1 / 48

นัยของข้อตกลงพหุภาคีด้านสิ่งแวดล้อม ที่มีต่อเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมไทย :

นัยของข้อตกลงพหุภาคีด้านสิ่งแวดล้อม ที่มีต่อเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมไทย :. ข้อตกลงด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ. ดร.ชโลทร แก่นสันติสุขมงคล สัมมนาทางวิชาการประจำปี 2553 คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. เกริ่นนำ.

keran
Download Presentation

นัยของข้อตกลงพหุภาคีด้านสิ่งแวดล้อม ที่มีต่อเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมไทย :

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. นัยของข้อตกลงพหุภาคีด้านสิ่งแวดล้อมที่มีต่อเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมไทย:นัยของข้อตกลงพหุภาคีด้านสิ่งแวดล้อมที่มีต่อเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมไทย: ข้อตกลงด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ดร.ชโลทร แก่นสันติสุขมงคล สัมมนาทางวิชาการประจำปี 2553 คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

  2. เกริ่นนำ ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นวิกฤตการณ์ทางสิ่งแวดล้อมที่สำคัญ ซึ่งน่าจะมีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบกายภาพ ระบบนิเวศ และรวมถึง ระบบเศรษฐกิจและสังคมของโลก อย่างมาก ในปัจจุบันมีข้อตกลงพหุภาคีด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระดับโลก อยู่ 2 ข้อตกลง คือ กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) และ พิธีสารเกียวโต เป้าหมายการเจรจาในปัจจุบัน: การหาข้อตกลงร่วมกันในการจัดการสภาพภูมิอากาศหลังปี 2012 ประเด็นปัญหา: การจัดสรรระดับพันธกรณีสำหรับประเทศพัฒนาแล้ว (Annex I countries: AI) และ ประเทศกำลังพัฒนา (Non-Annex I countries: NAI)

  3. วัตถุประสงค์/ภาพรวมของบทความวัตถุประสงค์/ภาพรวมของบทความ • สรุปทิศทาง/แนวโน้มที่เกิดขึ้นในกระบวนการเจรจา ในประเด็นเกี่ยวกับ (ก) ระดับความจำเป็นในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวม และ (ข) การกระจายพันธกรณีระหว่างกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว/ประเทศกำลังพัฒนา • ทดลองการคำนวณการจัดสรรพันธกรณี ภายในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา (Non-Annex I countries: NAI) และ เปรียบเทียบภาระของประเทศไทย • พิจารณาความเป็นไปได้/ทางเลือกของประเทศไทยในการลดการปล่อยก๊าซ CO2 จากภาคการผลิตพลังงานไฟฟ้า ตามระดับพันธกรณีข้างต้น

  4. ระดับพันธกรณี/การมีส่วนร่วมของประเทศพัฒนาแล้ว/กำลังพัฒนาระดับพันธกรณี/การมีส่วนร่วมของประเทศพัฒนาแล้ว/กำลังพัฒนา

  5. ข้อเสนอในแง่ภาพรวมความจำเป็นระดับโลกข้อเสนอในแง่ภาพรวมความจำเป็นระดับโลก • ควรรักษาระดับการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกในระดับไม่เกิน [1.5] [2] องศาเซลเซียส • ควรรักษาระดับความเข้มข้นของก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศที่ระดับ [350] [400] [450] ppm CO2-eq • ปริมาณการปล่อยก๊าซรวมของโลกควรจะหยุดการเพิ่มและเริ่มลดลงภายในปี [2015] [2020] [2015 สำหรับประเทศพัฒนาแล้ว และ 2025 สำหรับประเทศกำลังพัฒนา] [ภายใน 10-15 ปี] • ปริมาณการปล่อยก๊าซรวมของโลกควรจะต้องลดลงอย่างน้อย [50%] [85%] จากระดับในปี 1990 ภายในปี 2050

  6. ข้อเสนอเกี่ยวกับการจัดสรรภาระพันธกรณี/ความมีส่วนร่วมระหว่างกลุ่มประเทศข้อเสนอเกี่ยวกับการจัดสรรภาระพันธกรณี/ความมีส่วนร่วมระหว่างกลุ่มประเทศ • ข้อเสนอของเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซของประเทศพัฒนาแล้ว • ประเทศพัฒนาแล้วควรลดการปล่อยก๊าซลงในระดับ [25-40%] [25%] [30%] [40%] [45%] [50%] จากระดับการปล่อยก๊าซในปี 1990 ภายในปี 2020 • ประเทศพัฒนาแล้วควรลดการปล่อยก๊าซลงในระดับ [80%] [95%]จากระดับการปล่อยก๊าซในปี 1990 ภายในปี 2050 • ข้อเสนอของเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซของประเทศกำลังพัฒนา • ประเทศกำลังพัฒนาควรลดการปล่อยก๊าซในระดับ [ที่มีความแตกต่างอย่างชัดเจน (Substantial Deviation)] [15%-30%]จากระดับการปล่อยในสภาวะเศรษฐกิจปกติ (Business as Usual, BAU) ภายในปี 2020

  7. เปรียบเทียบข้อเสนอกับผลการศึกษาของ IPCC • เมื่อพิจารณาตัวเลขเป้าหมายต่างๆ ที่ปรากฏในข้อเสนอ พบว่าตัวเลขเป้าหมายหลักๆ ที่ปรากฏในข้อเสนอต่างๆ มีความสอดคล้องอย่างสูงมากกับข้อมูลตัวเลขที่ปรากฏในรายงาน IPCC ฉบับล่าสุด (IPCC Fourth Assessment Report, IPCC-AR4) • Table SPM.5: เป้าหมายการลดก๊าซรวมของโลก • Box 13.7: การกระจายพันธกรณีระหว่าง Annex I กับ Non-Annex I

  8. เปรียบเทียบข้อเสนอกับผลการศึกษาของ IPCC

  9. Summary of Box 13.7 in IPCC-AR4 Source: Adjusted from IPCC Working Group III, 2007 (Box13.7, p.776)

  10. Revised Box 13.7 Source: den Elzen and Hohne (2008)

  11. การวิเคราะห์การจัดสรรพันธกรณีในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาการวิเคราะห์การจัดสรรพันธกรณีในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา

  12. คำถาม ถ้ากลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่เป็นNAIของ UNFCCC จะต้องถูกกำหนดให้มีพันธกรณีร่วมกันในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ในปี 2020ลงในระดับ 15%หรือ 30%จาก BAU ผลของการจัดแบ่งภาระต่อพันธกรณีดังกล่าวจะมีผลการจัดสรรในลักษณะใดได้บ้าง?

  13. เกณฑ์การจัดสรรพันธกรณีเกณฑ์การจัดสรรพันธกรณี *ข้อเสนอเกณฑ์การจัดสรรพันธกรณีที่พิจารณาในการวิเคราะห์ 4 ข้อเสนอ (เกณฑ์อย่างง่าย 2 เกณฑ์ และ เกณฑ์ที่เน้นหลักความเป็นธรรม 2 เกณฑ์) • Equal BAU Percentage • ประเทศ NAI ทุกประเทศมีภาระต้องลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมของตนในปี 2020ลงในสัดส่วนที่เท่าเทียมกันเมื่อเทียบกับปริมาณการปล่อยในกรณี BAU (นั่นคือ ทุกประเทศจะต้องลด 15% หรือ 30% เท่าเทียมกัน) • Equal 1990 Percentage • ประเทศ NAI ทุกประเทศมีภาระต้องลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมของตนในปี 2020ลงในสัดส่วนที่เท่าเทียมกันเมื่อเทียบกับปริมาณการปล่อยของตนในปี 1990

  14. เกณฑ์การจัดสรรพันธกรณี(ต่อ)เกณฑ์การจัดสรรพันธกรณี(ต่อ) • Equal Emission Rights • ประชากรของโลกทุกคนควรมีสิทธิ์เท่าเทียมกันในการร่วมใช้ทรัพยากรส่วนรวมของโลก ดังนั้นประชากรของ NAI ทุกประเทศ ย่อมควรได้รับสิทธิ์ในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อหัวประชากรในอัตราที่เท่าเทียมกันทั้งหมด • Contraction and Convergence (C&C) • ตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นไปประเทศ NAI ทุกประเทศจะต้องค่อยๆ ปรับลดความแตกต่างของค่าเฉลี่ยการปล่อยก๊าซต่อหัวของตน เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยรวมของประเทศ NAI ทั้งหมด ลงในอัตรา 25% ต่อทศวรรษ เมื่อเทียบกับค่าความแตกต่างที่ดำรงอยู่ในปี 2010 ซึ่งจะมีผลทำให้ค่าเฉลี่ยของการปล่อยก๊าซต่อหัวของ NAI ทุกประเทศจะถูกปรับค่าจนมีค่าเท่าเทียมกันในปี 2050 *นิยามเกณฑ์ 3&4 เป็นการดัดแปลงจากนิยามข้อเสนอต้นแบบ เพื่อใช้ในการวิเคราะห์ NAI

  15. ฐานข้อมูล และ ข้อจำกัดของการวิเคราะห์ • ข้อมูลหลักของการวิเคราะห์:ข้อมูลของ International Energy Agency ใน 2 รายงาน • CO2 Emissions from Fuel Combustion 2009: Highlights • World Energy Outlook 2009 (ร่วมกับการทำ Interpolation/Extrapolation เพื่อเติมเต็มช่องว่างของข้อมูล) • ข้อจำกัดของข้อมูล • เป็นข้อมูลและประมาณการการปล่อยก๊าซ CO2จากภาคพลังงาน • ข้อมูลประมาณการมีถึงแค่ปี 2030 • ข้อมูลประมาณการรายภูมิภาค + ประเทศสำคัญ + ประเทศใน ASEAN • ข้อจำกัดของการวิเคราะห์ • การแบ่งแยก AI/NAI ทำได้ไม่สมบูรณ์ • เป็นการวิเคราะห์แบบบางส่วน (เฉพาะ CO2; เฉพาะ NAI) • วิเคราะห์เกณฑ์ความเป็นธรรมหลายๆ ข้อเสนอไม่ได้

  16. สรุปผลของประเทศไทยภายใต้เกณฑ์การจัดสรรทั้ง 4 รูปแบบ • กรณี 15% จาก BAU • ได้รับสิทธิ์ในการปล่อยก๊าซ CO2ต่อหัวประชากรในช่วงระหว่าง 2.584 – 3.761 ตันต่อคน • หรือเทียบเท่ากับต้องมีภาระพันธกรณีในการลดการปล่อยก๊าซจากระดับ BAU ลงระหว่าง 15-42% • กรณี 30% จาก BAU • ได้รับสิทธิ์ในการปล่อยก๊าซ CO2ต่อหัวประชากรในช่วงระหว่าง 2.13 – 3.10 ตันต่อคน • หรือเทียบเท่ากับต้องมีภาระพันธกรณีในการลดการปล่อยก๊าซจากระดับ BAU ลงระหว่าง 30-52% (***กรณี BAU อัตราการปล่อยก๊าซ CO2ต่อหัวประชากรของไทย = 4.425 ตันต่อคน ***)

  17. การวิเคราะห์ทางเลือกในการลดการปลดปล่อยการวิเคราะห์ทางเลือกในการลดการปลดปล่อย กรณีศึกษา ภาคการผลิตพลังงานไฟฟ้าของประเทศไทย

  18. คำถาม • ถ้าประเทศไทยมีความจำเป็นจะต้องลดการปล่อยก๊าซ CO2จากภาคการผลิตพลังงานไฟฟ้าลงในระดับ 15% หรือ 30% เมื่อเทียบกับระดับการปลดปล่อยในกรณี BAU ในปี 2020 เราจะมีทางเลือกและความเป็นไปได้ในการจัดการภาคการผลิตพลังงานไฟฟ้าของประเทศไทยอย่างไรบ้าง?

  19. ข้อมูลที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลที่ใช้ในการวิเคราะห์ • แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า ฉบับ PDP 2010 • แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า ฉบับ PDP 2007: Revision 2 วิธีการคำนวณปริมาณการปล่อย CO2 • Revised 1996 IPCC Guidelines for National Greenhouse Gas Inventories ร่วมกับ ข้อมูลค่าความร้อนสุทธิของเชื้อเพลิงแต่ละประเภทจากรายงานไฟฟ้าของประเทศไทย

  20. การกำหนดนิยามของกรณี BAU • ปัญหาการกำหนดขนาดการปลดปล่อยก๊าซในกรณี BAU • ความไม่แน่นอนของการพยากรณ์ เพราะเป็นการคาดประมาณค่าปริมาณการปล่อยก๊าซที่ควรจะเกิดขึ้นในอนาคต ที่ยังไม่ได้มีการเกิดขึ้นจริงๆ • ปัญหาการตีความว่า สภาวะ BAU หรือ “สภาวะเศรษฐกิจปกติ ที่ควรจะเกิดขึ้นหากไม่ได้มีการดำเนินนโยบายและ/หรือมาตรการที่มีเป้าหมายเพื่อที่จะก่อให้เกิดการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก” คืออะไร? • ทางเลือกในการกำหนดกรณีอ้างอิง BAU • ปริมาณการปล่อยก๊าซ CO2ภายใต้แผน PDP2010 เอกสาร “นโยบายและแนวทางการปรับปรุงแผน PDP2010” ของกระทรวงพลังงาน ได้มีการระบุให้ “คำนีงถึงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของโรงไฟฟ้าใหม่” และ “พิจารณาการปรับลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในการวางแผน” • ปริมาณการปล่อยก๊าซ CO2ภายใต้แผน PDP2007R2

  21. การกำหนดนิยามของกรณี BAU(ต่อ) • ความแตกต่างของปริมาณการปล่อยก๊าซ CO2: PDP2010 vs PDP2007R2 • ความแตกต่างในค่าพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้า • ปรับตามความต้องการจริงปี 2552 และ ปรับลดพยากรณ์ GDP ในอนาคต ==> เป็นการปรับเพื่อความถูกต้องของข้อมูล ไม่ใช่ผลของนโยบายการลดก๊าซ • ผลของมาตรการประหยัดพลังงาน • รวมผลของโครงการหลอดผอมใหม่ T5 ==> วัตถุประสงค์ส่วนหนึ่งของโครงการ คือ เพื่อช่วยลดก๊าซเรือนกระจก • ผลของการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนของแหล่งพลังงานในการผลิตไฟฟ้า • แผน PDP2010 ลดสัดส่วนการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติและถ่านหินนำเข้า และ เพิ่มสัดส่วนการพึ่งพาพลังงานหมุนเวียน และ การซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศมากขึ้น ทำให้ปริมาณการปล่อยก๊าซ CO2ตามแผน PDP2010 มีค่าลดต่ำลง • แผน PDP2010: จะมีรฟฟ.นิวเคลียร์ในปี 2020 ... แต่เชื่อว่าน่าจะมีความล่าช้า

  22. ทางเลือกในการนิยามกรณี BAU ใหม่ • New BAU1:ถือว่าความแตกต่าง (1) ควรนับรวมใน BAU อยู่แล้ว • ใช้ค่าพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าใหม่ของ PDP2010 เป็นฐาน • ไม่รวมผลการประหยัดพลังงานของโครงการ T5 • สมมติให้สัดส่วนของแหล่งพลังงานในการผลิตพลังงานไฟฟ้ามีค่าเป็นไปตามสัดส่วนที่ปรากฏใน PDP2007R2 • New BAU2 : ถือว่าความแตกต่าง (1) & (3) ควรนับรวมใน BAU อยู่แล้ว • ใช้ค่าพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าใหม่ของ PDP2010 แต่ไม่รวมผลโครงการ T5 • ใช้ปริมาณของแหล่งพลังงานในการผลิตพลังงานไฟฟ้าของ PDP2010เป็นฐาน • สมมติให้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ไม่สามารถดำเนินการได้ทันในปี 2020 --> ใช้ถ่านหินนำเข้าแทน • New BAU3 : ถือว่าความแตกต่าง (1) & (3) ควรนับรวมใน BAU อยู่แล้ว • ใช้ค่าพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าใหม่ของ PDP2010 แต่ไม่รวมผลโครงการ T5 • ใช้ปริมาณของแหล่งพลังงานในการผลิตพลังงานไฟฟ้าของ PDP2010เป็นฐาน • สมมติให้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ไม่สามารถดำเนินการได้ทันในปี 2020 --> ใช้ก๊าซธรรมชาติแทน

  23. การพิจารณาทางเลือกในการลดก๊าซ CO2 • การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานไฟฟ้า เพื่อลดความต้องการในการผลิตพลังงานไฟฟ้า (EE) • การเพิ่มปริมาณการใช้พลังงานหมุนเวียนในการผลิตไฟฟ้า (RE)  เพื่อให้สามารถลดการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิล ได้แก่ ถ่านหินนำเข้า ลิกไนต์ หรือ ก๊าซธรรมชาติ การวิเคราะห์จึงต้องเริ่มจากการประมาณการขนาดของ “ศักยภาพของการเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน” และ “ศักยภาพของการใช้พลังงานหมุนเวียน”ของประเทศไทยในปี 2020

  24. ประมาณการศักยภาพการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานไฟฟ้าของประเทศไทยประมาณการศักยภาพการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานไฟฟ้าของประเทศไทย

  25. ประมาณการศักยภาพพลังงานหมุนเวียนเพื่อการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยประมาณการศักยภาพพลังงานหมุนเวียนเพื่อการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย

  26. การพิจารณาทางเลือกต่างๆ ในการปฏิบัติตามเป้าหมายพันธกรณี 15% และ 30% ข้อสมมติ • การวิเคราะห์ครั้งนี้จะจำกัดเฉพาะการวิเคราะห์ทางเลือกในการจัดการความต้องการและการจัดหาพลังงานไฟฟ้าของประเทศไทย เพื่อให้บรรลุเป้าหมายพันธกรณีในการลดก๊าซ CO2ในระดับที่กำหนด เฉพาะในปี 2020 เท่านั้น • การวิเคราะห์ในครั้งนี้จะจำกัดเฉพาะการวิเคราะห์ปริมาณการปลดปล่อยก๊าซ CO2จากการผลิตพลังงานไฟฟ้าภายในประเทศ (ไม่รวมส่วนการนำเข้า) • ใช้กรณี New BAU3 เป็นฐาน: ค่าความต้องการพลังงานไฟฟ้าจากแหล่งผลิตในประเทศ ก่อนการหักผลการใช้มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพพลังงานเพิ่มเติม สำหรับปี 2020 จะมีค่าอยู่ที่ระดับ 202,500 GWh (เท่ากับกรณี New BAU3)เสมอ

  27. การพิจารณาทางเลือกต่างๆ ในการปฏิบัติตามเป้าหมายพันธกรณี 15% และ 30% ข้อสมมติ (ต่อ) • ปริมาณการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากน้ำมันเตา น้ำมันดีเซล และ ไฟฟ้าพลังน้ำ ในปี 2020 มีค่าคงที่ในระดับเดียวกับที่กำหนดในแผน PDP2010 เสมอ นั่นคือ จะอยู่ที่ระดับ 0 GWh 21 GWh และ 6,065 GWh ตามลำดับ • ศักยภาพของมาตรการการเพิ่มประสิทธิภาพพลังงานไฟฟ้าและศักยภาพของการใช้พลังงานหมุนเวียนในการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย ในปี 2020 จะมีค่าเท่ากับ 31,620 และ 39,468 GWh ตามลำดับ ซึ่งจะทำให้ศักยภาพรวมอยู่ที่ 71,088 GWh • การคำนวณปริมาณการปลดปล่อยก๊าซ CO2จะพิจารณาเฉพาะในส่วนของการเผาไหม้เชื้อเพลิงเพื่อการผลิตพลังงาน โดยจะใช้วิธีการคำนวณแบบ Tier 1 Method ตามที่กำหนดไว้ใน Revised 1996 IPCC Guidelines for National Greenhouse Gas Inventories

  28. กรณีพันธกรณี 15% (เป้าหมาย 81.76 ล้านตัน) • ทางเลือก 15A • ปรับลดการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงถ่านหินนำเข้าลงให้เหลือเพียง 16426 GWh (ลดลง 16379 GWh) • เพิ่มการส่งเสริมและพัฒนาการใช้พลังงานหมุนเวียนและการเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน (RE&EE) ในระดับ 44% ของศักยภาพทั้งหมด • ทางเลือก 15B • ปรับลดการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงถ่านหินนำเข้าลงให้เหลือเพียง 16426 GWh (ลดลง 16379 GWh) • เร่งดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เพื่อให้ทันกับกำหนดการเดิมที่ระบุไว้ในแผน PDP2010 • เพิ่มการส่งเสริมและพัฒนาการใช้พลังงานหมุนเวียนและการเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน (RE&EE) ในระดับ 33% ของศักยภาพทั้งหมด

  29. พลังงานไฟฟ้ารวม = 188,662 GWh

  30. พลังงานไฟฟ้ารวม = 192,072 GWh

  31. พิจารณาทางเลือกสำหรับกรณีพันธกรณีระดับ 15% • ทั้งสองทางเลือก เป็นทางเลือกที่มีความเป็นไปได้ในระดับสูง เพราะในแผน PDP2010 มีการคาดการณ์ว่าในปี 2020 จะมีการพึ่งพิงการใช้พลังงานหมุนเวียนและการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในระดับ 22% ของศักยภาพทั้งหมดอยู่แล้ว (พึ่งพาการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน 14730 GWh และ การประหยัดพลังงานจากโครงการ T5 เท่ากับ 1170 GWh) ดังนั้นการดำเนินมาตรการต่างๆ เพิ่มเติมเพื่อเพิ่มผลการพัฒนาศักยภาพดังกล่าว ในระดับ 11-22% จึงน่าจะถือว่ามีความเป็นไปได้

  32. กรณีพันธกรณี 30% (เป้าหมาย 67.33 ล้านตัน) • ทางเลือก 30A • ยกเลิกการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงถ่านหินนำเข้าในปี 2020 ทั้งหมด • เพิ่มการส่งเสริมและพัฒนาการใช้พลังงานหมุนเวียนและการเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน (EE&RE) ในระดับ 67% ของศักยภาพทั้งหมด • ทางเลือก 30B • ยกเลิกการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงถ่านหินนำเข้าในปี 2020 ทั้งหมด • เร่งดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เพื่อให้ทันกับกำหนดการเดิมที่ระบุไว้ในแผน PDP2010 • เพิ่มการส่งเสริมและพัฒนาการใช้พลังงานหมุนเวียนและการเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน (EE&RE) ในระดับ 56% ของศักยภาพทั้งหมด

  33. กรณีพันธกรณี 30% (เป้าหมาย 67.33 ล้านตัน) • ทางเลือก 30C • หยุดการขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงถ่านหินเพิ่มเติมจากที่มีอยู่ในปัจจุบัน (คงระดับการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินนำเข้าไว้ที่ระดับในปี 2553 ที่ 12320 GWh) • คงปริมาณการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ แต่ปรับลดการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงลิกไนต์ลงให้เหลือเพียง 5435 GWh • เร่งดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เพื่อให้ทันกับกำหนดการเดิมที่ระบุไว้ในแผน PDP2010 • เพิ่มการส่งเสริมและพัฒนาการใช้พลังงานหมุนเวียนและการเพิ่มประสิทธิภาพพลังงานในระดับ 55% ของศักยภาพทั้งหมด

  34. กรณีพันธกรณี 30% (เป้าหมาย 67.33 ล้านตัน) • ทางเลือก 30D • หยุดการขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงถ่านหินเพิ่มเติมจากที่มีอยู่ในปัจจุบัน (คงระดับการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินนำเข้าไว้ที่ระดับในปี 2553 ที่ 12320 GWh) • คงปริมาณการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงลิกไนต์ แต่ปรับลดการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติลงให้เหลือเพียง 104,017 GWh (ซึ่งใกล้เคียงกับปริมาณการผลิตในปีปัจจุบัน) • เร่งดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เพื่อให้ทันกับกำหนดการเดิมที่ระบุไว้ในแผน PDP2010 • เพิ่มการส่งเสริมและพัฒนาการใช้พลังงานหมุนเวียนและการเพิ่มประสิทธิภาพพลังงานในระดับ 78% ของศักยภาพทั้งหมด

  35. พลังงานไฟฟ้ารวม = 181,355 GWh

  36. พลังงานไฟฟ้ารวม = 184,765 GWh

  37. พลังงานไฟฟ้ารวม = 185,012 GWh

  38. พลังงานไฟฟ้ารวม = 177,943 GWh

  39. พิจารณาทางเลือกสำหรับกรณีพันธกรณีระดับ 30% * ทางเลือกที่พิจารณาทั้งหมดเป็นทางเลือกที่เป็นไปได้แต่ค่อนข้างมีปัญหา • ทางเลือก 30A และ 30B (ค่อนข้างเป็นไปได้ยาก) • ยุติการลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินใหม่ รวมทั้งปลดระวางโรงไฟฟ้าถ่านหินที่มีอยู่ในปัจจุบันออกไปทั้งหมดด้วย • โรงไฟฟ้าถ่านหินทั้งหมดที่มีอยู่ในปัจจุบันเป็นโรงไฟฟ้าของผู้ผลิตเอกชน และเป็นโรงไฟฟ้าที่ค่อนข้างใหม่ จึงน่าจะเป็นการยากที่จะดำเนินการได้ • ทางเลือก 30C (มีความเป็นไปได้) • ปลดระวางโรงไฟฟ้าแม่เมาะของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าที่มีอายุการใช้งานมายาวนาน และประสบปัญหาการร้องเรียนเรื่องสภาพมลภาวะจากชาวบ้านในพื้นที่พอสมควร • ทางเลือก 30D (มีความเป็นไปได้มากที่สุด) • ไม่ต้องมีการปลดระวางโรงไฟฟ้าก่อนกำหนด • แต่มีความเป็นไปได้มาก/น้อยแค่ไหน ในการที่จะขยายการพึ่งพาการใช้พลังงานหมุนเวียนและการเพิ่มประสิทธิภาพพลังงานไปจนถึงระดับสูงมากถึง 78% ของศักยภาพทั้งหมด

  40. ทางเลือกการผลิตไฟฟ้า ในปี 2020

  41. บทสรุป • ประชาคมโลกมีความจำเป็นอย่างเร่งด่วนที่จะต้องร่วมมือร่วมใจกันในการดำเนินการปรับลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงมาอย่างมากและอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้เนื่องจากระดับของอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยรวมของโลกที่มีการปลดปล่อยกันอยู่ในปัจจุบัน มีค่าอยู่ในระดับที่สูงกว่าระดับที่เหมาะสมที่ระบบกายภาพของโลกจะสามารถรองรับได้ในระยะยาวอยู่อย่างมาก • ภายใต้เกณฑ์ข้อเสนอในการจัดสรรพันธกรณีที่นำมาใช้ในการวิเคราะห์ครั้งนี้ทั้งหมด เราไม่พบว่ามีเกณฑ์การจัดสรรใดเลย ที่เลือกจัดสรรให้ประเทศไทยต้องมีพันธกรณี (ในหน่วยของเปอร์เซ็นต์พันธกรณีเทียบกับ BAU) ในระดับที่ต่ำกว่าค่าพันธกรณีเฉลี่ยของ NAI

  42. บทสรุป(ต่อ) • ในกรณีของการลดการปล่อยก๊าซ CO2ในภาคการผลิตไฟฟ้า ประเทศไทยน่าจะมีศักยภาพในการบรรลุเป้าหมายพันธกรณีในระดับ 15% ของ BAUภายในปี 2020 ได้โดยไม่ยุ่งยากมากนัก ขณะที่การบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซ CO2ในระดับพันธกรณี 30% ของ BAUจะเป็นเรื่องที่มีความยุ่งยากมากกว่ามาก แต่ก็ยังมีความเป็นไปได้อยู่

  43. ขอขอบคุณ สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อ.ประชา และ คณะทำงานสัมมนา คณะเศรษฐศาสตร์ คณาจารย์ และ เจ้าหน้าที่ คณะเศรษฐศาสตร์ทุกท่าน คุณคมศักดิ์ สว่างไสว และ คุณหิริพงษ์ เทพศีริอำนวย ผู้ช่วยวิจัย

More Related