370 likes | 471 Views
ปัจจัยที่มีผลต่อการผลิตสัตว์. 1. เศรษฐกิจและสังคม - ตลาด - เงินทุน - ระบบการส่งเสริมจากภาครัฐและเอกชน - ความต้องการของผู้บริโภค 2. สภาพแวดล้อม ทำเลที่ตั้ง แหล่งน้ำและการคมนาคม ภูมิอากาศ 3. การจัดการ พันธุ์สัตว์ อาหาร เทคโนโลยีที่ใช้ 4. ผู้ประกอบการ (คน).
E N D
ปัจจัยที่มีผลต่อการผลิตสัตว์ปัจจัยที่มีผลต่อการผลิตสัตว์ 1. เศรษฐกิจและสังคม - ตลาด - เงินทุน - ระบบการส่งเสริมจากภาครัฐและเอกชน - ความต้องการของผู้บริโภค 2. สภาพแวดล้อม ทำเลที่ตั้ง แหล่งน้ำและการคมนาคม ภูมิอากาศ 3. การจัดการ พันธุ์สัตว์ อาหาร เทคโนโลยีที่ใช้ 4. ผู้ประกอบการ (คน)
โอกาสและข้อจำกัดในการพัฒนาการปศุสัตว์ของไทยโอกาสและข้อจำกัดในการพัฒนาการปศุสัตว์ของไทย • โอกาส • 1. ผลของการเจรา WTO (มีโอกาสในการส่งสินค้าออกมากขึ้น) • 2. การวิจัยมีการพัฒนาให้เท่าเทียมประเทศอื่นได้ • 3. อุตสาหกรรมแปรรูปมีการพัฒนามากขึ้น
ข้อจำกัด • 1. ผลของการเจรา WTO (สินค้าจากประเทศคู่แข่งเข้ามาตีตลาดมากขึ้น)2. งบวิจัยมีค่อนข้างจำกัด 3. ปัญหาโรคระบาด (วัคซีนไม่พอ/ลักลอบนำเข้า/ โรคระบาดทั่วไปเช่นไข้หวัดนก) 4. เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มาตรฐานที่เพิ่มขึ้น (เพิ่มงบลงทุน/บุคคลากร) • 5. ต้นทุนที่สูงขึ้น (ค่าแรง/ค่าที่ดิน/ค่าโรงเรือน)
หลักการปรับปรุงพันธุ์สัตว์หลักการปรับปรุงพันธุ์สัตว์ • ลักษณะที่สัตว์แสดงออกมา (Phenotype, VP) มาจากผลของ (VP=VG+VE) 1.อิทธิพลของพันธุกรรม (สีผิว/ สีตา ยีน 100%) (Heredity หรือ Gene effect, VG) 2. อิทธิพลของสิ่งแวดล้อม (ผลผลิต มีสิ่งแวดล้อมร่วม) (Environmental effect, VE)
Heredity หรือ อิทธิพลของยีนแบ่งเป็น • ยีนที่ควบคุมด้านปริมาณ (Quantitative) Additive gene effect; VA • ยีนที่ควบคุมลักษณะด้านคุณภาพ (Qualitative) In additive gene effect; VI ดังนั้น VG=VA+VI
กลุ่มของยีนที่ควบคุมด้านปริมาณเป็นยีนหรือกลุ่มของยีนที่ร่วมกันทำงานต่อลักษณะนั้นๆ เรียกว่า เป็นผลของยีนที่ทำงานร่วมกัน(Additive gene effect; VA)เช่นอัตราการให้นม ยีนที่ควบคุมด้านคุณภาพเป็นยีนหรือกลุ่มของยีนที่แสดงผลเมื่อเกิดการข่มกันภายในคู่ของยีน (dominance) ซึ่งเป็นการข่มแบบปกติหรือเกินปกติ(over dominance) หรือการข่มกันข้ามคู่ของยีน (Epistasis) เรียกว่าเป็นผลมาจากของการข่มกันของยีน(ไม่ได้ทำงานร่วมกัน) (In additive gene effect; VI)
เมื่อ VP= VG+VE • และ VG=VA+VI ดังนั้น VP=(VA+VI)+VE
VP=VG+VE =100% สมมุติ VG มีค่า 60 % ดังนั้น VE ก็น่าจะมีค่าเท่ากับ 100-60= 40 % หมายถึง อิทธิพลของยีน (VG)มีผลต่อลักษณะที่ปรากฏ 60% ส่วนสิ่งแวดล้อม(VE)มีผลต่อลักษณะที่ปรากฏ 40%
ดังนั้น สัดส่วนของ VG/VP ในลักษณะนี้ก็จะเท่ากับ • VG/VP = 60/100 = 60% • หรือ 0.6 หรือ 60 ส่วนใน 100 ส่วน • ค่า VG/VP เรียกว่าค่า • Heritability (h2) • ซึ่งเป็นค่าที่บอกว่า ยีนมีผลต่อลักษณะนั้นอยู่เท่าไร (เปอร์เซ็นต์ หรือ ส่วน)
ถ้าลักษณะของกล้ามเนื้อมากมี ค่า h2 สูงเท่ากับ 60% • แสดงว่ายีนที่ควบคุมเรื่องกล้ามเนื้อมีผลถึง 60% ส่วนสิ่งแวดล้อมมีผล 40% • ถ้าพ่อแม่ตัวโตมีกล้ามเนื้อเยอะ โอกาสที่เราจะได้ลูกที่ตัวมีกล้ามเนื้อเยอะก็มีสูงเพราะลักษณะนี้มียีนคุมอยู่ถึง 60%
แต่ถ้าลักษณะของการให้ลูกดกมีค่า h2 เท่ากับ 10% • แสดงว่ายีนที่ควบคุมเรื่องการให้ลูกดกมีผลเท่ากับ 10% ส่วนสิ่งแวดล้อมมีผล 90% • นั่นคือถึงพ่อแม่จะให้ลูกดกแต่โอกาสที่ลูกจะให้ลูกดกเหมือนพ่อแม่มีน้อยเพราะยีนคุมลักษณะนี้อยู่เพียง 10% โดยไปขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมถึง 90%
ตัวอย่าง ถ้าวัวทั้งฝูงหนึ่งมีค่าการเจริญเติบโตเฉลี่ยต่อวัน เท่ากับ 1.0 กิโลกรัม (มีทั้งโตดีและไม่ดีปะปนกันอยู่) • ถ้าเราคัดเอาเฉพาะพ่อแม่วัวในฝูงนั้นที่มีอัตราการเจริญเติบโตดีๆเช่นโตวันละ 1.5 กิโลกรัมมาผสมกัน เราสามารถคาดการณ์ได้ว่าลูกควรจะมีอัตราการเจริญเติบโตเท่าไร • ถ้าค่า h2 ของอัตราการเจริญเติบโตของโคเท่ากับ 0.6 หรือ 60%
ค่าความแตกต่างของการคัดเลือก (selection differential) หรือผลต่างที่เกิดจากการเลือกเอาตัวดีๆแยกออกมาผสมพันธุ์กัน เท่ากับ 1.5-1.0 เท่ากับ 0.5 กิโลกรัม (ค่าของตัวที่ดีๆ มากกว่าค่าเฉลี่ยของฝูง)
ถ้าค่ามีค่าเท่ากับ 100 %หรือยีนคุม 100% • ผลต่างของการคัดเลือกที่จะส่งผลในรุ่นลุกก็เท่ากับ (0.5 x 100)/100= 0.5 • แต่ลักษณะนี้ยีนคุม 60% • ผลต่างของการคัดเลือกที่จะส่งผลในรุ่นลูกเท่ากับ (0.5x 60)/100 =0.3
ดังนั้นถ้ายีนคุม 100%พ่อแม่โต 1.5 กก.ลูกก็ควรจะโต 1.5 กก.ต่อวันแต่ยีนคุมแค่ 60% ลูกที่ได้มีอัตราการเจริญเติบโตเท่ากับ 1.0 +0.3 = 1.3 กก. ซึ่งดีกว่าค่าเฉลี่ยของฝูงเท่ากับ 0.3 กก.
นั่นคือฝูงวัวใหม่ที่คัดเอาเฉพาะรุ่นลูกที่เกิดจากพ่อแม่ที่ดีๆนี้ไว้จะมีอัตราการเจริญเติบโตเฉลี่ย วันละ 1.3 กก. • ถ้าทำต่อไปเรื่อยๆ โดยคัดเอาพ่อแม่ของรุ่นต่อๆไปที่โตดีๆมาผสมกัน รุ่นลูกก็จะมีอัตราการเจริญเติบโตเฉลี่ยที่ดีขึ้นเรื่อยๆ (ประโยชน์ของการคัดพันธุ์)
แต่ถ้าลักษณะการให้ลูกดกที่มีค่ายีนคุมอยู่แค่ 10%(Heritability (h2) =10%) • เช่นหมูฝูงหนึ่งมีค่าเฉลี่ยการให้ลูก =10 ตัว • คัดเอาพ่อแม่ที่ให้ลูกเฉลี่ย =12 ตัว • ผลต่างที่เกิดจากการคัดเลือก (selection differential) = 12-10 =2 ตัว • ยีนมีผล 10% จึงเท่ากับ (2 x 10)/100 = 0.2 ตัว
ลูกที่เกิดมาจึงให้ลูกเฉลี่ย 10 +0.2 = 10.2 ตัวซึ่งให้ผลน้อยมาก 10.2 เทียบกับ 10 ตัว • แสดงว่าการคัดเลือกให้ผลไม่ดีในลักษณะที่มีค่า Heritability (h2)ต่ำหรือยีนคุมลักษณะนั้นน้อย • แต่การคัดเลือกให้ผลดีในลักษณะที่มีค่า Heritability (h2)สูง หรือยีนคุมลักษณะนั้นมาก
ตารางประมาณการค่า Heritability (h2)ในลักษณะต่างๆ
การปรับปรุงพันธุ์จึงใช้การคัดเลือกเอาพ่อแม่ที่ดีมาผสมกัน เพื่อให้ลูกที่ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะในลักษณะที่ยีนมีอิทธิพลมาก (h2 สูง) • คำถาม????????? • แล้วจะทำอย่างไรให้ลักษณะที่ยีนมีอิทธพลน้อย (h2 ต่ำ) เช่น เรื่องการให้ลูกดก มีการปรับปรุงพันธุ์ให้ดีขึ้น • (คัดพ่อแม่ให้ลูกดก ลูกอาจไม่ให้ลูกดกตาม เพราะลักษณะนี้ มี h2 ต่ำ
การปรับปรุงพันธุ์ • การปรับปรุงพันธุ์โดยการผสมพันธุ์แบ่งเป็น 2 ชนิด • 1. การผสมเลือดชิด (Inbreeding) • 2. การผสมข้ามหรือผสมต่างสายเลือด (Out breeding)
การผสมเลือดชิด (Inbreeding) • เป็นการผสมระหว่างสัตว์ที่มีความสัมพันธ์เครือญาติใกล้ชิดกัน ทั้งนี้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดไม่เกิน 4-5 ชั่วอายุ • ผลดี ทำให้ยีนที่เหมือนกันมาจับคู่กันมากขึ้นทำให้ได้ลักษณะพันธุ์แท้มากขึ้น
ตัวอย่าง Aa x Aa AA x Aa Aa x aa 2AA, 2Aa 2Aa, 2aa
สัตว์ที่มียีน AA เมื่อผสมกันลูกก็ได้ AA เหมือนเดิม จึงเป็นสัตว์พันธุ์แท้(หรือถ้ามี aa ผสมกับ aa ก็ยังได้ aa เช่นกัน) • แต่ผลเสียคือ อาจเกิดความอ่อนแอในสัตว์พันธุ์แท้โดยเฉพาะในกรณีของยีนด้อย recessive gene (a) ที่เดิมเคยถูกข่มด้วยยีนเด่น dominance gene(A) ในรูปของ Aa เมื่อเป็นสัตว์พันธุ์แท้ก็จะเป็น aa ซึ่งจะแสดงผลของยีนด้อยนั้นออกมา เช่นทำให้สัตว์ให้ลูกน้อย ผสมติดต่ำ อ่อนแอ
การผสมข้ามหรือการผสมต่างสายเลือด (Outbreeding) • สัตว์ที่ไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกันมาผสมกันทำให้ยีนที่ต่างกันมาจับคู่และเกิดการข่มกันของยีนขึ้น • เช่น AA x aa Aa Aa Aa Aa
การข่มกันของยีนจะเกิดผลได้หลายรูปแบบเช่นการข่มกันของยีนจะเกิดผลได้หลายรูปแบบเช่น 1. A ข่ม a ให้ผลเท่ากับ A เรียกข่มปกติ Dominance 2. A ข่ม a ให้ผลมากกว่า A เรียกข่มเกินปกติ Over dominance 3. A ข่ม b ที่อยู่ข้ามคู่กันให้ผลมากกว่าA เรียก Epistasis
ลักษณะที่ข่มแล้วให้ผลมากกว่าปกตินั่นคือลูกที่เกิดจากการผสมข้ามนี้ให้ผลดีเกินกว่าพ่อแม่ลักษณะที่ข่มแล้วให้ผลมากกว่าปกตินั่นคือลูกที่เกิดจากการผสมข้ามนี้ให้ผลดีเกินกว่าพ่อแม่ • เรียกว่า เกิด Heterosis หรือ Hybrid Vigor หรือ อภิชาตบุตร • เช่น AA ในแม่ทำให้แม่มีลูกดก 12 ตัว • aa ทำให้แม่มีลูกไม่ดกคือ 6 ตัว • ถ้าผสม AA กับ aa ลูกที่ได้คือ Aa • ถ้าเป็นการข่มปกติ dominance • Aa ก็จะให้ลูก 12 ตัว มีผลเท่า AA
เมื่อเกิด over dominance ข่มเกินปกติ • ลูกที่มีลักษณะ Aa จะให้ลูกมากกว่า 12 ตัว เช่น อาจเป็น 14 ตัว เป็นต้น • ซึ่งการเกิด Heterosis นี้มักเกิดกับสัตว์พันธุ์เดียวกันแต่ต่างสายเลือด (out crossing) หรือ ต่างพันธุ์ (cross breeding)มาผสมกัน • แต่ไม่ใช่การผสมข้ามเหล่า (species)เช่นม้ากับลา เพราะทำให้เกิดผลเสียเช่นเป็นหมัน
ตัวอย่างผสมข้ามพันธุ์ตัวอย่างผสมข้ามพันธุ์ ผสมหมูพันธ์ลาร์จไวท์ กับพันธ์แลนด์เรซ ได้ลูกผสมลาร์จไวทxแลนด์เรซ (50:50) ข้อดีคือได้ลูกที่สามารถจะให้ลูกดกมากกว่าพันธ์ลาร์จไวท์ หรือพันธุ์แลนเรซ เพราะเกิด Heterosis ระหว่างสองสายพันธุ์ (มีผลเพิ่มขึ้นประมาณ 5 -20%)
และถ้าผสมข้ามสามสายพันธุ์ คือในรุ่นลูกผสมลาร์จไวท์แลนเรซเมื่อโตเป็นแม่พันธุ์ นำมาผสมกัน พ่อดูรอด ก็จะเกิด heterosis ขึ้นอีก 17-50% (หลานจะมีอัตราการให้ลูกดกมากขึ้น ถ้านำไปผสมต่อ แต่ในทางปฏิบัติไม่ทำ)เพราะ • เพราะการผสมดูรอค ให้ลูกผสมลาร์จไวท์xแลนด์เรซ มีจุดประสงค์เพื่อให้ลักษณะของดูรอคที่มีกล้ามเนื้อและคุณภาพซากดี ถ่ายทอดไปโดยตรง เพราะลักษณะนี้ยีนมีอิทธิพลมาก h2 สูง • หลานที่ได้จึงน่าจะมีกล้ามเนื้อและคุณภาพซากดีเหมือนพ่อดูรอค
แผนการผสมนี้เรียกว่า การผสมหมูสามสาย • คือ ผสม พ่อลาร์จไวท์ กับแม่ แลนเรซ • เพื่อให้ลูกที่ได้เกิด heterosis และสามารถให้ลูกดกมากกว่าพ่อแม่ • เมื่อลูกผสมโตขึ้น คัดเป็นแม่พันธุ์ที่สามารถให้ลูกดก และนำไปผสมกับพ่อดูรอคที่คัดมาว่าดี • เพื่อให้ได้ลูกจำนวนมาก(Heterosis) และลูกที่ได้มีกล้ามเนื้อและคุณภาพซากดี (h2 สูง)
ข้อสังเกตุ • 1. ลักษณะที่เกี่ยวกับระบบสืบพันธ์ เช่นอัตราการให้ลูก อัตราการเลี้ยงรอด จะมีค่า h2 ต่ำ กล่าวคือยีนมีอิทธิพลค่อนข้างน้อย การใช้การผสมข้ามพันธุ์จะทำให้เกิด Heterosis ขึ้นและแก้ปัญหานี้ได้
แต่ถ้าลักษณะที่ยีนมีอิทธิพลอยู่สูงแต่ถ้าลักษณะที่ยีนมีอิทธิพลอยู่สูง • 2. ลักษณะที่เกี่ยวกับคุณภาพซาก กล้ามเนื้อที่ใหญ่โต จะมีค่า h2 สูง กล่าวคือยีนมีอิทธิพลค่อนข้างมาก การผสมโดยการคัดเอาพ่อแม่พันธุ์ที่มีลักษณนั้นดีๆ มาผสมกัน (การคัดพันธุ์) ซึ่งจะเป็นการผสมข้ามพันธุ์หรือการผสมในพันธุ์เดียวกันก็ได้ จะได้ลูกที่ดีคล้ายพ่อแม่ในลักษณะนั้นๆ
นอกจากนั้นยังมีการผสมพันธุ์เช่นนอกจากนั้นยังมีการผสมพันธุ์เช่น • การผสมแบบเพิ่มเลือด up grading • คือการผสมระหว่างสัตว์ต่างพันธุ์ โดยเน้นการผสมข้ามระหว่างสัตว์ต่างประเทศกับสัตว์พื้นเมือง เพื่อเพิ่มลักษณะที่ดีของสัตว์พันธ์ต่างประเทศหรือเพิ่มเลือดเข้าไป แต่ยังคงเลือดหรือลักษณะของสัตว์พื้นเมืองไว้เพื่อประโยชน์บางประการ
เช่น • การผสมโคนมพ่อพันธุ์ขาวดำ กับ แม่โคพันธุ์พื้นเมือง • เพื่อให้ลูกที่ได้ให้นมได้มากขึ้น (ยิ่งมีเลือดขาวดำมาก ก็ให้นมมากขึ้น) • แต่ยังคงเลือดพื้นเมืองไว้ เพราะมีลักษณะการทนร้อนได้ดีกว่า • ส่วนใหญ่จะผสมให้ได้เลือดขาวดำประมาณ 50-87.5% และมีเลือดพื้นเมืองเหลือไว้ 12.5-50%
Na (100) x BW (100) BWna (50:50) x BW (100) BWna (75:25) x BW (100) BWna (87.5:12.5)
หรือการนำสัตว์พันธุ์ดีเข้ามาโดยตรง (ไม่ต้องผสมข้ามกับพันธุ์พื้นเมือง) • สรุป • 1. คัดพันธ์เดิม โดย คัดลักษณะเด่น (h2 สูง) • 2. ผสมในสายพันธ์เดียวกันและคัดเอาลักษณะเด่นเพื่อทำพันธุ์แท้ • 3. ผสมข้ามพันธุ์ เพื่อให้เกิด heterosis • 4.ผสมแบบเพิ่มเลือด • 5. นำสัตว์พันธุ์แท้จากต่างประเทศเข้ามาโดยตรง