1 / 22

บทที่ 6

บทที่ 6. การบริหารสินค้าคงเหลือ. สินค้าคงเหลือหรือสินค้าคงคลัง ( Inventory ) หมายถึง วัสดุที่อยู่ในรูปของวัตถุดิบ วัสดุการผลิต อะไหล่ เชื้อเพลิง สินค้าที่อยู่ในระหว่างการผลิต และสินค้าสำเร็จรูปซึ่งโรงงานเก็บไว้ในโกดัง เพื่อรอการผลิต รอซ่อมบำรุง หรือรอการจำหน่าย หน้าที่ของสินค้าคงเหลือ

Download Presentation

บทที่ 6

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. บทที่ 6 การบริหารสินค้าคงเหลือ

  2. สินค้าคงเหลือหรือสินค้าคงคลัง (Inventory) หมายถึง วัสดุที่อยู่ในรูปของวัตถุดิบ วัสดุการผลิต อะไหล่ เชื้อเพลิง สินค้าที่อยู่ในระหว่างการผลิต และสินค้าสำเร็จรูปซึ่งโรงงานเก็บไว้ในโกดัง เพื่อรอการผลิต รอซ่อมบำรุง หรือรอการจำหน่าย • หน้าที่ของสินค้าคงเหลือ 1. เป็นการจำแนกประเภทสินค้าอย่างเป็นหมวดหมู่ 2. ทำให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างผู้ขายหรือผู้ส่งมอบ (Supplier) กับผู้ผลิตและผู้ผลิตกับลูกค้า 3. ได้รับประโยชน์จากส่วนลด 4. ป้องกันปัญหาจากสภาวะเงินเฟ้อ และภาวการณ์ขึ้นราคาของสินค้า 5. ป้องกันปัญหาความไม่แน่นอนจากการส่งมอบ 6. ช่วยทำให้งานผลิตเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ไม่ติดขัด

  3. ประเภทของสินค้าคงคลัง สินค้าคงคลัง (Inventory) ประกอบด้วย • วัตถุดิบ (Raw Material) • สินค้าระหว่างผลิต (Work in Process) • วัสดุซ่อมบำรุง (Maintenance/Repair/Operating Supplies) • สินค้าสำเร็จรูป (Finished Goods) WIP Raw Material Finish Goods

  4. ความสำคัญของสินค้าคงเหลือ แต่ละประเภท 1. สินค้าคงเหลือประเภทวัตถุดิบหรือชิ้นส่วน มีความสำคัญ คือ 1.1 เป็นการป้องกันขาดแคลนวัตถุดิบหรือชิ้นส่วน 1.2 เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการสั่งซื้อหรือสั่งผลิต 2. สินค้าคงเหลือระหว่างผลิต มีความสำคัญ คือ 2.1 ช่วยให้การผลิตในแต่ละหน่วยผลิตสามารถดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง 2.2 ช่วยให้การผลิตสามารถดำเนินไปได้อย่างสม่ำเสมอ

  5. ความสำคัญของสินค้าคงเหลือ แต่ละประเภท (ต่อ) 3. สินค้าคงเหลือประเภทสินค้าสำเร็จรูป มีความสำคัญดังนี้ คือ 3.1 ช่วยป้องกันความผิดพลาดอันเกิดจากความต้องการสินค้าที่มีมากกว่าที่พยากรณ์ไว้ 3.2 ช่วยให้การผลิตสามารถดำเนินไปได้อย่างสม่ำเสมอ ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาลเหมือนความต้องการของผลิตภัณฑ์ และระดับการจ้างแรงงานเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ

  6. ข้อเสีย คือในด้านค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เช่น - จำเป็นต้องมีบริเวณหรือที่เก็บสินค้าเหล่านั้น มีคนคอยดูแลรักษา และทำบัญชีควบคุมปริมาณ - เงินทุนจมอยู่กับสินค้า

  7. วัตถุประสงค์ของการบริหารสินค้าคงเหลือวัตถุประสงค์ของการบริหารสินค้าคงเหลือ 1. ราคาสินค้าอาจลดลง 2. สินค้าที่เก็บไว้เสื่อมคุณภาพ 3. รสนิยมและทัศนคติของผู้บริโภคเปลี่ยนไป แต่ละกิจการจะพิจารณาระดับสินค้าคงเหลือที่ควรจะมีไว้จากปัจจัยพื้นฐาน 3 ประการ คือ 1. ปริมาณขายของกิจการ 2. ระยะเวลา และความยากง่ายของกระบวนการผลิต 3. ความคงทนและความล้าสมัยของสินค้า

  8. วัตถุประสงค์ในการบริหารสินค้าคงเหลือมีหลัก 2 ประการคือ 1. เพื่อทำให้ต้นทุนที่เกิดขึ้นจากการเก็บสินค้าคงเหลือมีค่าต่ำที่สุด 2. เพื่อทำให้ลูกค้าหรือผู้รับบริการเกิดความพึงพอใจมากที่สุด (ได้รับผลิตภัณฑ์ในปริมาณที่ต้องการตามเวลาที่กำหนด) ปัญหาการตัดสินใจในเรื่องการบริหารสินค้าคงเหลือมีอยู่ 2 ประการ คือ 1. จำนวนที่จะสั่งซื้อหรือผลิตในแต่ละครั้งว่าควรมีปริมาณเท่าใดจึงจะเหมาะสมที่สุด 2. เวลาที่เหมาะสมในการสั่งซื้อหรือสั่งผลิต

  9. ต้นทุนการบริหารสินค้าคงเหลือต้นทุนการบริหารสินค้าคงเหลือ 1. ต้นทุนในการสั่งซื้อ (ordering costs) 2. ต้นทุนในการสั่งผลิต (setup costs) 3. ต้นทุนในการเก็บรักษา (holding costs) 4. ต้นทุนสินค้าขาดแคลน (shortage costs)

  10. ต้นทุน ต้นทุนรวม ต้นทุนการเก็บรักษา ต้นทุนรวมต่ำสุด ต้นทุนสินค้าขาดแคลน ต้นทุนการสั่งซื้อ ปริมาณการสั่งซื้อ/ครั้ง ปริมาณการสั่งซื้อที่ประหยัดที่สุด ภาพที่ 6.1 แสดงความสัมพันธ์ของต้นทุนต่าง ๆ ในการบริหารสินค้าคงเหลือ

  11. ตัวแบบการหาปริมาณการสั่งซื้อที่ประหยัดตัวแบบการหาปริมาณการสั่งซื้อที่ประหยัด มีข้อสมมติฐาน ดังนี้ คือ 1. ปริมาณความต้องการสินค้าของลูกค้ามีอัตราคงที่ตลอดเวลา 2. ระยะเวลารอคอยสินค้า (lead time) หรือ ระยะเวลาตั้งแต่สั่งซื้อจนกระทั่งได้รับสินค้า มีความคงที่และแน่นอน 3. การสั่งหนึ่งครั้งจะมีการส่งมอบสินค้าให้เพียงครั้งเดียว โดยไม่มีการทยอยส่งมอบ 4. ราคาของสินค้าที่สั่งซื้อมามีค่าเท่ากันไม่ว่าจะสั่งซื้อปริมาณเท่าใด 5. สินค้าคงเหลือที่ควบคุมมีเพียงชนิดเดียว 6. ไม่เกิดสินค้าคงเหลือขาดแคลน

  12. ความสัมพันธ์ของปริมาณสินค้าคงเหลือเมื่อเทียบกับเวลาความสัมพันธ์ของปริมาณสินค้าคงเหลือเมื่อเทียบกับเวลา Quantity R = Reorder PointL = Lead Time Q = Order Quantity Q R Reorder Point Time Receiving Time L Reorder Time

  13. ในการคำนวณหาปริมาณการสั่งซื้อที่ประหยัด โดยใช้ตัวแบบ EOQ ซึ่งสามารถกำหนดตัวแปรต่าง ๆ ได้ดังนี้ Q (quantity) = ปริมาณการสั่งซื้อที่ประหยัดที่สุด (หน่วย/ครั้ง) D (demand) = ความต้องการใช้สินค้าต่อปี (หน่วย/ปี) O (ordering cost) = ค่าใช้จ่ายในการสั่งซื้อสินค้าต่อครั้ง (บาท/ครั้ง) I (interest rate) = อัตราค่าเสียโอกาสในการเก็บรักษาสินค้าคงเหลือโดยทั่วไปนิยมคิดเป็นร้อยละของสินค้าต่อหน่วย (บาท/หน่วย/ปี) C (material cost) = ราคาสินค้าต่อหน่วย (บาท/หน่วย) TC (total cost) = ต้นทุนรวมต่ำสุด (บาท/ปี) จากตัวแปรดังกล่าวข้างต้น สามารถนำมาเขียนตัวแบบเพื่อคำนวณหาต้นทุนประเภทต่าง ๆ ได้ดังนี้

  14. 1. การคำนวณหาจำนวนครั้งในการสั่งซื้อต่อปี สามารถหาได้จาก จำนวนครั้งในการสั่งซื้อ / ปี = ความต้องการใช้สินค้าต่อปี ปริมาณการสั่งซื้อในแต่ละครั้ง หรือ = D Q 2. การคำนวณหาต้นทุนในการสั่งซื้อ/ปี สามารถหาได้จาก ต้นทุนในการสั่งซื้อ/ปี = ความต้องการใช้สินค้าต่อปีxค่าใช้จ่ายในการสั่งซื้อต่อครั้ง ปริมาณการสั่งซื้อในแต่ละครั้ง หรือ = DO Q

  15. 3. การคำนวณหาต้นทุนในการเก็บรักษาต่อปี สามารถหาได้จาก ต้นทุนในการเก็บรักษาต่อปี = ปริมาณสินค้าคงเหลือเฉลี่ย x ค่าใช้จ่ายใน การเก็บรักษาต่อหน่วยต่อปี หรือ = ICQ 2 ทั้งนี้ปริมาณสินค้าคงเหลือเฉลี่ย = ปริมาณสินค้าคงเหลือสูงสุด + ปริมาณสินค้าคงเหลือต่ำสุด 2 ดังนั้นปริมาณสินค้าคงเหลือเฉลี่ย = Q 2 4. การคำนวณการหาต้นทุนรวมต่ำสุดต่อปี สามารถหาได้จาก ต้นทุนรวมต่ำสุดต่อปี = ต้นทุนในการสั่งซื้อต่อปี + ต้นทุนในการเก็บรักษาต่อปี หรือ =DO + ICQ Q 2

  16. เนื่องจากต้นทุนในการสั่งซื้อจะต้องมีค่าเท่ากับต้นทุนในการเก็บรักษา ดังนั้น จึงสามารถคำนวณหาปริมาณการสั่งซื้อที่ประหยัดที่สุด ได้ดังนี้ ต้นทุนในการสั่งซื้อ = ต้นทุนในการเก็บรักษา DO = ICQ Q 2 จากนั้นแก้สมการเพื่อหาค่า Q ดังต่อไปนี้ DO = IC(Q2) 2 Q2 = 2DO IC Q= √2DO IC

  17. ตัวแบบการหาจุดสั่งซื้อ (reorder point) จุดสั่งซื้อ (reorder point) หรือ ROP หมายถึงระดับหรือจุดของสินค้าคงเหลือซึ่งต้องการทำการสั่งซื้อสินค้าเพิ่มเติม เนื่องจากการสั่งซื้อสินค้าแต่ละครั้งจะต้องเสียเวลานานพอสมควรกว่าจะได้รับสินค้ามา ระยะเวลาที่ต้องรอเพื่อให้ได้รับสินค้ามานี้เรียกว่า “lead time” หรือเรียกย่อ ๆ ว่า LT ในการคำนวณหาจุดสั่งซื้อ มีข้อสมมติฐานว่าอัตราความต้องการสินค้าเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ และสินค้าที่สั่งซื้อจะต้องมาตรงเวลาทุกครั้ง ซึ่งสามารถหาได้จาก จุดสั่งซื้อ = อัตราความต้องการสินค้าต่อวัน x ช่วงระยะเวลารอคอยสินค้า หรือ = d x LT หรือ d (LT) เมื่อ d = อัตราความต้องการหรืออัตราการใช้สินค้าต่อวัน (หน่วย) LT = ช่วงระยะเวลารอคอยสินค้า (วัน)

  18. ส่วนการคำนวณหาอัตราการใช้สินค้าต่อวัน (d) สามารถหาได้จาก d = D W เมื่อ D = ปริมาณการใช้หรือความต้องการสินค้าต่อปี W = จำนวนวันทำงานทั้งหมดต่อปี ตัวแบบการหาจุดสั่งซื้อกรณีที่ต้องการให้มีสินค้าสำรอง (safety stock) ปัญหาสินค้าขาดแคลนนี้เกิดจากสาเหตุ 2 ประการคือ 1. อัตราความต้องการสินค้าสูงกว่าที่ธุรกิจคาดคะเนไว้ 2. ระยะเวลาที่ธุรกิจใช้ในการสั่งซื้อและขนสินค้า ไม่เป็นไปตามกำหนด เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวธุรกิจจึงจำเป็นที่จะต้องมีสินค้าจำนวนหนึ่งเพื่อสำรองไว้ซึ่งเรียกว่า สินค้าสำรอง หรืออาจเรียกว่า สินค้าเผื่อขาด

  19. เมื่อธุรกิจต้องการมีสินค้าสำรองเพื่อความปลอดภัยไว้จำนวนหนึ่งจึงสามารถ เมื่อธุรกิจต้องการมีสินค้าสำรองเพื่อความปลอดภัยไว้จำนวนหนึ่งจึงสามารถ คำนวณหาจุดสั่งใหม่ได้ดังนี้ จุดสั่งซื้อ = (อัตราความต้องการสินค้าต่อวัน x ช่วงระยะเวลารอคอยสินค้า)+สินค้าสำรอง หรือ ROP = d (LT) + SS เมื่อ SS= จำนวนสินค้าสำรอง (safety stock) การหาปริมาณการสั่งซื้อในกรณีที่มีการลดราคา (quantity discounts) สามารถหาได้ 2 วิธี คือ 1. วิธีการหาส่วนลดโดยการเปรียบเทียบค่าใช้จ่าย เป็นวิธีที่ง่ายและเป็นที่นิยมใช้กันอย่างกว้างขวาง 2. วิธีการหาส่วนลดจากการกำหนดราคาต่างกัน

  20. ABC Theory ของวิลเฟรโด พาเรโต นักเศรษฐศาสตร์ชาวอิตาเลี่ยน • การจัดการสินค้าคงคลังแบบ ABC คือ การจัดกลุ่มสินค้าให้มีความสำคัญตามมูลค่าและปริมาณของสินค้า ในทางปฏิบัติจะพบเสมอว่า สินค้าที่มีปริมาณมากมักมีมูลค่าไม่สูง ในทางตรงกันข้ามสินค้าที่มีมูลค่าสูงจะมีปริมาณไม่มาก ซึ่งแบ่งได้เป็น 3 Class คือ สินค้ากลุ่ม A เป็นกลุ่มที่มีมูลค่าสูงถึง 80% ของมูลค่าสินค้าทั้งหมดในคลังสินค้าแต่มีปริมาณไม่เกิน 20% ของจำนวนรายการทั้งหมด สินค้ากลุ่ม B เป็นกลุ่มที่มีมูลค่าประมาณ 15% ของมูลค่าสินค้าทั้งหมด แต่มีปริมาณในคลังประมาณ 30% ของจำนวนทั้งหมด สินค้ากลุ่ม C เป็นกลุ่มที่มีมูลค่าน้อยที่สุด ประมาณ 5% ของมูลค่าสินค้าทั้งหมด แต่มีปริมาณสูงเกิน 50% ของจำนวนรายการทั้งหมด

  21. ABC Diagram(Law of Significant few) 100 C 5% B 15% % of Valuable (%Dollar) A 80% 50 50-60% 15-20% 25-30% % of Items 0 20 50 100

  22. ตัวอย่าง 6.1 บริษัท MINOR จำกัด มีความต้องการใช้จอภาพเพื่อผลิตเครื่อง คอมพิวเตอร์ปีละ 100,000 ตัว ราคาตัวละ 2,000 บาท โดยมีค่าใช้จ่ายในการสั่งซื้อครั้ง ละ 500 บาท และมีค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาสินค้าคิดเป็นร้อยละ 5 ของราคาจอภาพ อยากทราบว่า ก. บริษัทควรสั่งซื้อจอภาพครั้งละเท่าใดจึงจะทำให้ประหยัดต้นทุนมากที่สุด ข. บริษัทควรจะสั่งซื้อปีละกี่ครั้ง ค. บริษัทจะมีต้นทุนในการสั่งซื้อตลอดปีเป็นเงินเท่าใด ง. บริษัทจะมีต้นทุนในการเก็บรักษาตลอดปีเป็นเงินเท่าใด

More Related