5.09k likes | 13.16k Views
ความรู้เรื่องวัณโรค. ธัญลักษณ์ บริรักษ์ นักวิชาการสาธารณสุข กลุ่มงานเวชกรรมสังคม รพ.โพ ธาราม. วัณโรค เป็นปัญหาสาธารณสุขของทั่วโลก. องค์การอนามัยโลก ประกาศให้วัณโรคอยู่ใน ภาวะฉุกเฉินสากล ตั้งแต่เดือนเมษายน พ.ศ. ๒๕๓๖ ซึ่งต้องการการร่วมกันแก้ไขอย่างเร่งด่วน
E N D
ความรู้เรื่องวัณโรค ธัญลักษณ์ บริรักษ์ นักวิชาการสาธารณสุข กลุ่มงานเวชกรรมสังคม รพ.โพธาราม
วัณโรค เป็นปัญหาสาธารณสุขของทั่วโลก • องค์การอนามัยโลก ประกาศให้วัณโรคอยู่ในภาวะฉุกเฉินสากล ตั้งแต่เดือนเมษายน พ.ศ. ๒๕๓๖ ซึ่งต้องการการร่วมกันแก้ไขอย่างเร่งด่วน • ปัจจุบันมีผู้ป่วยด้วยวัณโรคเสียชีวิตมากกว่าในอดีตที่ผ่านมา แม้แต่ในช่วงที่ยังไม่มียารักษา • คาดว่ามีผู้ป่วยเสียชีวิตวันละประมาณ ๕๐๐๐ คน ต่อวัน หรืออาจกล่าวได้ว่า มีผู้เสียชีวิตทุกๆ ๑๐ วินาที
2.การแพร่ระบาดของเอชไอวี2.การแพร่ระบาดของเอชไอวี - จำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้น, ตาย (มีโรคฉวยโอกาสอื่นๆร่วมด้วย) 1.ผู้ป่วยมารักษาช้า - แพร่เชื้อ, ตาย 3.ผู้ป่วยกินยาไม่ครบ - แพร่เชื้อ, ดื้อยา, ตาย ปัญหา 4.ผู้ป่วยฐานะยากจน ไม่มีคนดูแลการกินยา 6.ชุมชนรังเกียจ 5.ผู้ป่วยสูงอายุ แพ้ยารักษาวัณโรค
วัณโรค • เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ชื่อมัยโคแบคทีเรียม ทูเบอร์คูโลซีส • เป็นได้กับอวัยวะทุกส่วนของร่างกาย • เป็นมากที่ปอด • ติดต่อโดยการสูดละอองฝอยที่ฟุ้งกระจายในอากาศ ที่เกิดจากการไอจามจากผู้ป่วยวัณโรคปอดในระยะแพร่เชื้อ
- คนเราติดเชื้อวัณโรคแล้วประมาณ 1 ใน 3 คน - ถ้าติดเชื้อแล้วมีโอกาสป่วยร้อยละ 10-15 คน ในช่วง 1-2 ปีแรก - ถ้าร่างกายอ่อนแอก็ทำให้ป่วยเป็นวัณโรคได้ - เชื้อเข้าทางเดินหายใจแล้วไปฝังตัวที่ถุงลม เกาะกินปอดทำให้เป็นแผล ไอ ไข้ เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย น้ำหนักลด
วัณโรคเป็นโรคติดต่อเกิดจากเชื้อแบคทีเรียชื่อมัยโคแบคทีเรียม ทูเบอร์คูโลซิส(Mycobacterium tuberculosis)
Mycobacterium tuberculosis • เป็นเชื้อแบคทีเรียที่มีขนาดเล็กมาก ประมาณ 1 – 5 ไมครอน
เชื้อมีผนังหนามาก สามารถทนทานต่อสิ่งแวดล้อมได้ • เจริญได้ดีในที่ซึ่งมี ph 6.0 – 7.6 • ที่อุณหภูมิ 37 องศา • มีระยะฟักตัว 4 – 5 สัปดาห์
เชื้อวัณโรคจะถูกทำลายได้ในน้ำเดือด 2 นาที • เชื้อนี้ทนทานต่อความแห้งแล้ง มีชีวิตอยู่ได้ 4 ชั่วโมง – 5 วัน • ถ้าอยู่ในห้องมืด จะมีชีวิตอยู่ได้นานอย่างน้อย 40 วัน และอาจอยู่ได้นานถึง 6 เดือน • แสงอาทิตย์ทำลายเชื้อวัณโรคได้ภายใน 5 นาที
วัณโรค สามารถเป็นได้กับอวัยวะทุกส่วนของร่างกาย เช่นต่อมน้ำเหลือง ลำไส้ ตับ ม้าม เยื่อหุ้มสมอง
แต่ที่พบบ่อย และเป็นปัญหามากในปัจจุบัน คือ วัณโรคปอด
การติดต่อ • เชื้อวัณโรคติดต่อโดยการแพร่กระจายเชื้อจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งผ่านทางอากาศ • โดยผู้ป่วยวัณโรคปอดเมื่อไอหรือจามแรงๆเชื้อจะปนเปื้อนมากับ ละอองเสมหะ
เมื่อมีผู้สูดหายใจเอาเชื้อเข้าสู่ร่างกาย ละอองเสมหะขนาด 1-3 ไมโครเมตร จะเข้าสู่หลอดลมส่วนปลายจนถึงถุงลมเล็กๆในเนื้อปอด • เชื้อวัณโรคจะเจริญเติบโตและแบ่งจำนวนอย่างรวดเร็วจนทำให้เกิดเป็นแผลในเนื้อปอดและป่วยเป็นวัณโรค
แหล่งแพร่เชื้อ.... • แหล่งแพร่เชื้อ คือ ผู้ป่วยวัณโรคระยะแพร่เชื้อ ซึ่งได้แก่ - ผู้ป่วยก่อนการรักษา - ผู้ป่วยที่ยังไม่รักษา - ผู้ป่วยที่กำลังรักษายังไม่ถึง 2 สัปดาห์
การแพร่เชื้อ • พูด 1 นาที = 600 droplet nuclei • ไอ = 3,000 droplet nuclei • จาม = 40,000 droplet nuclei
การติดเชื้อวัณโรคและการป่วยแตกต่างกันอย่างไรการติดเชื้อวัณโรคและการป่วยแตกต่างกันอย่างไร
การติดเชื้อวัณโรคและการป่วยแตกต่างกันอย่างไรการติดเชื้อวัณโรคและการป่วยแตกต่างกันอย่างไร
เราแบ่งผู้ป่วยวัณโรคเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ กี่กลุ่ม อะไรบ้าง แบ่งผู้ป่วยวัณโรคได้ 2 กลุ่ม คือ • วัณโรคปอด • วัณโรคนอกปอด
อาการที่น่าสงสัยว่าเป็น “วัณโรค” • ไอเรื้อรัง >2 wk (เสมหะขาวขุ่น เขียวข้น) • อาการที่อาจพบด้วย..... • เจ็บหน้าอกหอบ/เหนื่อย • มีไข้ตอนเย็น • เหงื่อออกกลางคืน • เบื่ออาหาร/นน.ลด • อ่อนเพลีย .
รู้ได้อย่างไรว่าเป็น....วัณโรคปอดรู้ได้อย่างไรว่าเป็น....วัณโรคปอด • ตรวจเสมหะ 3 ครั้ง • การเอกเรย์ปอด
3. การเก็บเสมหะเพื่อส่งตรวจมีกี่วิธี อะไรบ้าง * ลักษณะการเก็บ มี 2 วิธี 1. Spot Sputum : หมายถึง เสมหะที่เก็บในวันที่ผู้ป่วยมาตรวจ 2. Early morning specimen = Collected sputum : หมายถึง เสมหะที่ผู้ป่วยเก็บได้ในตอนเช้าหลังตื่นนอน * การตรวจเสมหะ 3 ครั้ง อาจเป็น 1. Spot วันแรก Collected วันที่ 2 และ Spot วันที่ 2 หรือ 2. Spot วันแรก Collected วันที่ 2 และ 3 * ต้องส่งตรวจภายใน 7 วัน
ข้อควรทราบ Spot Sputum : ต้องบ้วนปากก่อนทุกครั้ง เพื่อง่าย ต่อการอ่านผลป้องกันการผิดพลาด Collect Sputum :เก็บตอนตื่นนอนตอนเช้า ไม่ต้องแปรงฟัน
วิธีการเก็บเสมหะให้ได้คุณภาพวิธีการเก็บเสมหะให้ได้คุณภาพ Collect Sputum : ก่อนลุกจากที่นอนให้ผู้ป่วยนอนคว่ำใช้หมอนหนุนหน้าอก ศีรษะห้อยลง ใช้ฝ่ามือเคาะด้านหลังเบาๆ : หายใจ เข้า-ออก 2-3 ครั้ง แล้วกลั้นหายใจ ไอลึกๆ : ถ้ายังไม่ได้ ให้พักพอสมควร/ดื่มน้ำมากๆ รอสักครู่ *** ต้องไม่มีคนอยู่ใกล้***
การรักษา • วัณโรค รักษาหายได้ • โดยการกินยาต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ใช้เวลาเพียง 6-8 เดือนเท่านั้น • ใช้ยาอย่างน้อย 4 ขนาน หากได้รับการรักษาไม่ถูกต้อง ขาดยา หรือกินยาไม่ต่อเนื่องจะทำให้เชื้อดื้อยา ทำให้ยากต่อการรักษา
กลุ่มเสี่ยง • ผู้สัมผัสผู้ป่วยวัณโรค • ผู้ติดเชื้อ เอชไอวี • เด็กอายุต่ำกว่า 0-15 ปี • ผู้สูงอายุ • ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง • นักโทษในเรือนจำ • ผู้ที่เคยป่วยเป็นวัณโรค
การรักษา - ต้องรีบรักษาให้หายในการป่วยครั้งแรกเพื่อป้องกันการดื้อยาและโรคแทรกซ้อน - รักษานาน 6-8 เดือน ถ้ากินยาครบถ้วนทุกขนาด/ขนาน ตรงเวลา เพียง 6 เดือน - ถ้ามีอาการผิดปกติหลังจากการทานยาให้บอกเจ้าหน้าที่
กินยาอย่างน้อย 6 เดือน TB Photo Voice
ยารักษาวัณโรค 1. Isoniazid = H 2. Rifampicin = R 3. Pyrazinamide = Z 4. Ethambutol = E 5. Streptomycin = S
ความสำคัญของการกินยาวัณโรคความสำคัญของการกินยาวัณโรค • จุดประสงค์หลักในการรักษาวัณโรค • กำจัดเชื้อวัณโรคอย่างรวดเร็ว • ลดการเกิดการดื้อยา • ป้องกันการกลับเป็นซ้ำของโรค • หลักในการรักษาวัณโรคให้ได้ผล • กินยาวัณโรคอย่างน้อย 6-8 เดือน • ต้องมีพี่เลี้ยงในการดูแลกำกับการกินยาทุกวัน “คุณหายเราปลอดภัย”
สาเหตุของการกินยาไม่ต่อเนื่องสาเหตุของการกินยาไม่ต่อเนื่อง จำนวนเม็ดยาที่ต้องกินมีจำนวนมาก มีอาการแพ้ยาซึ่งเกิดบ่อยโดยเฉพาะ 2 เดือนแรก ระยะเวลาในการรักษานาน ผู้ป่วยต้องกินยาอย่างน้อย 6-8 เดือน เมื่อผู้ป่วยกินยาประมาณ 2 เดือน ผู้ป่วยจะรู้สึกดีขึ้นมากจนคิดว่าตัวเองหายแล้ว และเลิกกินยาเอง ทำให้เกิดการเสี่ยงต่อเชื้อดื้อยาวัณโรคได้ วัณโรครักษาด้วยยาได้ แต่การให้กำลังใจไม่ทอดทิ้ง สำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด
เกิดอะไรขึ้นเมื่อกินยาไม่สม่ำเสมอเกิดอะไรขึ้นเมื่อกินยาไม่สม่ำเสมอ มีระยะเวลาในการแพร่เชื้อให้คนอื่น ๆ ในชุมชนได้นานขึ้น มีอาการรุนแรงขึ้น และอาจตายจากการป่วยเรื้อรังได้ เชื้อวัณโรคจะกลายเป็นชนิดดื้อยา ทำให้ยากต่อการรักษาและควบคุมวัณโรค
ทำอย่างไรให้กินยาต่อเนื่องทำอย่างไรให้กินยาต่อเนื่อง ใช้หลักการปฏิบัติตัว 3 ต. ต่อต้านวัณโรค ต. ที่หนึ่ง…...ต้อง กินยาต่อหน้าต. ที่สอง…...ต้อง รักษาต่อเนื่องต. ที่สาม…...ติ๊ก บัตรหลังกินยา
หลักการให้ยาวัณโรค • หยิบยาให้กิน • ดูเขากลืนยา • เสร็จแล้วบันทึก
ความสำคัญของการบันทึกการกินยาความสำคัญของการบันทึกการกินยา • สามารถตรวจสอบการกินยา ซึ่งจะทำให้มั่นใจได้ว่าได้รับยาถูกต้อง • รู้ผลข้างเคียงที่เกิดจากการกินยา • ในกรณีที่พี่เลี้ยงมีการเปลี่ยนเวร พี่เลี้ยงที่มารับเวรต่อสามารถทราบข้อมูลที่ได้มีการบันทึกไว้ก่อนหน้านี้ได้อย่างต่อเนื่อง
มารู้จักกับยาวัณโรคกันเถอะ 10-12 เม็ดครั้งเดียว
อาการที่สามารถสังเกตได้ด้วยตาอาการที่สามารถสังเกตได้ด้วยตา อาการที่ต้องซักถามจากตัวผู้ป่วย หรือคนรอบข้าง อาการอะไรบ้างที่พบได้ขณะกินยาที่ต้องแจ้งพยาบาล • ปัสสาวะสีส้มแดง • ตัวเหลือง ตาเหลือง • ผื่นคันเล็กน้อย หรือมีจ้ำเลือด • คลื่นไส้ อาเจียนมาก • ช็อก • ปวดข้อ • ชาตามปลายมือปลายเท้า • ปวดศีรษะ อาการคล้ายไข้หวัด • เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย • ปวดท้อง
เมื่อเกิดอาการผิดปกติจากยาแล้วต้องแจ้งพยาบาลเพื่ออะไร?เมื่อเกิดอาการผิดปกติจากยาแล้วต้องแจ้งพยาบาลเพื่ออะไร? • อาการไม่รุนแรง • พยาบาลพิจารณาให้ยารักษาตามอาการ เช่น คลื่นไส้มาก ให้ยาแก้คลื่นไส้ เป็นต้น • อาการรุนแรง • พยาบาลพิจารณาพาผู้ป่วยไปพบแพทย์ทันที
การเก็บรักษายาวัณโรค • ไม่แกะยาจากแผงยา • ไม่เก็บยาในที่ชื้น ร้อนหรือแสงแดดจัด
อาการข้างเคียงของยารักษาวัณโรค มักพบในช่วง 2 เดือนแรกของการกินยา อาการที่ไม่ต้องหยุดยา แต่ต้องพบแพทย์ หรือ พยาบาล • เบื่ออาหาร (ทุกตัว) • คลื่นไส้ (H R Z) • ปัสสาวะสีส้ม (R) • ปวดข้อ ปวดเข่า (Z) • ผื่นคันไม่รุนแรง (H) (พบประมาณ 20-30%) อาการที่ต้องหยุดยา และ พบแพทย์ • ผื่นแพ้ ผิวหนังลอก (SEHR) • หูอื้อ ตามัว มึนงง อาเจียน (S) • ตัวเหลือง ตาเหลือง (RZH) (พบประมาณ 15-20%)
ควรปฏิบัติตัวอย่างไรขณะ....ป่วยและรักษาควรปฏิบัติตัวอย่างไรขณะ....ป่วยและรักษา • ใช้ผ้าปิดปากและจมูก เวลาไอ จาม • กินยาตามแพทย์สั่ง ต่อเนื่อง สม่ำเสมอและมาตามนัด • กินอาหารได้ทุกชนิดที่มีประโยชน์และพักผ่อนให้เพียงพอ
งดเหล้า บุหรี่ สิ่งเสพติด • ควรตรวจผู้สัมผัสร่วมบ้าน โดยเฉพาะเด็ก • บ้วนเสมหะลงภาชนะ เทลงในส้วม ฝังดิน หรือนำไปเผา • จัดที่พักให้อากาศถ่ายเทสะดวก แสงแดดส่องถึง
การป้องกันการแพร่เชื้อการป้องกันการแพร่เชื้อ - เมื่อกินยาไปแล้ว 2 อาทิตย์ เชื้อลดจำนวนลงมากสามารถลดการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้ - การแยกของใช้ นอนร่วมกัน 2 สัปดาห์ - บ้วนเสมหะใส่ภาชนะที่มีน้ำยากำจัด - ไอจามทุกครั้งต้องใช้ผ้าหรือกระดาษปิดปาก ปิดจมูก หรือใช้ผ้าคล้องคอ - อย่าถ่มน้ำลายลงพื้นทั่วๆไป - สังเกตบุคคลในครอบครัวถ้าไอเกิน 2 สัปดาห์ให้รีบไป ตรวจวินิจฉัย