200 likes | 982 Views
ชาวอาหรับ-ชาวจีนและชาวไทย. การแต่งกาย. ความเป็นมาของการแต่งกาย. ความ ต้องการของมนุษย์ออกเป็น 3 ลักษณะ ความต้องการพื้น ฐานของมนุษย์ ( Biological Needs) ได้แก่ ปัจจัย 4 คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค
E N D
ชาวอาหรับ-ชาวจีนและชาวไทยชาวอาหรับ-ชาวจีนและชาวไทย การแต่งกาย
ความเป็นมาของการแต่งกายความเป็นมาของการแต่งกาย • ความ ต้องการของมนุษย์ออกเป็น 3 ลักษณะ • ความต้องการพื้น ฐานของมนุษย์ (Biological Needs) ได้แก่ ปัจจัย 4 คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค • ความต้องการด้านร่างกาย (Physical Needs) เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้น เพื่อ ตอบสนองความต้องการพื้นฐาน เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่มนุษย์ต้องการ • ความต้องการด้านจิตวิทยา (Psychological Needs) เป็นความต้องการทางด้านจิตใจ ของมนุษย์ด้านความงาม นอกจากนี้ อาจกล่าวได้ว่า มนุษย์ในยุคโบราณต้องแก้ปัญหาพื้น ฐานในเรื่องปัจจัย 4 เป็น อย่างมาก(พวงผกา คุโรวาท, 2540: 2) และเป็นความพยายามในการควบคุมสิ่งแวดล้อมให้ เหมาะสมกับตนเอง ดังนั้น การแต่งกายของมนุษย์ก็จะแตกต่างกันออกไปตามมูลเหตุต่อไปนี้
ปัจจัยในการแต่งกาย ขนบธรรมเนียม ประเพณี และวัฒนธรรม สภาพภูมิอากาศ ศาสนา สภาพงานและอาชีพ ความต้องการดึงดูดเพศตรงข้าม สถานภาพทางสังคมและเศรษฐกิจ
การแต่งกายของชนชาติอาหรับการแต่งกายของชนชาติอาหรับ • ประเทศในกลุ่มอาหรับมีอยู่ด้วยกันหลายประเทศ คือ คูเวต อิรัก อิหร่าน จอร์แดน ซีเรีย ดูไบ เยเมน และซาอุดิอาระเบีย พื้น ที่ส่วนมากเป็นทะเลทราย อากาศจะร้อนที่สุดในโลก และยังพบ แหล่งน้ำมันซึ่งทำรายได้ให้ประเทศมากที่สุด ในโอเอซีสซึ่งสามารถจะทำกสิกรรมได้บ้าง มีชนหลาย เผ่าคือเบดูอินอยู่ในทะเลทราย เลีย้งอูฐ แกะ และแพะ มีนครเมกะเป็นที่ประดิษฐานหินดำ คือกา-บาท์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางจารึกแสวงบุญของศาสนาอิสลามทั่วโลกเชื่อในพระเป็นเจ้าคือ อัลเลาะห์แต่ องค์เดียว ที่เมืองนี้ได้สร้างเป็นมหาวิทยาลัยของอิสลามขึ้น และชนอิสลามต่างจะไปทำพิธีฮัจญ์ที่นั่น ปัจจุบันอิสลามเป็นกฎหมายปกครองประเทศ
การแต่งกายของชนชาติอาหรับการแต่งกายของชนชาติอาหรับ • ประเทศอาระเบียเคยตกอยู่ในอำนาจของเตอร์กี ภายหลังอินซอุตในสกุลซาอุดิอาระเบีย เป็นผู้นำมีอำนาจขึ้น ในอาณาจักรเนจต์ ได้ขับไล่เตอร์กีออกไป และรวมอาณาจักรเนจต์ และเฮจาซ เข้าด้วยกัน ตั้งเป็นประเทศคือ ซาอุดิอะเรเบียน มีกษัตริย์คาลิคเป็นประมุข การแต่งกายของ ชนพวกนี้จึงต้องเป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่มีอากาศร้อนจัด หนาวจัดและฝุ่นละอองของทราย จึงต้องปกปิดร่างกายของตนอย่างมิดชิด คลุมหน้าผาก เรียกว่าชุดซานูส
การแต่งกายของชาวจีน • ประวัติความเป็นมาของจีนนั้น มีการปกครอง และการเปลี่ยนแปลงหลายราชวงค์ตั้งแต่ ราชวงค์ซ้ง (Shang) ราชวงค์โจ (Chou) ราชวงค์ฉิน (Chin) ราชวงค์ฮั่น ราชวงค์ซ้อง หรือ ซุ่ง (Sung) ราชวงค์เหม็ง จนกระทั่งชาวแมนจูได้เข้ามาปกครองจีน และมีอำนาจจนเปลี่ยนการปกครอง เป็นสาธารณรัฐ เมื่อปี พ.ศ. 2455
การแต่งกายของชาวจีน • เนื่องจากภูมิประเทศของจีนเป็นประเทศที่อยู่ในเขตอากาศหนาวจัด จึงมีความจำเป็นต้อง ปกปิดร่างกายด้วยเสื้อผ้าที่ให้ความอบอุ่น และมิดชิด แขนเสื้อกว้างใหญ่และยาวเพื่อเก็บมือไว้ได้ สมัยก่อนยังไม่รู้จักใช้ถุงมือ ตัวเสื้อจะยาวคร่อมเท้า แบบเสื้อจะเป็นเสื้อป้ายซ้อนกันที่หน้าอก เพื่อให้เกิดความอบอุ่น และสวมกางเกงขายาวไว้ข้างใน
การแต่งกายของชาวจีน • สาธารณรัฐประชาชนจีน ชายจะสวมเสื้อคอปิด แขนยาว สีน้ำเงินหรือดำเรียกว่าจงหาน หรือชุดเหมา หญิงสวมชุดติดกันเข้ารูป เสื้อคอปิดหรือป้ายอก เรียกว่า ฉ่งชำ
การแต่งกายของไทย • วัฒนธรรมการนุ่งห่มของไทยที่ไม่มีการตัดเย็บสะท้อนให้เห็นถึงการออกแบบ เครื่องแต่งกายที่แยบยล ของคนสมัยก่อน เช่น การเลือกใช้วัตถุดิบ การใช้ผ้าเพียงผืนเดียวสามารถนำมา นุ่งห่ม จับ พับจีบให้มีความเหมาะสม ต่อการดำรงชีวิต และขนบธรรมเนียมประเพณี ผ้านุ่งที่ใช้สำหรับปกปิดร่างกายท่อนล่างของคนไทยสมัยโบราณทั้งชายและหญิง จะเป็นผ้าผืนสี่เหลี่ยมผืนผ้า ชาวบ้านทั่วไปนุ่งผ้าพื้นสีเดียวหรือผ้าลาย และผู้มีฐานันดรสูงจะนุ่งผ้าเนื้อดีตามยศฐาบันดาศักดิ์ ส่วนพระ มหากษัตริย์ ์พระราชินี นุ่งผ้า้ ที่มีลวดลายเนื้อดีที่ทอขึ้น เป็นพิเศษ • การแต่งกายของไทยตั้งแต่โบราณได้มีวิวัฒนาการมาเป็นลำดับนับตามยุคตาม สมัย แต่ละยุคสมัยล้วนมีรูปแบบ การแต่งกายที่เป็นของตนเอง ซึ่งไม่อาจสรุปได้ว่าแบบใดยุคใดจะดีกว่าหรือดีที่สุดเพราะวิถีชีวิตหรือ วัฒนธรรม ล้วนต้องมีการปรับเปลี่ยนบูรณาการไปตามสิ่งแวดล้อมของสังคม ที่พอเหมาะพอควรสำหรับตน พอควรแก่โอกาส สถานที่และกาลเทศะ
การแต่งกายของไทยมีลักษณะเด่น3อย่างการแต่งกายของไทยมีลักษณะเด่น3อย่าง • 1. เพื่อการใช้ประโยชน์เครื่องนุ่งห่มของไทยนับตั้งแต่อดีต เน้นการใช้ประโยชน์ ทั้งในด้านความเหมาะสม การประหยัด และความคล่องตัว ดังเช่น สมัยอยุธยา สตรีไทย ตามปกตินิยมแต่งกายที่แสดงถึง ความนุ่มนวล สวยงามตามแบบฉบับหญิงไทย แต่ครั้นปลายสมัยกรุงศรีอยุธยาเกิดศึกสงครามกับพม่า สตรีไทยต้องออกศึกเยี่ยงกับชายไทย การแต่งกายจึงเปลี่ยน ไปเพื่อให้เหมาะสมกับบทบาทใหม่ที่เพิ่มขึ้น เช่น การห่มผ้าตะแบงมานเพื่อให้รัดกุม ไม่รุ่มร่าม คล่องตัวในการเคลื่อนไหวเวลาออกรบ • 2. เพื่อความสวยงามการแต่งกายของสตรีไทยในอดีตบ่งบอกถึงวัฒนธรรมไทยและมีอัตลักษณะหรือแสดงความ เป็นตัวตนที่ชัด เจน คือ ความละเอียดอ่อน การแต่งกายในสมัยรัตนโกสินทร์ช่วงรัชกาลที่ 1-3 สตรีนิยมนุ่งผ้าจีบและห่มสไบเฉียง ต่อมาช่วงรัชกาลที่ 4-5 นิยมนุ่งผ้าโจงกระเบนห่มสไบทับเสื้อแขนกระบอก สมัยรัชกาลที่ 6 นุ่งโจงกระเบนและนุ่งซิ่นก็มี แต่ในสมัยรัชกาลที่ 7 นุ่งซิ่นกันอย่างแพร่หลาย และใส่เสื้อตัวยาวไม่นิยมโจงกระเบนเท่าใดนัก สมัยรัชกาลที่ 9 สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถได้ทรงออกแบบเครื่องแต่งกายที่ประยุกต์มา จากโบราณ แต่ยังคงแสดงออกถึงความเป็นไทย และทรงพระราชทานนามว่า “ชุดไทยพระราชนิยม” • 3. เพื่อความเป็นสวัสดิมงคลตามความเชื่อเรื่องการเลือกสีสันของเสื้อผ้า เพื่อความเป็นสวัสดิมงคลแก่ชีวิต หรือการเลือกใช้สีตามวัน สีเข้ม เช่น สีดำ ไม่นิยมใช้ในงานมงคล แต่นิยมใช้สีที่สดใสแทน หรือการเลือกใช้สีสดและเข้มสลับกัน เช่น ห่มผ้าท่อนบนสีหนึ่ง และนุ่งผ้าท่อนล่างอีกสีหนึ่ง
การเปรียบเทียบระหว่าง ชาวอาหรับ ชาวไทย ชาวจีน