1 / 44

ความ ต้องการ ถือเงิน Money Demand

ความ ต้องการ ถือเงิน Money Demand. รศ. ดร. สกนธ์ วรัญญูวัฒนา. ความต้องการถือเงิน (Money Demand). บทนี้เป็นการทบทวนแนวคิดเกี่ยวกับความต้องการถือเงิน ที่แตกต่างกันของแต่ละสำนักคิดทางเศรษฐศาสตร์ ไม่ว่า Classical, Keynesian, Monetarist ฯลฯ

loring
Download Presentation

ความ ต้องการ ถือเงิน Money Demand

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. ความต้องการถือเงิน Money Demand รศ. ดร. สกนธ์ วรัญญูวัฒนา

  2. ความต้องการถือเงิน (Money Demand) บทนี้เป็นการทบทวนแนวคิดเกี่ยวกับความต้องการถือเงิน ที่แตกต่างกันของแต่ละสำนักคิดทางเศรษฐศาสตร์ ไม่ว่า Classical, Keynesian, Monetarist ฯลฯ โดยเป็นการนำเสนอทฤษฎีความต้องการถือเงินอย่างง่ายเท่านั้น

  3. อุปสงค์ของการถือเงิน ทฤษฎีความต้องการถือเงินของคลาสิค Classical Theory of Money Demand ภายใต้ทฤษฎีปริมาณเงิน Quantity Theory of Money: ที่เน้นการถือเงินเพื่อการแลกเปลี่ยน จากเดิม MV = PY ที่นำไปสู่ Cambridge approach ที่ว่าMd = kPY สุดท้าย (M/P)d = kY, โดยที่kคือค่าคงที่ที่ใช้วัดขนาดของปริมาณเงินที่ประชาชนต้องการถือเงินสำหรับรายได้ทุกๆ บาทที่มีอยู่ โดยค่า k จะมีเสถียรภาพในดุลยภาพ และที่สำคัญไม่มีผลจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย

  4. อุปสงค์ของการถือเงิน ทฤษฎีความต้องการถือเงินของเคนส์ Keynesian Theory of Money Demand เป็นการสร้างความคิดเกี่ยวกับความต้องการถือเงินที่ใกล้เคียงความจริงมากขึ้น โดยมีการกำหนดสมการความต้องการถือเงินที่ขึ้นกับอัตราดอกเบี้ย และระดับรายได้ที่ได้รับ: (M/P)d = L(i, Y) เน้นบทบาทของเงินที่เป็นแหล่งสะสมเก็บมูลค่า(store of value) ที่ต่อมาได้ถูกพัฒนาบทบาทของเงินให้มีความสำคัญมากขึ้น

  5. ทฤษฎีความต้องการถือเงินของเคนส์ Keynesian Theory of Money Demand ความต้องการถือเงินของเคนส์ให้ความสำคัญของอัตราดอกเบี้ยกับการถือเงิน เพราหากการถือเงินขึ้นกับรายได้เพียงอย่างเดียวตาม classics แล้ว ขนาดรายได้จะถูกกำหนดจาก ปริมาณเงินเป็นสำคัญ (ตามความเชื่อของ Classics) การเปลี่ยนแปลงของ money stock เป็นผลให้ nominal income เพิ่มขึ้นในสัดส่วนเดียวกันไปด้วย โดยที่ M = Md = kPY และ k จะมีค่าคงที่ทำให้นโยบายการคลังไม่มีผลต่อการกำหนดระดับรายได้

  6. อุปสงค์ของการถือเงิน Portfolio Theories of Money Demand ต่อเนื่องจากความต้องการถือเงินของเคนส์ ทฤษฎีนี้เสนอว่าประชาชนถือเงินเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการถือสินทรัพย์ portfolio of assets หลักเกณฑ์สำคัญคือเงินจะให้ความเสี่ยงและผลตอบแทนที่แตกต่างจากสินทรัพย์อื่นๆโดยที่เงินจะเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนแบบ nominal ขณะที่สินทรัพย์อื่นๆ อาจให้ผลตอบแทนที่เป็นได้ทั้งแท้จริงและไม่แท้จริงหรือ nominal ทำให้มีความลึกซึ้งมากขึ้น เช่น (M/P)d = L(rs, rb, , W)

  7. ทฤษฎีการถือเงินเพื่อการแลกเปลี่ยน Transactions Theories of Money Demand เน้นบทบาทของเงินเพื่อเป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยน (medium of exchange) โดยยอมรับว่าเงินเป็นสินทรัพย์หลัก (dominated asset) และไม่เหมือนสินทรัพย์อื่นๆ ที่ประชาชนต้องการถือเงินเพื่อการซื้อขายแลกเปลี่ยนโดยการอธิบายวิธีการถือเงินแบบแคบ (narrow)ในรูปของเงินสดหรือเช็คเท่านั้น ทฤษฎีการถือเงินเพื่อการแลกเปลี่ยนช่วยอธิบายสมการการถือเงิน โดย สามารถพิจารณาได้จากแบบจำลองของ Baumol-Tobin Model ที่เป็น ทฤษฎีหลักในการอธิบายความต้องการถือเงิน

  8. ทฤษฎีการถือเงินเพื่อการแลกเปลี่ยน Transactions Theories of Money Demand การถือเงินในกรณีนี้เพื่อเป็นการเชื่อมโยงระหว่างกระแสเงินรับกับ กระแสเงินจ่าย (bridge the gap of receipts and expenditures) รายได้เป็นตัวชี้วัดขนาดของการแลกเปลี่ยน ดังนั้น ขนาดของการถือเงินเพื่อ การแลกเปลี่ยนจึงอาจพิจารณาได้จากรายได้ โดยหากมีรายได้เพิ่มขึ้น (ลดลง) การถือเงินจะเพิ่มขึ้น (ลดลง) แต่เนื่องจากการถือเงินได้รับอิทธิพลจากอัตราดอกเบี้ย บุคคลทั่วไปจึง ต้องตัดสินใจขนาดการถือเงินที่เหมาะสมกับอัตราดอกเบี้ยด้วย

  9. ข้อสังเกตุในการศึกษาความต้องการถือเงินข้อสังเกตุในการศึกษาความต้องการถือเงิน จากที่กล่าวมาทั้งหมดจะพบว่าความหมายของการถือเงิน เพื่อแลกเปลี่ยนจะแตกต่างตามสำนักคิดทางเศรษฐศาสตร์ ว่าเป็นเพียงสินทรัพย์เพื่อสะสมมูลค่า (store of Value) เพื่อใช้ใน การแลกเปลี่ยน (M1) หรือเพื่อวัตถุประสงค์อื่นๆ คือสะสมความมั่งคั่ง (store of wealth) ซึ่งทำให้ความหมายของการถือเงินจะกว้างขึ้น เป็นM2, M3 ต้องอย่าลืมว่าการถือเงินนั้นไม่ได้มีเพียงครัวเรือนเท่านั้น แต่ยังมีภาครัฐ และภาคธุรกิจที่จะมีพฤติกรรมที่แตกต่างกันออกไป ในวัตถุประสงค์ของการถือเงิน

  10. Inventory-Theoretic Approach to Money Demand การถือเงินเพื่อการแลกเปลี่ยนถูกคิดเสมือนเป็น inventory ของเงิน ที่จะใช้เพื่อการแลกเปลี่ยนโดยบุคคลทั่วไปหรือธุรกิจ ทฤษฎีนี้พัฒนา โดย William Baumolและ James Tobin สมมุติว่าบุคคลมีรายได้ (Y) เป็นเงินสดในเวลาที่ t = 0 หรือ ณ จุดเริ่มต้น เช่นมีรายได้เท่ากับ 1,200 บาท หากสมมุติว่าบุคคลนี้มีใช้จ่ายแบบมีแบบแผนที่ชัดเจนและไม่เปลี่ยนแปลง ตลอดระยะเวลาที่กำหนด และเมื่อสิ้นสุดระยะเวลา t = 1 จะไม่มีเงินสด ที่อยู่ในมือเหลือ

  11. จากที่ต้นเวลามีเงินสดในมือ = Y เมื่อสิ้นสุดเวลามีเวินสดเหลือในมือ = 0 ดังนั้น เฉลี่ยมีเงินสดในมือตลอดระยะเวลา = Y/2 ถ้ามีเงินรายได้ 1200 บาท เงินสดที่ถือโดยเฉลี่ยคือ 600 บาท (1200/2) ซึ่งเท่ากับเงินที่มีอยู่ ณ จุดกลาง ของระยะเวลา ทั้งนี้เป็นตามข้อสมมุติที่มีแบบแผน ใช้จ่ายที่คงที่ตลอดระยะเวลาที่กำหนด ในรูปนี้แสดงการถือเงินโดยเฉลี่ยกับ ระดับรายได้ที่มี โดยรายได้มากขึ้น ค่าเฉลี่ยการถือเงินจะเพิ่มขึ้นด้วย M Y Y/2 1 เวลา t 0 1/2

  12. Inventory-Theoretic Approach to Money Demand การถือเงินตามแนวคิดนี้ยังเสนอว่าขนาดของการถือเงินยังขึ้นกับต้นทุน ในการถือเงิน ซึ่งได้แก่ อัตราดอกเบี้ยที่ไม่ได้รับ (foregone interest) เพราะเลือกถือเงินสดแทน รวมทั้งต้นทุนที่ใช้ในการแลกเปลี่ยน ระหว่างเงินและพันธบัตร ที่เรียกว่าค่านายหน้า (brokerage fees) เมื่อมีการนำทางเลือกในการถือพันธบัตรเข้ามาเกี่ยวข้อง บุคคลต้อง ตัดสินใจในการเลือกถือเงินหรือพันธบัตร ซึ่งการถือเงินหรือ พันธบัตรจะสามารถแลกเปลี่ยนกันได้ หากเลือกลงทุนครึ่งหนึ่งของรายได้ที่ได้ตอนต้นระยะเวลาในพันธบัตร แบบแผนการถือเงินจะเปลี่ยนไป

  13. M Y ณ ตอนต้นเวลามีเงินสดในมือเพียงครึ่งเดียว = Y/2 เมื่อถึงจุดกลางต้องขายพันธบัตรทั้งหมด เพื่อได้เงินสดมีใช้จ่าย ทำให้เงินสดเพิ่มเป็น Y/2 อีกครั้ง ค่าเฉลี่ยการถือเงินสดในขณะนี้คือ (Y/2) / 2 = Y/4 Y/2 1 เวลา t 0 1/2 13

  14. ดังนั้น กำไร (ผลตอบแทนจากการถือเงินสด) สามารถคำนวณได้จาก Pr (n=2) = r x (Y/4) - 2b โดย r = อัตราดอกเบี้ยที่ได้รับ b =brokerage fees n = จำนวนครั้งในการแลกเปลี่ยนระหว่างเงินสดกับพันธบัตร

  15. M Y ถ้าเลือกให้มีการแลกเปลี่ยน 3 ครั้ง Pr (n =3) = r x Y/(2x3) -3b Y/3 1 เวลา t 0 1/3 2/3 15

  16. ต้นทุนการถือเงิน: อัตราดอกเบี้ยที่เสียไป forgone interest, ต้นทุนในการแลกเปลี่ยน และต้นทุนรวมจะขึ้นกับจำนวนเที่ยวที่เดินทาง N จะหาค่า N ที่ต่ำสุด (N*) ได้อย่างไร ต้นทุน ต้นทุนรวม = rY/(2N) + bN ต้นทุนการแลกเปลี่ยน (bN) อัตราดอกเบี้ยที่ไม่ได้รับ (rY/(2N)) N* จำนวนครั้งการแลกเปลี่ยน นัยของแบบจำลองBaumol-Tobin model คือการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในต้นทุนค่านายหน้า b (สมมุติว่าคงที่)จะมีผลต่อเปลี่ยนสมการการถือเงิน– นั่นคือจะเปลี่ยนความต้องการถือเงิน ณ ระดับอัตราดอกเบี้ยและระดับรายได้นั้นๆ

  17. ดังนั้น โดยทั่วไปแล้วการถือเงินและพันธบัตรโดยเฉลี่ยสามารถกำหนดได้จากจำนวนครั้งของการแลกเปลี่ยนระหว่างเงินสดและพันธบัตรได้ตามสูตรต่อไปนี้ • โดย n = จำนวนครั้งการแลกเปลี่ยน • M = จำนวนเงินที่ถือโดยเฉลี่ย (average money holdings) • Y = ขนาดรายได้

  18. การถือพันธบัตรโดยเฉลี่ย (B) • โดยที่ M + B = Y/2

  19. รูปสมการทั่วไปของผลตอบแทนสุทธิ (net profits) คือ ค่านายหน้า อัตราดอกเบี้ย ค่าเฉลี่ยการถือพันธบัตร • โดยที่ Pr = กำไรที่ได้รับจากการถือพันธบัตร • r = อัตราดอกเบี้ย • b = ค่านายหน้าในการแลกเปลี่ยน • นั่นคือเทอมแรกของสมการแสดง ผลตอบแทนที่ได้รับทั้งหมด • เทอมที่สองคือต้นทุนที่ต้องใช้ในการแลกเปลี่ยน

  20. ขนาดของการแลกเปลี่ยนที่เหมาะสมขนาดของการแลกเปลี่ยนที่เหมาะสม • จำนวนครั้งของการแปลเปลี่ยนกำหนดจาก MC = MR ที่ได้รับจากการแลกเปลี่ยนระหว่างเงินสดและพันธบัตร • จำนวนครั้งของการแลกเปลี่ยน n ช่วยกำหนดสัดส่วนการถือเงินสดและพันธบัตร ณ ระดับรายได้ที่มีอยู่ การเปลี่ยนจำนวนครั้งการแลกเปลี่ยนขึ้นกับปัจจัยอัตราดอกเบี้ย และค่านายหน้าของการแลกเปลี่ยน • นอกจากนี้ขนาดรายได้ที่มีความสัมพันธ์ทางบวก คือ เมื่อมีรายได้เพิ่มขึ้น การขึ้นเงินสดจะมีเพิ่มมากขึ้นด้วย (ณ ค่า n ที่คงที่) แต่ค่า Y ที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้ n เปลี่ยนแปลงไปด้วย เพราะ MR, MC ได้รับผลกระทบไปด้วย

  21. ขนาดของการแลกเปลี่ยนที่เหมาะสมขนาดของการแลกเปลี่ยนที่เหมาะสม (MC, MR) MC (=b) MR n* # of bond market transactions

  22. ผลของการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยผลของการเพิ่มอัตราดอกเบี้ย ทฤษฎี inventory theoretic approach เสนอว่า ความต้องการถือเงินและอัตราดอกเบี้ยจะมี ความสัมพันธ์ในเชิงลบ (ตรงข้ามกัน) (MC, MR) MC (=b0) MR(r1) MR(r0) n0* n1* # of bond market transactions

  23. ผลของการเพิ่มค่านายหน้าผลของการเพิ่มค่านายหน้า ทฤษฎี inventory theoretic approach เสนอว่า ความต้องการถือเงินและต้นทุนการแลกเปลี่ยน (ค่านายหน้า) จะมีความสัมพันธ์ในเชิงบวก (MC, MR) MC (=b1) MC (=b0) MR n0* n1* # of bond market transactions

  24. Y n การถือเงินภายใต้แบบจำลองการถือเงินเพื่อการแลกเปลี่ยน (Transaction model) m = M/P Y 2n time t3 T t1 t2 t4 t5

  25. n-1 * Y n การถือพันธบัตรภายใต้แบบจำลองการถือเงินเพื่อการแลกเปลี่ยน (Transaction model) bonds time T t1 t2 t3 t4 t5

  26. ข้อสรุปการถือเงินภายใต้ Inventory Theoretic Approach • Md = L (Y, r, b) • โดยที่ สัมพันธ์ทาง บวก กับระดับ รายได้ Y • สัมพันธ์ทาง บวก กับค่านายหน้า b • สัมพันธ์ทางลบ กับอัตราดอกเบี้ย r

  27. การโต้แย้งความต้องการถือเงินของเคนส์การโต้แย้งความต้องการถือเงินของเคนส์ • ความต้องการถือเงินที่ต้องเลือกระหว่างเงินสดและพันธบัตรที่ถูกกำหนดจากอัตราดอกเบี้ย โดยจะถือพันธบัตรทั้งหมด หากอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า “critical rate” r เพราะว่า r = Y/Pbทำให้ Pb= Y/r critical rate = rc M P W

  28. ผลตอบแทนการถือพันธบัตรมาจากอัตราดอกเบี้ย + capital gain จากราคาพันธบัตรเปลี่ยนแปลง นั่นคือ การคาดการณ์ผลตอนแทนทั้งหมด = r + g; โดย g = (Y/re –Y/r) = r– 1 Y/r ดังนั้น yield จากการถือพันธบัตร เท่ากับ r + r/re -1 ณ critical rate rc re

  29. r critical rate = rc M P W จากรูปสามารถเห็นได้ว่า หากอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า critical rate จะถือพันธบัตรทั้งหมดเพราะ capital gain ที่คาดว่าราคาพันธบัตรจะเพิ่มสูงขึ้น (ดอกเบี้ยจะลดลง) จะ outweighed ผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ย ในทางตรงข้ามหากดอกเบี้ยต่ำกว่า critical rate จะถือเงินสดทั้งหมดไม่ถือ พันธบัตร เพราะคาดการณ์ว่าราคาพันธบัตรจะลดลง capital loss

  30. การโต้แย้งความต้องการถือเงินของเคนส์การโต้แย้งความต้องการถือเงินของเคนส์ • ผลคือทฤษฎีการถือเงินของเคนส์ไม่อาจอธิบายทำไมบุคคลจึงถือเงินสดและพันธบัตรพร้อมกันเพื่อเป็นที่สะสมมูลค่า Store of value ได้ จึงนำไปสู่การสร้างคำอธิบายตาม Portfolio diversification

  31. การโต้แย้งความต้องการถือเงินของเคนส์การโต้แย้งความต้องการถือเงินของเคนส์ • การถือเงินเป็นสินทรัพย์อย่างหนึ่งนั้น เมื่ออัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับที่ต่ำ และคาดการณ์การผันแปรตามการปรับตัวของอัตราดอกเบี้ยที่เข้าสู่ระดับ “ปกติ”* แต่การปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยตามช่วงเวลาต่อมาทำให้ไม่สามารถอธิบายพฤติกรรมการถือเงินของบุคคลได้ชัดเจน ทำให้มีการขยายการอธิบายตาม portfolio diversification ที่ถูกพัฒนาโดย James Tobin *ความหมายของ Keynes คือจะมีอัตราดอกเบี้ยที่คงที่หรือผันผวนการปรับตัวที่ช้าๆ ของดอกเบี้ยรอบๆ อัตราที่ “ปกติ” ซึ่งเป็นจริงในช่วงเวลาที่ Keynes พัฒนาความคิดนี้ขึ้นมา

  32. การโต้แย้งความต้องการถือเงินของเคนส์การโต้แย้งความต้องการถือเงินของเคนส์ • ทำให้ต้องมีการปรับปรุงแนวความคิดเรื่องอัตราดอกเบี้ยของ Keynes ใหม่ • นั่นคือการยอมรับว่าอัตราดอกเบี้ยจะสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ในช่วงเวลา (overtime) • การปรับปรุงความคิดคือการนำความเสี่ยงมาช่วยในการอธิบายพฤติกรรมการถือเงินของบุคคลที่พัฒนาโดย Tobin

  33. ความต้องการถือเงินกับความเสี่ยงความต้องการถือเงินกับความเสี่ยง • เป็นแนวคิดของ Tobin ที่พยายามอธิบายการถือเงินโดยไม่มี normal rate of interest ที่จะต้องปรับเข้าหา • ข้อสมมุติคือบุคคลเชื่อว่า capital gain และ capital lossมีโอกาสเกิดขึ้นเท่ากัน นั่นคือ expected capital gain มีค่าเท่ากับ ศูนย์ • ดังนั้นการคาดการณ์ (expected) ผลตอบแทนการถือพันธบัตรที่ดีที่สุดคือผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยเท่านั้น แต่ความจริงอาจรวมผลจาก capital gain capital loss • ทุกๆ คนต้องเผชิญความเสี่ยงของ capital gain หรือ loss เพราะดอกเบี้ยไม่ได้ถูกกำหนดให้คงที่ ผลตอบแทนแท้จริงจึงไม่แน่นอน • การถือเงินสดจะไม่มีความเสี่ยง แต่ ผลตอบแทน (nominal return) เป็นศูนย์ ซึ่งน้อยกว่าพันธบัตร และไม่มี capital gain หรือ loss แต่ทุกๆ คนต้องถือเงินสดไว้ระดับหนึ่งเสมอ เพื่อป็นการลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

  34. ความต้องการถือเงินกับความเสี่ยงความต้องการถือเงินกับความเสี่ยง • การคาดการณ์ผลตอบแทนโดยรวมของการเลือกถือสินทรัพย์ (portfolio) จะสูงถ้าถือพันธบัตรทั้งหมด • แต่สมมุติว่าทุกๆ คนเป็นผู้ที่ไม่ชอบความเสี่ยง (risk averter) ที่ยอมเสียผลตอบแทนสูง แต่ได้รับความมั่นใจที่ความเสี่ยงลดน้อยลง • ความต้องการถือเงินจึงเป็นการถือสินทรัพย์เพื่อเป็นการลดความเสี่ยง (risk aversion asset)

  35. ^ R T T T2 T1 U3 แสดง utility ที่เพิ่มขึ้น และcurve ที่ชันขึ้นเพราะ risk aversion ที่เพิ่มขึ้น แสดงการเป็น Risk averter) จากการโค้งของcurve U2 U1 C H E R* expected return (R) ขนาดความเสี่ยงของการถือสินทรัพย์ต่างๆ ในที่นี้คือพันธบัตร Slope = R/ 0 Risk * ^ Bonds (B) B* M* B Wh

  36. ^ R T T2 T1 U3 U2 ผลตอบแทนในที่นี้มาจาก อัตราดอกเบี้ยที่ขึ้นกับจำนวน สัดส่วนพันธบัตรที่ถืออยู่ในมือ ขณะเดียวกันการถือพันธบัตรมากขึ้นจะได้รับความเสี่ยงมากขึ้นด้วย โดยมาจากความไม่แน่นอนของการเคลื่อนไหวของอัตราดอกเบี้ยในอนาคต และขนาดการถือพันธบัตร ถ้าถือเงินสดทั้งหมด จะอยู่ที่ 0 ไม่ได้ผลตอบแทนใดๆ ความเสี่ยงเป็นศูนย์เช่นเดียวกัน U1 C H E R* expected return (R) 0 Risk Bonds (B) B* M* B Wh

  37. ^ R T T2 T1 แต่หากเพิ่มการถือพันธบัตรมากขึ้น การคาดการณ์ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น (R) และมีความเสี่ยงมากขึ้นตามเส้นแกนนอน หากถือพันธบัตรทั้งหมดจะอยู่ที่ Whโดย ผลตอบแทนที่ได้รับคือ R และมีความเสี่ยง สูงสุด U3 U2 U1 C H E expected return (R) R* ^ 0 Risk ในรูปส่วนล่างแสดงสัดส่วนการเลือกถือเงินสดและพันธบัตร หากเลือกถือพันธบัตรที่ B* ขนาดการถือเงินสดคือระยะห่าง M* และมีความเสี่ยงลดน้อยลง Bonds (B) B* M* B Wh

  38. ความต้องการถือเงินกับความเสี่ยงความต้องการถือเงินกับความเสี่ยง การหาขนาดการถือสินทรัพย์ทั้งสองที่เหมาะสมนั้น ต้องพิจารณาความพอใจ หรือ preferences ของบุคคลถ้าสมมุติว่าเป็น risk averter ที่ต้องการทั้งผลตอบ แทนที่สูงและหลีกเลี่ยงความเสี่ยง ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นต้องถูกชดเชยด้วยการคาดการณ์ผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้น (high risk - high expected return) นั่นคือ U = U(R, ) โดย R ที่เพิ่มขึ้นทำให้ U เพิ่มขึ้น แต่ ที่เพิ่มทำให้ U ลดลง T T

  39. ^ R T T2 T1 การเพิ่ม (ลด) U เกิดจากการเพิ่ม (ลด) ผลตอบแทน และการลด (เพิ่ม) ความเสี่ยง U3 U2 U1 C H E expected return (R) R* ^ * 0 Risk การเคลื่อนไปสู่จุด H ทำให้ ผลตอบแทนที่ได้รับไม่ชดเชย ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น (อาจพิจารณาได้จาก slope ของเส้น OC) Bonds (B) B* M* B Wh

  40. จากรูปเส้น OC แสดงการเลือกระหว่างความเสี่ยงที่ได้รับกับการคาดการณ์ ผลตอบแทนที่จะได้รับ กรณีนี้ที่ Tobin เรียกความต้องการถือเงินนี้ว่า เป็นพฤติกรรมต่อความเสี่ยง (behavior toward risk) เพราะเป็นความพยายาม ลดความเสี่ยงถ้าถือพันธบัตรทั้งหมด (จุด H ซึ่งให้ความพอใจที่ต่ำกว่าที่ E) ผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นไม่สามารถชดเชยความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น เมื่อเคลื่อนเกินจุด E ซึ่งพิจารณาได้จาก slope ของเส้น OC ที่หากมีความชันมากขึ้นหมายถึงการที่ไม่ อยากรับความเสี่ยงมากขึ้น

  41. Tobin ได้ให้นัยว่าการถือเงินสดเป็นสินทรัพย์นั้นจะขึ้นกับอัตราดอกเบี้ยเมื่อมีอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นทำให้ความสามารถการยอมรับความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น ดังเห็นได้จาก slope ของเส้น OC ชันมากขึ้น การถือเงินลดลงจาก M0 สู่ M2เป็นลำดับ ซึ่งภายใต้แนวคิดนี้จะสอดคล้องกับ Keynesian ที่การถือเงินจะมีความสัมพันธ์ตรงข้ามกับอัตราดอกเบี้ย

  42. U3 T C (r2) U2 G R2 U1 C (r1) F R1 C (r0) expected return (R) E R0 0 Risk ผลตอบแทนที่เพิ่มเหมือน การชดเชยความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น Bonds (B) B0 B1 M0 B2 M1 M2 B Wh

  43. นวัตกรรมทางการเงินและสินทรัพย์ใกล้เงินนวัตกรรมทางการเงินและสินทรัพย์ใกล้เงิน สินทรัพย์ใกล้เงินประกอบด้วยสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องคล้ายเงินสด เช่น การใช้เช็คที่สามารถใช้แทนเงินสด หรือบัตรเครดิต เป็นต้น สินทรัพย์ใกล้เงินทำให้เกิดความไม่มีเสถียรภาพของความต้องการถือเงิน และอาจทำให้มีผลต่อ AD เพราะความต้องการถือเงินสดอาจลดลง เนื่องจากการ เปลี่ยนพฤติกรรมการถือเงินสดไปสู่รูปแบบอื่นๆของสินทรัพย์ จึงทำให้อาจต้องมี การเปลี่ยนนิยามของเงิน (money) ให้มีความครอบคลุมและรัดกุมมากกว่าเดิม

  44. การบ้านครั้งที่ 3 จงเปรียบทฤษฎีการถือเงินของ Keynesian และของ Tobin ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร

More Related