80 likes | 182 Views
วิหารลักซอร์ ไอยคุปต์แห่งลุ่มน้ำไนล์. จัดทำโดย. 1 น . ส . กรรณิการ์ ชินภูเขียว เลขที่ 16 2 น . ส . ณัฐสุดา เขตหนองบัว เลขที่ 22 3 น . ส . รัตนาวดี วงค์ประสงค์ เลขที่ 27 4 น . ส . ศศิธร สินพร เลขที่ 28
E N D
วิหารลักซอร์ ไอยคุปต์แห่งลุ่มน้ำไนล์
จัดทำโดย 1 น.ส.กรรณิการ์ ชินภูเขียว เลขที่ 16 2 น.ส. ณัฐสุดา เขตหนองบัว เลขที่ 22 3 น.ส.รัตนาวดี วงค์ประสงค์ เลขที่ 27 4 น.ส.ศศิธร สินพร เลขที่ 28 5 น.ส.อินทิรา เขียวโสภา เลขที่ 36 6 น.ส. ใจแก้ว บุญปัญญา เลขที่ 44 ชั้น ม.5/1 โรงเรียนฝางวิทยายน
วิหารลักซอร์ (luxor temple) วิหารลักซอร์ สร้างโดยฟาโรห์ อเมโนฟิส ที่3 พระองค์ทรงสร้างวิหารแห่งนี้พร้อมกับการบูรณะต่อเติมวิหารคาร์นักไปด้วย หากนับวิหารถึงปัจจุบันจะมีอายุรวม 3,400 ปี วิหารได้รับการปฏิสังขรณ์สานต่อจากฟาโรห์องค์ต่อมาหลายพระองค์ แต่ที่เด่นที่สุดจนวิหารแห่งนี้ดูสมบูรณ์แบบสวยงามนั้นเป็นฝีมือของฟาโรห์รามเสสที่ 2 ที่นี่เปรียบเหมือนบ้านหลังที่สองเพื่อการพักผ่อนของเทพอะมอนราและครอบครัวคือเทวีมัตและเทพคอนส์หรือคอนชู
วิหารแห่งนี้ยังถูกจัดให้เป็นสถานที่เพื่อทำพิธีบูชาเทพเจ้าในช่วงเทศกาลโอเป็ต (Opet Festival ) โดยเฉพาะด้านหน้าวิหารถูกประดับด้วยสฟิงซ์ ( Sphinx ) หน้าคนสองข้างทาง เรียกว่า Court of Nectanebo I ซึ่งก็คือทางเดินที่อยู่ระหว่างเสาโอเบลิสก์ ( Obelisk ) กับ ทางเดินสฟิงซ์นั่นเอง โดยสฟิงซ์เหล่านี้ถูกสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ลำดับที่ 30 โดยฟาโรห์Nectanebo I แต่สร้างถนนตั้งแต่สมัยราชอาณาจักรใหม่ (New Kingdom) วิหารลักซอร์ตั้งอยู่ทางใต้ของวิหารคาร์นัค โดยแต่เดิมในอดีตนั้นเส้นทางนี้สามารถเชื่อมต่อถึงวิหารคาร์นัคด้วยถนนแคบ ๆ ระยะทางห่างจากคาร์นัคราว 2.5-3 กิโลเมตรเส้นสีน้ำเงินเป็นทางเดินสฟิงซ์ที่ผ่านวิหารของเทพคอนซูซึ่งจะไปสิ้นสุดที่สระน้ำด้านหน้าวิหาร แต่ว่าทางเดินสฟิงซ์ที่ใช้ในพิธีโอเป็ตนั้นจะเดินตามเส้นสีแดงที่จากวิหารลักซอร์โดยจะไปหักมุมที่ Temple of Mutและตรงเข้าสู่วิหาร Karnakตามแกนเหนือ-ใต้
เสาโอเบสิสก์ ( Obelisk ) ที่ตั้งโดดเด่น 1 ต้นอยู่ทางด้านหน้าของตัววิหาร ดูเหมือนจะเป็นสัญลักษณ์ควบคู่กับวิหารแห่งนี้ ความหมายของเสานี้คือ ชีวิต ความสว่าง และความรุ่งโรจน์ ปกติแล้วจะนิยมวางเสานี้ไว้เป็นคู่ เสาโอเบลิกส์คาดว่าเดิมมาจากความเชื่อเรื่องการกำเนิดของโลกแบบหนึ่งของอียิปต์ที่ว่าเดิมโลกเต็มไปด้วยความวุ่นวายต่อมาก็มีเนินดินกำเนิดขึ้นจากความวุ่นวายนั้น ชาวอียิปต์เรียกมันว่า "เบนเบน" เสาโอเบลิกส์ปรากฏครั้งแรกในรูปของวิหารสุริยะ
ประตูทางเข้าสู่วิหารมีรูปสลักลอยตัวของฟาโรห์รามเสสที่ 2 ประทับนั่งทั้งสองข้าง ส่วนด้านชิดกำแพงวิหารด้านหน้าเป็นรูปสลักประทับท่ายืนตั้งอยู่หักล้มไปแล้ว 3 รูป เหลือยืนอยู่เพียงรูปเดียว หน้ากำแพงถูกแกะสลักร่องลึก ด้านซ้ายมือ คือส่วนหัวของรูปฟาโรห์รามเสสที่ 2 วางอยู่กับพื้น กำแพงด้านหน้าสูง 24 เมตรขนาดเล็กกว่าวิหารคาร์นัค ด้านหลังกำแพงเป็นห้อง Great Court ของฟาโรห์รามเสสที่ 2 มีห้องบูชาเทพอะมอนราและครอบครัวทางด้านขวา บริเวณนี้ถูกประดับด้วยเสาคู่เรียงรายรอบ ทรงมัดดอกบัวหัวเสาเป็นทรงบัวตูม ประตูทางเข้าวิหาร เสาคู่ทรงดอกบัวตูม
เดิมทีบริเวณนี้ถูกทิ้งร้างและมีดินทรายทับถมมานานหลายศตวรรษ ผู้คนไม่ได้ให้ความสำคัญ จึงมีชาวมุสลิมเข้ามาอยู่อาศัยหุงหาอาหารก่อไฟในห้องหับของวิหาร ก่อให้เกิดเขม่าดำบนเพดานของวิหาร ต่อมาได้มีการสร้างมัสยิดทับอยู่ด้านบนด้วยความไม่รู้ว่าข้างล่างคือเขตวิหาร จนกระทั้งในปี ค.ศ. 1885 จึงได้มีการเคลื่อนย้ายคนออกไป แต่มัสยิดนั้นย้ายไม่ได้จนถึงถึงปัจจุบันนี้
…จบการนำเสนอ… Thank you