1 / 23

แนวคิดการจัดการเรียนรู้แบบคอน สตรัค ติวิซึม ( Construtivism )

แนวคิดการจัดการเรียนรู้แบบคอน สตรัค ติวิซึม ( Construtivism ). ความหมาย

lynton
Download Presentation

แนวคิดการจัดการเรียนรู้แบบคอน สตรัค ติวิซึม ( Construtivism )

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. แนวคิดการจัดการเรียนรู้แบบคอนสตรัคติวิซึม (Construtivism)

  2. ความหมาย การเรียนรู้ตามแนวคอนสตรัคติวิซึมเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นภายในผู้เรียน ผู้เรียนเป็นผู้สร้าง (Construct) ความรู้จากความสัมพันธ์ระหว่าง สิ่งที่พบเห็นกับความรู้ความเข้าใจที่มีอยู่เดิมโดยผู้เรียนสร้างเสริมความรู้ผ่านกระบวนการทางจิตวิทยาของตนเอง ผู้สอนไม่สามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางปัญญาของผู้เรียนได้ แต่ผู้สอนสามารถช่วยผู้เรียนปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางปัญญาได้โดยจัดสภาพการณ์ที่ทำให้เกิดภาวะไม่สมดุลขึ้น ซึ่ง วรรณทิพา รอดแรงค้า(2540:1) กล่าวถึงคอนสตรัคติวิซึมว่า คอนสตรัคติวิซึมจึงเป็นิธรการคิดเกี่ยวกับเรื่องของความรู้และการเรียนรู้

  3. ทฤษฏี/แนวคิด หลัการของคอนสตรัคติวิซึม ทฤษฏีของความรู้นี้อ้างถึงหลักการ 2 ข้อ ดังนี้ 1. ความรู้ไม่ได้เกิดจากการรับรู้เพียงอย่างเดียว แต่เป็นการสร้างขึ้นโดยบุคคลที่มีความรู้ความเข้าใจ 2. หน้าที่ของการับรู้คือ การปรับตัวและการประมวลประสบการณ์ทั้งหมดแต่ไม่ใช่เพื่อการค้นพบสิ่งที่เป็นจริง

  4. รากฐานแนวคิดคอนสตรัคติวิซึมรากฐานแนวคิดคอนสตรัคติวิซึม

  5. 1.รากฐานทางปัญญา ทฤษฏีคอนตรัมติวิซึมอธิบายความรู้ (knowledge) ว่าเป็นผลความพยายามทางปัญญาของมนุษย์ ในการจักการกับโลกแห่งประสบการณ์ของตนเอง (Von Glaserfeld,1991) ซึ่งสอดคล้องกับปัชญาปฎิบัตินิยม ซึ่งเสนอโดย William James และ Jonh Dewey ในตอนต้นศตวรรษที่ 20 โดย James(1975) เห็นว่า ความรู้คือความสามารถของรายบุคคลในการปรับประสบการณ์เก่าหรือความเชื่อเดิมที่มีอยู่ให้เข้ากับประสบการณ์ใหม่ได้ด้วยกระบวนกรพิสูจน์ให้เห็นจริงไดและมีความสมเหตุสมผล ก่อให้เกิดประโยชน์ในทางปฏิบัติ

  6. ซึ่งปรัชญาปฏิบัตินิยม ยอมรับประสบการและข้อเท็จจริงที่ได้รับทางประสาทสัมผัสแต่ไม่ถือเอาประสาทสัมผัสเพียงอย่างเดียวเป็นบ่เกิดแห่งความรู้ และไม่ใช่ประสบการณ์นั้น (Dewey,1929) โดยมีกระบวนการไตร่ตรองเกิดขึ้น ประสบการณที่ไม่ได้รู้คิดเหล่านั้นจะค่อยๆ มีความหมายขึ้นผู้ไตร่ตรองจึงเริ่มรู้และเข้าใจในสิ่งที่ตนประสบ

  7. 2.รากฐานทางจิตวิทยาการเรียนรู้2.รากฐานทางจิตวิทยาการเรียนรู้ Jean Piaget เห็นว่าคนเราเรียนรู้โดยกระบวนการของการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมด้วยกระบวนการสู่สภาวะสมดุล ซึ่งประกอบด้วยกลไกพื้นฐาน 2 อย่าง คือ การดูดซึมเข้าสู่โครงสร้างการปรับโครงสร้างและการปรับโครงสร้างการดูดซึมเข้าสู่โครงสร้างเป็นการรับเอาข้อมูลจากสิ่งแวดล้อมเข้ามารวมไว้ในโครงสร้างทางปัญญาที่มีอยู่ส่วนการปรับโครงสร้างเป็นความสามารถในการเปลี่ยนแปลง หรือขยายโครงสร้างทางปัญญาที่มีอยู่ให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม

  8. แนวทางการจัดการเรียนรู้บทความของครูตามแนวคอนสตรัคติวิซึมการเรียนการสอนตามแนวคอนสตรัคติวิซึม ถือว่าครูมีบทบาทเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการเปลี่ยนมโนมติ

  9. วรรณทิพา รอดแรงค้า กล่าวถึงการใช้วิธีการสอนที่เน้นปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักเรียนกับครู ( Interactive teaching approach) ด้วยวิธีการสอนแบบนี้ ถือว่าครูมีบทบาทเป็น”ผู้อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้” เป็น “ทรัพยากรบุคคล” เป็น “ผู้สืบเสาะหาความรู้ที่ไม่เคยมีความรู้หรือไม่เคยมีประสบการณ์ในการสืบเสาะหาความรู้มาก่อน” เป็น “ผู้ท้าทายความคิดของนักเรียน” ในฐานะที่เป็น “ผู้อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้”ครูพยายามที่จะนำนักเรียนและแหล่งทรัพยากรให้มาพบกัน ในฐานะที่เป็น “ทรัพยากรบุคล” ครูต้องจัดหาข้อมูลให้นักเรียนมากกว่า

  10. ความสะดวกในการเรียนรู้” เป็น “ทรัพยากรบุคคล” เป็น “ผู้สืบเสาะหาความรู้ที่ไม่เคยมีความรู้หรือไม่เคยมีประสบการณ์ในการสืบเสาะหาความรู้มาก่อน” เป็น “ผู้ท้าทายความคิดของนักเรียน” ในฐานะที่เป็น “ผู้อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้”ครูพยายามที่จะนำนักเรียนและแหล่งทรัพยากรให้มาพบกัน ในฐานะที่เป็น “ทรัพยากรบุคล” ครูต้องจัดหาข้อมูลให้นักเรียนมากกว่าการถาม คำถามกลับไปที่ตัวนักเรียน ในฐานะที่เป็นผู้สืบเสาะหาความรู้ที่ไม่เคยมีความรู้หรือไม่เคยมีประสบการณ์ในการสืบเสาะหาความรู้มาก่อน ครูจะทำเป็นไม่รู้เกี่ยวกับการอธิบายหรือไม่รู้เกี่ยวกับสถานการณ์นั้น เพื่อช่วยให้นักเรียนหาคำตอบด้วยตนเอง และฐานะที่เป็น ผู้ท้าทายความคิดของนักเรียน

  11. แนวการสอนตามแนวคอนสตรัคติวิซึมYagerได้เสนอแนวการสอนตามแนวคอนสตรัคติวิซึม ไว้ ดังนี้ • 1. ให้นักเรียนถามคำถาม แล้วใช้คำถามและความคิดเห็นของนักเรียนในการวางแผนการสอน • 2. ยอมรับและสนับสนุนความคิดเห็นของนักเรียน • 3. ส่งเสริมความเป็นผู้นำ ความร่วมมือ การหาแหล่งข้อมูลข่าวสาร และการนำความคิดเห็นไปปฏิบัติ อันเป็นผลเนื่องจากกระบวนการเรียนของนักเรียน • 4. ใช้ความคิดเห็น ประสบการณ์ และความสนใจของนักเรียน เพื่อให้บทเรียนดำเนินไปอย่างมีความหมาย • 5. สนับสนุนให้นักเรียนเสนอแนะสิ่งที่เป็นสาเหตุของเหตุการณ์หรือสถานการณ์และสนับสนุนให้นักเรียนทำนายผลที่จะเกิดขึ้น

  12. 6. สนับสนุนให้นักเรียนทดสอบความคิดของตนเอง เช่น ตอบคำถามที่ตัวเองตั้งขึ้นเดาว่าอะไรเป็นสาเหตุ และทำนายผลที่ตามมา • 7. ค้นหาความเห็นของนักเรียนก่อนนำเสนอความคิดเห็นของครู หรือก่อนศึกษาความคิดเห็นจากหนังสือเรียน หรือจากแหล่งอื่น • 8. สนับสนุนให้นักเรียนท้าทายความเห็นของกันและกัน • 9. ใช้ยุทธวิธีการเรียนแบบร่วมมือ(Cooperative learning)ซึ่งเน้นความร่วมมือการนับถือซึ่งกันและกัน และใช้กลยุทธ์ของการแบ่งงานกันทำ • 10. สนับสนุนให้มีการสะท้อนความคิด และมีการวิเคราะห์วิจารณ์ความคิดเห็นของกันและกัน แสดงความเคารพและใช้ทุกความคิดเห็นที่นักเรียนสร้างขึ้น

  13. 11. สนับสนุนให้มีการวิพากษ์วิจารณ์ตนเอง รวบรวมพยานหลักฐานที่สนับสนุนความคิดเห็นและสร้างความคิดใหม่เนื่องจากประสบการณ์และพยานหลักฐานใหม่

  14. ขั้นตอนการสอนตามแนวคอนสตรัคติวิซึมYager ได้เสนอขั้นตอนการคอนสตรัคติวิซึมแบบ The Constructivist Learning Model ( CLM ) ไว้ 4 ขั้นตอนดังนี้

  15. 1. ขั้นเชิญชวน ได้แก่ • 1.1 สังเกตสิ่งรอบตัวด้วยความอยากรู้อยากเห็น • 1.2 ถามคำถาม • 1.3 พิจารณาคำตอบที่เป็นไปได้ของคำถามที่ตั้งขึ้น • 1.4 จดบันทึกปรากฏการณ์ที่ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดขึ้นแต่ไม่เกิดขึ้น • 1.5 ชี้สถานการณ์ที่การรับรู้ของนักเรียนแตกต่างกัน

  16. 2. ขั้นสำรวจ ได้แก่ • 2.1 ให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรม • 2.2 ระดมพลังสมองเกี่ยวกับทางเลือกที่เป็นไปได้ • 2.3 มองหาสารสนเทศ • 2.4 ทำการทดลองโดยใช้วัสดุอุปกรณ์ • 2.5 สังเกตปรากฏการที่เฉพาะเจาะจง • 2.6 ออกแบบโมเดล • 2.7 รวบรวมและจัดกระทำข้อมูล • 2.8 ใช้ยุทธวิธีแก้ปัญหา

  17. 2.9 เลือกทรัพยากรที่เหมาะสม • 2.10 อธิปรายการแก้ปัญหา • 2.11 ออแบบและดำเนินการทดลอง • 2.12 ประเมินทางเลือกที่หลากหลาย • 2.13 มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นที่ไม่ตรงกัน • 2.14 ชี้การเสี่ยงและผลที่ตามมา • 2.15 ขอบเขตของการสืบเสาะหาความจริง • 2.16 วิเคราะห์ข้อมูล

  18. 3. ขั้นนำเสนอคำอธิบายและคำตอบของปัญหา • 3.1 สื่อความหมายข้อมูลและความคิดเห็น • 3.2 สร้างและอธิบายโมเดล • 3.3 สร้างคำอธิบาย • 3.4 บททวนและวิจารณ์คำตอบของปัญหา • 3.5 ให้เพื่อนประเมินผลการเสนอคำตอบ • 3.6 รวบรวมคำตอบที่หลากหลาย • 3.7 ชี้ให้เห็นคำตอบที่เหมาะสม • 3.8 บูรณาการคำตอบที่ได้กับความรู้และประสบการณ์เดิมที่มีอยู่

  19. 4. ขั้นนำไปปฏิบัติ • 4.1 การตัดสินใจ • 4.2 นำความรู้และทักษะไปใช้ • 4.3 ถ่ายโยงความรู้และทักษะ • 4.4 แลกเปลี่ยนสารสนเทศและความคิดเห็น • 4.5 ถามคำถามใหม่ • 4.6 นำผลที่ได้จาการเรียนรู้และส่งเสริมความคิดเห็น • 4.7 ใช้โมเดลและความคิดเห็นเพื่อให้เกิดการอภิปรายและการยอมรับจากเพื่อนๆ

  20. ข้อค้นพบจบการวิจัยจากการจักการเรียนรู้ตามแนวคอนสตรัคติวิซึม มีข้อค้นพบจากการวิจัยดังนี้ 1. การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ไพจิตร สะดวกการ(2509) วิจัยพบว่า นักเรียนที่มีระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ปานกลางที่ได้รับการสอนด้วยกระบวนการสอนคณิตศาสตร์ที่สร้างขึ้น มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่านักเรียนระดับเดียวกันที่ได้รับการสอนตามปกติ

  21. 2.การสร้างโครงสร้างทางปัญญาและเปลี่ยนความเชื่อเดิม Minstrell(1982) วิจัยเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนความเชื่อของนักเรียนในวิชาฟิสิกส์ แล้วพบว่าความขัดแข้งทางปัญญาที่เกิดขึ้นสามารถทำให้นักเรียนสร้างโครงสร้างทางปัญญาและความเชื่อเดิม 3.ความสามารถในการคิด สาคร ธรรมศักดิ์ (2541) วิจัยศึกษาผลตามแนวคอนสตรัคติวิซึมแบบร่วมมือที่มีต่อความสามารถในการคิดแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม ผลการวิจัยพบว่าความสามารถในการคิดแก้ปัญหาของนักเรียนกลุ่มควบคุม และกลุ่มทดลอง ว่าแตกต่างกันอย่างไร

  22. .01หนึ่งนุช กาฬภักดี (2543) วิจัยเปรียบเทียบความสามารถในการคิดระดับสูงในการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ การคิดอย่างวิจารณญาณผลการวิจัยพบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์และความสามารถการคิด มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05

  23. 2.แนวคิดการจัดการเรียนรู้ตามสภาพจริง(Authentic Instruction) ความหมาย การเรียนตามสภาพจริง หรือการเรียนรู้แท้ (Authentic Learning) เป็นการเรียนรู้ที่ผู้เรียนจะเป็นผู้คิด วิเคราะห์ สังเคราะห์ ประเมิน ตัดสินใจได้เอง มีกระบวนการที่ใช้เป็นยุทธศาสตร์ในการคิดอย่างเป็นระบบ ผู้เรียนเป็นผู้อธิบาย นำเสนอได้อย่างมีหลักวิชา ด้วยการเรียบเรียงด้วยตนเอง อธิบายได้อย่างครอบคลุมชัดเจน มีกระบวนการที่ดี มีความคิดรวบยอด และหลักการของวิชาที่เรียนรู้ รวมทั้งผู้เรียนสามารถนำไปใช้ปฏิบัติในชีวิตจริงได้ นำเอาความรู้ต่างๆไปพัฒนาชีวิต คุณภาพงาน คุณภาพสังคม สิ่งแวดล้อมได้อย่างเป็นปกติวิสัยจนเป็นหนึ่งเดียวกัน(โกวิท ประวาลพฤกษ์,2545:31)

More Related