1 / 15

ประวัติความเป็นมาของ บัลเล่ต์ ( Ballet)

History of Ballet Music and Performing Arts 56060410 นางสาวศศิธร ทนะภาโท คณะดนตรีและการแสดง. ประวัติความเป็นมาของ บัลเล่ต์ ( Ballet).

linnea
Download Presentation

ประวัติความเป็นมาของ บัลเล่ต์ ( Ballet)

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. History of BalletMusic and Performing Arts56060410 นางสาวศศิธร ทนะภาโท คณะดนตรีและการแสดง

  2. ประวัติความเป็นมาของ บัลเล่ต์ (Ballet) มีจุดกำเนิดครั้งแรก ณ ประเทศ อิตาลี ในยุคสมัยที่เรียกว่า เรเณซอง หรือ ยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ ศิลปะการเต้นบัลเล่ต์ในยุคแรกเริ่ม ถือว่าเป็นกิจกรรมทางสังคม ของราชสำนักอิตาลี ที่ถือกำเนิดขึ้น และมักนิยมจัดการแสดงโดยเหล่าขุนนางชายเป็นส่วนใหญ่

  3. ความแต่งต่างของเครื่องแต่งกายเหล่าขุนนางชายสวมใส่ชุดที่มีความกระชับและง่ายต่อการเคลื่อนไหวของร่างกาย มากกว่าเหล่าขุนนางฝ่ายหญิงที่สวมกระโปรงสุ่มขนาดใหญ่

  4. บัลเล่ต์ได้รับความนิยมแพร่หลายเรื่อยมา ในประเทศฝรั่งเศสจนถึงยุคพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส พระองค์ทรงสนับสนุนศิลปะการเต้นบัลเล่ต์ จนเกิดความรุ่งเรืองสูงสุด มีการเปิดโรงเรียนสอนเต้นบัลเล่ต์ แห่งแรกของโลก โดยมีชื่อว่า Academie Royale De La Dance หรือสถาบันปารีส โอเปร่า ในปัจจุบันนี้เอง

  5. รากฐานของศัพท์ Ballet Ballet มีรากฐานมาจากภาษาอิตาเลียน คือ BALLARE = to dance BALLO = a dance BALLETO = a little dance

  6. Ballet ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันเป็นคำภาษาฝรั่งเศสสืบเนื่องมาจากการพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ ที่เริ่มมีขึ้นในราชสำนักอิตาลี แต่มาเจริญเติบโตในประเทศฝรั่งเศส ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 14 และ 15 ได้เกิดมีการแสดงบันเทิงที่แพร่หลายในราชสำนัก

  7. ตัวอย่างดังนี้1. Interudesเป็นการแสดงชุดสั้นๆ ซึ่งประกอบไปด้วยนักร้องและนักเต้น คั่นระหว่างการเสิร์ฟอาหาร 2. Masquerades เป็นขบวนการแห่ของนักแสดงที่จะหยุดต่อหน้าแขกผู้มีเกียรติ และนักแสดง จะอ่านโคลงกลอนหรือเล่าเรื่อง โดยสวมหน้ากากด้วย 3. Mummers เป็นการแสดงซึ่งนักเต้นจะสวมหน้ากาก

  8. Balletถือได้ว่าเป็นศิลปะอย่างชัดเจนในระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 18 วิธีการเป็นแบบฉบับมากขึ้นและยากขึ้น เช่น MrieCarmagoและ Marie Salle ได้ปฏิวัติเครื่องแต่งกายหญิงให้สามารถเคลื่อนไหวได้เป็นอิสระมากขึ้น ขณะเดียวกันกับที่ Jean Noverre,FranzHilferdingพยายามพัฒนาบัลเล่ต์ ไปสู่ความมีแบบฉบับที่ชัดเจนที่เรียกว่า Ballet d' action

  9. ประวัติความเป็นมาของบัลเล่ต์ในประเทศไทย สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ยุค ตามวิวัฒนาการทางด้านการศึกษาและการแสดง

  10. ยุคที่ 1 ยุคริเริ่ม (ตั้งแต่ พ.ศ. 2477 ถึง พ.ศ. 2494) เริ่มมีการเรียนบัลเล่ต์ในโรงเรียนนาฏดุริยางคศาสตร์ใน พ.ศ. 2477 ตรงกับสมัยรัชการที่ 7 เป็นการสอนแบบอิสระโดยให้นักเรียนเต้นตาม การแสดงจะเป็นการเต้นประกอบเพลงในละครเพื่อคั่นสลับฉาก รูปแบบการนำเสนอของบัลเล่ต์เข้ามามีบทบาท กับการแสดงนาฏยศิลป์ไทยโดยเฉพาะในละครดึกดำบรรพ์

  11. ยุคที่ 2 ยุคพัฒนาบัลเล่ต์ (ตั้งแต่ พ.ศ. 2494 ถึง พ.ศ. 2509) บัลเล่ต์เริ่มมีการพัฒนามากขึ้น เนื่องจากมีครูบัลเล่ต์อาชีพจากต่างประเทศจำนวน 4 คนเปิดสอนบัลเล่ต์ในกรุงเทพฯ การสอนยังเป็นแบบอิสระและมักเป็นการซ้อมเพื่อแสดง มีคนไทยจำนวน 4 คนจบการศึกษาบัลเล่ต์ขั้นสูงจากประเทศอังกฤษ บัลเล่ต์เริ่มขยายไปสู่จังหวัดเชียงใหม่ การแสดงเป็นบัลเล่ต์คลาสสิกและการผสมระหว่างนาฏยศิลป์ไทยกับบัลเล่ต์ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงประพันธ์บทเพลงเพื่อใช้ประกอบการแสดงบัลเล่ต์หลายชุด และทรงให้การสนับสนุนการแสดงบัลเล่ต์ จึงทำให้บัลเล่ต์เป็นที่รู้จักของคนไทยมากขึ้น

  12. ยุคที่ 3 ยุคมาตรฐานบัลเล่ต์คลาสสิก(ตั้งแต่ พ.ศ. 2509 ถึง พ.ศ. 2541) การเต้นบัลเล่ต์ได้พัฒนาจนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง ของหลักสูตรการศึกษาของไทยในระดับอนุบาลจนถึงระดับอุดมศึกษา และได้มีการแพร่ขยายไปในจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ การสอนเปลี่ยนแปลงมาเป็นการใช้หลักสูตรสากลของประเทศอังกฤษ เป็นการวัดมาตรฐานบัลเล่ต์ของประเทศไทยให้ได้มาตรฐานสากล การแสดงเป็นบัลเล่ต์คลาสสิก โดยมี 2 ลักษณะ คือ การแสดงงานโรงเรียนและการแสดงในเชิงพาณิชย์ ในประเทศไทยยังไม่มีคณะบัลเล่ต์อาชีพ และผู้สนับสนุนบัลเล่ต์อย่างจริงจัง ทำให้การพัฒนาไม่ดีเท่าที่ควร อีกทั้งควรมีการแต่งตำราเกี่ยวกับบัลเล่ต์เป็นภาษาไทย เพื่อให้นักเต้นได้รู้และเข้าใจการเต้นบัลเล่ต์ดียิ่งขึ้น และงานวิจัยฉบับนี้ควรนำไปสู่การวิจัยเรื่องที่เกี่ยวข้อง

  13. ลักษณะเครื่องแต่งกายในการเรียนบัลเล่ต์ลักษณะเครื่องแต่งกายในการเรียนบัลเล่ต์ 1. เสื้อรัดรูป ที่เรียกว่า ลี-โอะทาด (Leotard) เป็นเสื้อที่มีลักษณะรัดรูป แขนกุด แขนสั่น แขนยาว สายเดี่ยว หรือลักษณะคล้ายเสื้อกล้ามเพื่อเน้นให้เห็นสัดส่วนของร่างกาย โดยครูผู้สอนสามารถมองเห็นกล้ามเนื้อในส่วนต่างๆ ของลำตัวได้อย่างชัดเจน เพื่อจะนำไปสู่การชี้แนะ แก้ไข การจัดระเบียบร่างกายที่ถูกต้องต่อไป โดยทั่วไปเสื้อรัดรูปที่ดีควรดูดซับเหงื่อได้ดี และระบายความร้อนได้ดีในเวลาเดียวกัน

  14. 2. การเกงรัดรูปหรือถุงน่อง ที่เรียกว่า ไทป์ (Tight) เป็นกางเกงรัดรูปหรือถุงน่องชนิดยาวคลุมเท้าหรือยาวปิดเท้า ซึ่งโดยปปกตินักเรียนบัลเล่ต์ชาย จะนิยมสวมใส่ไทป์สีดำหรือสีขาว ในขณะที่นักเรียนบัลเล่ต์หญิงจะสวมใส่ไทปืสีชมพู กางเกงรัดรูปหรือถุงน่องก็เป็นเครื่องแต่งกายสำหรับนักเรียนบัลเล่ตือีกลักษณะหนึ่งที่มีความจำเป็นต้องรัดรูป เพื่อเน้นให้ครูผู้สอนสามารถมองเห็นกล้ามเนื้อได้อย่างชัดเจนและพร้อมจะทำการแก้ไขต่อไป ส่วนความหมายสำคัญเชิงศิลปะการแสดงการเต้นบัลเล่ต์ การใส่ชุดรัดรูปจะช่วยให้ผู้ชมสามารถชื่นชมความงดงามของร่างกาย จากลวดลายการเคลื่อนไหว ศรีษะ แขน ขา และลำตัวได้อย่างอย่างชัดเจน ประกอบอารมณืในการแสดง

  15. 3. รองเท้ารัดรูปชนิดผ้านิ่ม ที่เรียกว่า ซอฟต์ชู (Soft shoe) เป็นรองเท้ารัดรูปที่ใช้วัสดุในการผลิตจากผ้าซาติน หรือหนังเทียม โดยปกตินักเรียนบัลเล่ต์ชายจะใช้รองเท้ารัดรูปสีขาวหรือสีดำ ในขณะที่นักเรียนบัลเล่ต์หญิงจะใช้รองเท้ารัดรูปสีชมพู เพื่อให้สีของรองเท้ากลมกลืนไปกับสีของถุงน่อง

More Related