ ซึ่งเป็นเรื่องลูกหนี้ทำให้อายุความสะดุดหยุดลง ดังนั้นถ้าผู้กู้ยกอายุความขึ้นต่อสู้ ศาลต้องยกฟ้อง ผู้กู้ไม่ต้องรับผิดตามสัญญากู้ยืมเงิน (ส่วนนี้ ๓ คะแนน) • ๒.ในกรณีของลูกหนี้ร่วม ตามบทบัญญัติเรื่องหนี้ ถ้าอายุความสะดุดหยุดลงเป็นโทษแก่ลูกหนี้คนหนึ่งคนใด จะไม่เป็นโทษแก่ลูกหนี้ร่วมคนอื่นด้วย ตามป.พ.พ.มาตรา ๒๙๕ กรณีดังกล่าวจึงแตกต่างจากกรณีที่อายุความสะดุดหยุดลงเป็นโทษแก่ลูกหนี้ย่อมเป็นโทษแก่ผู้ค้ำประกันด้วย ตาม ป.พ.พ.มาตรา ๖๙๒

More Related