1.32k likes | 1.46k Views
กลุ่มงานที่ปรึกษา กองคดีปกครองและคดีแพ่ง สำนักกฎหมายและคดี. สวัสดีท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน 1. พ.ต.ท.เอก ขันติชนะบวรรอง ผกก.กลุ่มงานที่ปรึกษา คพ. 2. พ.ต.ต.หญิง มุทิตา สถานนท์ สว.กลุ่มงานที่ปรึกษา คพ. สำนักกฎหมายและคดี. ฝ่ายอำนวยการ. กองกฎหมาย. สถาบันส่งเสริมงานสอบสวน. กองคดีอาญา.
E N D
กลุ่มงานที่ปรึกษา กองคดีปกครองและคดีแพ่ง สำนักกฎหมายและคดี
สวัสดีท่านผู้มีเกียรติทุกท่านสวัสดีท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน 1. พ.ต.ท.เอก ขันติชนะบวรรอง ผกก.กลุ่มงานที่ปรึกษา คพ. 2. พ.ต.ต.หญิง มุทิตา สถานนท์ สว.กลุ่มงานที่ปรึกษา คพ.
สำนักกฎหมายและคดี ฝ่ายอำนวยการ กองกฎหมาย สถาบันส่งเสริมงานสอบสวน กองคดีอาญา กองคดีปกครองและคดีแพ่ง ส่วนตรวจสอบสำนวนคดีอุทธรณ์และฎีกา
กองคดีปกครองและคดีแพ่งกองคดีปกครองและคดีแพ่ง ฝ่ายอำนวยการ กลุ่มงานคดีแพ่ง กลุ่มงานคดีปกครอง กลุ่มงานที่ปรึกษา
ภาพรวมของ พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 บททั่วไป : ขอบเขตการบังคับใช้ / หลักและข้อยกเว้น หมวด 1 คณะกรรมการวิปฏิบัติ หมวด 2 คำสั่งทางปกครอง ส่วนที่1 เจ้าหน้าที่ ส่วนที่2 คู่กรณี ส่วนที่3 การพิจารณา ส่วนที่4 รูปแบบและผลของคำสั่งทางปกครอง ส่วนที่5 การอุทธรณ์คำสั่งทางปกครอง ส่วนที่6 การเพิกถอน คำสั่งทางปกครอง ส่วนที่7 การขอให้พิจารณาใหม่ ส่วนที่8 การบังคับทางปกครอง หมวด 3 ระยะเวลาและอายุความ หมวด 4 การแจ้ง หมวด 5 คณะกรรมการ บทเฉพาะกาล 11/9/2014 ส.วว./an 6
ภาพรวม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองฯ ลักษณะคดีปกครอง ลักษณะสำคัญของวิธีพิจารณาคดีปกครอง องค์คณะพิจารณาพิพากษาคดีในศาลปกครอง การยื่นคำฟ้อง การจ่ายสำนวนคดี การตรวจคำฟ้อง การแสวงหาข้อเท็จจริง การสรุปสำนวน การจัดทำคำแถลงการณ์ การนั่งพิจารณาคดีและการแถลงการณ์ของตุลาการผู้แถลงคดี การทำคำพิพากษาหรือคำสั่ง การอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่ง วิธีการชั่วคราวก่อนการพิพากษา 7
ภาพรวมของ พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 ม. ๔ ความหมาย (เจ้าหน้าที่ และ หน่วยงานของรัฐ) ม. ๕ การกระทำละเมิดต่อบุคคลภายนอกอันเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ ม. ๖ การกระทำละเมิดต่อบุคคลภายนอกที่ไม่เกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ ม. ๗ หน่วยงาน/เจ้าหน้าที่ มีสิทธิขอให้ศาลเรียกอีกฝ่ายหนึ่งเข้ามาในคดีได้ ม. ๘ สิทธิไล่เบี้ยของหน่วยงาน (จงใจ หรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง) ม. ๙ อายุความใช้สิทธิไล่เบี้ย ม. ๑๐ การกระทำละเมิดต่อหน่วยงานที่เกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ และไม่ได้เกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ ม. ๑๑ ผู้เสียหายเรียกให้หน่วยงานพิจารณาชดใช้ค่าเสียหาย ม. ๑๒ หน่วยงานออกคำสั่งเรียกให้เจ้าหน้าที่ชำระเงินค่าสินไหมฯ ม. ๑๓ ให้ ครม.มีอำนาจออกระเบียบให้เจ้าหน้าที่รับผิด ผ่อนชำระ ม. ๑๔จัดตั้ง “ศาลปกครอง” สิทธิร้องทุกข์ ครท. (ม. 11)ให้ถือเป็นสิทธิฟ้องคดี
พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่พ.ศ. 2539 ระเบียบว่าด้วยความรับผิดชอบ ของข้าราชการในทางแพ่ง พ.ศ.2503
เหตุผลในการตรา พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดฯ • การนำหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้บังคับกับกรณีความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่นั้นเป็นการไม่เหมาะสม เนื่องจากเจ้าหน้าที่ไม่ได้ดำเนินกิจการของหน่วยงานของรัฐเพื่อประโยชน์ของตนเอง ทั้งหลักเกณฑ์ดังกล่าวยังมีผลให้หน่วยงานของรัฐที่ต้องรับผิด ต่อบุคคลภายนอกมีสิทธิฟ้องไล่เบี้ยเอาจากเจ้าหน้าที่ได้เต็มจำนวน ทั้งที่ในบางกรณีการละเมิดเกิดขึ้นโดยความไม่ตั้งใจหรือความผิดพลาดเพียงเล็กน้อย • การนำหลักเรื่องลูกหนี้ร่วมในระบบกฎหมายแพ่ง มาใช้บังคับ ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องร่วมรับผิดในการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่อื่นด้วย ซึ่งมุ่งแต่จะได้เงินครบโดยไม่คำนึงถึงความเป็นธรรมที่จะมีต่อเจ้าหน้าที่แต่ละคนก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมแก่เจ้าหน้าที่ด้วยเป็นการบั่นทอนขวัญและกำลังใจของเจ้าหน้าที่ จนบางครั้งเป็นปัญหาเพราะเจ้าหน้าที่ไม่กล้าตัดสินใจดำเนินการในหน้าที่ราชการของตน
หลักความรับผิดทางละเมิดตาม ป.พ.พ. 1. เจ้าหน้าที่ต้องรับผิดในผลแห่งความเสียหายจากมูลละเมิดที่เกิดขึ้นเสมอไม่ว่าละเมิดนั้นจะเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ หรือมีลักษณะของการกระทำละเมิดมีความร้ายแรงหรือไม่ 2. เจ้าหน้าที่กระทำละเมิดทำให้บุคคลอื่นได้รับความเสียหาย ไม่ว่าการละเมิดนั้นจะเป็นการกระทำในการปฏิบัติหน้าที่หรือในทางการที่จ้างหรือไม่ก็ตาม เจ้าหน้าที่ผู้นั้นจะต้องรับผิดเป็นส่วนตัวในผลแห่งละเมิด
หลักความรับผิดทางละเมิดตาม ป.พ.พ. 3. ผู้เสียหายมีสิทธิฟ้องให้เจ้าหน้าที่รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้โดยตรง และฟ้องหน่วยงานของรัฐให้ร่วมรับผิดชดใช้ ค่าสินไหมทดแทนกับเจ้าหน้าที่ได้ 4. หน่วยงานของรัฐได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหายแล้ว หน่วยงานของรัฐก็มีสิทธิไล่เบี้ยจากเจ้าหน้าที่ผู้ทำละเมิดได้ เต็มจำนวน เจ้าหน้าที่ไม่อาจยกข้ออ้างว่าหน่วยงานมีส่วนบกพร่องด้วยและนำมาหักออกจากความรับผิดของตนได้
หลักความรับผิดทางละเมิดตาม ป.พ.พ. 5. เจ้าหน้าที่หลายคนร่วมกันทำละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่ เจ้าหน้าที่ต้องรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม สรุป เจ้าหน้าที่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัวในผลแห่งละเมิด ทุกกรณี
หลักความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่หลักความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ • เจ้าหน้าที่ต้องรับผิดทางละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่เฉพาะเมื่อเจ้าหน้าที่กระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ อย่างร้ายแรงเท่านั้น • แบ่งแยกความรับผิดของเจ้าหน้าที่แต่ละคนโดย ไม่นำ หลักเรื่องลูกหนี้ร่วมมาใช้บังคับ
คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.358-360/2549 เจตนารมณ์และวัตถุประสงค์ของ พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดมีความมุ่งหมายที่จะไม่ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐต้องรับผิดในผลแห่งละเมิดที่เกิดขึ้นโดยความไม่ตั้งใจหรือความผิดพลาดเล็กน้อยในการปฏิบัติหน้าที่และไม่ต้องการให้นำ หลักเรื่องลูกหนี้ร่วมในระบบกฎหมายแพ่งมาบังคับให้เจ้าหน้าที่ต้องร่วมรับผิดในการกระทำของเจ้าหน้าที่ผู้อื่น ซึ่งมุ่งหมายแต่เพียงจะได้เงินครบโดยไม่คำนึงถึงความเป็นธรรมที่จะมีต่อเจ้าหน้าที่แต่ละคน อันเป็นการก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมแก่เจ้าหน้าที่และบั่นทอนขวัญและกำลังใจในการทำงานของเจ้าหน้าที่จนกลายเป็นปัญหาในการบริหารงานราชการ พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ เป็นกฎหมายที่มุ่งจะไม่ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐต้องรับผิดในผลละเมิดที่มิได้กระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อตามกฎหมายเก่า หากแต่จะต้องรับผิดต่อเมื่อได้กระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เจตนารมณ์ของกฎหมายต้องการที่จะให้รัฐเข้าไปรับผลที่เกิดขึ้นแทนเจ้าหน้าที่ผู้กระทำละเมิด
พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจาก วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป (ประกาศในราชกิจจานุเบกษา 14 พฤศจิกายน 2539) มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน 2539 ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลักเกณฑ์ การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539
ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิด ของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 มี 15 มาตรา ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติ เกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิด ของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 มี 38 ข้อ
7 มาตรา 2 “พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป (ประกาศในราชกิจจานุเบกษา 14 พฤศจิกายน 2539)” 1.หากเหตุละเมิดเกิดขึ้นก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ กฎหมายในส่วนที่ เป็นสารบัญญัติ เช่น ความรับผิดในทางละเมิด สิทธิไล่เบี้ย ความรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม เป็นไปตามหลักเกณฑ์แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเรื่องละเมิดซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ ขณะกระทำความผิด2. หากเหตุละเมิดเกิดขึ้นนับตั้งแต่วันที่ 15 พ.ย.2539 เป็นต้นไป กฎหมายในส่วนที่เป็น สบัญญัติ เช่น ขั้นตอนการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง การพิจารณาของผู้มีอำนาจ สั่งการ การรายงานกระทรวงการคลังเพื่อตรวจสอบ การแจ้งผลการพิจารณา ให้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์แห่ง พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 และระเบียบ นรฯ ว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 เพราะหลักเกณฑ์การปฏิบัติตามระเบียบเดิมถูกยกเลิกไปแล้วความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกาเรื่องเสร็จที่ 680/2540 ,90/2541, 488/2545
เหตุเกิดก่อน (สารบัญญัติ) บังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ -อายุความ เป็นไปตาม ป.พ.พ.มาตรา 448 กฤษฎีกาเรื่อง 90/2541 ,735/2541,639/2543,276/2544 - รับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมขอแบ่งส่วนไม่ได้ กฤษฎีกาเรื่อง 90/2541,845/2542 - รับผิดเสมอโดยไม่ต้องพิจารณาว่ากระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงหรือไม่กฤษฎีกาเรื่อง 811/2553
เหตุเกิดก่อน (สบัญญัติ) บังคับตามความรับผิดทางละเมิด - การขอผ่อนชำระได้ กฤษฎีกาเรื่อง 845/2542 - ออกคำสั่งเรียกให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนกฤษฎีกาเรื่อง 844/2544
มาตรา 4 “เจ้าหน้าที่” หมายความว่า ข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้าง หรือผู้ปฏิบัติงานประเภทอื่น ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตั้งในฐานะเป็นกรรมการหรือฐานะใด - ลูกจ้าง ที่ได้รับการบรรจุแต่งตั้งให้ปฏิบัติงานในหน่วยงานของรัฐที่มีลักษณะเป็นการปฏิบัติงานประจำ และต่อเนื่อง มีการกำหนดอัตราเงินเดือน การเลื่อนขั้นเงินเดือน การลงโทษทางวินัย ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดโดยกฎหมาย กฎ ระเบียบ เป็นเจ้าหน้าที่ - ลูกจ้างที่หน่วยงานของรัฐได้ว่าจ้างให้ปฏิบัติงานเป็นครั้งคราวเฉพาะงานไม่ว่าจะมีสัญญาจ้างเป็นหนังสือหรือไม่ก็ตาม ความสัมพันธ์ของบุคคลดังกล่าวกับหน่วยงานของรัฐที่ว่าจ้าง ต้องบังคับตามกฎหมายแพ่ง
มาตรา 5 หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดต่อผู้เสียหาย ในผลแห่งละเมิดที่เจ้าหน้าที่ของตนได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่ ในกรณีนี้ผู้เสียหายอาจฟ้องหน่วยงานของรัฐดังกล่าวได้โดยตรงแต่จะฟ้องเจ้าหน้าที่ไม่ได้ ถ้าการละเมิดเกิดจากเจ้าหน้าที่ ซึ่งไม่ได้สังกัดหน่วยงานของรัฐแห่งใดให้ถือว่ากระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานของรัฐที่ต้องรับผิดตามวรรคหนึ่ง
เจ้าหน้าที่ได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่ - ฟ้องหน่วยงานของรัฐ - ฟ้องเจ้าหน้าที่ไม่ได้ แต่ศาลอาจรับฟ้องแล้วยกฟ้องทีหลัง - ฟ้องผิดฟ้องใหม่ได้ภายใน 6 เดือน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 75/2550 มาตรา5 วรรคหนึ่ง มีเจตนารมณ์และวัตถุประสงค์ที่จะคุ้มครองเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งปฏิบัติงานในหน้าที่แล้วเกิด ความเสียหายแก่เอกชนให้ไม่ต้อง ถูกดำเนินคดีในชั้นศาล
เจ้าหน้าที่กระทำละเมิดในขณะที่ปฏิบัติหน้าที่เจ้าหน้าที่กระทำละเมิดในขณะที่ปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากการปฏิบัติหน้าที่โดยทั่วไปในลักษณะที่เป็นการกระทำทางกายภาพ หรือเป็นการกระทำละเมิดที่เกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากการออกกฎ คำสั่งทางปกครองหรือคำสั่งอื่น หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5129/2546 จำเลยเป็นครูพลศึกษาได้สั่งให้นักเรียนวิ่งรอบสนาม 3 รอบ ถือว่าเป็นการอบอุ่นร่างกายและเหมาะสม เมื่อนักเรียนวิ่งไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย จำเลยสั่งให้วิ่งต่ออีก 3 รอบ ถือว่าเป็นการลงโทษที่เหมาะสมแล้ว แต่เมื่อนักเรียนยังวิ่งไม่เรียบร้อยอีก จำเลยก็ควรหาวิธีลงโทษอื่น การสั่งให้วิ่งต่ออีก 3 รอบ นักเรียนก็ยังทำไม่เรียบร้อยอีก จำเลยก็สั่งให้วิ่งอีก 3 รอบ ซึ่งในช่วงเที่ยงวันมีแสงแดดร้อนแรง นับว่าเป็นการลงโทษที่ไม่เหมาะสมเพราะอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพของนักเรียนที่มีอายุระหว่าง 11-12 ปี การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำโดยมิชอบและประมาทเลินเล่อการให้วิ่งตามจำนวนรอบที่เพิ่มมากขึ้น ย่อมทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น เมื่อเป็นเวลานานย่อมเป็นอันตรายต่อหัวใจที่ไม่ปกติจนทำให้เด็กชายแดงซึ่งเป็นโรคหัวใจอยู่ก่อนแล้วล้มลงในการวิ่งรอบที่ 11 และถึงแก่ความตายในเวลาต่อมาเพราะระบบหัวใจล้มเหลว จึงเป็นผลโดยตรงจากคำสั่งของจำเลย แม้จำเลยจะไม่ทราบว่าเด็กชายแดงเป็นโรคหัวใจก็ถือได้ว่าจำเลยกระทำละเมิดเป็นเหตุให้เด็กชายแดงถึงแก่ความตาย • รร.รัฐบาล ต้องฟ้องหน่วยงานของรัฐ + ถ้า รร.เอกชน ฟ้องนายจ้าง+ลูกจ้าง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3071/2547 อาจารย์สอนวิชาสุขศึกษาสั่งลงโทษนักเรียน ให้ทำสก๊อตจัมพ์ ๑๐๐ ครั้ง ทั้งที่ทราบว่าป่วยเป็น โรคกล้ามเนื้อหัวใจหนาเหนื่อยง่าย ไม่สนใจดูแล อย่างใกล้ชิด ทั้งเมื่อนักเรียนทำเสร็จแล้วก็ยังออกจากห้องเรียนไปโดยไม่สนใจ เป็นการลงโทษเกินกว่าเหตุ เมื่อนักเรียนหายใจไม่ออกและถึงแก่ความตาย ถือได้ว่าเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย รร.รัฐบาล ต้องฟ้องหน่วยงานของรัฐ + ถ้า รร.เอกชน ฟ้องนายจ้าง+ลูกจ้าง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5205/2550 10 วันเกิดเหตุฝนตกไม่มากและลมพัดไม่แรง การที่ต้นจามจุรีริมทางหลวงล้มทับผู้ตายขณะขับรถจักรยานยนต์ไปตามทางหลวงจนเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายมิใช่ เกิดจากเหตุสุดวิสัย แต่เป็นเพราะความบกพร่องของ กรมทางหลวงจำเลยที่ไม่โค่นหรือปล่อยปละละเลยไม่สั่งเจ้าหน้าที่ของจำเลยไปโค่นต้นจามจุรีที่มีสภาพผุกลวงเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น อันเป็นการกระทำละเมิดของกรมทางหลวงจำเลย กรมทางหลวงจำเลย จึงต้องรับผิดต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.140/2549 10 ผู้ฟ้องคดีที่ 3 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานที่ดินได้จดทะเบียนลงชื่อ ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ซื้อและเป็นผู้จำนองห้องชุดพิพาท ทั้งที่ผู้ฟ้องคดีมิได้เป็นผู้ซื้อและเป็นผู้จำนองห้องชุดดังกล่าว แม้จะฟังได้ว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ไม่ได้มีเจตนากลั่นแกล้ง แต่การที่ผู้ถูกฟ้องคดี ที่ 3 ซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่รับจดทะเบียนมีหน้าที่ดูแลผลประโยชน์ของคู่กรณีที่มาขอจดทะเบียนโดยละเอียดรอบคอบแต่กลับไม่ตรวจสอบบัตรประจำตัวข้าราชการต้นฉบับของ ผู้ฟ้องคดี ถือว่าเป็นการประมาทเลินเล่อ จึงเป็นการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายหรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามกฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ ดังนั้น กรมที่ดิน ในฐานะหน่วยงานของรัฐต้นสังกัดของเจ้าหน้าที่ผู้กระทำละเมิด ต้องรับผิดต่อผู้ฟ้องคดีในผลแห่งละเมิด
คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.70/2552 การขุดลอกขยายความกว้างของลำห้วยพะเนียง พร้อมทั้งก่อสร้างคันดินเป็นถนนเลียบตลอดแนวสองฝั่งลำห้วย ได้มีการลุกล้ำเข้ามาในที่ดินของ ผู้ฟ้องคดี โดยกรมชลไม่ได้มีการเวนคืนที่ดินหรือมีข้อตกลงซื้อขายที่ดิน จึงเป็นการกระทำละเมิดต่อ ผู้ฟ้องคดี กรมชลประทานหน่วยงานของรัฐต้องรับผิดต่อผู้ฟ้องคดี ในผลแห่งละเมิดที่เจ้าหน้าที่ของตนได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่
คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.292/2552 การตรวจค้น จับกุมและขังผู้ฟ้องคดี เป็นการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ที่กำหนดอำนาจไว้เป็นการเฉพาะ การที่ ผู้ฟ้องคดีอ้างว่าได้รับความเสียหายจาก การดำเนินการดังกล่าว ผู้ฟ้องคดีต้อง ฟ้องหน่วยงานของรัฐ จะฟ้องเจ้าหน้าที่ไม่ได้
ป.พ.พ.มาตรา 425 นายจ้างต้องร่วมรับผิดกับลูกจ้างในผลแห่งละเมิดซึ่งลูกจ้างได้กระทำไปในทางการที่จ้าง ป.พ.พ.มาตรา 427 ตัวการต้องร่วมรับผิดกับตัวแทนในผลแห่งละเมิดซึ่งตัวแทนได้กระทำไปในกิจการที่ได้รับมอบหมายนั้น - ตัวแทนโดยชัดแจ้ง แต่งตั้งมอบหมายให้ไปทำกิจการใดกิจการหนึ่ง - ตัวแทนโดยปริยาย ไม่มีการมอบหมาย แต่รู้ ๆ กันอยู่ ทำกันมาแล้วก็ไม่ว่าอะไร - ตัวแทนเชิด ไม่มีการแต่งตั้ง ไม่มีการมอบหมาย แต่มีบุคคลแสดงออกว่าเป็นตัวแทน ของตัวการ แต่ตัวการไม่เคยว่ากล่าวห้ามปราม - ตัวแทนที่ให้สัตยาบัน ตัวการมาให้สัตยาบันภายหลัง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1627/2544 รถแท็กซี่คันเกิดเหตุมีชื่อจำเลยที่ 2 และหมายเลขโทรศัพท์ของจำเลยที่ 2 ปรากฏอยู่ข้างรถ การที่จำเลยที่ 1 นำรถคันดังกล่าวออกมาขับรับผู้โดยสาร ย่อมเป็นการแสดงออกต่อโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้สุจริตว่า จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนเชิดของจำเลยที่ 2เจ้าของรถในการรับจ้างบรรทุกผู้โดยสาร จำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในผลแห่งละเมิดที่เกิดขึ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 427,821
พ.ร.บ.ว่าด้วยข้อสัญญาไม่เป็นธรรม พ.ศ.2540 มาตรา 8“ข้อตกลง ประกาศ หรือคำแจ้งความที่ทำไว้ล่วงหน้า เพื่อยกเว้นหรือจำกัดความรับผิดเพื่อละเมิดหรือผิดสัญญาใน ความเสียหายต่อชีวิต ร่างกายหรืออนามัยของผู้อื่น อันเกิดจากการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อของผู้ตกลงผู้ประกาศ ผู้แจ้งความหรือของบุคคลอื่นซึ่งตกลงผู้ประกาศหรือ ผู้แจ้งความ ต้องรับผิดด้วย จะนำมาอ้างเป็นข้อยกเว้นหรือจำกัดความรับผิดไม่ได้
มาตรา 6 ถ้าการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่มิใช่ การกระทำในการปฏิบัติหน้าที่ เจ้าหน้าที่ต้องรับผิดในการนั้นเป็นการเฉพาะตัว ในกรณีนี้ผู้เสียหายอาจฟ้องเจ้าหน้าที่ได้โดยตรง แต่จะฟ้องหน่วยงานของรัฐไม่ได้
- กระทำการนั้นไปในการดำเนินชีวิตส่วนตัวโดยแท้- กระทำการนั้นไปในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่แต่ การกระทำนั้นไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่
การกระทำละเมิดที่มิใช่จากการปฏิบัติหน้าที่การกระทำละเมิดที่มิใช่จากการปฏิบัติหน้าที่ คือการกระทำละเมิดที่มีสาเหตุมาจากเรื่องส่วนตัว ไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ผู้กระทำละเมิดแต่อย่างใด หรือกระทำการนั้นไปในระหว่างปฏิบัติหน้าที่แต่การกระทำนั้นไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่เจ้าหน้าที่
คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.139/2545 การที่ผู้ถูกฟ้องคดีได้แสดงตนเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐและกระทำการไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยการ รับเงินจากผู้ฟ้องคดีเพื่อช่วยเหลือในการบรรจุเข้า รับราชการ แต่ผู้ถูกฟ้องคดีไม่สามารถดำเนินการตามที่ได้สัญญาไว้ ทั้งไม่คืนเงินที่รับไปให้แก่ผู้ฟ้องคดีการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำโดยส่วนตัว มิใช่การกระทำอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายหรือจากกฎ คำสั่งทางปกครองหรือคำสั่งอื่น จึงไม่มีลักษณะเป็นคดีปกครอง
คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.186/2546 ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นเอกชนได้ยืนฟ้อง นาง ก. (เจ้าหน้าที่) และการสื่อสาร ให้ชดใช้ดอกเบี้ยเงินกู้ที่เจ้าหน้าที่สื่อสารได้กู้ยืมเงินไปแต่ผิดนัดชำระหนี้ มูลเหตุแห่งการฟ้องคดีเกิดจากสัญญากู้ยืมเงินระหว่างเอกชนกับเอกชน จึงเป็นกรณีพิพาททางแพ่ง ไม่ใช่การกระทำทางปกครองหรือการดำเนินการทางปกครองของเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือหน่วยงานต้นสังกัด
มาตรา 7 ในคดีที่ผู้เสียหายฟ้องหน่วยงานของรัฐ ถ้าหน่วยงานของรัฐเห็นว่าเป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่ต้องรับผิดหรือต้องร่วมรับผิด หน่วยงานของรัฐมีสิทธิขอให้ศาลที่พิจารณาคดีนั้น เรียกเจ้าหน้าที่เข้ามาเป็นคู่ความในคดีหรือในคดีที่ผู้เสียหายฟ้องเจ้าหน้าที่ ถ้าเจ้าหน้าที่เห็นว่าเป็นเรื่องที่หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดหรือต้องร่วมรับผิด เจ้าหน้าที่มีสิทธิขอให้ศาล ที่พิจารณาคดีนั้นเรียกหน่วยงานของรัฐเข้ามาเป็นคู่ความในคดี
วรรคสองถ้าศาลพิพากษายกฟ้องเพราะเหตุที่หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ที่ถูกฟ้องมิใช่ผู้ต้องรับผิด ให้ขยายอายุความฟ้องร้องผู้ที่ต้องรับผิดซึ่งมิได้ถูกเรียกเข้ามาในคดีออกไปถึง 6 เดือนนับแต่วันที่ คำพิพากษานั้นถึงที่สุด
มาตรา 8 “ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหายเพื่อการละเมิดของเจ้าหน้าที่ ให้หน่วยงานของรัฐมีสิทธิเรียกให้เจ้าหน้าที่ผู้ทำละเมิดชดใช้ ค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวแก่หน่วยงานของรัฐได้ ถ้าเจ้าหน้าที่ได้กระทำการนั้นไปด้วยความ จงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง สิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนตามวรรคหนึ่งจะมีได้เพียงใด ให้คำนึงถึงระดับความร้ายแรงแห่งการกระทำและความเป็นธรรมในแต่ละกรณีเป็นเกณฑ์โดยมิต้องให้ใช้เต็มจำนวนของความเสียหายก็ได้ ถ้าการละเมิดเกิดจากความรับผิดหรือความบกพร่องของหน่วยงานของรัฐหรือระบบการดำเนินงานส่วนรวม ให้หักส่วนแห่งความรับผิดดังกล่าวออกด้วย ในกรณีที่การละเมิดเกิดจากเจ้าหน้าที่หลายคน มิให้นำหลักเรื่องลูกหนี้ร่วมมาใช้บังคับและเจ้าหน้าที่แต่ละคนต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเฉพาะส่วนของตนเท่านั้น”
จงใจ มีความหมายอย่างไรจงใจทางละเมิดแตกต่างกับเจตนาทางอาญา
จงใจ แตกต่าง เจตนา “เจตนา” ตาม ป.อาญา ม.59 บัญญัติว่า “กระทำโดยเจตนา” ได้แก่การกระทำโดยรู้สำนึก ในการที่กระทำและในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น
การกระทำที่เป็นละเมิดการกระทำที่เป็นละเมิด ป.พ.พ. มาตรา 420 บัญญัติไว้ว่า “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย ให้เขาเสียหายจนถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิด จำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”
ในกรณีที่กระทำโดยสุจริต แต่เข้าใจผิดในข้อเท็จจริง ไม่ถือว่าเป็นการกระทำโดยจงใจ กระทำโดยจงใจ จงใจทำให้เสียหาย เป็นการกระทำโดยรู้สำนึกถึงผลเสียหายที่จะเกิดจากการกระทำของตน ถ้ารู้ว่าการกระทำนั้น จะเกิดผลเสียหายแก่เขาแล้ว ถือว่าเป็นการกระทำโดยจงใจ ส่วนจะเสียหายมากหรือน้อยเพียงใดไม่สำคัญ
จงใจ มีนักนิติศาสตร์ ได้อธิบายความหมายไว้กระทำด้วยความจงใจ หมายความถึง การกระทำโดยประสงค์ต่อผลคือ ความเสียหาย ถ้าไม่ประสงค์ต่อผลคือความเสียหายเช่นนั้นแล้ว แม้จะเล็งเห็นผลก็ไม่ใช่ จงใจกระทำอาจเป็นเพียงประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงอีกส่วนหนึ่งกระทำโดยจงใจ หมายความถึง กระทำโดยรู้สำนึกถึงผลเสียหายที่จะเกิด จากการกระทำของตน ถ้ารู้ว่าการกระทำนั้นจะเกิดจากความเสียหายแก่เขาแล้วก็ถือว่าเป็นการกระทำโดยจงใจ ส่วนผลเสียหายจะเกิดขึ้นมากน้อยเพียงใดไม่สำคัญ จงใจ หมายถึง การกระทำโดยรู้สำนึกถึงผลเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากการกระทำของตน และแม้ว่าผลเสียหายที่เกิดขึ้นจะมากหรือน้อยไปกว่าความคาดคิด ก็ถือว่าเป็นการกระทำโดยจงใจ การกระทำโดยสุจริตแต่ใจผิดในข้อเท็จจริง แสดงว่าเป็นการกระทำโดยไม่รู้ถึงผลเสียหายที่จะเกิดขึ้น จึงไม่ถือว่าเป็นการกระทำให้เสียหายโดยจงใจ
สำหรับการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่นั้นเดิมใช้ หลักเกณฑ์เดียวกับการกระทำละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ คือ ไล่เบี้ยกับเจ้าหน้าที่ได้เต็มจำนวนของความเสียหายต่อมา มีการตราพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิด ไล่เบี้ยเฉพาะเจ้าหน้าที่กระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง---------------------------------------------------------------------- เนื่องจากระบบกฎหมายไม่มีการนิยามความหมายของคำว่าประมาทเลินเล่อ และประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงไว้ จึงต้องศึกษาการอธิบายของนักนิติศาสตร์