1.08k likes | 2.12k Views
โมดูล 2 การจัดทำแผนการศึกษาเฉพาะบุคคล ( IEP ) และเทคนิคการปรับหลักสูตรสำหรับผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษ. วัตถุประสงค์. 1. ระบุความหมายของการศึกษาพิเศษ หลักการและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้สำหรับผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษ
E N D
โมดูล 2 การจัดทำแผนการศึกษาเฉพาะบุคคล (IEP) และเทคนิคการปรับหลักสูตรสำหรับผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษ
วัตถุประสงค์ 1. ระบุความหมายของการศึกษาพิเศษ หลักการและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้สำหรับผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษ 2. อธิบายความแตกต่างระหว่างการเรียนร่วม และการจัดการศึกษาแบบเรียนรวม 3. อธิบายความหมายและกระบวนการจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (individualized Education Program: IEP) 4. วิเคราะห์ลักษณะของผู้เรียนเป็นรายบุคคลเพื่อวางแผนการจัดการศึกษา 5. ทำงานเป็นทีมร่วมกับผู้ปกครองและคณะสหวิทยาการเพื่อจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล 6. วิเคราะห์งานและกิจกรรมในชั้นเรียนเพื่อปรับเป้าหมายการเรียนรู้จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม และการประเมินผลสำหรับผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษ 7. นำหลักการและวิธีการปรับหลักสูตรไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับความต้องการพิเศษของผู้เรียนและเหมาะกับสาระการเรียนรู้
การศึกษาพิเศษ การเรียนร่วม การจัดการศึกษาแบบเรียนรวม และกระบวนการจัดทำแผนการศึกษาเฉพาะบุคคล (Individualized Education Program: IEP)
Keep in Mindข้อพึงตระหนัก • At risk • Prevention • Catch them before they fall • One size doesn’t fit all • Can’t do vs. won’t do • Can’t learn vs. can’t teach • Whatever he is…Teach him.
คำสำคัญ DisabilityVSImpairment VS Handicap Normalization สภาพแวดล้อมที่มีขีดจำกัดน้อยที่สุด (Least Restrictive Environment: LRE) แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (Individualized Education Program: IEP) การจัดการศึกษาแบบเรียนรวม (Inclusive Education) การเรียนร่วม (Mainstreaming) 5
การเรียนร่วม (Mainstreaming) • การจัดให้เด็กที่มีความต้องการพิเศษเข้าไปในระบบการศึกษาปกติ เปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนและทำกิจกรรมร่วมกับเด็กทั่วไป โดยมีครูประจำชั้นและครูการศึกษาพิเศษร่วมมือและรับผิดชอบร่วมกัน • จุดมุ่งหมาย • ตอบสนองความจำเป็นขั้นพื้นฐานและพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนเป็นเฉพาะบุคคล • การศึกษาพิเศษประเทศไทยมุ่งเน้นการจัดการศึกษาแบบเรียนร่วมให้กับผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษในหลากหลายรูปแบบ เช่น • จัดเป็นชั้นเรียนพิเศษเต็มเวลาในโรงเรียนทั่วไป โดยผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษเรียนวิชาต่างๆ ในชั้นเรียนการศึกษาพิเศษตลอดทั้งวัน แต่มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมที่ไม่ใช่วิชาการกับเพื่อนๆ เช่นกิจกรรมสันทนาการ รับประทานอาหาร สวดมนต์เคารพธงชาติ กีฬา หรือทัศนศึกษา • จัดให้ผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษเข้าเรียนในชั้นเรียนปกติเต็มเวลา หรือบางเวลา โดยมีครูสอนเสริม (Resource Teacher) หรือครูเดินสอน (Itinerant Teacher) ให้ความช่วยเหลือและสอนร่วมกับครูประจำชั้น
การจัดการศึกษาแบบเรียนรวม(Inclusive Education) การศึกษาสำหรับทุกคนโดยรับเข้ามาเรียนรวมกันตั้งแต่เริ่มเข้ารับการศึกษา และจัดให้มีบริการพิเศษตามความต้องการของแต่ละบุคคล เมื่อสถานศึกษารับเด็กเข้ามาเรียนรวมกับเด็กทั่วไป สถานศึกษาและครูจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบจัดสภาพแวดล้อม การจัดการเรียนการสอน หลักสูตร การประเมินผล เพื่อให้ครูสามารถจัดการเรียนการสอนได้ตามความต้องการของผู้เรียนเป็นเฉพาะบุคคล ซึ่งจะทำให้เด็กสามารถพัฒนาตนเองได้เต็มศักยภาพ
โอกาส โรงเรียนเลือกเด็ก เตรียมความพร้อมก่อนเข้าเรียน ฝ่ายบริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มโรงพยาบาลหรือการศึกษาพิเศษ ส่งต่อเด็กไปโรงเรียนเรียนร่วม ช่วยเหลือ แนะนำเทคนิคการสอน บริการสอนเสริม จัดหาสิ่งอำนวยความสะดวก อบรม ปรับทัศนคติบุคลากร สิทธิ เด็กเลือกโรงเรียน ไม่ต้องเตรียมความพร้อมก่อนเข้าเรียน โรงเรียนรับผิดชอบจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมตามความต้องการพิเศษของเด็กหรือเชิญผู้เชี่ยวชาญทางการศึกษาพิเศษ ช่วยเหลือ แนะนำเทคนิคการสอน บริการสอนเสริม จัดหาสิ่งอำนวยความสะดวก อบรม ปรับทัศนคติบุคลากร การเรียนร่วม vs การจัดการศึกษา แบบเรียนรวม
ใครคือผู้เรียน—เด็กพิเศษคือใคร Who? คณะอนุกรรมการคัดเลือกและจำแนกความพิการทางการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ (2552) • บุคคลที่มีความบกพร่องทางการเห็น • บุคคลที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน • บุคคลที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา • บุคคลที่มีความบกพร่องทางร่างกาย หรือการเคลื่อนไหว หรือสุขภาพ • บุคคลที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ • บุคคลที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา • บุคคลที่มีปัญหาทางพฤติกรรมหรืออารมณ์ • บุคคลออทิสติก • บุคคลพิการซ้อน
เรียนที่ไหน-เมื่อไร Where and when? • การจัดสภาพแวดล้อมที่มีขีดจำกัดน้อยที่สุด • การจัดการศึกษาจะต้องพิจารณารูปแบบชั้นเรียนทั่วไปเป็นตัวเลือกที่ 1 (first placement option) และจัดร่วมกับกิจกรรมเสริมหลักสูตร การปรับสภาพแวดล้อม และการบริการสนับสนุนเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาสำหรับบุคคล โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ • เปิดโอกาสให้บุคคลได้รับการศึกษาเท่าเทียมเช่นเดียวกับบุคคลอื่น • บุคคลได้รับการศึกษาและโอกาสอื่นๆ เต็มตามศักยภาพ • บุคคลได้มีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับบุคคลอื่น • มีโอกาสที่จะได้รับผลกระทบจากการศึกษาและสังคมเช่นเดียวกับบุคคลทั่วไป
สอนอะไร = หลักสูตรWhat? • ความหมาย หลักสูตร (Curriculum หรือ Curricula) หมายถึง เนื้อหาที่ใช้สอน และกระบวนการตรวจสอบเพื่อให้นักเรียนบรรลุตามจุดประสงค์การเรียนรู้ที่ตั้งไว้ โดยมีการจัดแนวการเรียนการสอนเป็นระบบที่ชัดเจน • หลักสูตรแกนกลางหรือหลักสูตรขั้นพื้นฐาน (Mainstream หรือ General Curriculum) • หลักสูตรเฉพาะสถานศึกษา (Specific Curriculum) • หลักสูตรเพิ่มเติมสอนทักษะเฉพาะที่จำเป็น (Functional Curriculum) • เช่น หลักสูตรทักษะการดำรงชีวิต (Life Skills Curriculum)
เรียน/สอนอย่างไรHow? • การสอน (Instruction) = วิธีการสอนของครู (How a teacher teaches) • ก่อนสอน = การออกแบบการสอน (Design of Instruction) • ระหว่างสอน = การดำเนินการสอน (Delivery of Instruction) • เทคนิคการสอน = การใช้เทคนิคต่างๆมาใช้ (Teaching Technique) โดยเน้นเทคนิคที่มีงานวิจัยรองรับ (Research-Based and Effective Instruction) • การประเมิน (Assessment) = กระบวนการตรวจสอบว่าการสอนนั้นได้ผลหรือไม่และติดตามความก้าวหน้าของผู้เรียน (How a teacher knows whether the instruction is effective and monitors the student progress)
สรุป: การศึกษาพิเศษ • ใครคือผู้เรียน Who? • เรียนที่ไหน-เมื่อไร Where and when? • เรียนอะไร What? • เรียน/สอนอย่างไร How?
แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล Individualized Education Program (IEP)
ความหมาย แผนซึ่งกำหนดแนวทางการจัดการศึกษาที่สอดคล้องกับความต้องการจำเป็นพิเศษ (Special Needs) ของคนพิการตลอดจนกำหนดสิ่งอำนวยความสะดวกสื่อบริการและความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษา(พระราชบัญญัติการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ พ.ศ. 2551) IEP เป็นแผนการจัดการศึกษาที่เขียนขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษรสำหรับผู้เรียนคนใดคนหนึ่งโดยคณะ IEP หรือที่ประชุมเฉพาะกรณีเกี่ยวกับผู้เรียน IEP เป็นเครื่องมือในการจัดการกับกระบวนการตรวจสอบการสอนทั้งหมด IEP: What teachers plan to do to meet and exceptional student’s needs, and the plan must be approved by the student’s parents or guardian (Hallahan & Kauffman, 2006)
วัตถุประสงค์ • ผู้เกี่ยวข้องทุกคนตระหนัก รับผิดชอบ (Being Accountable) และร่วมกันจัดการศึกษาสำหรับผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษไปในทิศทางเดียวกัน • ผู้ปกครองมีส่วนร่วมตัดสินใจวางแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลสำหรับผู้เรียนตั้งแต่เริ่มต้นเข้ารับบริการทางการศึกษา • โรงเรียนหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีแนวทางในการจัดหาหรือจัดบริการสนับสนุนได้อย่างเหมาะสม • เพื่อประเมินผลการจัดการศึกษาและประกันคุณภาพการศึกษาสำหรับผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษ
กระบวนการจัดทำ IEP • ขั้นตอนการติดต่อผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อรวบรวมข้อมูลเบื้องต้น ข้อมูลเบื้องต้น • ข้อมูลส่วนตัว • ข้อมูลครอบครัว • ข้อมูลทางการแพทย์/สุขภาพ • ข้อมูลทางการศึกษา • ข้อมูลความต้องการด้านสิ่งอำนวยความสะดวก สื่อ บริการและความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษา • ข้อมูลสวัสดิการและสังคมสงเคราะห์ ผู้ที่เกี่ยวข้อง • ผู้ปกครอง • ครูประจำชั้น ครูการศึกษาพิเศษ นักวิชาชีพ • แพทย์ • นักสังคมสงเคราะห์ • ผู้บริหารสถานศึกษา
กระบวนการจัดทำ IEP (ต่อ) • ขั้นตอนการแต่งตั้งคณะกรรมการจัดทำ IEP • แต่งตั้งคณะกรรมการจัดทำ IEP จากบุคคลผู้เกี่ยวข้อง โดยคณะกรรมการมีจำนวนไม่น้อยกว่า 3 คนแต่ไม่เกิน 7 คนโดยบุคคลหลักคือ • ผู้บริหารสถานศึกษา หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย • บิดาหรือมารดา หรือผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลคนพิการ • ครูประจำชั้น/ครูแนะแนว หรือครูการศึกษาพิเศษหรือครูที่รับผิดชอบงานด้านการศึกษาพิเศษที่ผู้บริหารสถานศึกษามอบหมาย เป็นคณะกรรมการและเลขานุการ • บทบาทหน้าที่ของคณะกรรมการ • ประชุมเพื่อจัดทำ IEP • ลงนามใน IEP เมื่อประชุมครั้งแรกเสร็จสิ้น และนำแผนไปสู่การปฏิบัติ • ประเมิน ทบทวน ปรับแผน ราบงานผลการประเมินการดำเนินการ อย่างน้อยปีการศึกษาละ 2 ครั้ง
กระบวนการจัดทำ IEP (ต่อ) • ขั้นตอนการประเมินความสามารถในปัจจุบัน • คณะกรรมการดำเนินการ • รวบรวมข้อมูลความสามารถในปัจจุบัน (Present Levels of Performances: PLOPS)จากการประเมินผล โดยใช้แบบทดสอบ แบบประเมินพัฒนาการ แบบสังเกตพฤติกรรม แบบสัมภาษณ์ • พัฒนาการด้านต่างๆ • ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
กระบวนการจัดทำ IEP (ต่อ) • ขั้นตอนการจัดการเรียนการสอนตาม IEP • จัดทำแผนการสอน ปรับเนื้อหาหลักสูตร และจัดบริการสนับสนุนตาม IEP • ปฏิบัติการสอนและประเมินวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมในแต่ละคาบเรียน • ประเมินวัตถุประสงค์ระยะยาว ติดตามความก้าวหน้าของผู้เรียน • ประเมินความต้องการด้านสิ่งอำนวยความสะดวก สื่อ บริการและความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษา • นำเสนอรายงานการประเมินความก้าวหน้า และรายงานการดำเนินงานตามแผน IEP ต่อคณะกรรมการ
กระบวนการจัดทำ IEP (ต่อ) • ขั้นตอนการส่งต่อ • นำส่ง IEP และรายงานการประเมินความก้าวหน้า รายงานการดำเนินงานตามแผน IEP แฟ้มประวัติ และแฟ้มสะสมผลการเรียนของผู้เรียนเมื่อผู้เรียนจบการศึกษาแต่ละระดับหรือย้ายสถานศึกษาเพื่อเป็นข้อมูลในการจัดการศึกษาสำหรับผู้เรียนต่อไป
ลักษณะของความบกพร่อง แต่ละประเภท
ลักษณะทั่วไปของผู้เรียนที่มีความบกพร่องทางการเห็นลักษณะทั่วไปของผู้เรียนที่มีความบกพร่องทางการเห็น • บุคคลที่มีความบกพร่องทางการเห็น ได้แก่ บุคคลที่สูญเสียการเห็นตั้งแต่ระดับเล็กน้อยจนถึงตาบอดสนิท • คนเห็นเลือนราง หมายถึง บุคคลที่สูญเสียการเห็น แต่ยังสามารถอ่านอักษรตัวพิมพ์ขยายใหญ่ด้วยอุปกรณ์เครื่องช่วยความพิการ หรือเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก หากวัดความชัดเจนของสายตาข้างดีเมื่อแก้ไขแล้วอยู่ในระดับ 6 ส่วน 18 เมตร (6/18) หรือ 20 ส่วน 70 ฟุต (20/70) หรือมีลานสายตาแคบกว่า 30 องศา ลงไปจนถึง 10 องศา • คนตาบอด หมายถึง บุคคลที่สูญเสียการเห็นมาก จนต้องใช้อ่านอักษรเบรลล์ หากตรวจวัดความชัดของสายตาข้างดีเมื่อแก้ไขแล้ว อยู่ในระดับ 6 ส่วน 60 เมตร (6/60) หรือ 20 ส่วน 200ฟุต (20/200) จนถึงไม่สามารถรับรู้เรื่องแสง หรือมีลานสายตาแคบกว่า 10 องศา • มีอาการคันตา น้ำตาไหลอยู่เสมอ หรือมีอาการตาแดงบ่อยๆ • มองเห็นไม่ชัดในบางครั้ง มองเห็นภาพซ้อน วิงเวียนศีรษะ • เวลามองวัตถุไกลๆ ต้องขยี้ตาหรือกระพริบตาบ่อยๆหรือทำหน้าย่นขมวดคิ้ว • เวลาเดินต้องระมัดระวังหรือเดินช้าๆ โดยกลัวจะสะดุดสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ขวางหน้า • สายตาสู้แสงสว่างไม่ได้
ลักษณะทั่วไปของผู้เรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยินลักษณะทั่วไปของผู้เรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน • บุคคลที่มีความบกพร่องทางการได้ยินได้แก่ บุคคลที่สูญเสียการได้ยินตั้งแต่ระดับหูตึงน้อยจนถึงหูหนวก • คนหูตึง หมายถึง บุคคลที่มีการได้ยินเหลืออยู่เพียงพอที่จะได้ยินการพูดผ่านทางการได้ยิน โดยทั่วไปจะใส่เครื่องช่วยฟัง ซึ่งหากตรวจวัดการได้ยินจะมีการสูญเสียการได้ยินน้อยกว่า 90 เดซิเบลลงมาถึง 26 เดซิเบล • คนหูหนวก หมายถึง บุคคลที่สูญเสียการได้ยินมากจนไม่สามารถเข้าใจการพูดผ่านทางการได้ยินไม่ว่าจะใส่หรือไม่ใส่เครื่องช่วยฟัง ซึ่งหากตรวจวัดการได้ยินจะมีการสูญเสียการได้ยินน้อยกว่า 90 เดซิเบลลงมาถึง 26 เดซิเบล • อาจจะมีปัญหาในการพูดคือ พูดได้น้อย หรือพูดไม่ชัด ต้องใช้ภาษาท่าทางหรือภาษามือ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่สูญเสียการได้ยิน เช่น หากบุคคลสูญเสียการได้ยินตั้งแต่กำเนิดอาจจะมีปัญหาในการพูดมากกว่าบุคคลที่สูญเสียการได้ยินหลังจากมีภาษาพูดแล้ว และการที่บุคคลได้รับการสอนพูดตั้งแต่เด็กหรือไม่ • บุคคลที่มีความบกพร่องทางการได้ยินมีปัญหาในการปรับตัว เนื่องจากไม่สามารถสื่อสารกับผู้อื่นให้เข้าใจ เกิดความคับข้องใจและส่งผลต่อพฤติกรรมที่แสดงออกมา • เสียงพูดแปลก อาจเป็นเสียงต่ำ หรือแหบผิดปกติ • ใช้วิธีสื่อสารโดยการจ้องมองปาก หรือจ้องหน้าผู้พูด • ใช้เครื่องช่วยฟัง
ลักษณะทั่วไปของผู้เรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาลักษณะทั่วไปของผู้เรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา • ร่างกายและสุขภาพ • มักมีรูปร่างหน้าตาผิดปกติ คือ รูปหน้า/ศีรษะ (ใหญ่/เล็กกว่าปกติ) มือเท้าผิดรูป รูปร่างผิดปกติ (แคระแกรน/สูงใหญ่ต่างจากคนทั่วไป) • เจ็บป่วยรุนแรง เช่น ลมชัก โรคหัวใจ อาเจียนบ่อย ขับถ่ายผิดปกติ • พฤติกรรม • พัฒนากล้ามเนื้อและการเคลื่อนไหวล่าช้า เคลื่อนไหวไม่คล่องแคล่ว • พัฒนาการทางการพูดและภาษาล่าช้า มักจะพูดช้า พูดไม่ชัด พูดแล้วผู้อื่นไม่เข้าใจ ฟังแล้วไม่เข้าใจ/เข้าใจผิด • ความสามารถในการจำน้อย ขาดสมาธิและความสนใจในการทำกิจกรรมต่างๆ • การตัดสินใจ/เผชิญหน้ากับสถานการณ์ไม่เหมาะสม มักจะทำอะไรแผลงๆ ไม่กลัวอันตราย • ควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ค่อยได้ อารมณ์อ่อนไหว ใจน้อย แสดงอารมณ์ต่างๆ อย่างชัดเจน
ลักษณะทั่วไปของผู้เรียนที่มีความบกพร่องทางร่างกาย หรือการเคลื่อนไหว หรือสุขภาพ ความบกพร่องทางการเคลื่อนไหว (Neuromotor Impairments)ความบกพร่องที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวที่สั่งการโดยสมองและระบบประสาทส่วนกลาง • แขนหรือขาอ่อนแรงจากสาเหตุต่างๆ เช่นอัมพาตจากหลอกเลือดสมอง อุบัติเหตุทางสมองและไขสันหลัง มะเร็ง โรคติดเชื้อที่สมองหรือไขสันหลังภาวะผิดปกติทางสมองหรือไขสันหลังตั้งแต่กำเนิด • แขน ขา ขาดจากสาเหตุต่างๆเช่น เบาหวาน อุบัติเหตุ มะเร็ง แขนขาขาดหายตั้งแต่กำเนิด • โรคข้อ หรือกลุ่มอาการปวด เช่นรูมาตอยด์ ข้อเข่าเสื่อม • ภาวะเจ็บป่วยเรื้อรัง เหนื่อยง่าย จนมีผลกระทบต่อการปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจำวัน เช่นโรคหัวใจ โรคไตวาย โรคปอด ความบกพร่องทางร่างกาย (Muscular/skeletal Conditions) ความบกพร่องจากระบบกล้ามเนื้อและโครงสร้างกระดูก • ภาพลักษณ์ภายนอกร่างกายที่เห็นชัดเจน เช่นคนแคระที่มีขนาดลำตัวสั้นมากจนมีผลต่อการเข้าไปมีส่วนร่วมทางสังคม • ใบหน้า หรือศีรษะที่ผิดรูป เช่นหู ตา จมูก ปาก ที่ผิดรูป ผิดตำแหน่ง ผิดขนาด อาจจะมาจากอุบัติเหตุ ไฟไหม้ หรือโดนสารพิษเช่นน้ำกรด มีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ภายนอกอย่างรุนแรง • คอ หลัง ลำตัว ผิดปกติหรือผิดรูป เช่นกรณีหลังคด หรือผิดรูปอย่างรุนแรงที่เห็นเด่นชัด เมื่อดูด้วยตาเปล่า มีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ภายนอกอย่างรุนแรง (กรณีนี้ต้องมีการตรวจประเมินว่าไม่สามารถจะทำการรักษาโดยการผ่าตัดได้แล้วหรือผู้ป่วยไม่ยินยอมผ่าตัด) ความบกพร่องทางสุขภาพ หมายถึง ภาวะความเจ็บป่วย และโรคที่มีผลให้มีความจำเป็นต้องได้รับการดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ (Special Healthcare) และอาจรบกวนความกระตือรือร้น สมาธิ และการเรียนทั้งในระยะสั้นหรือระยะยาว บุคคลอาจจำเป็นต้องได้รับการศึกษาเป็นพิเศษหรือไม่แล้วแต่กรณี
ลักษณะของผู้เรียนที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษาลักษณะของผู้เรียนที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา • ความบกพร่องทางการพูดและภาษาได้แก่ บุคคลที่มีความบกพร่องในการเปล่งเสียงพูด เช่น เสียงผิดปกติ อัตราความเร็วและจังหวะการพูดผิดปกติ หรือบุคคลที่มีความบกพร่อง ในเรื่องความเข้าใจหรือการใช้ภาษาพูด การเขียนหรือระบบสัญลักษณ์อื่นที่ใช้ในการติดต่อสื่อสาร ซึ่งอาจเกี่ยวกับรูปแบบ เนื้อหาและหน้าที่ของภาษา • ความบกพร่องทางการพูด หมายถึงความบกพร่องซึ่งเกิดจากกระบวนการเปล่งเสียงและการใช้เสียงพูด พิจารณาได้ 4 ด้าน • มีอาการเกร็งที่ปาก พูดช้า ไม่ต่อเนื่อง เสียงแหบ เบา • การเปล่งเสียงบกพร่อง เช่น เสียงบางส่วนของคำขาดหายไป • เสียงพูดบกพร่อง เช่น แหบพร่า ดังหรือเบาเกินไป • ความบกพร่องของจังหวะและขั้นตอนของเสียงพูด เช่นเว้นวรรคตอนไม่ถูกต้อง ติดอ่าง • ความบกพร่องทางภาษา หมายถึง มีความบกพร่องในการเข้าใจหน่วยเสียง การใช้คำ ประโยค เพื่อสื่อสารอย่างเหมาะสมในภาษาพูด ภาษาเขียน หรือระบบสัญลักษณ์อื่นที่ใช้ในการสื่อสาร
ลักษณะทั่วไปของผู้เรียนออทิสติกลักษณะทั่วไปของผู้เรียนออทิสติก • บุคคลออทิสติก ได้แก่ บุคคลที่มีความผิดปกติของระบบการทำงานของสมองบางส่วนซึ่งส่งผลต่อความบกพร่องทางพัฒนาการด้านภาษา ด้านสังคมและการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม และมีข้อจำกัดด้านพฤติกรรม หรือมีความสนใจจำกัดเฉพาะเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยความผิดปกตินั้นค้นพบได้ก่อนอายุ 30 เดือน • ไม่สนใจใครและไม่ตอบสนองต่อพฤติกรรมที่แสดงสัมพันธภาพของผู้อื่น เช่นไม่ยิ้ม ไม่กอดหรือให้ใครจับตัว • ไม่เข้าใจความหมายแฝงในคำพูด หรืออารมณ์ ความรู้สึกของผู้อื่น • ไม่สามารถแยกเรื่องจริง และเรื่องสมมุติหรือการพูดจริงพูดเล่น • มีความผิดปกติในการรับรู้สิ่งเร้าผ่านประสาทสัมผัส (Sensory Impairments) ทำให้แสดงพฤติกรรมแปลกประหลาด • กระตุ้นตนเอง (Self Stimulation) โดยมีการเคลื่อนไหวของร่างกายซ้ำๆเป็นรูปแบบเดิมๆ • ต้องทำสิ่งใดที่เคยทำเป็นประจำโดยมีรายละเอียดเหมือนเดิมและแสดงอาการต่อต้านอย่างรุนแรงเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมรอบๆตัว แสดงพฤติกรรมก้าวร้าว เช่น ร้องไห้ ดิ้น กรีดร้อง • หมกมุ่นกับสิ่งที่ตนเองสนใจ และเลือกทำแต่กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับสิ่งนั้น • บางคนไม่มีพัฒนาการทางภาษาพูด • เปล่งเสียงพูดผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด เช่นพูดติดอ่าง ดังไป ช้าไป เร็วไป สูงไป ต่ำไป • พูดและใช้ภาษาแปลกๆ เช่นพูดทวนคำ (Echolalia) หรือสื่อสารความหมายผิดจากความหมายที่สังคมรับรู้
ลักษณะของผู้เรียนที่มีความบกพร่องทางอารมณ์หรือพฤติกรรม • ความบกพร่องทางพฤติกรรมหรืออารมณ์ ได้แก่ บุคคลที่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนไปจากปกติเป็นอย่างมาก และปัญหาเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลจากความบกพร่องหรือความผิดปกติทางจิตใจหรือสมองในส่วนการรับรู้ อารมณ์หรือความคิด เช่น โรคจิตเภท โรคซึมเศร้า โรคสมองเสื่อม เป็นต้น • ลักษณะอาการของผู้ที่มีความบกพร่องทางอารมณ์รวมถึงผู้ที่มีความก้าวร้าว สมาธิสั้น เก็บตัว วิตกกังวล ขาดวุฒิภาวะ และมีความยากลำบากในการเรียนรู้ทางวิชาการและมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำ • ในกรณีของภาวะสมาธิสั้น (Attention deficit/Hyperactivity disorder) ให้ถือว่าเป็นความบกพร่องในการทำงานของสมอง จนส่งผลต่อการควบคุมพฤติกรรม และการสร้างสมาธิ แต่เนื่องจากไม่ได้รุนแรง จนเกิดข้อจำกัดในการปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจำวันหรือการเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคมจึงไม่จัดเป็นประเภทความพิการ ทั้งนี้หากภาวะสมาธิสั้นเป็นข้อจำกัดทางการเรียน หรือเกิดร่วมกับความบกพร่องทางการเรียนรู้หรือภาวะออทิซึม อาจจะพิจารณาความบกพร่องเป็นเฉพาะกรณี
ลักษณะของผู้เรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ลักษณะของผู้เรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ • บุคคลที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ ได้แก่ บุคคลที่มีความผิดปกติในการทำงานของสมองบางส่วนที่แสดงถึงความบกพร่องในกระบวนการเรียนรู้ที่อาจเกิดขึ้นเฉพาะความสามารถด้านใดด้านหนึ่งหรือหลายด้าน คือ การอ่าน การเขียน การคิดคำนวณ ซึ่งไม่สามารถเรียนรู้ในด้านที่บกพร่องได้ ทั้งที่มีระดับสติปัญญาปกติ • อ่านสลับตัวอักษร อ่านออกเสียงไม่ชัด อ่านหลังบรรทัด อ่านตะกุกตะกัก ผิดๆ ถูกๆขมวดคิ้ว นิ่วหน้าเวลาอ่าน ไม่เข้าใจความหมายของคำศัพท์ อ่านสลับคำ อ่านข้ามคำ อ่านช้า อ่านย้อนกลับไปกลับมา สับสนในการจำแนกตัวอักษรที่คล้ายกัน มีปัญหาในการประสมตัวอักษร จับใจความเรื่องที่อ่านไม่ได้ หรือลำดับเรื่องที่อ่านไม่ได้ • เขียนตัวอักษรโย้ไปโย้มา ตัวอักษรมีขนาดและรูปร่างไม่เท่ากัน กลับด้าน อาจลากเส้นวนๆ ซ้ำๆเหมือนไม่แน่ใจว่าจะม้วนหัวเข้าในหรือออกนอก เช่น ม – น เรียงลำดับอักษรผิด เช่น สตางค์ เขียนเป็น ตสางค์ มีปัญหาในการเว้นวรรคตอนและช่องไฟ ไม่ตรงบรรทัดหรือไม่อยู่ในแนวเดียวกัน เขียนตามเสียงที่ได้ยิน เช่น ประโยชน์ เขียนเป็น ประโยด • มีปัญหาในการอ่านตัวเลขหลายๆ หลัก เช่น 356,800 สับสนระหว่างตัวเลขบางตัว เช่น 9 กับ 6 , 2 กับ 5 แยกความแตกต่างของขนาดและรูปทรงไม่ได้ นับเลขไม่ได้ บางคนนับถอยหลังไม่ได้ ไม่เข้าใจความหมายของตัวเลขโจทย์ปัญหา ลืมขั้นตอนของการคิดคำนวณ เช่น นับเลขผิด ทดเลขผิด โยงความสัมพันธ์ของตัวเลขและสัญลักษณ์ไม่ได้ สับสนสูตรทางคณิตศาสตร์ ไม่เข้าใจการบอกเวลา หรือมาตราชั่งตวงวัด
ฝึกปฏิบัติการจัดทำแผนการศึกษาเฉพาะบุคคลกรณีศึกษา เด็กชายธันวา
กรณีศึกษาเด็กชายธันวากรณีศึกษาเด็กชายธันวา • อายุ 10 ปี กำลังศึกษาอยู่ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ในโครงการเรียนร่วมของโรงเรียนประถมศึกษาแห่งหนึ่ง • ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่ามีอาการออทิซึมเมื่ออายุ 3 ปี • ไม่สนใจผู้ปกครองหรือของเล่น ไม่สบตาผู้ใดโดยตรง ชอบจัดเรียงสิ่งของให้เป็นแถวเป็นแนว และหมุนปั่นสิ่งของ ด.ช.ธันวา เล่นคนเดียวเป็นเวลานาน
พฤติกรรมที่สังเกตในชั้นเรียน (ข้อเด่นและข้อจำกัด) ด้านภาษาและการสื่อสาร • เมื่อครูเล่านิทานนิทานในห้อง ธันวาจะสนใจได้ไม่เกิน 2 นาทีก่อนจะหันหน้าไปทำอย่างอื่น เดินพูดไปเรื่อยๆ บางทีเสียงดังขึ้นมาโดยหาสาเหตุไม่พบ • สนใจเรื่องเครื่องบิน และการเดินทางโดยเครื่องบิน หรือการต่างประเทศเป็นอย่างมาก ชอบวาดรูปและเขียนข้อความต่างๆ ที่เกี่ยวกับการเดินทางโดยเครื่องบิน มักเปลี่ยนหัวข้อสนทนาของชั้นเรียนให้วกวนอยู่กับเรื่องที่ตนเองสนใจ ไม่เข้าใจความหมายแฝงในคำพูด สำนวนหรือคำเปรียบเทียบต่างๆ เช่น ใจดำ หิวจนตาลาย ดีใจจนเนื้อเต้น
พฤติกรรมที่สังเกตในชั้นเรียน (ข้อเด่นและข้อจำกัด) ด้านสังคม • ไม่สบตาใคร เล่นดินสอนำมาต่อเป็นเสาไฟฟ้า พูดคนเดียว หัวเราะเมื่อเห็นผู้อื่นกำลังร้องไห้ มองกระดานน้อยมาก เมื่อครูเข้าไปพูดด้วยก็ผลักครูออก ครูดึงดินสอก็ร้องลั่นห้อง เมื่อมีกิจกรรมกลุ่ม ธันวาจะแยกตัวออกจากกลุ่มและไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ ไม่เข้าในสีหน้าท่าทางของผู้อื่น เช่นเมื่อชอบเพื่อนคนไหนมากเป็นพิเศษก็จะไปจับตัว จับผมและไม่เข้าใจเมื่อเพื่อนแสดงอาการไม่พอใจ
พฤติกรรมที่สังเกตในชั้นเรียน (ข้อเด่นและข้อจำกัด) ด้านพฤติกรรมอื่นๆ • แสดงอาการไม่พอใจอย่างมากเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงกิจกรรมที่เคยทำเป็นประจำ ฉีกตารางสอนหากครูสอนเกินเวลา หรือหากมีการสลับชั่วโมงเรียนหรือผู้สอน เช่น ครูสอนภาษาไทยไม่สบาย ธันวาจะชี้หน้าครูที่มาสอนแทนและพูดว่า “ผิดๆๆๆ ออกไปๆ” มักอาสาจัดระเบียบชั้นเรียน เช่นเก็บอุปกรณ์การสอนของครูลงลิ้นชักทั้งที่ครูยังสอนไม่เสร็จ มีความผิดปกติในการรับรู้สิ่งเร้าผ่านประสาทสัมผัส แสดงพฤติกรรมแปลกประหลาด การเคลื่อนไหวของร่างกายซ้ำๆ เช่น โบกมือผ่านแสงไฟ ลุกขึ้นหมุนตัวบ่อยๆ
พฤติกรรมที่สังเกตในชั้นเรียน (ข้อเด่นและข้อจำกัด) ด้านการเรียนรู้และความพร้อมทางวิชาการ • สามารถจำรูปแบบของคำ พร้อมคำอ่าน สามารถบอกความสัมพันธ์ระหว่างเสียงกับอักษรได้ โดยเฉพาะอักษรที่ออกเสียงง่ายๆเช่น ม พ ก มักสังเกตเห็นคำผิดได้ดีมาก แต่มีความยากลำบากในการเข้าใจความหมายของคำโดยเฉพาะคำที่สื่อความหมายนามธรรม เช่น คำศัพท์เกี่ยวกับรสชาติ (เปรี้ยว หวาน เค็ม จืด) คำแสดงอารมณ์หรือความรู้สึก (สวย ชอบ ดี เบื่อ) • มักไม่เข้าใจคำสั่ง หรือคำถาม โดยเฉพาะคำถามที่เป็นประโยคเชิงซ้อน ถามคำถามที่มักไม่เกี่ยวข้องกับบทเรียน แต่ถ้าตอบคำถามที่ไม่แน่ใจจะเสียงเบาและไม่มองหน้าครู เช่น พูดว่าถึงเวลากลับบ้านหลังจากพักรับประทานอาหารกลางวันและยืนยันว่าจะไม่เปลี่ยนแปลง
หลักการและวิธีการปรับหลักสูตรสำหรับผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษ ภาคที่ 2
Curriculum: แม่บทของเนื้อหาสาระที่กำหนดเพื่อ จัดการเรียนการสอนให้ทิศทางแก่ผู้สอนและผู้เรียน • Curriculum Adaptation: การปรับหลักสูตรให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้เรียนเพื่อให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตนเองได้เต็มศักยภาพ • Instruction: การเรียนการสอนซึ่งเกิดขึ้นโดยมีผู้เรียนและผู้สอนอยู่ในบริบทเดียวกัน • Instruction Adaptation: การปรับการเรียนการสอนซึ่งเกิดขึ้นโดยมีผู้เรียนและผู้สอนอยู่ในบริบทเดียวกันเพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้เรียนเพื่อพัฒนาศักยภาพของผู้เรียน
หลักสูตร • ความหมาย หลักสูตร (Curriculumหรือ Curricula) หมายถึง เนื้อหาที่ใช้สอน และกระบวนการตรวจสอบเพื่อให้นักเรียนบรรลุตามจุดประสงค์การเรียนรู้ที่ตั้งไว้ โดยมีการจัดแนวการเรียนการสอนเป็นระบบที่ชัดเจน แบ่งออกเป็น • หลักสูตรแกนกลางหรือหลักสูตรขั้นพื้นฐาน (Mainstream หรือ General Curriculum) • หลักสูตรสถานศึกษา(Specific Curriculum) • หลักสูตรเพิ่มเติมสอนทักษะเฉพาะที่จำเป็น (functional curriculum) เช่น หลักสูตรทักษะการดำรงชีวิต (Life Skills Curriculum) • การปรับเปลี่ยนหลักสูตร (curriculum adaptation)คือ การปรับหรือดัดแปลงหลักสูตรแกนกลางที่ใช้กับนักเรียนทั่วไปมาใช้กับนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษ
การสอน การสอน Instruction = ครูสอนอย่างไร How teacher teaches • B ก่อนสอนออกแบบการสอน Design of instruction • D ระหว่างสอนดำเนินการสอนDelivery of instruction ใช้เทคนิคการสอน Teaching Technique • A หลังสอนการประเมิน Assessment = How teacher knows whether the instruction is effective
กลุ่มสาระการเรียนรู้ 1. ภาษาไทย :ความรู้ ทักษะและวัฒนธรรมการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร ความชื่นชมการเห็นคุณค่า ภูมิปัญญา ไทยและภูมิใจในภาษาประจำชาติ 2. คณิตศาสตร์ :การนำความรู้ ทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์ไปใช้ในการแก้ปัญหา การดำเนินชีวิตและศึกษาต่อ การมีเหตุมีผลมีเจตคติที่ดีต่อคณิตศาสตร์พัฒนาการคิดอย่างเป็นระบบ 3. วิทยาศาสตร์ :การนำความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ไปใช้ในการศึกษา ค้นคว้าหาความรู้และแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ การคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล คิดวิเคราะห์ คิดสร้างสรรค์ และจิตวิทยาศาสตร์
กลุ่มสาระการเรียนรู้ (ต่อ) 4. สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม :การอยู่ร่วมกันในสังคมไทยและสังคมโลกอย่างสันติสุข การเป็นพลเมืองดีศรัทธาในหลักธรรมของศาสนาการเห็นคุณค่าของทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ความรักชาติ และภูมิใจในความเป็นไทย 5. สุขศึกษาและพลศึกษา :ความรู้ทักษะและเจตคติในการสร้างเสริมสุขภาพพลานามัยของตนเองและผู้อื่น การป้องกันและปฏิบัติต่อสิ่งต่าง ๆ ที่มีผลต่อสุขภาพอย่างถูกวิธีและทักษะในการดำเนินชีวิต 6. ศิลปะ :ความรู้และทักษะในการคิดริเริ่ม จินตนาการสร้างสรรค์งานศิลปะสุนทรียภาพและการเห็นคุณค่าทางศิลปะ 7. การงานอาชีพและเทคโนโลยี :ความรู้ ทักษะ และเจตคติในการทำงาน การจัดการการดำรงชีวิต การประกอบอาชีพและการใช้เทคโนโลยี 8. ภาษาต่างประเทศ ความรู้ ทักษะ เจตคติ และวัฒนธรรมการใช้ภาษาต่างประเทศในการสื่อสาร การแสวงหาความรู้และการประกอบอาชีพ
ว 1.1 ป. 1/2 ป 1/2 ตัวชี้วัดชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ข้อที่ 2 1.1 สาระที่ 1 มาตรฐานข้อที่ 1 ว กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ต 2.3 ม. 4-6/3 ม 4-6/3 ตัวชี้วัดชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ข้อที่ 3 23 สาระที่ 2 มาตรฐานข้อที่ 3 ต กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ตัวอย่าง
หลักสูตร vsการเรียนการสอน can they be taught? what should they learn? how to teach it?
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับหลักสูตรสำหรับเด็กพิเศษความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับหลักสูตรสำหรับเด็กพิเศษ • หลักสูตรประกอบด้วย • เนื้อหาที่จะสอนกำหนดเป็นเป้าหมายและวัตถุประสงค์การเรียนรู้ • สื่อการสอน • วิธีสอนที่เหมาะกับเนื้อหา • การทดสอบและติดตามความก้าวหน้าของผู้เรียน • การปรับหลักสูตรเริ่มจากหลักสูตรแกนกลางโดยมีแนวทางการตัดสินใจดังนี้
หลักสูตรแกนกลาง ความต้องการพิเศษเฉพาะบุคคล ผู้เรียนสามารถเรียนได้โดยไม่ต้องปรับหลักสูตรใช่หรือไม่ ใช่ ไม่ใช่ มีการจัดเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกแล้วหรือไม่ ใช่ ใช่ ปรับเนื้อหา สื่อ วิธีสอนแล้ว ผู้เรียนสามารถเรียนได้หรือไม่ หลักสูตร การเรียนการสอนที่เหมาะสม ไม่ใช่ ใช่ เพิ่มการให้ความช่วยเหลือทางการเรียนแล้ว ผู้เรียนสามารถเรียนได้หรือไม่ ไม่ใช่ ใช่ การเปลี่ยนหลักสูตรเหมาะสมกว่าหรือไม่
เป้าหมายในการเรียนรู้และหลักการปรับหลักสูตรสำหรับเด็กพิเศษเป้าหมายในการเรียนรู้และหลักการปรับหลักสูตรสำหรับเด็กพิเศษ Adapted from Walker et al., 1996 หลักสูตรทักษะการดำรงชีวิตและให้ความ ช่วยเหลือเต็มรูปแบบทั้งทางวิชาการ การปรับพฤติกรรมและการแพทย์ ปรับหลักสูตรแกนกลาง และจัดเรียนร่วม หลักสูตรแกนกลาง หรือ หลักสูตรสถานศึกษา
ขั้นตอนที่ 1: ปรับทัศนคติเกี่ยวกับหลักสูตร สำหรับเด็กพิเศษ • เด็กพิเศษควรได้โอกาสเรียนหลักสูตรปกติมากเท่าที่เด็กสามารถเรียนได้เพื่อที่จะประกอบอาชีพและดำรงชีวิตได้อย่างอิสระในสังคม • เป้าหมายของการปรับหลักสูตรคือช่วยให้เด็กพิเศษสามารถเรียนหลักสูตรปกติมากเท่าที่เด็กสามารถเรียนได้ • การเปลี่ยนหลักสูตรควรเป็นทางเลือกสุดท้าย • การปรับหลักสูตรสามารถทำได้ในชั้นเรียนปกติและชั้นเรียนร่วม • เรียนในชั้นเรียนปกติหรือชั้นเรียนการศึกษาพิเศษไม่ใช่เรื่องของหลักสูตร • IEP ไม่ใช่หลักสูตรและไม่ใช่แผนการสอน • หาก IEP เริ่มต้นที่หลักสูตรการศึกษาพิเศษอาจจะทำให้เกิดความคาดหวังต่อการเรียนของเด็กที่ต่ำกว่าความเป็นจริง
ขั้นตอนที่ 2:วิเคราะห์หลักสูตรแกนกลาง • วิเคราะห์สาระการเรียนรู้ • หลักการและเหตุผลการเรียนในแต่ละสาระ • วิเคราะห์เป้าหมายการเรียนรู้ • วิเคราะห์การวัดและประเมินผล (ตัวชี้วัด) • วิเคราะห์กิจกรรม • วิเคราะห์ความคาดหวังอื่นๆ • ประเมินว่าหลักสูตรแกนกลางมีความยืดหยุ่นหรือไม่