1 / 73

วัตถุประสงค์

โมดูล 2 การจัดทำแผนการศึกษาเฉพาะบุคคล ( IEP ) และเทคนิคการปรับหลักสูตรสำหรับผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษ. วัตถุประสงค์. 1. ระบุความหมายของการศึกษาพิเศษ หลักการและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้สำหรับผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษ

Download Presentation

วัตถุประสงค์

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. โมดูล 2 การจัดทำแผนการศึกษาเฉพาะบุคคล (IEP) และเทคนิคการปรับหลักสูตรสำหรับผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษ

  2. วัตถุประสงค์ 1. ระบุความหมายของการศึกษาพิเศษ หลักการและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้สำหรับผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษ 2. อธิบายความแตกต่างระหว่างการเรียนร่วม และการจัดการศึกษาแบบเรียนรวม 3. อธิบายความหมายและกระบวนการจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (individualized Education Program: IEP) 4. วิเคราะห์ลักษณะของผู้เรียนเป็นรายบุคคลเพื่อวางแผนการจัดการศึกษา 5. ทำงานเป็นทีมร่วมกับผู้ปกครองและคณะสหวิทยาการเพื่อจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล 6. วิเคราะห์งานและกิจกรรมในชั้นเรียนเพื่อปรับเป้าหมายการเรียนรู้จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม และการประเมินผลสำหรับผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษ 7. นำหลักการและวิธีการปรับหลักสูตรไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับความต้องการพิเศษของผู้เรียนและเหมาะกับสาระการเรียนรู้

  3. การศึกษาพิเศษ การเรียนร่วม การจัดการศึกษาแบบเรียนรวม และกระบวนการจัดทำแผนการศึกษาเฉพาะบุคคล (Individualized Education Program: IEP)

  4. Keep in Mindข้อพึงตระหนัก • At risk • Prevention • Catch them before they fall • One size doesn’t fit all • Can’t do vs. won’t do • Can’t learn vs. can’t teach • Whatever he is…Teach him.

  5. คำสำคัญ DisabilityVSImpairment VS Handicap Normalization สภาพแวดล้อมที่มีขีดจำกัดน้อยที่สุด (Least Restrictive Environment: LRE) แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (Individualized Education Program: IEP) การจัดการศึกษาแบบเรียนรวม (Inclusive Education) การเรียนร่วม (Mainstreaming) 5

  6. การเรียนร่วม (Mainstreaming) • การจัดให้เด็กที่มีความต้องการพิเศษเข้าไปในระบบการศึกษาปกติ เปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนและทำกิจกรรมร่วมกับเด็กทั่วไป โดยมีครูประจำชั้นและครูการศึกษาพิเศษร่วมมือและรับผิดชอบร่วมกัน • จุดมุ่งหมาย • ตอบสนองความจำเป็นขั้นพื้นฐานและพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนเป็นเฉพาะบุคคล • การศึกษาพิเศษประเทศไทยมุ่งเน้นการจัดการศึกษาแบบเรียนร่วมให้กับผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษในหลากหลายรูปแบบ เช่น • จัดเป็นชั้นเรียนพิเศษเต็มเวลาในโรงเรียนทั่วไป โดยผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษเรียนวิชาต่างๆ ในชั้นเรียนการศึกษาพิเศษตลอดทั้งวัน แต่มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมที่ไม่ใช่วิชาการกับเพื่อนๆ เช่นกิจกรรมสันทนาการ รับประทานอาหาร สวดมนต์เคารพธงชาติ กีฬา หรือทัศนศึกษา • จัดให้ผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษเข้าเรียนในชั้นเรียนปกติเต็มเวลา หรือบางเวลา โดยมีครูสอนเสริม (Resource Teacher) หรือครูเดินสอน (Itinerant Teacher) ให้ความช่วยเหลือและสอนร่วมกับครูประจำชั้น

  7. การจัดการศึกษาแบบเรียนรวม(Inclusive Education) การศึกษาสำหรับทุกคนโดยรับเข้ามาเรียนรวมกันตั้งแต่เริ่มเข้ารับการศึกษา และจัดให้มีบริการพิเศษตามความต้องการของแต่ละบุคคล เมื่อสถานศึกษารับเด็กเข้ามาเรียนรวมกับเด็กทั่วไป สถานศึกษาและครูจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบจัดสภาพแวดล้อม การจัดการเรียนการสอน หลักสูตร การประเมินผล เพื่อให้ครูสามารถจัดการเรียนการสอนได้ตามความต้องการของผู้เรียนเป็นเฉพาะบุคคล ซึ่งจะทำให้เด็กสามารถพัฒนาตนเองได้เต็มศักยภาพ

  8. โอกาส โรงเรียนเลือกเด็ก เตรียมความพร้อมก่อนเข้าเรียน ฝ่ายบริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มโรงพยาบาลหรือการศึกษาพิเศษ ส่งต่อเด็กไปโรงเรียนเรียนร่วม ช่วยเหลือ แนะนำเทคนิคการสอน บริการสอนเสริม จัดหาสิ่งอำนวยความสะดวก อบรม ปรับทัศนคติบุคลากร สิทธิ เด็กเลือกโรงเรียน ไม่ต้องเตรียมความพร้อมก่อนเข้าเรียน โรงเรียนรับผิดชอบจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมตามความต้องการพิเศษของเด็กหรือเชิญผู้เชี่ยวชาญทางการศึกษาพิเศษ ช่วยเหลือ แนะนำเทคนิคการสอน บริการสอนเสริม จัดหาสิ่งอำนวยความสะดวก อบรม ปรับทัศนคติบุคลากร การเรียนร่วม vs การจัดการศึกษา แบบเรียนรวม

  9. ใครคือผู้เรียน—เด็กพิเศษคือใคร Who? คณะอนุกรรมการคัดเลือกและจำแนกความพิการทางการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ (2552) • บุคคลที่มีความบกพร่องทางการเห็น • บุคคลที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน • บุคคลที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา • บุคคลที่มีความบกพร่องทางร่างกาย หรือการเคลื่อนไหว หรือสุขภาพ • บุคคลที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ • บุคคลที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา • บุคคลที่มีปัญหาทางพฤติกรรมหรืออารมณ์ • บุคคลออทิสติก • บุคคลพิการซ้อน

  10. เรียนที่ไหน-เมื่อไร Where and when? • การจัดสภาพแวดล้อมที่มีขีดจำกัดน้อยที่สุด • การจัดการศึกษาจะต้องพิจารณารูปแบบชั้นเรียนทั่วไปเป็นตัวเลือกที่ 1 (first placement option) และจัดร่วมกับกิจกรรมเสริมหลักสูตร การปรับสภาพแวดล้อม และการบริการสนับสนุนเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาสำหรับบุคคล โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ • เปิดโอกาสให้บุคคลได้รับการศึกษาเท่าเทียมเช่นเดียวกับบุคคลอื่น • บุคคลได้รับการศึกษาและโอกาสอื่นๆ เต็มตามศักยภาพ • บุคคลได้มีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับบุคคลอื่น • มีโอกาสที่จะได้รับผลกระทบจากการศึกษาและสังคมเช่นเดียวกับบุคคลทั่วไป

  11. สอนอะไร = หลักสูตรWhat? • ความหมาย หลักสูตร (Curriculum หรือ Curricula) หมายถึง เนื้อหาที่ใช้สอน และกระบวนการตรวจสอบเพื่อให้นักเรียนบรรลุตามจุดประสงค์การเรียนรู้ที่ตั้งไว้ โดยมีการจัดแนวการเรียนการสอนเป็นระบบที่ชัดเจน • หลักสูตรแกนกลางหรือหลักสูตรขั้นพื้นฐาน (Mainstream หรือ General Curriculum) • หลักสูตรเฉพาะสถานศึกษา (Specific Curriculum) • หลักสูตรเพิ่มเติมสอนทักษะเฉพาะที่จำเป็น (Functional Curriculum) • เช่น หลักสูตรทักษะการดำรงชีวิต (Life Skills Curriculum)

  12. เรียน/สอนอย่างไรHow? • การสอน (Instruction) = วิธีการสอนของครู (How a teacher teaches) • ก่อนสอน = การออกแบบการสอน (Design of Instruction) • ระหว่างสอน = การดำเนินการสอน (Delivery of Instruction) • เทคนิคการสอน = การใช้เทคนิคต่างๆมาใช้ (Teaching Technique) โดยเน้นเทคนิคที่มีงานวิจัยรองรับ (Research-Based and Effective Instruction) • การประเมิน (Assessment) = กระบวนการตรวจสอบว่าการสอนนั้นได้ผลหรือไม่และติดตามความก้าวหน้าของผู้เรียน (How a teacher knows whether the instruction is effective and monitors the student progress)

  13. สรุป: การศึกษาพิเศษ • ใครคือผู้เรียน Who? • เรียนที่ไหน-เมื่อไร Where and when? • เรียนอะไร What? • เรียน/สอนอย่างไร How?

  14. แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล Individualized Education Program (IEP)

  15. ความหมาย แผนซึ่งกำหนดแนวทางการจัดการศึกษาที่สอดคล้องกับความต้องการจำเป็นพิเศษ (Special Needs) ของคนพิการตลอดจนกำหนดสิ่งอำนวยความสะดวกสื่อบริการและความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษา(พระราชบัญญัติการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ พ.ศ. 2551) IEP เป็นแผนการจัดการศึกษาที่เขียนขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษรสำหรับผู้เรียนคนใดคนหนึ่งโดยคณะ IEP หรือที่ประชุมเฉพาะกรณีเกี่ยวกับผู้เรียน IEP เป็นเครื่องมือในการจัดการกับกระบวนการตรวจสอบการสอนทั้งหมด IEP: What teachers plan to do to meet and exceptional student’s needs, and the plan must be approved by the student’s parents or guardian (Hallahan & Kauffman, 2006)

  16. วัตถุประสงค์ • ผู้เกี่ยวข้องทุกคนตระหนัก รับผิดชอบ (Being Accountable) และร่วมกันจัดการศึกษาสำหรับผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษไปในทิศทางเดียวกัน • ผู้ปกครองมีส่วนร่วมตัดสินใจวางแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลสำหรับผู้เรียนตั้งแต่เริ่มต้นเข้ารับบริการทางการศึกษา • โรงเรียนหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีแนวทางในการจัดหาหรือจัดบริการสนับสนุนได้อย่างเหมาะสม • เพื่อประเมินผลการจัดการศึกษาและประกันคุณภาพการศึกษาสำหรับผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษ

  17. กระบวนการจัดทำ IEP • ขั้นตอนการติดต่อผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อรวบรวมข้อมูลเบื้องต้น ข้อมูลเบื้องต้น • ข้อมูลส่วนตัว • ข้อมูลครอบครัว • ข้อมูลทางการแพทย์/สุขภาพ • ข้อมูลทางการศึกษา • ข้อมูลความต้องการด้านสิ่งอำนวยความสะดวก สื่อ บริการและความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษา • ข้อมูลสวัสดิการและสังคมสงเคราะห์ ผู้ที่เกี่ยวข้อง • ผู้ปกครอง • ครูประจำชั้น ครูการศึกษาพิเศษ นักวิชาชีพ • แพทย์ • นักสังคมสงเคราะห์ • ผู้บริหารสถานศึกษา

  18. กระบวนการจัดทำ IEP (ต่อ) • ขั้นตอนการแต่งตั้งคณะกรรมการจัดทำ IEP • แต่งตั้งคณะกรรมการจัดทำ IEP จากบุคคลผู้เกี่ยวข้อง โดยคณะกรรมการมีจำนวนไม่น้อยกว่า 3 คนแต่ไม่เกิน 7 คนโดยบุคคลหลักคือ • ผู้บริหารสถานศึกษา หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย • บิดาหรือมารดา หรือผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลคนพิการ • ครูประจำชั้น/ครูแนะแนว หรือครูการศึกษาพิเศษหรือครูที่รับผิดชอบงานด้านการศึกษาพิเศษที่ผู้บริหารสถานศึกษามอบหมาย เป็นคณะกรรมการและเลขานุการ • บทบาทหน้าที่ของคณะกรรมการ • ประชุมเพื่อจัดทำ IEP • ลงนามใน IEP เมื่อประชุมครั้งแรกเสร็จสิ้น และนำแผนไปสู่การปฏิบัติ • ประเมิน ทบทวน ปรับแผน ราบงานผลการประเมินการดำเนินการ อย่างน้อยปีการศึกษาละ 2 ครั้ง

  19. กระบวนการจัดทำ IEP (ต่อ) • ขั้นตอนการประเมินความสามารถในปัจจุบัน • คณะกรรมการดำเนินการ • รวบรวมข้อมูลความสามารถในปัจจุบัน (Present Levels of Performances: PLOPS)จากการประเมินผล โดยใช้แบบทดสอบ แบบประเมินพัฒนาการ แบบสังเกตพฤติกรรม แบบสัมภาษณ์ • พัฒนาการด้านต่างๆ • ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน

  20. กระบวนการจัดทำ IEP (ต่อ) • ขั้นตอนการจัดการเรียนการสอนตาม IEP • จัดทำแผนการสอน ปรับเนื้อหาหลักสูตร และจัดบริการสนับสนุนตาม IEP • ปฏิบัติการสอนและประเมินวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมในแต่ละคาบเรียน • ประเมินวัตถุประสงค์ระยะยาว ติดตามความก้าวหน้าของผู้เรียน • ประเมินความต้องการด้านสิ่งอำนวยความสะดวก สื่อ บริการและความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษา • นำเสนอรายงานการประเมินความก้าวหน้า และรายงานการดำเนินงานตามแผน IEP ต่อคณะกรรมการ

  21. กระบวนการจัดทำ IEP (ต่อ) • ขั้นตอนการส่งต่อ • นำส่ง IEP และรายงานการประเมินความก้าวหน้า รายงานการดำเนินงานตามแผน IEP แฟ้มประวัติ และแฟ้มสะสมผลการเรียนของผู้เรียนเมื่อผู้เรียนจบการศึกษาแต่ละระดับหรือย้ายสถานศึกษาเพื่อเป็นข้อมูลในการจัดการศึกษาสำหรับผู้เรียนต่อไป

  22. ลักษณะของความบกพร่อง แต่ละประเภท

  23. ลักษณะทั่วไปของผู้เรียนที่มีความบกพร่องทางการเห็นลักษณะทั่วไปของผู้เรียนที่มีความบกพร่องทางการเห็น • บุคคลที่มีความบกพร่องทางการเห็น ได้แก่ บุคคลที่สูญเสียการเห็นตั้งแต่ระดับเล็กน้อยจนถึงตาบอดสนิท • คนเห็นเลือนราง หมายถึง บุคคลที่สูญเสียการเห็น แต่ยังสามารถอ่านอักษรตัวพิมพ์ขยายใหญ่ด้วยอุปกรณ์เครื่องช่วยความพิการ หรือเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก หากวัดความชัดเจนของสายตาข้างดีเมื่อแก้ไขแล้วอยู่ในระดับ 6 ส่วน 18 เมตร (6/18) หรือ 20 ส่วน 70 ฟุต (20/70) หรือมีลานสายตาแคบกว่า 30 องศา ลงไปจนถึง 10 องศา • คนตาบอด หมายถึง บุคคลที่สูญเสียการเห็นมาก จนต้องใช้อ่านอักษรเบรลล์ หากตรวจวัดความชัดของสายตาข้างดีเมื่อแก้ไขแล้ว อยู่ในระดับ 6 ส่วน 60 เมตร (6/60) หรือ 20 ส่วน 200ฟุต (20/200) จนถึงไม่สามารถรับรู้เรื่องแสง หรือมีลานสายตาแคบกว่า 10 องศา • มีอาการคันตา น้ำตาไหลอยู่เสมอ หรือมีอาการตาแดงบ่อยๆ • มองเห็นไม่ชัดในบางครั้ง มองเห็นภาพซ้อน วิงเวียนศีรษะ • เวลามองวัตถุไกลๆ ต้องขยี้ตาหรือกระพริบตาบ่อยๆหรือทำหน้าย่นขมวดคิ้ว • เวลาเดินต้องระมัดระวังหรือเดินช้าๆ โดยกลัวจะสะดุดสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ขวางหน้า • สายตาสู้แสงสว่างไม่ได้

  24. ลักษณะทั่วไปของผู้เรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยินลักษณะทั่วไปของผู้เรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน • บุคคลที่มีความบกพร่องทางการได้ยินได้แก่ บุคคลที่สูญเสียการได้ยินตั้งแต่ระดับหูตึงน้อยจนถึงหูหนวก • คนหูตึง หมายถึง บุคคลที่มีการได้ยินเหลืออยู่เพียงพอที่จะได้ยินการพูดผ่านทางการได้ยิน โดยทั่วไปจะใส่เครื่องช่วยฟัง ซึ่งหากตรวจวัดการได้ยินจะมีการสูญเสียการได้ยินน้อยกว่า 90 เดซิเบลลงมาถึง 26 เดซิเบล • คนหูหนวก หมายถึง บุคคลที่สูญเสียการได้ยินมากจนไม่สามารถเข้าใจการพูดผ่านทางการได้ยินไม่ว่าจะใส่หรือไม่ใส่เครื่องช่วยฟัง ซึ่งหากตรวจวัดการได้ยินจะมีการสูญเสียการได้ยินน้อยกว่า 90 เดซิเบลลงมาถึง 26 เดซิเบล • อาจจะมีปัญหาในการพูดคือ พูดได้น้อย หรือพูดไม่ชัด ต้องใช้ภาษาท่าทางหรือภาษามือ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่สูญเสียการได้ยิน เช่น หากบุคคลสูญเสียการได้ยินตั้งแต่กำเนิดอาจจะมีปัญหาในการพูดมากกว่าบุคคลที่สูญเสียการได้ยินหลังจากมีภาษาพูดแล้ว และการที่บุคคลได้รับการสอนพูดตั้งแต่เด็กหรือไม่ • บุคคลที่มีความบกพร่องทางการได้ยินมีปัญหาในการปรับตัว เนื่องจากไม่สามารถสื่อสารกับผู้อื่นให้เข้าใจ เกิดความคับข้องใจและส่งผลต่อพฤติกรรมที่แสดงออกมา • เสียงพูดแปลก อาจเป็นเสียงต่ำ หรือแหบผิดปกติ • ใช้วิธีสื่อสารโดยการจ้องมองปาก หรือจ้องหน้าผู้พูด • ใช้เครื่องช่วยฟัง

  25. ลักษณะทั่วไปของผู้เรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาลักษณะทั่วไปของผู้เรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา • ร่างกายและสุขภาพ • มักมีรูปร่างหน้าตาผิดปกติ คือ รูปหน้า/ศีรษะ (ใหญ่/เล็กกว่าปกติ) มือเท้าผิดรูป รูปร่างผิดปกติ (แคระแกรน/สูงใหญ่ต่างจากคนทั่วไป) • เจ็บป่วยรุนแรง เช่น ลมชัก โรคหัวใจ อาเจียนบ่อย ขับถ่ายผิดปกติ • พฤติกรรม • พัฒนากล้ามเนื้อและการเคลื่อนไหวล่าช้า เคลื่อนไหวไม่คล่องแคล่ว • พัฒนาการทางการพูดและภาษาล่าช้า มักจะพูดช้า พูดไม่ชัด พูดแล้วผู้อื่นไม่เข้าใจ ฟังแล้วไม่เข้าใจ/เข้าใจผิด • ความสามารถในการจำน้อย ขาดสมาธิและความสนใจในการทำกิจกรรมต่างๆ • การตัดสินใจ/เผชิญหน้ากับสถานการณ์ไม่เหมาะสม มักจะทำอะไรแผลงๆ ไม่กลัวอันตราย • ควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ค่อยได้ อารมณ์อ่อนไหว ใจน้อย แสดงอารมณ์ต่างๆ อย่างชัดเจน

  26. ลักษณะทั่วไปของผู้เรียนที่มีความบกพร่องทางร่างกาย หรือการเคลื่อนไหว หรือสุขภาพ ความบกพร่องทางการเคลื่อนไหว (Neuromotor Impairments)ความบกพร่องที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวที่สั่งการโดยสมองและระบบประสาทส่วนกลาง • แขนหรือขาอ่อนแรงจากสาเหตุต่างๆ เช่นอัมพาตจากหลอกเลือดสมอง อุบัติเหตุทางสมองและไขสันหลัง มะเร็ง โรคติดเชื้อที่สมองหรือไขสันหลังภาวะผิดปกติทางสมองหรือไขสันหลังตั้งแต่กำเนิด • แขน ขา ขาดจากสาเหตุต่างๆเช่น เบาหวาน อุบัติเหตุ มะเร็ง แขนขาขาดหายตั้งแต่กำเนิด • โรคข้อ หรือกลุ่มอาการปวด เช่นรูมาตอยด์ ข้อเข่าเสื่อม • ภาวะเจ็บป่วยเรื้อรัง เหนื่อยง่าย จนมีผลกระทบต่อการปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจำวัน เช่นโรคหัวใจ โรคไตวาย โรคปอด ความบกพร่องทางร่างกาย (Muscular/skeletal Conditions) ความบกพร่องจากระบบกล้ามเนื้อและโครงสร้างกระดูก • ภาพลักษณ์ภายนอกร่างกายที่เห็นชัดเจน เช่นคนแคระที่มีขนาดลำตัวสั้นมากจนมีผลต่อการเข้าไปมีส่วนร่วมทางสังคม • ใบหน้า หรือศีรษะที่ผิดรูป เช่นหู ตา จมูก ปาก ที่ผิดรูป ผิดตำแหน่ง ผิดขนาด อาจจะมาจากอุบัติเหตุ ไฟไหม้ หรือโดนสารพิษเช่นน้ำกรด มีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ภายนอกอย่างรุนแรง • คอ หลัง ลำตัว ผิดปกติหรือผิดรูป เช่นกรณีหลังคด หรือผิดรูปอย่างรุนแรงที่เห็นเด่นชัด เมื่อดูด้วยตาเปล่า มีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ภายนอกอย่างรุนแรง (กรณีนี้ต้องมีการตรวจประเมินว่าไม่สามารถจะทำการรักษาโดยการผ่าตัดได้แล้วหรือผู้ป่วยไม่ยินยอมผ่าตัด) ความบกพร่องทางสุขภาพ หมายถึง ภาวะความเจ็บป่วย และโรคที่มีผลให้มีความจำเป็นต้องได้รับการดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ (Special Healthcare) และอาจรบกวนความกระตือรือร้น สมาธิ และการเรียนทั้งในระยะสั้นหรือระยะยาว บุคคลอาจจำเป็นต้องได้รับการศึกษาเป็นพิเศษหรือไม่แล้วแต่กรณี

  27. ลักษณะของผู้เรียนที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษาลักษณะของผู้เรียนที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา • ความบกพร่องทางการพูดและภาษาได้แก่ บุคคลที่มีความบกพร่องในการเปล่งเสียงพูด เช่น เสียงผิดปกติ อัตราความเร็วและจังหวะการพูดผิดปกติ หรือบุคคลที่มีความบกพร่อง ในเรื่องความเข้าใจหรือการใช้ภาษาพูด การเขียนหรือระบบสัญลักษณ์อื่นที่ใช้ในการติดต่อสื่อสาร ซึ่งอาจเกี่ยวกับรูปแบบ เนื้อหาและหน้าที่ของภาษา • ความบกพร่องทางการพูด หมายถึงความบกพร่องซึ่งเกิดจากกระบวนการเปล่งเสียงและการใช้เสียงพูด พิจารณาได้ 4 ด้าน • มีอาการเกร็งที่ปาก พูดช้า ไม่ต่อเนื่อง เสียงแหบ เบา • การเปล่งเสียงบกพร่อง เช่น เสียงบางส่วนของคำขาดหายไป • เสียงพูดบกพร่อง เช่น แหบพร่า ดังหรือเบาเกินไป • ความบกพร่องของจังหวะและขั้นตอนของเสียงพูด เช่นเว้นวรรคตอนไม่ถูกต้อง ติดอ่าง • ความบกพร่องทางภาษา หมายถึง มีความบกพร่องในการเข้าใจหน่วยเสียง การใช้คำ ประโยค เพื่อสื่อสารอย่างเหมาะสมในภาษาพูด ภาษาเขียน หรือระบบสัญลักษณ์อื่นที่ใช้ในการสื่อสาร

  28. ลักษณะทั่วไปของผู้เรียนออทิสติกลักษณะทั่วไปของผู้เรียนออทิสติก • บุคคลออทิสติก ได้แก่ บุคคลที่มีความผิดปกติของระบบการทำงานของสมองบางส่วนซึ่งส่งผลต่อความบกพร่องทางพัฒนาการด้านภาษา ด้านสังคมและการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม และมีข้อจำกัดด้านพฤติกรรม หรือมีความสนใจจำกัดเฉพาะเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยความผิดปกตินั้นค้นพบได้ก่อนอายุ 30 เดือน • ไม่สนใจใครและไม่ตอบสนองต่อพฤติกรรมที่แสดงสัมพันธภาพของผู้อื่น เช่นไม่ยิ้ม ไม่กอดหรือให้ใครจับตัว • ไม่เข้าใจความหมายแฝงในคำพูด หรืออารมณ์ ความรู้สึกของผู้อื่น • ไม่สามารถแยกเรื่องจริง และเรื่องสมมุติหรือการพูดจริงพูดเล่น • มีความผิดปกติในการรับรู้สิ่งเร้าผ่านประสาทสัมผัส (Sensory Impairments) ทำให้แสดงพฤติกรรมแปลกประหลาด • กระตุ้นตนเอง (Self Stimulation) โดยมีการเคลื่อนไหวของร่างกายซ้ำๆเป็นรูปแบบเดิมๆ • ต้องทำสิ่งใดที่เคยทำเป็นประจำโดยมีรายละเอียดเหมือนเดิมและแสดงอาการต่อต้านอย่างรุนแรงเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมรอบๆตัว แสดงพฤติกรรมก้าวร้าว เช่น ร้องไห้ ดิ้น กรีดร้อง • หมกมุ่นกับสิ่งที่ตนเองสนใจ และเลือกทำแต่กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับสิ่งนั้น • บางคนไม่มีพัฒนาการทางภาษาพูด • เปล่งเสียงพูดผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด เช่นพูดติดอ่าง ดังไป ช้าไป เร็วไป สูงไป ต่ำไป • พูดและใช้ภาษาแปลกๆ เช่นพูดทวนคำ (Echolalia) หรือสื่อสารความหมายผิดจากความหมายที่สังคมรับรู้

  29. ลักษณะของผู้เรียนที่มีความบกพร่องทางอารมณ์หรือพฤติกรรม • ความบกพร่องทางพฤติกรรมหรืออารมณ์ ได้แก่ บุคคลที่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนไปจากปกติเป็นอย่างมาก และปัญหาเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลจากความบกพร่องหรือความผิดปกติทางจิตใจหรือสมองในส่วนการรับรู้ อารมณ์หรือความคิด เช่น โรคจิตเภท โรคซึมเศร้า โรคสมองเสื่อม เป็นต้น • ลักษณะอาการของผู้ที่มีความบกพร่องทางอารมณ์รวมถึงผู้ที่มีความก้าวร้าว สมาธิสั้น เก็บตัว วิตกกังวล ขาดวุฒิภาวะ และมีความยากลำบากในการเรียนรู้ทางวิชาการและมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำ • ในกรณีของภาวะสมาธิสั้น (Attention deficit/Hyperactivity disorder) ให้ถือว่าเป็นความบกพร่องในการทำงานของสมอง จนส่งผลต่อการควบคุมพฤติกรรม และการสร้างสมาธิ แต่เนื่องจากไม่ได้รุนแรง จนเกิดข้อจำกัดในการปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจำวันหรือการเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคมจึงไม่จัดเป็นประเภทความพิการ ทั้งนี้หากภาวะสมาธิสั้นเป็นข้อจำกัดทางการเรียน หรือเกิดร่วมกับความบกพร่องทางการเรียนรู้หรือภาวะออทิซึม อาจจะพิจารณาความบกพร่องเป็นเฉพาะกรณี

  30. ลักษณะของผู้เรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ลักษณะของผู้เรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ • บุคคลที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ ได้แก่ บุคคลที่มีความผิดปกติในการทำงานของสมองบางส่วนที่แสดงถึงความบกพร่องในกระบวนการเรียนรู้ที่อาจเกิดขึ้นเฉพาะความสามารถด้านใดด้านหนึ่งหรือหลายด้าน คือ การอ่าน การเขียน การคิดคำนวณ ซึ่งไม่สามารถเรียนรู้ในด้านที่บกพร่องได้ ทั้งที่มีระดับสติปัญญาปกติ • อ่านสลับตัวอักษร อ่านออกเสียงไม่ชัด อ่านหลังบรรทัด อ่านตะกุกตะกัก ผิดๆ ถูกๆขมวดคิ้ว นิ่วหน้าเวลาอ่าน ไม่เข้าใจความหมายของคำศัพท์ อ่านสลับคำ อ่านข้ามคำ อ่านช้า อ่านย้อนกลับไปกลับมา สับสนในการจำแนกตัวอักษรที่คล้ายกัน มีปัญหาในการประสมตัวอักษร จับใจความเรื่องที่อ่านไม่ได้ หรือลำดับเรื่องที่อ่านไม่ได้ • เขียนตัวอักษรโย้ไปโย้มา ตัวอักษรมีขนาดและรูปร่างไม่เท่ากัน กลับด้าน อาจลากเส้นวนๆ ซ้ำๆเหมือนไม่แน่ใจว่าจะม้วนหัวเข้าในหรือออกนอก เช่น ม – น เรียงลำดับอักษรผิด เช่น สตางค์ เขียนเป็น ตสางค์ มีปัญหาในการเว้นวรรคตอนและช่องไฟ ไม่ตรงบรรทัดหรือไม่อยู่ในแนวเดียวกัน เขียนตามเสียงที่ได้ยิน เช่น ประโยชน์ เขียนเป็น ประโยด • มีปัญหาในการอ่านตัวเลขหลายๆ หลัก เช่น 356,800 สับสนระหว่างตัวเลขบางตัว เช่น 9 กับ 6 , 2 กับ 5 แยกความแตกต่างของขนาดและรูปทรงไม่ได้ นับเลขไม่ได้ บางคนนับถอยหลังไม่ได้ ไม่เข้าใจความหมายของตัวเลขโจทย์ปัญหา ลืมขั้นตอนของการคิดคำนวณ เช่น นับเลขผิด ทดเลขผิด โยงความสัมพันธ์ของตัวเลขและสัญลักษณ์ไม่ได้ สับสนสูตรทางคณิตศาสตร์ ไม่เข้าใจการบอกเวลา หรือมาตราชั่งตวงวัด

  31. ฝึกปฏิบัติการจัดทำแผนการศึกษาเฉพาะบุคคลกรณีศึกษา เด็กชายธันวา

  32. กรณีศึกษาเด็กชายธันวากรณีศึกษาเด็กชายธันวา • อายุ 10 ปี กำลังศึกษาอยู่ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ในโครงการเรียนร่วมของโรงเรียนประถมศึกษาแห่งหนึ่ง • ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่ามีอาการออทิซึมเมื่ออายุ 3 ปี • ไม่สนใจผู้ปกครองหรือของเล่น ไม่สบตาผู้ใดโดยตรง ชอบจัดเรียงสิ่งของให้เป็นแถวเป็นแนว และหมุนปั่นสิ่งของ ด.ช.ธันวา เล่นคนเดียวเป็นเวลานาน

  33. พฤติกรรมที่สังเกตในชั้นเรียน (ข้อเด่นและข้อจำกัด) ด้านภาษาและการสื่อสาร • เมื่อครูเล่านิทานนิทานในห้อง ธันวาจะสนใจได้ไม่เกิน 2 นาทีก่อนจะหันหน้าไปทำอย่างอื่น เดินพูดไปเรื่อยๆ บางทีเสียงดังขึ้นมาโดยหาสาเหตุไม่พบ • สนใจเรื่องเครื่องบิน และการเดินทางโดยเครื่องบิน หรือการต่างประเทศเป็นอย่างมาก ชอบวาดรูปและเขียนข้อความต่างๆ ที่เกี่ยวกับการเดินทางโดยเครื่องบิน มักเปลี่ยนหัวข้อสนทนาของชั้นเรียนให้วกวนอยู่กับเรื่องที่ตนเองสนใจ ไม่เข้าใจความหมายแฝงในคำพูด สำนวนหรือคำเปรียบเทียบต่างๆ เช่น ใจดำ หิวจนตาลาย ดีใจจนเนื้อเต้น

  34. พฤติกรรมที่สังเกตในชั้นเรียน (ข้อเด่นและข้อจำกัด) ด้านสังคม • ไม่สบตาใคร เล่นดินสอนำมาต่อเป็นเสาไฟฟ้า พูดคนเดียว หัวเราะเมื่อเห็นผู้อื่นกำลังร้องไห้ มองกระดานน้อยมาก เมื่อครูเข้าไปพูดด้วยก็ผลักครูออก ครูดึงดินสอก็ร้องลั่นห้อง เมื่อมีกิจกรรมกลุ่ม ธันวาจะแยกตัวออกจากกลุ่มและไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ ไม่เข้าในสีหน้าท่าทางของผู้อื่น เช่นเมื่อชอบเพื่อนคนไหนมากเป็นพิเศษก็จะไปจับตัว จับผมและไม่เข้าใจเมื่อเพื่อนแสดงอาการไม่พอใจ

  35. พฤติกรรมที่สังเกตในชั้นเรียน (ข้อเด่นและข้อจำกัด) ด้านพฤติกรรมอื่นๆ • แสดงอาการไม่พอใจอย่างมากเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงกิจกรรมที่เคยทำเป็นประจำ ฉีกตารางสอนหากครูสอนเกินเวลา หรือหากมีการสลับชั่วโมงเรียนหรือผู้สอน เช่น ครูสอนภาษาไทยไม่สบาย ธันวาจะชี้หน้าครูที่มาสอนแทนและพูดว่า “ผิดๆๆๆ ออกไปๆ” มักอาสาจัดระเบียบชั้นเรียน เช่นเก็บอุปกรณ์การสอนของครูลงลิ้นชักทั้งที่ครูยังสอนไม่เสร็จ มีความผิดปกติในการรับรู้สิ่งเร้าผ่านประสาทสัมผัส แสดงพฤติกรรมแปลกประหลาด การเคลื่อนไหวของร่างกายซ้ำๆ เช่น โบกมือผ่านแสงไฟ ลุกขึ้นหมุนตัวบ่อยๆ

  36. พฤติกรรมที่สังเกตในชั้นเรียน (ข้อเด่นและข้อจำกัด) ด้านการเรียนรู้และความพร้อมทางวิชาการ • สามารถจำรูปแบบของคำ พร้อมคำอ่าน สามารถบอกความสัมพันธ์ระหว่างเสียงกับอักษรได้ โดยเฉพาะอักษรที่ออกเสียงง่ายๆเช่น ม พ ก มักสังเกตเห็นคำผิดได้ดีมาก แต่มีความยากลำบากในการเข้าใจความหมายของคำโดยเฉพาะคำที่สื่อความหมายนามธรรม เช่น คำศัพท์เกี่ยวกับรสชาติ (เปรี้ยว หวาน เค็ม จืด) คำแสดงอารมณ์หรือความรู้สึก (สวย ชอบ ดี เบื่อ) • มักไม่เข้าใจคำสั่ง หรือคำถาม โดยเฉพาะคำถามที่เป็นประโยคเชิงซ้อน ถามคำถามที่มักไม่เกี่ยวข้องกับบทเรียน แต่ถ้าตอบคำถามที่ไม่แน่ใจจะเสียงเบาและไม่มองหน้าครู เช่น พูดว่าถึงเวลากลับบ้านหลังจากพักรับประทานอาหารกลางวันและยืนยันว่าจะไม่เปลี่ยนแปลง

  37. หลักการและวิธีการปรับหลักสูตรสำหรับผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษ ภาคที่ 2

  38. Curriculum: แม่บทของเนื้อหาสาระที่กำหนดเพื่อ จัดการเรียนการสอนให้ทิศทางแก่ผู้สอนและผู้เรียน • Curriculum Adaptation: การปรับหลักสูตรให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้เรียนเพื่อให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตนเองได้เต็มศักยภาพ • Instruction: การเรียนการสอนซึ่งเกิดขึ้นโดยมีผู้เรียนและผู้สอนอยู่ในบริบทเดียวกัน • Instruction Adaptation: การปรับการเรียนการสอนซึ่งเกิดขึ้นโดยมีผู้เรียนและผู้สอนอยู่ในบริบทเดียวกันเพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้เรียนเพื่อพัฒนาศักยภาพของผู้เรียน

  39. หลักสูตร • ความหมาย หลักสูตร (Curriculumหรือ Curricula) หมายถึง เนื้อหาที่ใช้สอน และกระบวนการตรวจสอบเพื่อให้นักเรียนบรรลุตามจุดประสงค์การเรียนรู้ที่ตั้งไว้ โดยมีการจัดแนวการเรียนการสอนเป็นระบบที่ชัดเจน แบ่งออกเป็น • หลักสูตรแกนกลางหรือหลักสูตรขั้นพื้นฐาน (Mainstream หรือ General Curriculum) • หลักสูตรสถานศึกษา(Specific Curriculum) • หลักสูตรเพิ่มเติมสอนทักษะเฉพาะที่จำเป็น (functional curriculum) เช่น หลักสูตรทักษะการดำรงชีวิต (Life Skills Curriculum) • การปรับเปลี่ยนหลักสูตร (curriculum adaptation)คือ การปรับหรือดัดแปลงหลักสูตรแกนกลางที่ใช้กับนักเรียนทั่วไปมาใช้กับนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษ

  40. การสอน การสอน Instruction = ครูสอนอย่างไร How teacher teaches • B ก่อนสอนออกแบบการสอน Design of instruction • D ระหว่างสอนดำเนินการสอนDelivery of instruction ใช้เทคนิคการสอน Teaching Technique • A หลังสอนการประเมิน Assessment = How teacher knows whether the instruction is effective

  41. กลุ่มสาระการเรียนรู้ 1. ภาษาไทย :ความรู้ ทักษะและวัฒนธรรมการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร ความชื่นชมการเห็นคุณค่า ภูมิปัญญา ไทยและภูมิใจในภาษาประจำชาติ 2. คณิตศาสตร์ :การนำความรู้ ทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์ไปใช้ในการแก้ปัญหา การดำเนินชีวิตและศึกษาต่อ การมีเหตุมีผลมีเจตคติที่ดีต่อคณิตศาสตร์พัฒนาการคิดอย่างเป็นระบบ 3. วิทยาศาสตร์ :การนำความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ไปใช้ในการศึกษา ค้นคว้าหาความรู้และแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ การคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล คิดวิเคราะห์ คิดสร้างสรรค์ และจิตวิทยาศาสตร์

  42. กลุ่มสาระการเรียนรู้ (ต่อ) 4. สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม :การอยู่ร่วมกันในสังคมไทยและสังคมโลกอย่างสันติสุข การเป็นพลเมืองดีศรัทธาในหลักธรรมของศาสนาการเห็นคุณค่าของทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ความรักชาติ และภูมิใจในความเป็นไทย 5. สุขศึกษาและพลศึกษา :ความรู้ทักษะและเจตคติในการสร้างเสริมสุขภาพพลานามัยของตนเองและผู้อื่น การป้องกันและปฏิบัติต่อสิ่งต่าง ๆ ที่มีผลต่อสุขภาพอย่างถูกวิธีและทักษะในการดำเนินชีวิต 6. ศิลปะ :ความรู้และทักษะในการคิดริเริ่ม จินตนาการสร้างสรรค์งานศิลปะสุนทรียภาพและการเห็นคุณค่าทางศิลปะ 7. การงานอาชีพและเทคโนโลยี :ความรู้ ทักษะ และเจตคติในการทำงาน การจัดการการดำรงชีวิต การประกอบอาชีพและการใช้เทคโนโลยี 8. ภาษาต่างประเทศ ความรู้ ทักษะ เจตคติ และวัฒนธรรมการใช้ภาษาต่างประเทศในการสื่อสาร การแสวงหาความรู้และการประกอบอาชีพ

  43. ว 1.1 ป. 1/2 ป 1/2 ตัวชี้วัดชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ข้อที่ 2 1.1 สาระที่ 1 มาตรฐานข้อที่ 1 ว กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ต 2.3 ม. 4-6/3 ม 4-6/3 ตัวชี้วัดชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ข้อที่ 3 23 สาระที่ 2 มาตรฐานข้อที่ 3 ต กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ตัวอย่าง

  44. หลักสูตร vsการเรียนการสอน can they be taught? what should they learn? how to teach it?

  45. ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับหลักสูตรสำหรับเด็กพิเศษความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับหลักสูตรสำหรับเด็กพิเศษ • หลักสูตรประกอบด้วย • เนื้อหาที่จะสอนกำหนดเป็นเป้าหมายและวัตถุประสงค์การเรียนรู้ • สื่อการสอน • วิธีสอนที่เหมาะกับเนื้อหา • การทดสอบและติดตามความก้าวหน้าของผู้เรียน • การปรับหลักสูตรเริ่มจากหลักสูตรแกนกลางโดยมีแนวทางการตัดสินใจดังนี้

  46. หลักสูตรแกนกลาง ความต้องการพิเศษเฉพาะบุคคล ผู้เรียนสามารถเรียนได้โดยไม่ต้องปรับหลักสูตรใช่หรือไม่ ใช่ ไม่ใช่ มีการจัดเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกแล้วหรือไม่ ใช่ ใช่ ปรับเนื้อหา สื่อ วิธีสอนแล้ว ผู้เรียนสามารถเรียนได้หรือไม่ หลักสูตร การเรียนการสอนที่เหมาะสม ไม่ใช่ ใช่ เพิ่มการให้ความช่วยเหลือทางการเรียนแล้ว ผู้เรียนสามารถเรียนได้หรือไม่ ไม่ใช่ ใช่ การเปลี่ยนหลักสูตรเหมาะสมกว่าหรือไม่

  47. เป้าหมายในการเรียนรู้และหลักการปรับหลักสูตรสำหรับเด็กพิเศษเป้าหมายในการเรียนรู้และหลักการปรับหลักสูตรสำหรับเด็กพิเศษ Adapted from Walker et al., 1996 หลักสูตรทักษะการดำรงชีวิตและให้ความ ช่วยเหลือเต็มรูปแบบทั้งทางวิชาการ การปรับพฤติกรรมและการแพทย์ ปรับหลักสูตรแกนกลาง และจัดเรียนร่วม หลักสูตรแกนกลาง หรือ หลักสูตรสถานศึกษา

  48. ขั้นตอนที่ 1: ปรับทัศนคติเกี่ยวกับหลักสูตร สำหรับเด็กพิเศษ • เด็กพิเศษควรได้โอกาสเรียนหลักสูตรปกติมากเท่าที่เด็กสามารถเรียนได้เพื่อที่จะประกอบอาชีพและดำรงชีวิตได้อย่างอิสระในสังคม • เป้าหมายของการปรับหลักสูตรคือช่วยให้เด็กพิเศษสามารถเรียนหลักสูตรปกติมากเท่าที่เด็กสามารถเรียนได้ • การเปลี่ยนหลักสูตรควรเป็นทางเลือกสุดท้าย • การปรับหลักสูตรสามารถทำได้ในชั้นเรียนปกติและชั้นเรียนร่วม • เรียนในชั้นเรียนปกติหรือชั้นเรียนการศึกษาพิเศษไม่ใช่เรื่องของหลักสูตร • IEP ไม่ใช่หลักสูตรและไม่ใช่แผนการสอน • หาก IEP เริ่มต้นที่หลักสูตรการศึกษาพิเศษอาจจะทำให้เกิดความคาดหวังต่อการเรียนของเด็กที่ต่ำกว่าความเป็นจริง

  49. ขั้นตอนที่ 2:วิเคราะห์หลักสูตรแกนกลาง • วิเคราะห์สาระการเรียนรู้ • หลักการและเหตุผลการเรียนในแต่ละสาระ • วิเคราะห์เป้าหมายการเรียนรู้ • วิเคราะห์การวัดและประเมินผล (ตัวชี้วัด) • วิเคราะห์กิจกรรม • วิเคราะห์ความคาดหวังอื่นๆ • ประเมินว่าหลักสูตรแกนกลางมีความยืดหยุ่นหรือไม่

More Related