1 / 36

ศ. 401 เศรษฐศาสตร์การเมือง

ศ. 401 เศรษฐศาสตร์การเมือง. เศรษฐศาสตร์การเมืองใหม่ ว่าด้วยการแสวงหาค่าเช่าทางเศรษฐกิจ. ความกลัว “ระบบตลาด”. ความเชื่อว่า ตลาดเป็น “ zero-sum game ” การแข่งขันเป็นการทำลายล้างกันของคู่แข่ง ธุรกิจใหญ่ทำลายธุรกิจเล็ก รายย่อยแพ้วันยังค่ำ รายใหญ่ชนะและผูกขาดตลอดกาล

Download Presentation

ศ. 401 เศรษฐศาสตร์การเมือง

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. ศ.401 เศรษฐศาสตร์การเมือง เศรษฐศาสตร์การเมืองใหม่ ว่าด้วยการแสวงหาค่าเช่าทางเศรษฐกิจ

  2. ความกลัว “ระบบตลาด” • ความเชื่อว่า ตลาดเป็น “zero-sum game” • การแข่งขันเป็นการทำลายล้างกันของคู่แข่ง • ธุรกิจใหญ่ทำลายธุรกิจเล็ก • รายย่อยแพ้วันยังค่ำ รายใหญ่ชนะและผูกขาดตลอดกาล • สินค้าส่วนใหญ่มีราคาแพง แต่คุณภาพต่ำ • ระบบเศรษฐกิจเต็มไปด้วยการผูกขาดทุกหนแห่ง • ลูกจ้างคนงานเสียเปรียบ ถูกกดขี่ขูดรีด ไม่มีทางสู้ • ผู้ขายมีสถานะได้เปรียบ รังแกผู้ซื้อเสมอ

  3. ผู้ผลิตและผู้ขายได้กำไรมหาศาล ผู้ซื้อถูกเอาเปรียบตลอดเวลา • การโฆษณาเป็นกิจกรรมสูญเปล่า แต่มีอำนาจจูงใจเบ็ดเสร็จ • ผู้บริโภคถูกชักจูงให้หลงเชื่ออย่างงมงายด้วยการโฆษณา • รัฐบาลต้องแทรกแซงระบบเศรษฐกิจอย่างทั่วด้าน • ปราบการผูกขาด • สร้างเสถียรภาพให้กับตลาด • ควบคุมราคา • ลดกำไรให้อยู่ในระดับ “เป็นธรรม” • “คุ้มครองผู้บริโภคและธุรกิจรายย่อย”

  4. ผลประโยชน์ส่วนตนกับการแข่งขันผลประโยชน์ส่วนตนกับการแข่งขัน • ทุกคนเห็นแก่ประโยชน์ตนและไม่ชอบการแข่งขัน • แต่การแข่งขันทำให้ระบบตลาดเป็น “positive-sum game” • อันตรายจากการผูกขาดโดยเอกชนเป็นเรื่องเกินจริง • ผู้ขายต้องเผชิญกับเส้นอุปสงค์ที่แน่นอน (ค่าความยืดหยุ่น) • ถ้าปราศจากการสนับสนุนของรัฐ การผูกขาดของเอกชนมักจะอยู่ได้ไม่นาน • การผูกขาดถาวรมักจะเป็นผลจากการใช้อำนาจของรัฐบาลเพื่อแสวงหาค่าเช่าทางเศรษฐกิจ(economic rent)

  5. ตลาดผูกขาด (monopoly) • มีผู้ผลิต/ผู้ขายเพียงรายเดียว (ในความหมายแคบ) • มีอิทธิพลในการกำหนดราคา (price-maker) • ผลผลิตของบริษัทคือผลผลิตของทั้งอุตสาหกรม • บริษัทเผชิญกับเส้นอุปสงค์ที่มีความชันลาดลง • ถ้าบริษัทเปลี่ยนปริมาณการผลิต ราคาจะเปลี่ยนแปลงในทางตรงข้าม • การผูกขาดในความหมายกว้าง • มีผู้ผลิตน้อยราย และมีการรวมหัวกันคุมตลาด • แบ่งสัดส่วนการผลิต แบ่งส่วนตลาด จำกัดปริมาณเพื่อขึ้นราคาสินค้า

  6. Profit maximization P LRMC economic rents LRAC A Pm E Pc G F D=AR MR Q Qm Qc

  7. อำนาจในตลาด (market power) • ความสามารถในการตั้งราคาให้สูงกว่าต้นทุนหน่วยสุดท้าย(MC) และได้รับกำไรทางเศรษฐศาสตร์ (P > MR=MC) • เส้นอุปสงค์ส่วนที่มีค่าความยืดหยุ่นต่ำ (ลดปริมาณผลิต ทำให้ราคาและรายรับจากการขายสูงขึ้น) • ไม่มีสินค้าทดแทนที่ใกล้เคียง • รสนิยมของผู้บริโภค • อุปสรรคในการเข้าสู่ตลาด (เทคโนโลยี วัตถุดิบ สภาพภูมิศาสตร์ กฎหมายและการแทรกแซงของรัฐ)

  8. P LRMC=S A C Pm B Pc D E D=AR MR Q Qc Qm

  9. การสูญเสียสวัสดิการ (Deadweight loss) • ส่วนเกินผู้บริโภคบางส่วนถูกโอนไปให้ผู้ผลิต • ส่วนเกินผู้บริโภคและส่วนเกินผู้ผลิตบางส่วนสูญหายไป • ผลลัพธ์ในกรณีตลาดแข่งขัน • Consumer surplus = A + B + C. • Producer surplus = D + E • Collective surplus = A + B + C + D + E • ผลลัพธ์ในตลาดผูกขาด • Consumer surplus = A • Producer surplus = B + D • Collective surplus = A + B + D • Welfare loss = C + E

  10. อำนาจการผูกขาดจากด้านต้นทุนอำนาจการผูกขาดจากด้านต้นทุน • การผูกขาดอาจเกิดจากความได้เปรียบด้านต้นทุน (cost advantage) • การเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตเฉพาะที่หายาก • เหมืองแร่ บุคลากรพิเศษ • เทคโนโลยีใหม่ กระบวนการผลิตใหม่และการจัดองค์กรใหม่ • การผูกขาดธรรมชาติและการประหยัดขนาด • ต้นทุนเฉลี่ย (AC) ลดลงเมื่อเพิ่มปริมาณการผลิต • ผู้ผูกขาดรายเดียวมีประสิทธิภาพมากกว่าผู้ผลิตหลายรายที่มีขนาดเล็กกว่า

  11. Natural monopoly AC,MC • ผู้ผลิตรายเดียวทำการผลิตที่ q1 และขายที่ราคา p1. • ผู้ผลิตสองราย แต่ละรายผลิตที่ q2 และขายที่ราคา p2. AC b p2 a p1 q q1 q2

  12. การแทรกแซงโดยรัฐเพื่อแก้การผูกขาดการแทรกแซงโดยรัฐเพื่อแก้การผูกขาด • รัฐบาลกำหนดเพดานราคา (price ceiling) ณ จุดที่ MR=MC ให้ได้ผลลัพธ์เท่ากับตลาดแข่งขัน (optimal pricing) • เส้นอุปสงค์และ MR “หักมุม” ณ ระดับราคาที่ควบคุม • ปริมาณผลผลิตเพิ่มขึ้น ราคาลดลง ส่วนเกินผู้บริโภคและส่วนเกินผู้ผลิต มีขนาดเท่ากับตลาดแข่งขันทุกประการ

  13. Optimal price regulation P MC=S A C Pm B Pc D E D=AR MR Q Qc Qm

  14. ปัญหา optimal pricing • ผู้ผูกขาดมักจะมีอิทธิพลทางการเมืองเหนือรัฐบาล • การติดสินบน การข่มขู่ การใช้อิทธิพล “เหนือการเมือง” • รัฐบาลมักจะเกรงใจผู้ผูกขาดมากกว่าเกรงใจผู้บริโภค • รัฐและเจ้าหน้าที่มีพฤติกรรมแสวงหาค่าเช่าทางเศรษฐกิจร่วมกับผู้ผูกขาด • รัฐบาลไม่รู้ลักษณะของเส้นอุปสงค์และ MR ของผู้ผูกขาด • รัฐบาลตั้งราคาสูงเกินไป ผู้ผูกขาดยังคงได้กำไรทางเศรษฐศาสตร์ • รัฐบาลตั้งราคาต่ำเกินไป ปริมาณผลผลิตน้อย เกิด deadweight loss.

  15. Non-optimal price regulation P MC=S price = pg output = q2 deadweight loss = B + D B A Pm D C Pg E D=AR MR Q qd q2 q1

  16. รัฐบาลตั้งราคาต่ำกว่า optimal pricing • ถ้าราคาควบคุมต่ำกว่า shutdown point ผู้ผูกขาดจะหยุดผลิต • ถ้าราคาควบคุมสูงกว่า shutdown point เกิดอุปสงค์ส่วนเกิน ปริมาณผลผลิตต่ำกว่าระดับเหมาะสม • ผู้บริโภคบางส่วนได้รับสินค้าที่ราคาควบคุม แต่บางส่วนไม่ได้รับ • เกิด deadweight loss เนื่องจากปริมาณผลผลิตต่ำกว่าระดับเหมาะสม

  17. การผูกขาดโดยเอกชนไม่อาจอยู่ได้นานการผูกขาดโดยเอกชนไม่อาจอยู่ได้นาน • การผูกขาดถูกใช้เป็นเหตุผลให้รัฐบาลเข้าแทรกแซงระบบเศรษฐกิจ • การผูกขาดโดยเอกชนมีแนวโน้มที่จะล้มเหลวในระยะยาวถ้าไม่มีอุปสรรคในการเข้าสู่ตลาด • ผู้ผูกขาดเผชิญกับเส้นอุปสงค์และโครงสร้างต้นทุนที่แน่นอน • สินค้าทดแทนทั้งใกล้เคียงและห่างไกลมีอยู่เสมอ • กำไรผูกขาดดึงดูดคู่แข่งให้เข้ามาแข่งขันช่วงชิงกำไร • ความได้เปรียบด้านต้นทุนหายไปเมื่อคู่แข่งเลียนแบบได้สำเร็จ • การผูกขาดโดยเอกชนจะอยู่ได้ ต้องได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล

  18. การผูกขาดที่สร้างโดยรัฐบาลการผูกขาดที่สร้างโดยรัฐบาล • รัฐบาลสร้างการผูกขาดโดยการสร้างอุปสรรคในการเข้าสู่ตลาด • การผูกขาดโดยเอกชน ได้แก่ ใบอนุญาต สัมปทาน สัญญาเช่า • มีอยู่ทั่วไปในกิจการสาธารณูปโภคและอุตสาหกรรมหนัก • อุตสาหกรรมทารก(infant industries) คุ้มครองด้วยกำแพงอัตราภาษีนำเข้า โควต้าการนำเข้า การห้ามนำเข้า • รัฐบาลเป็นผู้ผูกขาดเสียเอง --- รัฐวิสาหกิจ • รัฐให้อำนาจผูกขาดเพื่อจูงใจการประดิษฐ์คิดค้น (สิทธิบัตร ลิขสิทธิ์) • การผูกขาดชั่วคราวแลกกับการทำกำไรเพื่อจูงใจการประดิษฐ์คิดค้น

  19. เหตุผลที่รัฐบาลอ้างเพื่อให้ผูกขาด?เหตุผลที่รัฐบาลอ้างเพื่อให้ผูกขาด? • ในกิจการสาธารณูปโภค มักเกิดการผูกขาดธรรมชาติเนื่องจากการประหยัดขนาด • ให้บริการแก่ประชาชนในปริมาณที่เหมาะสมและราคาต่ำ • เพื่อ “ความมั่นคงของชาติ” • การผูกขาดโดยเอกชนแต่กำกับโดยรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ • อุตสาหกรรมทารก • ให้ผู้ผลิตในประเทศมีโอกาสเติบโตและได้ประโยชน์จากการประหยัดขนาด • เปิดให้มีการแข่งขันและการนำเข้าเมื่อผู้ผลิตเหล่านี้ “พร้อม”

  20. การแสวงหาค่าเช่าทางเศรษฐกิจการแสวงหาค่าเช่าทางเศรษฐกิจ • การผูกขาดเป็นการโอนส่วนเกินผู้บริโภคไปเป็นค่าเช่า (rents) • ค่าเช่าทางเศรษฐกิจคือมูลค่าของสิทธิผูกขาดที่ผู้ผูกขาดได้จากการรับโอนส่วนเกินผู้บริโภค • รัฐบาลสร้างการผูกขาดขึ้นเพื่อมีส่วนแบ่งในค่าเช่ากับผู้ผูกขาด • ค่าธรรมเนียมใบอนุญาต ค่าสัมปทาน ส่วนแบ่งรายได้ • เงินสินบน คอรัปชั่น ผลประโยชน์ต่างตอบแทน • ตลาดซื้อขายสิทธิผูกขาด • อุปทาน ได้แก่ ชนชั้นปกครอง รัฐบาล นักการเมือง ข้าราชการ • อุปสงค์ ได้แก่ ธุรกิจเอกชน รัฐวิสาหกิจ

  21. ถ้าไม่มีอุปสรรคการเข้าสู่ตลาด เส้นอุปทานของตลาดจะเป็นเส้นนอน รัฐบาลจำกัดจำนวนผู้ผลิตในตลาด (ระบบใบอนุญาต) ผู้ได้รับใบอนุญาตมีอำนาจในตลาด ได้ค่าเช่าเศรษฐศาสตร์ และจ่าย “ค่าธรรมเนียมใบอนุญาต” ตลาดนั้น ๆ กลายเป็น “ตลาดเชลย” (captive market) ปริมาณผลผลิตต่ำกว่าและราคาสูงกว่าระดับที่เหมาะสม เกิดการสูญเสียสวัสดิการ deadweight loss มักใช้ในอุตสาหกรรมหนัก เชื้อเพลิง เคมี ปิโตรเคมี เหล็ก รถยนต์ ผูกขาดด้วยการจำกัดจำนวนผู้ผลิต

  22. License holder Market p p mc s2 ac d profits A p2 p2 C B s1 p1 p1 q q q1 q2 n2q2 n1q1

  23. ถ้าไม่มีอุปสรรคในการเข้าสู่ตลาด จะมีผู้ผลิตเป็นจำนวน n1 และผลผลิตตลาดในปริมาณ n1q1 • ส่วนเกินผู้บริโภคเท่ากับ A+B+C • การบังคับใบอนุญาตทำให้จำนวนผู้ผลิตลดลงเป็น n2 และผลผลิตตลาดในปริมาณ n2q2 • ส่วนเกินผู้บริโภคลดลงเหลือ A • B ถูกโอนไปเป็นส่วนเกินผู้ผลิต • C = deadweight loss • กำไรถูกแบ่งระหว่างผู้มีใบอนุญาตกับผู้มีอำนาจอนุญาต

  24. การห้ามเข้าสู่ตลาดเด็ดขาด (entry ban) • รัฐบาลให้อำนาจผูกขาดด้วยการห้ามรายใหม่เข้ามาแข่งขัน • ให้สัมปทานผูกขาดแก่ผู้ผลิตเอกชนรายเดียว โดยมีสัญญาแบ่งรายได้ (revenue sharing) • ผู้ผูกขาดเอกชนหรือรัฐวิสาหกิจต้องส่งส่วนแบ่งกำไรให้แก่รัฐบาล • นิยมปฏิบัติในกิจการสาธารณูปโภค ที่มีลักษณะ “ผูกขาดตามธรรมชาติ” (natural monopoly) • อ้างเหตุผล “เพื่อประสิทธิภาพ” “คุ้มครองผู้บริโภค” และ “ความมั่นคงทางเศรษฐกิจของชาติ”

  25. การห้ามนำเข้า (import bans) • ถ้าให้นำเข้าโดยเสรี เส้นอุปทานจะเป็นเส้นนอน ณ ระดับราคาในตลาดโลก • รัฐบาลห้ามการนำเข้าสินค้าที่เป็นคู่แข่ง (เพื่อปกป้อง “ผู้ผลิตภายในประเทศ” หรือ “อุตสาหกรรมทารก”) • สินค้าเกษตร ปัจจัยการผลิต วัสดุก่อสร้าง เหล็ก ปิโตรเคมี รถยนต์ • ผู้บริโภคต้องพึ่งพาผู้ผลิตภายในประเทศเท่านั้น • ตลาดภายในประเทศกลายเป็น “ตลาดเชลย” (captive market) • ราคาสูง แต่ปริมาณผลผลิตต่ำกว่าระดับที่เหมาะสม

  26. p d sd A pb B C pw sw D q qd qb q*

  27. ถ้าให้นำเข้าได้โดยเสรี ผู้บริโภคจะซื้อผลผลิตในประเทศเท่ากับ qd และซื้อสินค้านำเข้าเท่ากับ qd-q* และจ่ายราคา pw • ส่วนเกินผู้บริโภคเท่ากับ A+B+C • ส่วนเกินผู้ผลิตเท่ากับ D • เมื่อรัฐบาลห้ามการนำเข้า ผู้ผลิตจะซื้อผลผลิตในประเทศเท่ากับ qb และจ่ายที่ราคา pb • ส่วนเกินผู้บริโภคเท่ากับ A • ส่วนเกินผู้ผลิตเท่ากับ B+D = ค่าเช่าผูกขาด • กำไรจากความได้เปรียบด้านต้นทุนจริงเท่ากับ D • Deadweight loss = C

  28. กำแพงภาษีนำเข้า (tariffs) • Specific tariff คิดภาษีคิดบาทต่อปริมาณ (กิโล ตัน ฯลฯ) • Ad valorem tariff คิดเป็นร้อยละของราคาขาย • ภาษีนำเข้าเลื่อนส่วนที่เป็นเส้นนอนของเส้นอุปทานขึ้นไปเท่ากับจำนวนภาษีนำเข้า • ผลผลิตในประเทศสูงขึ้น ขณะที่ปริมาณนำเข้าลดลง และราคาสูงขึ้น • ส่วนเกินผู้บริโภคบางส่วนกลายเป็นรายได้ภาษีศุลกากรของรัฐ • ผลสุทธิแล้ว เกิด deadweight loss • สินค้าบริโภคทั่วไป วัสุดุก่อสร้าง ปิโตรเคมี เคมี รถยนต์

  29. p sd d A pw+t sw+t B D C E pw sw F q q* q2 q1 q0

  30. ถ้าไม่มีภาษีนำเข้า ปริมาณขายคือ q* ณ ราคาเท่ากับ pw • ผลผลิตในประเทศเท่ากับ q2 ปริมาณนำเข้าเท่ากับ q2-q* • ส่วนเกินผู้บริโภคเท่ากับ A+B+C+D+E • ส่วนเกินผู้ผลิตเท่ากับ F • เมื่อมีภาษีนำเข้า ปริมาณขายเท่ากับ q0 ณ ราคาเท่ากับ pw+t • ผลผลิตในประเทศเพิ่มเป็น q1 ปริมาณนำเข้าลดลงเป็น q1-q0 • ส่วนเกินผู้บริโภคเท่ากับ A • ส่วนเกินผู้ผลิตเท่ากับ B+F • รายรับจากภาษีนำเข้าเท่ากับ D • Deadweight loss = C+E

  31. โควต้าการนำเข้า (import quota) • รัฐบาลจำกัดปริมาณนำเข้าสูงสุดไม่เกินเพดาน • มีผลเสมือนการกำหนดอัตราภาษีนำเข้า • แต่สูญเสียสวัสดิการมากกว่า เพราะรัฐไม่ได้รับรายได้ภาษีนำเข้า • โควต้าการนำเข้าถูกกำหนดไว้ที่ q1-q0 • Deadweight loss = C+D+E • สินค้าเกษตร อาหาร ปัจจัยการผลิตเกษตร

  32. การกีดกันการค้าและการแสวงหาค่าเช่าการกีดกันการค้าและการแสวงหาค่าเช่า • ผู้ผลิตในประเทศนิยมให้จำกัดการนำเข้า • ส่วนเกินผู้บริโภคบางส่วนถูกโอนไปเป็นส่วนเกินผู้ผลิตแก่ผู้ผลิตในประเทศในรูปของกำไรจากการกีดกันการค้า (protective tariffs) • ทั้งรัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐได้รับส่วนแบ่งค่าเช่าทั้งถูกและผิดกฎหมาย • ตลาดสินค้านั้น ๆ กลายเป็น “ตลาดเชลย” (captive market) • ผู้ผลิตในประเทศสามารถขึ้นราคาสินค้าของตนได้เท่ากับอัตราภาษีนำเข้า

  33. อุตสาหกรรม “เฒ่าทารก” • การกีดกันการนำเข้ามักอ้างเพื่อคุ้มครอง “อุตสาหกรรมทารก” • ปัญหาการ “เลือกผู้ชนะ” (picking the winner) มักลงเอยเป็นการเลือกผิดและคอรัปชั่น • กีดกันทั้งการนำเข้าและผู้ผลิตในประเทศรายอื่น ๆ • ความไม่แน่นอนว่า ผู้ที่ถูกเลือกจะชนะในอนาคต ประโยชน์ของผู้บริโภคถูกเสียสละให้กับความไม่แน่นอนของความสำเร็จนโยบายของรัฐ • อุตสาหกรรมทารกจำนวนมากไม่เคยเติบโตจนแข่งขันได้ • บางส่วนกลายเป็นผู้ผูกขาดถาวรที่อิงการคุ้มครองจากรัฐบาลตลอดไป

  34. รัฐวิสาหกิจ • รัฐวิสาหกิจคือการผูกขาดโดยรัฐ • เชื่อว่า กิจการของรัฐดำเนินไปเพื่อ “ประโยชน์ของประชาชน” • มีแพร่หลายในกิจการสาธารณูปโภคและสินค้าปกติทั่วไป • ความล้มเหลวของรัฐวิสากิจ • ขาดทุนเรื้อรัง เป็นภาระที่รัฐต้องหาเงินภาษีหรือเงินกู้มาอุดหนุน • องค์กรมีขนาดใหญ่โต จ้างพนักงานล้นเกิน ลงทุนขนาดใหญ่เกินไป แต่ผลตอบแทนต่ำ • ค่าจ้างเงินเดือนสวัสดิการสูงกว่าแต่ผลิตภาพต่ำกว่าตลาด • ทุจริตคอรัปชั่น ลัทธิอุปถัมป์ ลัทธิพวกพ้อง

  35. การแก้ปัญหาการผูกขาดโดยเอกชนการแก้ปัญหาการผูกขาดโดยเอกชน • การผูกขาดโดยเอกชนและการรวมหัวกัน (cartels) ที่ไม่มีรัฐบาลหนุนหลังมักจะล้มเหลวในเวลาไม่นาน • ลดการแทรกแซงของรัฐในธุรกิจผูกขาดเอกชนที่รัฐควบคุม (deregulation) • การแปรรูปรัฐวิสาหกิจให้เป็นเอกชนและให้ผู้ประกอบการเอกชนเข้ามาแข่งขัน (privatization) • กำหนดนโยบายการแข่งขันและ “กฎหมายการแข่งขัน” (antitrust/competition laws) • ข้อกำหนดด้าน “โครงสร้าง” และ “พฤติกรรม”

  36. การแปรรูปรัฐวิสาหกิจให้เป็นเอกชน (privatization) • ในตลาดสินค้าส่วนบุคคล ให้รัฐบาลถอนตัว ให้เอกชนแข่งขันกันเอง • ในกิจการสาธารณูปโภค • แปลงสภาพรัฐวิสาหกิจให้เป็นบริษัทมหาชนเพื่อเพิ่มความโปร่งใสทางงบประมาณและบัญชี ลดภาระหนี้สาธารณะ • แยกโครงสร้างเครือข่ายพื้นฐาน (network) ออกจากการให้บริการ (service) • เปิดประมูลให้เอกชนได้สิทธิเข้ามาประกอบการให้บริการในช่วงเวลาที่กำหนด ณ ราคาต่ำสุด

More Related