1 / 46

เครือข่ายคอมพิวเตอร์

เครือข่ายคอมพิวเตอร์. หัวข้อศึกษา. ชนิดของระบบเครือข่าย ระบบเครือข่ายเฉพาะบริเวณ ระบบเครือข่ายระยะไกล การประยุกต์ใช้งานของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์. ความรู้พื้นฐานของการสื่อสารข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ การประมวลผลข้อมูลกับการสื่อสารข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ แบบจำลองสำหรับอ้างอิงแบบ OSI

latika
Download Presentation

เครือข่ายคอมพิวเตอร์

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. เครือข่ายคอมพิวเตอร์

  2. หัวข้อศึกษา • ชนิดของระบบเครือข่าย • ระบบเครือข่ายเฉพาะบริเวณ • ระบบเครือข่ายระยะไกล • การประยุกต์ใช้งานของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ • ความรู้พื้นฐานของการสื่อสารข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ • การประมวลผลข้อมูลกับการสื่อสารข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ • แบบจำลองสำหรับอ้างอิงแบบ OSI • ช่องทางการสื่อสารข้อมูล • อุปกรณ์สื่อสารข้อมูล

  3. 1. ความรู้พื้นฐานของการสื่อสารข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ • ชนิดของสัญญาณทางอิเล็กทรอนิกส์ • วิธีในการสื่อสารข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์ • ทิศทางของการสื่อสารขอมูล • การสื่อสารข้อมูลแบบอนุกรมและแบบขนาน • ระบบเครือข่ายแบบเบสแบนด์และบรอดแบนด์

  4. ความรู้พื้นฐานของการสื่อสารข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ความรู้พื้นฐานของการสื่อสารข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ • การสื่อสารข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ คือ การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างต้นทางและปลายทางโดยใช้อุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเชื่อมต่อกันอยู่ด้วยสื่อกลางชนิดใดชนิดหนึ่ง • ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ คือ ระบบการเชื่อมโยงระหว่างคอมพิวเตอร์ตั้งแต่สองตัวขึ้นไป เพื่อให้สามารถทำการสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างกันได้นั่นเอง

  5. 1.1 ชนิดของสัญญาณทางอิเล็กทรอนิกส์ • สัญญาณแบบอนาล็อก (Analog) • เป็นสัญญาณแบบต่อเนื่อง ที่ทุกๆค่าที่เปลี่ยนแปลงไปของระดับสัญญาณจะมีความหมาย การส่งสัญญาณจะถูกรบกวนได้ง่ายกว่า เนื่องจากทุกค่านำมาใช้งานนั่นเอง ตัวอย่างเช่น สัญญาณเสียงในสายโทรศัพท์ • สัญญาณแบบดิจิตอล (Digital) • เป็นสัญญาณที่ประกอบไปด้วยระดับสัญญาณเพียง 2 ค่า คือ สัญญาณระดับสูงสุดและสัญญาณระดับต่ำสุด เพื่อนำมาตีความหมายเป็น on/off หรือ 1/0 เท่านั้น ตัวอย่างเช่น สัญญาณที่คอมพิวเตอร์ใช้ในการทำงานและติดต่อสื่อสารกัน

  6. รูปแสดงตัวอย่างสัญญาณอนาล็อกและดิจิตอลรูปแสดงตัวอย่างสัญญาณอนาล็อกและดิจิตอล • เราสามารถใช้เครื่องมือในการแปลงระหว่างสัญญาณทั้งสองแบบได้ • แปลงจาก digital ไปเป็น analog เรียกว่า Modulation เช่น Amplitude Modulation (AM), Frequency Modulation (FM) • แปลงจาก analog ไปเป็น digital เรียกว่า Demodulation • ตัวอย่างเครื่องมือที่ใช้แปลงสัญญาณคือ MODEM (Modulation DEModulation)

  7. 1.2 วิธีในการสื่อสารข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์ • การสื่อสารข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ทางเครือข่าย อาจจะแบ่งได้ 2 วิธีคือ 1. การสื่อสารแบบไม่ประสานจังหวะ (Asynchronous transmission) - สื่อสารแบบระบุจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด 2. การสื่อสารแบบประสานจังหวะ (Synchronous transmission) - ส่งทีละกลุ่มข้อมูล, เฟรม (Frame), แพคเกต(Packets)

  8. 1.3 ทิศทางของการสื่อสารข้อมูล • สามารถแบ่งทิศทางการสื่อสารข้อมูลได้เป็น 3 แบบคือ • แบบทิศทางเดียว (Simplex), • ข้อมูลจะถูกส่งไปเพียงทิศทางเดียวไม่สามารถส่งข้อมูลย้อนกลับได้ เช่น ระบบวิทยุ, โทรทัศน์ • แบบกึ่งสองทิศทาง(Half Duplex) • ข้อมูลสามารถส่งสลับที่กันได้ทั้ง 2 ทิศทางโดยผลัดกันส่งครั้งละทิศทาง เช่น วิทยุสื่อสารแบบผลัดกันพูด • แบบสองทิศทาง(Full Duplex) • ข้อมูลสามารถส่งพร้อมๆกันได้ทั้งสองทิศทางอย่างอิสระ เช่น โทรศัพท์

  9. รูปแสดงทิศทางของการสื่อสารข้อมูลรูปแสดงทิศทางของการสื่อสารข้อมูล สองทิศทางสลับกัน สองทิศทาง พร้อมกัน

  10. 1.4 การสื่อสารข้อมูลแบบอนุกรมและแบบขนาน • การสื่อสารแบบอนุกรม (Serial Communication) • เป็นการส่งข้อมูลทีละบิตต่อครั้ง ผ่านช่องทางการสื่อสาร • การสื่อสารแบบขนาน (Parallel Communication ) • เป็นส่งข้อมูลเป็นชุดของบิตพร้อมๆกันในแต่ละครั้ง • การส่งข้อมูลแบบขนานสามารถทำได้เร็วกว่า แต่ก็จะเสียค่าใช้จ่ายสูงกว่าเช่นกัน เนื่องจากสายที่ใช้ก็จะต้องมีช่องสัญญาณจำนวนมาก

  11. รูปแสดงการสื่อสารแบบอนุกรมและแบบขนานรูปแสดงการสื่อสารแบบอนุกรมและแบบขนาน

  12. 1.5 ระบบเครือข่ายเบสแบนด์และบรอดแบนด์ • ระบบเครือข่ายแบบเบสแบนด์ (Baseband) • เป็นการสื่อสารที่สามารถส่งผ่านสัญญาณได้เพียงหนึ่งสัญญาณในเวลาขณะใดขณะหนึ่ง นั่นคือ อุปกรณ์ที่ใช้งานสายสัญญาณในขณะนั้นจะครอบครองช่องสัญญาณทั้งหมดโดยอุปกรณ์อื่นไม่สามารถร่วมใช้งานได้เลย • ตัวอย่างเช่น โทรศัพท์,การสื่อสารของคอมพิวเตอร์กับอุปกรณ์อื่นๆ(เครื่องพิมพ์ จอภาพ) • ระบบเครือข่ายแบบบรอดแบนด์ (Broadband) • การส่งผ่านสัญญาณสามารถมีได้หลายช่องสัญญาณได้พร้อมๆกัน โดยใช้วิธีการแบ่งช่องความถี่ออกจากกัน ผู้รับสามารถเลือกช่องความถี่ที่ต้องการได้ • ตัวอย่างเช่น ระบบเครือข่าย Cable TV

  13. 2. การประมวลผลข้อมูลกับการสื่อสารข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ • ระบบการประมวลผลข้อมูลที่ศูนย์กลาง(Centralized Processing) • การประมวลผลข้อมูลทั้งหมดจะเกิดขึ้นที่เครื่องหลักเพียงเครื่องเดียว • การประมวลผลทางไกล(Teleprocessing) • ระบบการประมวลผลข้อมูลไคลเอนต์-เซิร์ฟเวอร์ • แบ่งการประมวลผลมาทำงานที่ เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล(PC) • PC ติดต่อและรับข้อมูลจาก Server มาแสดงผล • ระบบการประมวลผลข้อมูลแบบกระจาย • มีกระจายภาระการประมวลผลไปยังเครื่องต่างๆที่เชื่อมต่อกันอยู่เป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ และนำผลลัพธ์ที่ได้มารวมกัน ซึ่งเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวม

  14. รูปแสดงระบบการประมวลผลที่ศูนย์กลางรูปแสดงระบบการประมวลผลที่ศูนย์กลาง Host Terminals

  15. Server Clients รูปแสดงการประมวลผลแบบ Client - server

  16. รูปแสดงการประมวลผลแบบกระจายรูปแสดงการประมวลผลแบบกระจาย Server Clients

  17. 3. แบบจำลองสำหรับอ้างอิงแบบ OSI • แบบจำลองสำหรับอ้างอิง OSI (Open systems Interconnection Reference Model) • อธิบายโครงสร้างสถาปัตยกรรมเครือข่ายในอุดมคติ จะเป็นระบบเครือข่ายแบบเปิดและอุปกรณ์ทางเครือข่ายจะสามารถติดต่อกันได้โดยไม่ขึ้นกับว่าเป็นของผู้ขายรายใด • กำหนดโดยองค์กร ISO (International Standard Organization)

  18. OSI แบ่งการทำงานของระบบเครือข่ายออกเป็น 7 ชั้น • Application • Presentation • Session • Transport • Network • Data link • Physical • Application • Presentation • Session • Transport • Network • Data link • Physical การส่งข้อมูลติดต่อสื่อสาร

  19. 4. ช่องทางการสื่อสารข้อมูล (Data transmission Channels) • ช่องทาง หรือ สื่อกลาง(Media)ในการส่งผ่านข้อมูล ซึ่งแต่ละแบบก็มีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป สิ่งที่ต้องคำนึงในการเลือกช่องทางที่ต้องการคือ • อัตราเร็วในการส่งผ่านข้อมูล (Transmission Rate) • ระยะทาง (Distance) • ค่าใช้จ่าย(Cost) • ความสะดวกในการติดตั้ง (Ease of Installation) • ความทนทานต่อสภาพแวดล้อม (Resistance to Environmental condition) • การใช้งานจริงอาจใช้ได้มากกว่าหนึ่งช่องทางพร้อมๆกัน ขึ้นกับความเหมาะสม

  20. รูปแบบของระบบช่องทางการสื่อสารข้อมูลรูปแบบของระบบช่องทางการสื่อสารข้อมูล • 4.1 ระบบแบบเดินสายเคเบิล • 4.2 ระบบไมโครเวฟ • 4.3 ระบบดาวเทียม • 4.4 ระบบอื่นๆ

  21. 4.1 ระบบแบบเดินสายเคเบิล • จะรวมถึงสื่อกลางที่เป็นสายทั้งหมด • สายเคเบิลสำหรับการติดต่อระยะไกล โดยทั่วไปก็คือ ระบบสายโทรศัพท์แบบดั้งเดิม (POTS – Plain Old Telephone Service) • สายสัญญาณที่มีใช้ในปัจจุบัน จะมีชนิดต่างๆตามลักษณะเครือข่ายและความต้องการในการใช้งาน ดังนี้ • UTP,STP • Coaxial Cable • Fiber Optic

  22. สายคู่เกลียวแบบมีชีลต์และไม่มีชีลต์ (Shielded and Unshielded Twisted-Pair Cable) • เป็นสายที่มีราคาถูกที่สุด • ปกติแล้ว สายคู่บิดเกลียวจะหมายถึง สายคู่บิดเกลียวแบบไม่มีชิลต์(UTP) ซึ่งใช้ในการเดินสายโทรศัพท์และใช้ในระบบเครือข่ายระยะใกล้ • สายคู่บิดเกลียวแบบมีชิลต์(STP) จะมีฉนวนโลหะหุ้ม ป้องกันสัญญาณรบกวนได้ดีขึ้น • สายเกลียวคู่หนึ่งคู่จะแทนช่องทางสื่อสาร(channel) ได้หนึ่งช่องทาง • การใช้งานจริงอาจจะรวมสายจำนวนหลายร้อยคู่เข้าด้วยกันเป็นสายใหญ่เพื่อให้สามารถใช้งานได้พร้อมๆกัน ตัวอย่างเช่น ระบบสายโทรศัพท์

  23. สายโคแอกเชียล (Coaxial Cable) • สามารถส่งข้อมูลไกลกว่าสายแบบคู่บิดเกลียวแต่มีข้อเสียคือ ราคาสูงกว่า • สายโคแอกสามารถส่งข้อมูลได้ทั้งแบบเบสแบนด์และบรอดแบนด์ • พบมากในการใช้งานของเคเบิลทีวี • ปัจจุบันการใช้งานสายโคแอกกับระบบคอมพิวเตอร์เริ่มลดลง เนื่องจากการพัฒนาของสาย UTP ที่สามารถส่งข้อมูลได้ด้วยความเร็วที่สูงขึ้นเรื่อยๆ • สายใยแก้วนำแสง (Fiber Optic Cable) • สายใยแก้วนำแสง จะประกอบไปด้วยใยแก้วหรือพลาสติกอยู่ตรงกลางสายและใช้ใยแก้วอีกชนิดเป็นตัวหุ้ม และหุ้มด้วยฉนวนในชั้นนอกสุด • มีแบนด์วิธที่กว้างมาก ทำให้สามารถส่งข้อมูลปริมาณมากได้ด้วยความเร็วสูง • สามารถส่งได้ระยะไกล, ปลอดจากการรบกวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า • ข้อเสียคือ ติดตั้งและบำรุงรักษายาก รวมทั้งมีราคาแพงที่สุด

  24. เปรียบเทียบการใช้งานสายเคเบิลเปรียบเทียบการใช้งานสายเคเบิล

  25. 4.2 ระบบไมโครเวฟ (Microwave system) • ระบบไมโครเวฟ ใช้วิธีส่งสัญญาณที่มีความถี่สูงกว่าคลื่นวิทยุเป็นทอดๆ จากสถานีหนึ่งไปยังอีกสถานีหนึ่ง • บ่อยครั้งเรียกว่าสัญญาณแบบ เส้นสายตา (Line of sight) เนื่องจากสัญญาณที่ส่งจะไปได้ไม่ไกลกว่าเส้นขอบฟ้าของโลก เพราะสัญญาณเดินทางเป็นเส้นตรง • ดังนั้นสถานีจะต้องพยายามอยู่ในที่ๆสูงเพื่อช่วยให้ส่งสัญญาณได้ไกลขึ้น • ข้อดี ระบบไมโครเวฟราคาถูก ติดตั้งง่าย และมีอัตราการส่งข้อมูลสูง • ข้อเสีย สัญญาณอาจถูกรบกวนได้จากอุณหภูมิ พายุหรือฝน

  26. 4.3 ระบบดาวเทียม • ทำงานคล้ายระบบไมโครเวฟในส่วนของการใช้หลักการยิงสัญญาณจากแต่ละสถานีไปยังจุดหมายที่ต้องการ • แต่ใช้ดาวเทียมในการยิงสัญญาณไปยังจุดหมายที่ต้องการ • สัญญาณเชื่อมต่อขาขึ้น (Up-link) • สัญญาณเชื่อมต่อขาลง (Down-link) • ข้อดี :ใช้ดาวเทียมมีพิกัดแน่นอนเพียง 3 ดวงสามารถส่งไปได้ทุกจุดบนโลก • ข้อเสีย : ระบบดาวเทียมถูกรบกวนได้จากสภาพอากาศ ฝน หรือพายุ,ตำแหน่งของการโคจร,เวลาหน่วง(Delay Time)

  27. 4.4 ระบบอื่นๆ • ระบบอินฟราเรด (Infrared) • เป็นระบบเดียวกับ Remote Control ของเครื่องรับโทรทัศน์ • ข้อจำกัดคือ ระยะทางรับส่งข้อมูลไม่ไกล, ห้ามมีสิ่งกีดขวาง • ระบบวิทยุ (Radio) • ใช้คลื่นวิทยุในการส่งผ่านข้อมูล • มีปัญหากับการขออนุญาตใช้คลื่นความถี่ ซึ่งแต่ละประเทศมีข้อจำกัดเข้มงวดแตกต่างกันไป • ระบบสเปคตรัมแถบกว้าง (Spread Spectrum) • เป็นระบบคลื่นวิทยุที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อป้องกันสัญญาณรบกวน • สามารถรับส่งสัญญาณได้ความเร็วสูงถึง 10 Mbps

  28. บลูทูธ (Bluetooth) • เทคโนโลยีสื่อสารไร้สาย • ใช้คลื่นวิทยุความถี่ 2.4 GHz เป็นสื่อในการรับส่งข้อมูล • ความเร็วประมาณ 1 Mbps, มีการเข้ารหัสข้อมูลป้องกันการดักฟังสัญญาณ • พัฒนาโดย Bluetooth Special Interest Group (Bluetooth SIG) • ปัจจุบันได้นำใช้กับอุปกรณ์แบบพกพา คือ PDA และโทรศัพท์เคลื่อนที่ เนื่องจากไม่จำเป็นต้องจัดตัวอุปกรณ์ให้พอร์ตรงกันเหมือนระบบอินฟราเรด

  29. 5. อุปกรณ์สื่อสารข้อมูล (Data Communication Equipment) • ในการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เข้าเป็นเครือข่าย จะต้องเชื่อมต่ออุปกรณ์และสื่อกลางแบบต่างๆ เข้าด้วยกัน ซึ่งอาจจะต้องใช้อุปกรณ์พิเศษที่ใช้ในการสื่อสารข้อมูล ซึ่งแบ่งได้เป็น • อุปกรณ์รวมสัญญาณ • อุปกรณ์เชื่อมต่อเครือข่าย

  30. 5.1 อุปกรณ์รวมสัญญาณ • มัลติเพล็กเซอร์ (Multiplexer) • นิยมเรียกว่า มักซ์ (Mux) • ทำหน้าที่ในการรวมข้อมูล และแยกข้อมูล • คอนเซนเตรเตอร์ (Concentrator) • นิยมเรียกว่า คอนเซน, เป็นมัลติเพล็กเซอร์ • ความสามารถสูงกว่า มักซ์ คือ อาจจะสามารถเก็บข้อมูลที่ส่งต่อ, อาจจะมีการบีบอัดข้อมูล • ฮับ (Hub) • LAN Connector • ฟรอนต์เอนต์โปรเซสเซอร์ (Front-end Processor) • คล้ายคลึงกับ คอนเซนเตรเตอร์ แต่ใช้กับคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่

  31. 5.2 อุปกรณ์เชื่อมต่อเครือข่าย • เครื่องทวนซ้ำสัญญาณ (Repeater) • บริดจ์ (Bridge) • เราท์เตอร์ (Router) • สวิตซ์ (Switch) • เกทเวย์ (Gateway) • เชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายที่แตกต่างกัน

  32. 6. ชนิดของระบบเครือข่าย • ระบบเครือข่ายเฉพาะบริเวณ (LAN) • Local Area Network , ระยะใกล้ • ระบบเครือข่ายระยะไกล (WAN) • Wide Area Network, เป็นเครือข่ายที่ประกอบไปด้วยเครือข่าย LAN ตั้งแต่ 2 วงขึ้นไป

  33. 7. ระบบเครือข่ายเฉพาะบริเวณ (LAN) • เครือข่ายส่วนตัว (Private Network) • แบ่งอุปกรณ์การใช้งาน เช่น Printer, CD-Rom • การติดต่อกัน • ลดค่าใช้จ่ายขององค์กร • ชนิดของการเชื่อมต่อเครือข่าย LAN • เครือข่ายแบบพึ่งพิงเครื่องบริการ (Server-based networking) • เครือข่ายแบบเท่าเทียม (Peer-to-Peer networking)

  34. เปรียบเทียบการเชื่อมต่อ Server based กับ Peer-to-Peer

  35. ส่วนประกอบพื้นฐานองระบบ LAN • Network Operating System (NOS) • ควบคุมการทำงานของเครือข่าย • เครื่องบริการและสถานี (Server and Workstation) • แผงวงจรเชื่อมต่อ (Network Interface Card - NIC) • ระบบการเดินสาย (Cabling System) • UTP/STP, Coaxial, Fiber Optic • ทรัพยากรละอุปกรณ์ที่ใช้งานร่วมกัน (Shared Resource and Peripherals) • เช่น Hard disk, Printer ของ Server

  36. โครงสร้างของระบบเครือข่าย (Network Topology) แบบ LAN • โครงสร้างแบบดาว (Star Topology) • โครงสร้างแบบบัส (Bus Topology) • โครงสร้างแบบวงแหวน (Ring Topology)

  37. เปรียบเทียบโครงสร้างเครือข่ายเปรียบเทียบโครงสร้างเครือข่าย

  38. วิธีควบคุมการใช้งานสื่อกลาง(Media Access Control) • CSMA/CD (Carrier Sense Multiple Access / Collision Detection) • Token Ring Passing • ใช้ หลักการ Token • Token ว่าง, ส่งข้อมูลให้ Token , วนส่งให้เครื่องในเครือข่าย • พบมากในโครงสร้างแบบบัส (Token Bus) และแบบวงแหวน (Token Ring)

  39. มาตรฐานระบบเครือข่ายแบบ LAN ชนิดต่างๆ • IEEE 802.3 และ Ethernet • IEEE 802.4 และ Token Bus • IEEE 802.5 และ Token Ring • FDDI (Fiber Distributed Data Interface) • IEEE 802.11 และ Wireless Local Area Network (WLAN) • Home RF (Home Radio Frequency)

  40. 8. ระบบเครือข่ายระยะไกล (WAN) • เครือข่ายส่วนตัว (Private Network) • เครือข่ายสาธารณะ (Public Data Network)

  41. เครือข่ายแบบสลับวงจร (Circuit – Switching Network) • เชื่อมต่อสองจุด • เชื่อมต่อตลอดเวลา • เช่น โทรศัพท์ , ISDN ข้อดี คือ มีอัตราเร็วในการสื่อสารคงที่ตลอดเวลา เนื่องจากไม่ต้องแบ่งช่องทางกับผู้อื่น ข้อด้อย คือ ต้องมีการเชื่อมต่อดันทุกๆจุด

  42. เครือข่ายแบบสลับแพคเกต (Packet Switching Data network) • ทำงานโดยการแบ่งข้อมูลที่ต้อการส่งระหว่างจุดสองจุดออกเป็นชิ้นข้อมูล (Packet) เล็กๆ เพื่อทำการส่งข้อมูลไปยังจุดหมายที่ต้องการ • ทำการรวมแต่ละแพคเกตกลับคืนเมื่อถึงจุดหมายแล้ว

  43. ISDN • Intergrated Services Digital Networks (ISDN) • เป็นระบบเครือข่ายแบบดิจิตอล ดังนั้นไม่จำเป็นต้องแปลงระหว่างสัญญาณอนาลอกและดิจิตอลด้วยโมเด็มอีก • ISDN มีความเร็วประมาณ 64 Kbps (Kilobit per second)

  44. DSL • Digital Subscriber Lines (DSL) • รับส่งข้อมูลด้วยความเร็วระดับเมกะบิตผ่านสายโทรศัพท์ธรรมดา • บริการ DSL ที่พบมากคือ บริการแบบ ADSL ซึ่งจะมีความเร็วในการรับส่งไม่เท่ากัน (Asymmetric) • Downstream rate 1.5 – 8.4 Mbps • Upstream rate 1.6-640 Kbps

  45. ATM • Asynchronous Transfer Mode • ความเร็วอยู่ระหว่าง 25 ถึง 155 Mbps

  46. 9.การประยุกต์ใช้งานระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์9.การประยุกต์ใช้งานระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ • กระดานข่าว • จดหมายและจดหมายเสียงทางอิเล็กทรอนิกส์ • การประชุมระยะไกลทางอิเล็กทรอนิกส์ • บริการสารสนเทศทางอิเล็กทรอนิกส์ • การแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ • การโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ • การสั่งซื้อสินค้าทางอิเล็กทรอนิกส์

More Related