420 likes | 532 Views
ระบบงานบำบัดเด็กและเยาวชน และการทำงานเชิงสหวิชาชีพ. โครงการพัฒนาหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้นและระบบงานพฤตินิสัย โดย นางสาวดวงพร อุกฤษณ์ นักวิเคราะห์นโยบายและแผน ชำนาญการพิเศษ วันที่ 25 มกราคม 2553. แนวทางการบรรยาย. ประเด็นที่เกี่ยวข้อง 1. กรอบแนวคิดเรื่องความปลอดภัย
E N D
ระบบงานบำบัดเด็กและเยาวชนและการทำงานเชิงสหวิชาชีพระบบงานบำบัดเด็กและเยาวชนและการทำงานเชิงสหวิชาชีพ โครงการพัฒนาหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้นและระบบงานพฤตินิสัย โดย นางสาวดวงพร อุกฤษณ์ นักวิเคราะห์นโยบายและแผน ชำนาญการพิเศษ วันที่ 25 มกราคม 2553
แนวทางการบรรยาย ประเด็นที่เกี่ยวข้อง 1. กรอบแนวคิดเรื่องความปลอดภัย 2. กรอบแนวคิดเกี่ยวกับสหวิชาชีพ 3. กรอบแนวทางปฏิบัติงานด้านการบำบัดแก้ไขฟื้นฟูเด็ก/เยาวชนในสถานควบคุม
ปรัชญา แนวความคิดพื้นฐานในการปฏิบัติงานในสถานควบคุม SAFETY & SECURITY RIGHT TREATMENT Education Rehabilitation
Institutional Security and the Correctional Education Staff(USA) “ กระบวนการด้านการรักษาความปลอดภัยที่เหมาะสมเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการดำเนินการด้านระเบียบวินัยของสถานควบคุม ถ้าปราศจากกระบวนการด้านการรักษาความปลอดภัยแล้ว สถานควบคุมจะไม่เกิดความปลอดภัยและกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น โปรแกรมด้านการศึกษา โปรแกรมด้านการบำบัดแก้ไขฟื้นฟู ฯลฯ จะไม่สามารถดำเนินการไปได้อย่างเหมาะสม“
บทบาทการรักษาความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ด้านการศึกษาเพื่อการบำบัดแก้ไขบทบาทการรักษาความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ด้านการศึกษาเพื่อการบำบัดแก้ไข “เจ้าหน้าที่ด้านการศึกษามีบทบาทสำคัญหรือเป็นหลักในด้านการรักษาความปลอดภัยของสถานควบคุมถึงแม้ว่างานอันดับแรกของเจ้าหน้าที่ด้านการศึกษาคือการให้บริการทางด้านการศึกษาและกิจกรรมต่าง ๆ แต่พวกเขาต้องทำงานเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยเหลือเพื่อดำรงไว้ซึ่งความปลอดภัยและการรักษาสภาพแวดล้อมให้เกิดความปลอดภัย”
ข้อแนะนำพื้นฐานในการปฏิบัติ(1)ข้อแนะนำพื้นฐานในการปฏิบัติ(1) 1. ช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานด้านการรักษาความปลอดภัยโดยการสังเกตและรายงานถึงสิ่งที่ต้องสงสัยหรือกิจกรรมที่ไม่ปกติและโดยการประสานงานในฐานะเดียวกับเป็นเจ้าหน้าที่ด้านการรักษาความปลอดภัยที่ปฏิบัติงานในหน้าที่ 2. เชื่อฟังเคารพระเบียบของสถานควบคุมและกำหนดให้เด็ก/เยาวชนปฏิบัติเช่นเดียวกัน และต้องรายงานทุกครั้งที่มีการฝ่าฝืนระเบียบ 3. ถ้าเกิดความขัดแย้งระหว่างเจ้าหน้าที่ด้านการศึกษาและเจ้าหน้าที่ด้านการรักษาความปลอดภัย รายงานจะต้องถูกส่งขึ้นไปตามลำดับชั้นของการบังคับบัญชาและห้ามการพูดคุยกันในเรื่องนี้กับ/หรือต่อหน้าเด็ก/เยาวชน
ข้อแนะนำพื้นฐานในการปฏิบัติ(2)ข้อแนะนำพื้นฐานในการปฏิบัติ(2) 4. ต้องทำการตรวจพื้นที่ทำงานในส่วนที่รับผิดชอบเพื่อค้นหาสิ่งของต้องห้าม เป็นครั้งคราว 5. ต้องดูแลรักษาสิ่งของต้องห้ามเกี่ยวกับวัสดุอุปกรณ์ที่มีอยู่ในรายการและที่ตั้งอยู่ในพื้นที่รับผิดชอบของตนเอง 6. รักษาความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชนอย่างเข้มงวดในฐานะนักวิชาชีพ ห้ามการมีความสัมพันธ์เป็นการส่วนตัว 7. ต้องเรียนรู้ทุกครั้งที่มีเวลาในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการด้านการรักษาความปลอดภัย โดยการมีส่วนร่วมในการฝึกอบรมหรือโดยการอ่านและการสอบถาม
ความสัมพันธ์ระหว่างสภาพแวดล้อมและบุคลิกภาพ(1)ความสัมพันธ์ระหว่างสภาพแวดล้อมและบุคลิกภาพ(1) สภาพแวดล้อมของสถานควบคุมและบุคลิกภาพของเจ้าหน้าที่ใน การให้ความช่วยเหลือแก่เด็ก/เยาวชนก่อให้เกิดโอกาสที่จะแสดง พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเป็นอย่างมาก เจ้าหน้าที่ด้านการศึกษาควร ฝึกฝนระมัดระวังเป็นพิเศษในเรื่องดังกล่าวต่อไปนี้ 1. ความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างเจ้าหน้าที่กับเด็กและเยาวชนหรืออื่น ๆ ที่นอกเหนือไปจากความสัมพันธ์ฉันท์ครูกับศิษย์ เป็นอันตรายทั้งต่อครูและเด็ก/เยาวชนรวมทั้งสถานควบคุม 2. ความลำเอียง การปฏิบัติต่อผู้กระทำผิดต้องเท่าเทียมกัน การลำเอียงนำไปสู่การนินทา ความอิจฉา และความเดือดร้อน
ความสัมพันธ์ระหว่างสภาพแวดล้อมและบุคลิกภาพ (2) 3. สิ่งของต้องห้าม อาคารสถานที่ของโรงเรียน โรงฝึกวิชาชีพ หรือสถานที่จัดกิจกรรมต่าง ๆ และวัสดุอุปกรณ์ ก่อให้เกิดโอกาสที่เด็กและเยาวชนได้มาซึ่งและทำการปิดบังซ่อนเร้นสิ่งของที่ไม่ได้รับอนุญาต อย่างเช่น อาวุธ 4. การค้าขายและการแลกเปลี่ยนสิ่งที่ผิดกฎหมาย ในพื้นที่ของสถานควบคุมในส่วนที่เป็นโรงเรียน โรงฝึกวิชาชีพ หรือสถานที่จัดกิจกรรมต่าง ๆ มักจะถูกใช้เป็นพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนทั้งสิ่งที่ผิดและไม่ผิดกฎหมายเพราะพื้นที่เหล่านี้ยากต่อการควบคุมเมื่อเทียบกับห้องควบคุมตัว/หอนอน
ความสัมพันธ์ระหว่างสภาพแวดล้อมและบุคลิกภาพ (3) 5.การใช้กำลังบังคับ การบังคับขู่เข็ญ ภาษา ในบางครั้งเด็ก/เยาวชนอาจจะกลายมาเป็นผู้ไม่ปฏิบัติตามระเบียบวินัยของสถานควบคุม ถ้าเป็นเช่นนั้น ไม่ให้ใช้กำลังทางกาย ขู่เข็ญ หรือใช้ภาษาที่แสดงถึงความก้าวร้าว การสบประมาทด้วยคำพูด คำพูดที่หยาบคาย หรือการใช้ภาษาแสลงที่ไม่เป็นที่ยอมรับ ห้ามโต้เถียง ห้ามทำให้ขายหน้า หรือการตำหนิต่อหน้าสาธารณะ 6. ถ้าในพื้นที่ของโรงเรียนโรงฝึกวิชาชีพ หรือสถานที่จัดกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ได้รับการควบคุมหรือจัดการที่เหมาะสมอาจจะเปิดโอกาสให้ผู้กระทำผิดเข้าไปพัวพันในพฤติกรรมทางเพศที่ไม่เป็นที่ยอมรับได้
ขอบเขต/เกณฑ์ด้านการรักษาความปลอดภัยในระดับปกติ (1) 1. การตรวจค้น (shakedown) เพื่อตรวจค้นพื้นที่หรือผู้กระทำผิดเป็นรายคนเพื่อค้นหาสิ่งของต้องห้าม 2. การนับ (count) การนับจำนวนผู้ถูกควบคุมที่เป็นการนับหลักของสถานควบคุมในหนึ่งวันจะต้องมีหลายครั้ง ทั้งนี้ก็เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าไม่ผู้ใดหลบหนี ในบางกรณี การนับอาจจะเป็นการรบกวนโปรแกรมการเรียนแต่เป็นหน้าที่ที่สำคัญอย่างยิ่งของสถานควบคุม 3. คณะกรรมการจำแนกประเภท (Classification Committee)กระบวนการของคณะกรรมการถูกใช้เพื่อกำหนดปัญหาและความบกพร่อง ของเด็ก/เยาวชน และเพื่อวางแผนตามโปรแกรมการบำบัดฟื้นฟู
ขอบเขต/เกณฑ์ด้านการรักษาความปลอดภัยในระดับปกติ (2) 4. การกำหนดพื้นที่พักอาศัย (Housing assignment) การกำหนดสถานที่นอน การจัดห้องขังเดี่ยว บางครั้งอาจใช้คำว่า “บ้าน” 5. การรายงานด้านระเบียบวินัย (Disciplinary Report)อธิบายวิธีการรายงานเด็ก/เยาวชนที่ฝ่าฝืนกฎระเบียบ เจ้าหน้าที่ด้านการศึกษาจะต้องถูกฝึกฝนและสร้างความรับผิดชอบในการเขียนรายงานข้อเท็จจริง 6. การเรียกผู้ป่วย (Sick Call) สำหรับผู้กระทำผิดที่มีรายงานว่าป่วยและรายงานไปยังสถานพยาบาลที่ได้รับการเรียกตัว จะต้องมีการกำหนดรายการจ่ายยาให้กับเด็ก/เยาวชน
ขอบเขต/เกณฑ์ด้านการรักษาความปลอดภัยในระดับปกติ (3) 7. การกั้นเขตเฉพาะ (Lockup) หลักเกณฑ์เพื่อใช้ในการอธิบายการบริหารจัดการด้านการแยกประเภท หรือพื้นที่สำหรับผู้กระทำผิดที่จัดให้แก่เด็ก/เยาวชนที่ฝ่าฝืนกฎระเบียบ หรือสำหรับการคุ้มครอง 8. การปิดล็อค (Lockdown) เมื่อเด็ก/เยาวชนทุกคนได้เข้าไปอยู่ในห้องหรือในเขตบ้านหรือหอนอนแล้ว การใช้งานตามปกติของอาคารสถานที่รวมทั้งโรงเรียนโรงฝึกวิชาชีพ หรือสถานที่จัดกิจกรรมต่าง ๆ จะต้องหยุดทำการใด ๆ เช่นกัน
การเคารพและปกป้องเกียรติและสิทธิอันพึงมีตามมาตรฐานสิทธิของเด็กและเยาวชนของเจ้าหน้าที่ (1) 1. การป้องกันเด็ก/เยาวชนจากการกระทำอันเป็นการทรมาน โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือ การลงโทษที่ทำให้อับอาย 2. การคัดค้านและต่อสู้เมื่อเกิดการทุจริตและรายงานแก่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทันที 3. การเคารพกฎระเบียบและรายงานแก่ผู้บังคับบัญชาของเจ้าหน้าที่ซึ่งทำการละเมิดกฎ
การเคารพและปกป้องเกียรติและสิทธิอันพึงมีตามมาตรฐานสิทธิของเด็กและเยาวชนของเจ้าหน้าที่ (2) 4. การป้องกันด้านสุขภาพกายและสุขภาพจิตของเด็ก/เยาวชน รวมถึง การป้องกันเด็ก/เยาวชนจากการถูกทารุณทางร่างกาย เพศ และจิตใจ และดำเนินการรักษาพยาบาลทันทีหากจำเป็น 5. เคารพสิทธิความเป็นส่วนตัวของเด็ก/เยาวชนและปกป้องความลับข้อมูลสำคัญของเด็กและเยาวชนและครอบครัว ซึ่งถือเป็นการทำงานอย่างมืออาชีพ 6. พยายามลดความแตกต่างระหว่างการใช้ชีวิตภายในและภายนอกสถานควบคุมซึ่งความแตกต่างนี้จะลดความเคารพในเกียรติความเป็นคนของเด็ก/เยาวชน
สหวิชาชีพกับการปฏิบัติงานด้านการบำบัดเด็ก/เยาวชนในสถานควบคุมสหวิชาชีพกับการปฏิบัติงานด้านการบำบัดเด็ก/เยาวชนในสถานควบคุม ความหมายของทีมสหวิชาชีพ (นายสรรพสิทธิ์ คุมพ์ประพันธ์) “กลุ่มบุคคลที่ได้รับการฝึกอบรมเกี่ยวกับการใช้เครื่องมือ มีความรู้ มีทักษะ และความสามารถเฉพาะด้านที่แตกต่างกัน มาทำงานร่วมกันเพื่อมุ่งสู่การแก้ไขปัญหาร่วมกันอย่างมีระบบ และเป็นกระบวนการ โดยอยู่บนพื้นฐานของเป้าหมาย และวัตถุประสงค์เดียวกันในการปฏิบัติงาน โดยจะมีการติดต่อสื่อสารระหว่างกันอย่างต่อเนื่องในการประเมินสภาพการณ์ของปํญหาและมีความรับผิดชอบร่วมกัน ตั้งแต่ ต้นจนสิ้นสุดกระบวนการ”
รูปแบบของการทำงานแบบสหวิชาชีพรูปแบบของการทำงานแบบสหวิชาชีพ Interdisciplinary คือการประสานความร่วมมือจากหลายสาขาวิชาชีพที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานโดยใช้วิธีการส่งต่อข้อมูล และประสานทรัพยากรที่มีอยู่อย่างเป็นทางการ เพื่อใช้ในการดำเนินงานในกระบวนการต่างๆ โดยไม่จำเป็นต้องมีการประชุมกัน Multidisciplinaryการทำงานแบบบูรณาการหรือการประชุมทีมสหวิชาชีพ เป็นการทำงานที่ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดในกรณีนั้นๆ มาประชุมปรึกษาหารือกันเพื่อระดมความคิดเห็นและกำหนดแนวทางการช่วยเหลือร่วมกัน โดยอาศัยพื้นฐานความรู้ทักษะ และความสามารถพิเศษของแต่ละสาขาวิชาชีพ
การประชุมทีมสหวิชาชีพการประชุมทีมสหวิชาชีพ • การประชุมในสาขาเดียวกันแต่ต่างวิชาชีพ • การประชุมร่วมกันระหว่างสหวิชาชีพที่มาจากหลายสาขา ซึ่งจะมีผู้ชำนาญการหลายสาขาแตกต่างกันไปทั้งบทบาทและองค์กรที่แตกต่างกัน ดังนั้น พฤติกรรมหนึ่งใดของเด็ก/เยาวชน / case ก็อาจมีการวินิจฉัยและวิเคราะห์ได้หลายแบบ จึงทำให้การเก็บข้อมูลเพื่อนำมาประเมินแตกต่างกันการสร้างความร่วมมือระหว่างหลายสาขาวิชาชีพเข้าด้วยกันในระหว่างหน่วยงานที่ทำงานในหลายสาขาวิชาชีพ เพื่อต่อชิ้นส่วนปริศนาเข้าด้วยกันให้สามารถเห็นภาพรวมที่แท้จริงก็คือการประชุมทีมสหวิชาชีพนั่นเอง
กระบวนการทำงานแบบสหวิชาชีพ(1)กระบวนการทำงานแบบสหวิชาชีพ(1) ขั้นตอนกระบวนการทำงานแบบสหวิชาชีพตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ข้อ 19 และ 39 1. กระบวนการค้นหาความจริงหรือการสืบสวนสอบสวน 2. กระบวนการคุ้มครองและป้องกันเฉพาะหน้า 3. กระบวนการบำบัดฟื้นฟูเด็ก 4. กระบวนการส่งเด็กคืนสู่สังคม 5. การป้องกันด้วยการลดปัจจัยเสี่ยงภายในครอบครัวและชุมชน
กระบวนการทำงานแบบสหวิชาชีพ(2)กระบวนการทำงานแบบสหวิชาชีพ(2) • คนที่เข้าร่วมทีมมีความเต็มใจทำงานร่วมกับคนอื่น ๆ ในทีม และทุกคนมีเป้าหมายเดียวกันคือ เป้าหมายของทีม • การทำงานแบบทีมสหวิชาชีพต้องอาศัยหลักวิชาชีพในการปฏิบัติหน้าที่โดยคำนึงถึงข้อเท็จจริง การวิเคราะห์วินิจฉัยปัญหาและการแสดงความคิดเห็นตามหลักวิชาชีพในส่วนที่ตนเองศึกษามา โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องรวบรวมข้อเท็จจริงที่ได้จากการสืบค้นโดยผู้ประกอบวิชาชีพทุกแขนงที่อยู่ร่วมทีม และไม่สามารถใช้ความรู้สึกส่วนบุคคลหรือความเชื่อและความคิดเห็นที่ไม่มีหลักวิชาการอ้างอิง • มีการกำหนดหน้าที่และวิธีการของแต่ละคนไว้ชัดเจนและเปิดโอกาสให้คนที่มีดุลยพินิจในการตัดสินใจกระบวนการทำงานนอกจากหน้าที่ของตนเพื่อเสริมให้งานของทีมมีประสิทธิผลยิ่งขึ้น
เป้าหมายของการประชุมสหวิชาชีพ(1)เป้าหมายของการประชุมสหวิชาชีพ(1) 1. การรวบรวมข้อสังเกตและข้อมูลอื่นๆ ของผู้เข้าร่วมประชุม 2. การประเมินสภาพทางจิตสังคมเด็ก รวมทั้งครอบครัวอย่างเป็นองค์รวม โดยเชื่อมโยงกับการบำบัดที่ได้รับ 3. ประเมินดูว่าเด็กได้รับการดูแลดีเพียงพอหรือไม่ หรือมีทางที่จะช่วยปรับปรุงให้ถึงขั้นที่ดีพอ หรือต้องให้คนอื่นเป็นผู้ดูแลเด็กแทน 4. วางแผนการบำบัดทั้งระยะสั้น และระยะยาว
เป้าหมายของการประชุมสหวิชาชีพ(2)เป้าหมายของการประชุมสหวิชาชีพ(2) 5. การกำหนดบทบาท และความรับผิดชอบของผู้เข้าร่วมประชุมซึ่งกัน และการแบ่งสรรความรับผิดชอบ 6. มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับความก้าวหน้าของแผนการบำบัด 7. ปรับแผนให้ดีขึ้นเมื่อจำเป็น 8. ชี้ให้เห็นถึงปัญหาและแก้ไขปัญหาที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ที่มีผู้ชำนาญการ ในแต่ละสาขาพบ ทั้งในกระบวนการบำบัด และในการร่วมมือซึ่งกัน และกัน
การบำบัดเด็ก/เยาวชนในสถานพินิจฯและศูนย์ฝึกฯการบำบัดเด็ก/เยาวชนในสถานพินิจฯและศูนย์ฝึกฯ 1. สถานพินิจฯ - การจัดกิจกรรมในห้องควบคุมตัวชั่วคราว - การจัดกิจกรรมบำบัดแบบไปเช้าเย็นกลับ /FCGC/มาตรา 95 * - การบำบัดเบื้องต้นในสถานแรกรับ 2. ศูนย์ฝึกและอบรมฯ - ระยะสั้น ( 1 - 6 เดือน) - ระยะกลาง (6 - 18 เดือน) - ระยะยาว ( 18 - 24 เดือนเป็นต้นไป)
1. สถานพินิจฯ วัตถุประสงค์การบำบัด - เพื่อบำบัดแก้ไขปัญหาการกระทำความผิดของเด็กและเยาวชน - เพื่อคุ้มครองสิทธิและสวัสดิภาพของเด็กและเยาวชน เป้าหมาย - เด็กและเยาวชนได้รับการแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด - เด็กและเยาวชนได้รับการตอบสนองตามสภาพปัญหาและความจำเป็นเบื้องต้น - เด็กและเยาวชนได้รับการบำบัด แก้ไข ฟื้นฟูในเบื้องต้น - เด็กและเยาวชนได้รับการปกป้อง คุ้มครอง สิทธิ และสวัสดิภาพ
การจัดกิจกรรมบำบัด ฟื้นฟูเบื้องต้นสำหรับเด็กและเยาวชนที่อยู่ระหว่างปล่อยชั่วคราวโดยพิจารณากำหนดระยะเวลาและประเภทกิจกรรมให้สอดคล้องตามระดับและประเภทปัญหาเด็กและเยาวชนแต่ละราย • การจัดกิจกรรมบำบัด ฟื้นฟูเบื้องต้นสำหรับเด็กและเยาวชนที่ผ่านการประชุมกลุ่มครอบครัวและชุมชน มาตรา 63 โดยกำหนดระยะเวลาและประเภทกิจกรรมให้สอดคล้องกับเงื่อนไขข้อตกลงของการประชุมกลุ่มครอบครัวและชุมชนของเด็กและเยาวชนแต่ละราย • การจัดกิจกรรมบำบัด ฟื้นฟูเบื้องต้นสำหรับเด็กและเยาวชนสำหรับเด็กและเยาวชนที่ถูกควบคุมตัวอยู่ในห้องควบคุมชั่วคราวอย่างเหมาะสม • การติดตามและประเมินผลและรายงานผลการบำบัด แก้ไข ฟื้นฟูเบื้องต้นของเด็กและเยาวชน เพื่อประกอบการพิจารณาพิพากษาของศาล • มีการติดตามและประเมินผลการบำบัด แก้ไข ฟื้นฟูเบื้องต้น สำหรับกลุ่มเด็กและเยาวชนที่ผ่าน หรือที่ผ่านการประชุมกลุ่มครอบครัวและชุมชนตามมาตรา 63 อย่างน้อยปีละ1 ครั้ง ภายในระยะเวลาไม่เกิน 2 ปี
สถานแรกรับ สถานแรกรับจัดให้มีแผนการบำบัด แก้ไข ฟื้นฟูเบื้องต้นเด็กและเยาวชน ทุกรายตามผลการจำแนกประเภท เพื่อเป็นแนวทางในการบำบัด แก้ไข ฟื้นฟูเบื้องต้น โดยมีระยะเวลาสอดคล้องกับการควบคุมตัวอยู่ในสถานแรกรับ วัตถุประสงค์ • เพื่อให้เด็กและเยาวชนได้รับการบำบัดแก้ไขเบื้องต้นในด้านต่าง ๆ • เพื่อให้เด็ก / เยาวชน และครอบครัวได้รับการสงเคราะห์ช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ เมื่อมีปัญหาและความเดือดร้อน • เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของเด็กและเยาวชน • เพื่อให้เด็กและเยาวชนสามารถปรับตัวเข้ากับสถานควบคุมตัว เพื่อน เยาวชน เจ้าหน้าที่ และสภาพแวดล้อม
เป้าหมาย • เด็กและเยาวชนที่อยู่ในระหว่างควบคุมตัวทุกราย หรือได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว จะได้รับการบำบัด แก้ไข ฟื้นฟูเบื้องต้น • ปัญหาและความต้องการของเด็กและเยาวชน ตลอดจนครอบครัวได้รับการแก้ไขและตอบสนอง • จัดบริการสังคมในด้านต่าง ๆ ให้กับเด็กและเยาวชนอย่างเหมาะสมและเพียงพอ มีคุณภาพ มีประสิทธิภาพ • กิจกรรมการบำบัด แก้ไข ฟื้นฟูเบื้องต้นที่สอดคล้องกับปัญหาของเด็กและเยาวชน
การบำบัด แก้ไข ฟื้นฟูเบื้องต้นจะใช้ระยะเวลาประมาณ 90 - 120 วัน โดยแบ่งออกเป็น 1. การบำบัด แก้ไข ฟื้นฟู ช่วงแรกรับตัวใช้เวลา 15 วัน ปฐมนิเทศ เตรียมความพร้อมทางร่างกาย จิตใจ กิจกรรมสำรวจตนเอง 2. ช่วงการบำบัด แก้ไข ฟื้นฟูระยะกลางใช้เวลา 60 วัน 3. ช่วงเตรียมความพร้อมก่อนพิพากษาใช้เวลา 15 วัน
กิจกรรมการบำบัด แก้ไข ฟื้นฟูเบื้องต้น ประกอบด้วย กิจกรรม ต่าง ๆ ดังนี้ • กิจกรรมตามประเภทของกลุ่มที่ได้รับการจำแนกไว้ ได้แก่ บำบัดทางจิตวิทยา กิจกรรมบำบัดด้านยาเสพติดที่จำแนกเป็นกลุ่มเสี่ยง กลุ่มเสพ และกลุ่มติด กิจกรรมส่งเสริมทักษะชีวิต • ทบทวนการเรียน พลศึกษา กิจกรรมการปรับตัวในการฝึกอบรม หรือการกลับคืนสู่สังคม • การประเมินผลการบำบัด แก้ไข ฟื้นฟู
ช่วงเตรียมความพร้อมก่อนปล่อยหรือการส่งต่อไปรับการฝึกอบรม (ใช้เวลา 15 วัน) • การเตรียมเด็กและเยาวชนเข้ารับการพิจารณาตัดสินของศาลเยาวชนและครอบครัว • การเตรียมเด็ก เยาวชน ครอบครัว ชุมชน และสิ่งแวดล้อม กรณีที่เด็กและเยาวชนจะได้รับการปล่อยตัว • การเตรียมประสานข้อมูลเด็กกับองค์กรเครือข่ายภาครัฐ เอกชน และชุมชนในการให้การบำบัด แก้ไข ในชุมชน การสงเคราะห์ช่วยเหลือ การติดตามและประเมินผลภายหลังปล่อย • กิจกรรมการปรับตัวในการกลับคืนสู่สังคมให้กับเด็ก เยาวชน และครอบครัว • กิจกรรมการเตรียมตัวด้านการดำเนินชีวิตในครอบครัวและชุมชน ภายหลังปล่อย การยอมรับของครอบครัว ชุมชน และคุมประพฤติภายหลังปล่อย การประกอบอาชีพ การศึกษาต่อ การรักษาพยาบาลเมื่อเจ็บป่วย การบรรพชา การอุปสมบท การปรับตัวเข้ากับครอบครัว ชุมชนเพื่อนนักเรียน เพื่อนร่วมงาน
กิจกรรมปัจฉิมนิเทศ • กิจกรรมการสงเคราะห์ช่วยเหลือเมื่อมีปัญหาก่อนปล่อยและภายหลังปล่อยการส่งกลับภูมิลำเนา ส่งต่อไปขอรับความช่วยเหลือยังหน่วยงานภายนอกทั้งภาครัฐและเอกชน • กิจกรรมการส่งต่อไปรับการฝึกอบรมยังศูนย์ฝึกและอบรม การปรับตัวในการรับการฝึกอบรม • กิจกรรมการเตรียมการติดตามและประเมินผลการสงเคราะห์ช่วยเหลือก่อนปล่อยและภายหลังปล่อย การดำเนินชีวิตภายหลังปล่อย • มีการสงเคราะห์ช่วยเหลือแก่เด็ก / เยาวชน และครอบครัวที่มีปัญหาและความต้องการในระหว่างควบคุมตัวและภายหลังปล่อย โดยมีการจัดบริการให้การสงเคราะห์ช่วยเหลือเป็นเงิน สิ่งของ และเป็นบริการต่าง ๆ • มีการติดตามและประเมินผลเด็กและเยาวชนภายหลังปล่อยทุก 6 เดือน -1 ปี
2. ศูนย์ฝึกและอบรมฯ ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน มีแผนการบำบัด แก้ไข ฟื้นฟู ป้องกัน และพัฒนาเด็กและเยาวชน แผนการฝึกอบรม แผนการเตรียมความพร้อมก่อนปล่อย และแผนการสงเคราะห์ช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ โดยเป็นไปตามผลการจำแนกประเภท (ซ้ำ) และกำหนดระยะเวลาที่สอดคล้องกับคำสั่งศาล รวมทั้งการเสริมสร้างศักยภาพของเด็กและเยาวชนในกลับคืนสู่สังคม การดำรงอยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุข และไม่หวนกลับไปกระทำผิดซ้ำโดยแผนการบำบัด แก้ไข ฟื้นฟู ป้องกัน และพัฒนาเด็กและเยาวชน จะสอดคล้องภารกิจ ประเภท และลักษณะของศูนย์ฝึกและอบรมฯ แต่ละแห่ง
วัตถุประสงค์ • เพื่อให้เด็กและเยาวชนได้รับการบำบัด แก้ไข ฟื้นฟู ป้องกัน และพัฒนาในด้านต่าง ๆ • เพื่อให้เด็ก เยาวชน และครอบครัวได้รับการสงเคราะห์ช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ เมื่อมีปัญหาและความเดือดร้อน • เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของเด็กและเยาวชน • เพื่อให้เด็กและเยาวชนสามรถปรับตัวให้เข้ากับศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน เพื่อน เยาวชน เจ้าหน้าที่ และสภาพแวดล้อม • เพื่อเตรียมปรับตัวเด็กและเยาวชนให้เข้ากับครอบครัว ชุมชน สังคม และเตรียมสร้างการยอมรับของเด็กต่อครอบครัว ชุมชน และสังคม • เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนปล่อยและการประกอบอาชีพหรือการศึกษาต่อการฝึกวิชาชีพต่อ ฯลฯ
เป้าหมาย • เด็กและเยาวชนที่ฝึกอบรม หรือได้รับการปลดปล่อย จะได้รับการบำบัด แก้ไข ฟื้นฟู และสงเคราะห์ช่วยเหลือ • ปัญหาและความต้องการของเด็กและเยาวชน ตลอดจนครอบครัว ได้รับการแก้ไขและตอบสนอง • เด็กและเยาวชนมีครูที่ปรึกษาที่จะคอยให้คำแนะนำปรึกษาปัญหา • ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน มีการจัดบริการสังคมในด้านต่าง ๆ ให้กับเด็ก เยาวชนอย่างเหมาะสม และเพียงพอ มีคุณภาพ มีประสิทธิภาพ • ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน มีกิจกรรมบำบัด แก้ไข ฟื้นฟู การพัฒนา การป้องกัน การฝึกอบรม การเตรียมความพร้อมก่อนปล่อย และภายหลังปล่อย การสงเคราะห์ และการสงเคราะห์ภายหลังปล่อยที่สอดคล้องกับปัญหาของเด็กและเยาวชน
กรอบแนวคิดการจัดกิจกรรมบำบัด 1. จัดให้เด็กและเยาวชนแต่ละรายมีครูที่ปรึกษาเป็นการเฉพาะนับตั้งแต่วันแรกรับตัว (หากเป็นไปได้) หรือในวันที่ 2 ในช่วงการปฐมนิเทศควรจะได้มีโอกาสพบกันทุกวัน ครั้งละ 30 นาที 2. ให้ครอบครัวเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมบำบัด แก้ไข ฟื้นฟู จะปฏิบัติได้ต่อเมื่อคณะกรรมการของศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน พิจารณาแล้วเห็นว่าจะสามารถช่วยให้เด็กและเยาวชน มีความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นเท่านั้น 3. ในการจัดกิจกรรมบำบัด แก้ไข ฟื้นฟูสามารถให้องค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินงานได้ทุกขั้นตอน
4. จัดทำแผนการบำบัด แก้ไข ฟื้นฟูเด็กและเยาวชนทุกคน เพื่อเป็นแนวทางในการบำบัด แก้ไขเด็กและเยาวชนตามสภาพปัญหาและความจำเป็น โดยมีการกำหนดระยะเวลาที่สอดคล้องกับคำสั่งศาล รวมทั้งเสริมสร้างศักยภาพของเด็กและเยาวชนในการดำรงชีวิตอยู่ในสังคม ได้อย่างปกติสุขและไม่กระทำผิดซ้ำ 5. บุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการจัดลำดับคะแนนความประพฤติ ทำการสังเกตและบันทึกพฤติกรรมของเด็กหรือเยาวชน แต่ละรายที่ได้พบอย่างสม่ำเสมอ เพื่อการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงาน รวมทั้งเป็นข้อมูลในการศึกษาวิจัยอย่างต่อเนื่อง
6.จัดตารางสอนให้มีจำนวนชั่วโมงการเรียนการสอนที่สอดคล้องกับแผนการบำบัด แก้ไข ฟื้นฟู พร้อมกับจัดเจ้าหน้าที่ให้ดูแลรับผิดชอบตามตารางกิจกรรม 7.จัดให้มีคณะกรรมการดำเนินการวัดผลความเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรมของเด็กและเยาวชนทุกราย ตามแผนการบำบัด แก้ไข ฟื้นฟูเป็นรายบุคคล 8. จัดกิจกรรมด้านการบำบัด แก้ไข ฟื้นฟูในศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน ควรจัดแบ่งการปฏิบัติงานออกเป็น 3 ขั้นตอน โดยเริ่มจากขั้นการปฐมนิเทศเด็กและเยาวชนที่เข้าใหม่ (Orientation Stage) ขั้นการศึกษาอบรมและฝึกวิชาชีพ (Intermediate Stage) และขั้นเตรียมการก่อนปล่อย (Pre-release Stage) ซึ่งแต่ละขั้นตอนจะต้องจัดให้เหมาะสมกับหลักสูตรการเรียนการสอนของเยาวชน 9. จัดทำรายงานผลทุกครั้งที่มีการประเมินผลการฝึกอบรมและเลื่อนขั้นเด็กและเยาวชนถึงความก้าวหน้าและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
ประเภทของกิจกรรม 1. กิจกรรม 1 เดือนแรก: ปฐมนิเทศเด็ก เยาวชน ครอบครัว , จำแนกประเภท (ซ้ำ) เฉพาะบางราย , การกำหนดแผนบำบัดเฉพาะราย , กิจกรรมปรับตน และบำบัด แก้ไข ฟื้นฟู ,กิจกรรมการเข้ามามีส่วนร่วมของครอบครัวชุมชน และ NGO, กิจกรรมแนะแนวการดำเนินชีวิต
2. กิจกรรมหลัง 1 เดือนแรก : วิชาสามัญ วิชาชีพระยะสั้น กิจกรรมอื่นได้แก่ บำบัดด้านต่าง ๆ ตามแผน เช่น กลุ่มยาเสพติด กลุ่มทักษะชีวิต กลุ่มพัฒนาด้านความมั่งคงทางจิตใจ กลุ่มพัฒนาทักษะด้านความคิด กลุ่มพัฒนาด้านการแสดงออก กลุ่มครอบครัวบำบัด ฯลฯ / พลศึกษา /จริยธรรม /นันทนาการ /ระเบียบวินัย/ ครูที่ปรึกษา /กิ จกรรมนอกหลักสูตร)
3. กิจกรรมเตรียมความพร้อมก่อนปล่อยตัว ก่อนปล่อยตัว 3 เดือน : การปัจฉิมนิเทศเด็ก เยาวชน ครอบครัว การเตรียมเด็กและเยาวชน ครอบครัว ชุมชน สิ่งแวดล้อม การจัดกิจกรรมการปรับตัวในการกลับคืนสู่สังคมให้กับเด็กและเยาวชน เช่น การออกไปฝึกงาน ทำงาน เยี่ยมบ้าน ทัศนศึกษา โรงเรียน สถานฝึกวิชาชีพ โรงงาน ห้างร้าน บริษัท ทัศนศึกษา สถานที่สำคัญ ฯลฯ การสงเคราะห์ก่อนปล่อย และภายหลังปล่อย การส่งต่อไปขอรับการช่วยเหลือ การเตรียมการติดตามและประเมินผล
กิจกรรมที่ควรให้ความสำคัญและทำงานร่วมกันแบบสหวิชาชีพกิจกรรมที่ควรให้ความสำคัญและทำงานร่วมกันแบบสหวิชาชีพ 1. การจำแนกเด็ก/เยาวชน 2. การวางแผนบำบัดแก้ไขฟื้นฟูเฉพาะราย 3. การติดตามและประเมินผลเด็ก/เยาวชน 4. การติดต่อและสื่อสารระหว่างบุคลากรโดยให้ความสำคัญกับข้อมูลของเด็ก/เยาวชน เพื่อการป้องกัน แก้ไข บำบัด พัฒนาเด็ก/เยาวชน