1 / 53

ข้อจำกัดการค้นในเรื่องเวลา

ข้อจำกัดการค้นในเรื่องเวลา. ป.วิ.อ.มาตรา 96 “ การค้นในที่รโหฐานต้องกระทำระหว่างพระอาทิตย์ขึ้นและตก มีข้อยกเว้นดังนี้ (๑) เมื่อลงมือค้นแต่ในเวลากลางวัน ถ้ายังไม่เสร็จจะค้นต่อไปในเวลากลางคืนก็ได้

keiki
Download Presentation

ข้อจำกัดการค้นในเรื่องเวลา

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. ข้อจำกัดการค้นในเรื่องเวลาข้อจำกัดการค้นในเรื่องเวลา • ป.วิ.อ.มาตรา 96“การค้นในที่รโหฐานต้องกระทำระหว่างพระอาทิตย์ขึ้นและตก มีข้อยกเว้นดังนี้ (๑) เมื่อลงมือค้นแต่ในเวลากลางวัน ถ้ายังไม่เสร็จจะค้นต่อไปในเวลากลางคืนก็ได้ (๒) ในกรณีฉุกเฉินอย่างยิ่ง หรือซึ่งมีกฎหมายอื่นบัญญัติให้ค้นได้เป็นพิเศษ จะทำการค้นในเวลากลางคืนก็ได้ (๓) การค้นเพื่อจับผู้ดุร้ายหรือผู้ร้ายสำคัญจะทำในเวลากลางคืนก็ได้ แต่ต้องได้รับอนุญาตพิเศษจากศาลตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในข้อบังคับของประธานศาลฎีกา” กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

  2. หลักเกณฑ์ : ไม่ว่าจะค้นได้โดยมีหมายค้น หรือไม่ก็ตามต้องกระทำระหว่างพระอาทิตย์ขึ้นและตก หรือห้ามมิให้ทำการค้นในเวลากลางคืน • ยกเว้นแต่ในกรณีดังต่อไปนี้ สามารถค้นในเวลากลางคืนได้ (แต่ต้องสามารถทำการค้นในที่รโหฐานนั้นได้) • เมื่อลงมือค้นแต่ในเวลากลางวัน ถ้ายังไม่เสร็จจะค้นต่อไปในเวลากลางคืนก็ได้ กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

  3. ในกรณีฉุกเฉินอย่างยิ่ง • กรณีฉุกเฉินอย่างยิ่ง กล่าวคือ เหตุหรือพฤติการณ์ต่างๆหากไม่ทำการค้น(ในเวลากลางคืน) จะมีผลทำให้ไม่อาจจับผู้กระทำผิดได้เลย และพยานหลักฐานต่างๆอาจสูญหายหรือถูกทำลายไปหมด • มีกฎหมายอื่นบัญญัติให้ค้นได้เป็นพิเศษ จะทำการในเวลากลางคืนก็ได้ • มีกฎหมายอื่นบัญญัติให้ค้นได้เป็นพิเศษ เช่น พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามยาเสพติด พ.ศ.2519 แก้ไขเพิ่มเติม ฉ.2 พ.ศ.2534 มาตรา 14 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

  4. พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามยาเสพติด พ.ศ.2519 แก้ไขเพิ่มเติม ฉ.2 พ.ศ.2534 มาตรา 14 (1)..........แต่ในกรณีที่มีเหตุอันควรสงสัยว่ามียาเสพติดซุกซ่อนอยู่โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือบุคคลที่จะถูกจับได้หลบซ่อนอยู่ในเคหสถาน หรือสถานที่นั้น ประกับมีเหตุอันควรเชื่อว่าหากไม่ดำเนินการทันที ยาเสพติดนั้นจะถูกโยกย้าย หรือบุคคลที่หลบซ่อนอยู่จะหลบหนี ก็ให้มีอำนาจเข้าไปในเวลากลางคืนภายหลังพระอาทิตย์ตกได้ (2).......” กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

  5. การค้นเพื่อจับผู้ดุร้ายหรือผู้ร้ายสำคัญจะทำในเวลากลางคืนก็ได้ แต่ต้องได้รับอนุญาตพิเศษจากศาลตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในข้อบังคับของประธานศาลฎีกา • -ผู้ดุร้าย ได้แก่ ผู้ที่อาจทำอันตรายบุคคลอื่นได้ • -ผู้ร้ายสำคัญ ได้แก่ ผู้ต้องหาซึ่งกระทำความผิดร้ายแรง กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

  6. หลักปฏิบัติในการค้นที่รโหฐานหลักปฏิบัติในการค้นที่รโหฐาน กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

  7. ถ้าเป็นการค้นโดยมีหมาย ก่อนลงมือค้น ต้องแสดงหมายค้น(ม.94 ว.1)และต้องค้นโดยเจ้าพนักงานผู้มีชื่อในหมายค้น หรือผู้รักษาการแทน (ม.97) ถ้าค้นโดยไม่มีหมาย ต้องแสดงนาม และตำแหน่งก่อนลงมือค้น มาตรา 94“ให้พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจที่ทำการค้นในที่รโหฐาน สั่งเจ้าของหรือคนอยู่ในนั้นหรือผู้รักษาสถานที่ซึ่งจะค้น ให้ยอมให้เข้าไปโดยมิหวงห้าม อีกทั้งให้ความสะดวกตามสมควรทุกประการในอันที่จะจัดการตามหมาย ทั้งนี้ให้พนักงานผู้นั้นแสดงหมายหรือถ้าค้นได้โดยไม่ต้องมีหมายก็ให้แสดง นามและตำแหน่ง ถ้าบุคคล ดั่งกล่าวในวรรคต้นมิยอมให้เข้าไป เจ้าพนักงานมีอำนาจใช้กำลังเพื่อเข้าไป ในกรณีจำเป็นจะเปิดหรือทำลายประตูบ้าน ประตูเรือน หน้าต่าง รั้วหรือสิ่งกีดขวางอย่างอื่นทำนองเดียวกันนั้นก็ได้” กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

  8. การค้นต้องค้นต่อหน้าผู้ครอบครองสถานที่ หรือบุคคลในครอบครัวของผู้นั้น หรือบุคคลอื่นอย่างน้อยสองคนซึ่งเจ้าพนักงานได้ร้องขอให้มาเป็นพยาน มาตรา 102 ว.1 • การค้นที่อยู่ หรือสำนักงานของผู้ต้องหา หรือจำเลยซึ่งควบคุม หรือขังอยู่ ต้องทำต่อหน้าบุคคลหรือต่อหน้าผู้แทนของผู้ต้องหาหรือจำเลย ถ้าไม่มีก็ค้นต่อหน้าบุคคลในครอบครัวของผู้ต้องหาหรือจำเลย หรือพยานอย่างน้อยสองคนซึ่งเจ้าพนักงานได้ร้องขอให้มาเป็นพยานมาตรา 102 ว.2 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

  9. มาตรา ๑๐๒ “การค้นในที่รโหฐานนั้น ก่อนลงมือค้นให้เจ้าพนักงานผู้ค้นแสดงความบริสุทธิ์เสียก่อน และเท่าที่สามารถจะทำได้ให้ค้นต่อหน้าผู้ครอบครองสถานที่หรือบุคคลในครอบครัวของผู้นั้น หรือถ้าหาบุคคลเช่นกล่าวนั้นไม่ได้ ก็ให้ค้นต่อหน้าบุคคลอื่นอย่างน้อยสองคนซึ่งเจ้าพนักงานได้ขอร้องมาเป็นพยาน การค้นที่อยู่หรือสำนักงานของผู้ต้องหาหรือจำเลยซึ่งถูกควบคุมหรือขังอยู่ให้ทำต่อหน้าผู้นั้น ถ้าผู้นั้นไม่สามารถหรือไม่ติดใจมากำกับจะตั้งผู้แทน หรือให้พยานมากำกับก็ได้ ถ้าผู้แทนหรือพยานไม่มี ให้ค้นต่อหน้าบุคคลในครอบครัวหรือต่อหน้าพยานดั่งกล่าวในวรรคก่อน” กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

  10. ก่อนลงมือค้น เจ้าพนักงานจะต้องแสดงความบริสุทธิ์เสียก่อน • มาตรา 102การค้นในที่รโหฐานนั้น ก่อนลงมือค้นให้เจ้าพนักงานผู้ค้นแสดงความบริสุทธิ์เสียก่อน และเท่าที่สามารถจะทำได้ให้ค้นต่อหน้าผู้ครอบครองสถานที่หรือบุคคลในครอบครัวของผู้นั้น หรือถ้าหาบุคคลเช่นกล่าวนั้นไม่ได้ ก็ให้ค้นต่อหน้าบุคคลอื่นอย่างน้อยสองคนซึ่งเจ้าพนักงานได้ขอร้องมาเป็นพยาน • ในการค้นเจ้าพนักงานจะต้องพยายามมิให้มีการเสียหายและจัดกระจายเท่าที่จะทำได้ • มาตรา 99“ในการค้นนั้น เจ้าพนักงานต้องพยายามมิให้มีการเสียหายและกระจัดกระจายเท่าที่จะทำได้” กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

  11. เจ้าพนักงานมีอำนาจสั่งให้เจ้าของ หรืออยู่ในที่รโหฐาน หรือผู้รักษาสถานที่ซึ่งจะค้น ให้ยอมให้เข้าในที่รโหฐานโดยมิหวงห้าม และให้ความสะดวกตามสมควร ม.94 ว.2 • ถ้าบุคคลดังกล่าวไม่ยอมให้เข้าไป เจ้าพนักงานมีอำนาจใช้กำลังเพื่อเข้าไป และถ้าจำเป็นมีอำนาจเปิด หรือทำลายประตูบ้าน ประตูเรือน หน้าต่าง รั้วหรือสิ่งกีดขวงอย่างอื่นได้ • การค้นเพื่อหาสิ่งของ เจ้าพนักงานอาจอนุญาตให้เจ้าของหรือผู้แทนเข้าไปร่วมค้นหาของได้ ม.95 มาตรา 95 “ในกรณีค้นหาสิ่งของที่หาย ถ้าพอทำได้ จะให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองสิ่งของนั้นหรือผู้แทนของเขาไปกับเจ้าพนักงานในการค้นนั้นด้วยก็ได้” กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

  12. กรณีที่เจ้าพนักงานมีเหตุอันควรสงสัยว่าบุคคลซึ่งอยู่ในที่ซึ่งค้นหรือจะถูกค้น จะขัดขวางถึงกับทำให้การค้นไร้ผล เจ้าพนักงานผู้ค้นมีอำนาจควบคุมตัวบุคคลนั้น หรือให้อยู่ในความดูแลของเจ้าพนักงานในขณะที่ทำการค้นเท่าที่จำเป็น เพื่อมิให้ขัดขวางถึงกับทำให้การค้นนั้นไร้ผล (ม.100ว.1) • ในกรณีมีเหตุอันควรสงสัยว่าบุคคลดังกล่าวเอาของที่ต้องการพบซุกซ่อนในร่างกาย เจ้าพนักงานมีอำนาจค้นตัวบุคคลนั้นได้(ม.100ว.2) กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

  13. มาตรา 100 “ถ้ามีเหตุอันควรสงสัยว่าบุคคลซึ่งอยู่ในที่ซึ่งค้นหรือจะถูกค้นจะขัดขวางถึงกับทำให้การค้นไร้ผล เจ้าพนักงานผู้ค้นมีอำนาจเอาตัวผู้นั้นควบคุมไว้หรือให้อยู่ในความดูแลของเจ้าพนักงานในขณะที่ทำการค้นเท่าที่จำเป็น เพื่อมิให้ขัดขวางถึงกับทำให้การค้นนั้นไร้ผล ถ้ามีเหตุอันควร สงสัยว่าบุคคลนั้นได้เอาสิ่งของที่ต้องการพบซุกซ่อนในร่างกายเจ้าพนักงานผู้ ค้นมีอำนาจค้นตัวผู้นั้นได้ดั่งบัญญัติไว้ตามมาตรา 85 มาตรา 85 เจ้าพนักงานผู้จับหรือรับตัวผู้ถูกจับไว้ มีอำนาจค้นตัวผู้ต้องหา และยึดสิ่งของต่างๆ ที่อาจใช้เป็นพยานหลักฐานได้ การค้นนั้นจักต้องทำโดยสุภาพ ถ้าค้นผู้หญิงต้องให้หญิงอื่นเป็นผู้ค้น สิ่งของใดที่ยึดไว้เจ้าพนักงานมีอำนาจยึดไว้จนกว่าคดีถึงที่สุด เมื่อเสร็จคดีแล้วก็ให้คืนแก่ผู้ต้องหาหรือแก่ผู้อื่น ซึ่งมีสิทธิเรียกร้องขอคืนสิ่งของนั้น เว้นแต่ศาลจะสั่งเป็นอย่างอื่น” กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

  14. ในการค้นเจ้าพนักงานจะค้นได้เฉพาะเพื่อหาตัวคน หรือสิ่งของที่ต้องการค้นเท่านั้น(ม.98) ยกเว้นแต่ • การค้นเพื่อพบสิ่งโดยไม่จำกัดสิ่ง มีอำนาจยึดสิ่งของใดๆ ซึ่งน่าจะใช้เป็นพยานหลักฐานเพื่อเป็นประโยชน์หรือยันผู้ต้องหาหรือจำเลยซึ่งอาจใช้ยัน • เจ้าพนักงานไม่มีอำนาจจับบุคคลใด ยกเว้นแต่ • บุคคลนั้นกระทำความผิดซึ่งหน้า หรือเป็นบุคคลที่มีให้หมายจับ กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

  15. สิ่งของที่ค้นได้ยึดได้ • เจ้าพนักงานต้องให้บรรจุ ตีตราสิ่งของที่ยึด ม.101 • เจ้าพนักงานต้องบันทึกรายละเอียดสิ่งของที่ยึด ม. 103 • เจ้าพนักงานต้องให้บุคคลในครอบครัวผู้ต้องหา จำเลย ผู้แทน หรือพยานดู เพื่อให้รับรองว่าถูกต้อง(ม.102 ว.ท้าย ม.103 ว.ท้าย) • ถ้าบุคคลนั้นรับรองหรือไม่รับรองก็ให้บันทึกเหตุนั้นไว้ กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

  16. การปล่อยชั่วคราว กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

  17. หลักในการขอปล่อยชั่วคราว • ผู้ต้องหาหรือจำเลยมีสิทธิได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว ม.40(7) • คำร้องขอให้ปล่อยชั่วคราว ต้องได้รับการพิจารณาโดยเร็ว • จะเรียกหลักประกันเกินสมควรมิได้ • การไม่ให้ประกันต้องอาศัยเหตุตามกฎหมาย • ผู้อื่นขอประกันมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งไม่อนุญาตให้ประกัน กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

  18. ร.ธ.น. มาตรา ๔๐ (๗) “บุคคลย่อมมีสิทธิในกระบวนการยุติธรรม ดังต่อไปนี้ (๗) ในคดีอาญา ผู้ต้องหาหรือจำเลยมีสิทธิได้รับการสอบสวนหรือการพิจารณาคดีที่ถูกต้องรวดเร็ว และเป็นธรรม โอกาสในการต่อสู้คดีอย่างเพียงพอ การตรวจสอบหรือได้รับทราบพยานหลักฐานตามสมควร การได้รับความช่วยเหลือในทางคดีจากทนายความ และการได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว” กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

  19. ผู้มีสิทธิยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวผู้มีสิทธิยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว • ผู้ต้องหา, จำเลย • ผู้มีประโยชน์ได้เสีย เช่น บุพการี ผู้สืบสันดาน สามี ภริยา ญาติพี่น้อง ผู้บังคับบัญชา นายจ้าง บุคคลที่เกี่ยวพันโดยทางสมรสบุคคลที่เจ้าพนักงาน หรือศาลเห็นว่ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดเสมือนเป็นญาติพี่น้องหรือมีความสัมพันธ์ในทางอื่นที่เจ้าพนักงานหรือศาลเห็นสมควรให้ประกันได้ หรือนิติบุคคล เช่น บริษัท ห้างหุ้นส่วนจำกัด สำหรับกรณีผู้ต้องหาหรือจำเลยเป็นกรรมการ ผู้แทน ตัวแทน หุ้นส่วน พนักงานหรือลูกจ้างของนิติบุคคลนั้น กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

  20. เจ้าพนักงานผู้มีอำนาจให้ปล่อยชั่วคราวเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจให้ปล่อยชั่วคราว • พนักงานสอบสวน ปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาซึ่งอยู่ในความควบคุม ม.106 (1),ม.113 ได้ไม่เกิน 6 เดือน • พนักงานอัยการ ปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาซึ่งอยู่ในความควบคุม ม.106 (1),ม.113, ม.143 (2) (ข) ได้ไม่เกิน 6 เดือน • ศาลชั้นต้น • ปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาซึ่งถูกขังระหว่างสอบสวนตามคำร้องขอของพนักงานสอบสวน หรือพนักงานอัยการ ม.106 (2) ได้ไม่เกินระยะเวลาตามมาตรา 87 • ปล่อยชั่วคราวจำเลยซึ่งถูกขังระหว่างพิจารณาในศาลชั้นต้น ม.106 (3),ระหว่างอายุอุทธรณ์, อายุฎีกาม.106 (4) ได้จนกว่าจะเพิกถอนการปล่อยชั่วคราว • ศาลอุทธรณ์ จำเลยถูกขังอยู่ในระหว่างการพิจารณาอุทธรณ์, ศาลฎีกา จำเลยถูกขังอยู่ในระหว่างการพิจารณาฎีกาม.106 (5) ได้จนกว่าจะเพิกถอนการปล่อยชั่วคราว กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

  21. มาตรา 113“เมื่อพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการสั่งปล่อยชั่วคราวไม่ว่าจะมี ประกันหรือมีประกันและหลักประกันหรือไม่ การปล่อยชั่วคราวนั้นให้ใช้ได้ระหว่างการสอบสวนหรือจนกว่าผู้ต้องหาถูกศาล สั่งขังระหว่างสอบสวนหรือจนถึงศาลประทับฟ้อง แต่มิให้เกินสามเดือนนับแต่วันแรกที่มีการปล่อยชั่วคราว ไม่ว่าเป็นการปล่อยชั่วคราวโดยพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการ ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นทำให้ไม่อาจทำการสอบสวนได้เสร็จภายในกำหนดสามเดือนจะ ยืดเวลาการปล่อยชั่วคราวให้เกินสามเดือนก็ได้ แต่มิให้เกินหกเดือน เมื่อการปล่อยชั่วคราวสิ้นสุดลงตามวรรคหนึ่งแล้ว ถ้ายังมีความจำเป็นที่จะต้องควบคุมผู้ต้องหาไว้ต่อไปให้ส่งผู้ต้องหามาศาล และให้นำบทบัญญัติมาตรา 87วรรคสี่ ถึงวรรคเก้ามาใช้บังคับ” กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

  22. มาตรา 106 “คำร้องขอให้ปล่อยผู้ต้องหาหรือจำเลยชั่วคราวโดยไม่ต้องมีประกันหรือมีประกัน หรือมีประกันและหลักประกัน ไม่ว่าผู้นั้นต้องควบคุมหรือขังตามหมายศาล ย่อมยื่นได้โดยผู้ต้องหา จำเลย หรือผู้มีประโยชน์เกี่ยวข้องดังนี้ (1) เมื่อผู้ต้องหาถูกควบคุมอยู่และยังมิได้ถูกฟ้องต่อศาล ให้ยื่นต่อพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการ แล้วแต่กรณี (2) เมื่อผู้ต้องหาต้องขังตามหมายศาลและยังมิได้ถูกฟ้องต่อศาล ให้ยื่นต่อศาลนั้น (3) เมื่อผู้ต้องหาถูกฟ้องแล้ว ให้ยื่นต่อศาลชั้นต้นที่ชำระคดีนั้น (4)เมื่อศาลอ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์แล้ว แม้ยังไม่มีการยื่นอุทธรณ์หรือฎีกา หรือมีการยื่นอุทธรณ์หรือฎีกาแล้ว แต่ยังไม่ได้ส่งสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกา ให้ยื่นต่อศาลชั้นต้นที่ชำระคดีนั้น ในกรณีที่ศาลชั้นต้นเห็นสมควรให้ปล่อยชั่วคราว ให้ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตมิฉะนั้นให้รีบส่งคำร้องพร้อมสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาเพื่อสั่ง แล้วแต่กรณี (5) เมื่อศาลส่งสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาแล้ว จะยื่นต่อศาลชั้นต้นที่ชำระคดีนั้น หรือจะยื่นต่อศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกา แล้วแต่กรณีก็ได้ในกรณีที่ยื่นต่อศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นรีบส่งคำร้องไปยังศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาเพื่อสั่ง แล้วแต่กรณี” กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

  23. เหตุที่จะพิจารณาอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวม.108เหตุที่จะพิจารณาอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวม.108 • ความหนักเบาแห่งข้อหา • พยานหลักฐานที่ปรากฏแล้วมีเพียงใด • เชื่อถือผู้ขอประกันและหลักประกันเพียงใด • ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะหลบหนีหรือไม่ • ภัยอันตรายหรือความเสียหายอันเกิดจากการปล่อยชั่วคราว • มีคัดค้านของพนักงานสอบสวนหรืออัยการ • ฟ้องเท็จจริง รายงาน หรือความอื่น กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

  24. การสั่งคำร้องขอปล่อยชั่วคราวการสั่งคำร้องขอปล่อยชั่วคราว • หลัก : ต้องอนุญาต (ม.107,(ม.108/1) • ถ้าไม่อนุญาต ต้องให้เหตุผลในคำสั่งโดยอาศัยเหตุผลและแจ้งให้ผู้ขอทราบโดยเร็ว มาตรา 107 “เมื่อได้รับคำร้องให้ปล่อยชั่วคราว ให้เจ้าพนักงานหรือศาลรีบสั่งอย่างรวดเร็วและผู้ต้องหาหรือจำเลยทุกคนพึงได้รับอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว โดยอาศัยหลักเกณฑ์ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 108 มาตรา 108/1 มาตรา 109 มาตรา 110 มาตรา 111 มาตรา 112 มาตรา 113 และมาตรา 113/1 คำสั่งให้ปล่อยชั่วคราวตามวรรคหนึ่ง ให้ผู้เกี่ยวข้องดำเนินการตามคำสั่งดังกล่าวโดยทันที” กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

  25. มาตรา 108/1“การสั่งไม่ให้ปล่อยชั่วคราว จะกระทำได้ต่อเมื่อมีเหตุอันควรเชื่อเหตุใดเหตุหนึ่งดังต่อไปนี้ (๑) ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะหลบหนี (๒) ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน (๓) ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะไปก่อเหตุอันตรายประการอื่น (๔) ผู้ร้องขอประกันหรือหลักประกันไม่น่าเชื่อถือ (๕) การปล่อยชั่วคราวจะเป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของเจ้าพนักงานหรือการดำเนินคดีในศาล คำสั่งไม่ให้ปล่อยชั่วคราวต้องแสดงเหตุผล และต้องแจ้งเหตุดังกล่าวให้ผู้ต้องหาหรือจำเลยและผู้ยื่นคำร้องขอให้ปล่อยชั่วคราวทราบเป็นหนังสือโดยเร็ว” กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

  26. ประเภทของการปล่อยชั่วคราวประเภทของการปล่อยชั่วคราว • ปล่อยโดยไม่มีประกัน • คดีที่มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี • ไม่ต้องมีการทำสัญญาประกัน • ให้ผู้ต้องหาหรือจำเลยสาบานหรือปฏิญาณตนว่าจะมาตามนัดหรือหมายเรียก(ม.111) • ปล่อยโดยมีประกัน • คดีที่มีอัตราโทษจำคุกเกินกว่า 5 ปี • มีการทำสัญญาประกันตัวผู้ต้องหา หรือจำเลย • ปล่อยโดยมีประกันและหลักประกัน • คดีที่มีอัตราโทษจำคุกเกินกว่า 5 ปี • มีการทำสัญญาประกันตัวผู้ต้องหา หรือจำเลย • เจ้าพนักงานหรือศาลเห็นสมควรเรียกหลักประกัน กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

  27. หลักประกันในการขอปล่อยชั่วคราวหลักประกันในการขอปล่อยชั่วคราว มาตรา ๑๑๔ “เมื่อจะปล่อยชั่วคราวโดยให้มีประกันและหลักประกันด้วย ก่อนปล่อยตัวไป ให้ผู้ร้องขอประกันจัดหาหลักประกันมาดั่งต้องการ หลักประกันมี ๓ ชนิด คือ (๑) มีเงินสดมาวาง (๒) มีหลักทรัพย์อื่นมาวาง (๓) มีบุคคลมาเป็นหลักประกัน โดยแสดงหลักทรัพย์” กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

  28. หลักประกันในการขอปล่อยชั่วคราวหลักประกันในการขอปล่อยชั่วคราว • 1. การใช้หลักทรัพย์เป็นประกัน ได้แก่ • 1.1 เงินสด • 1.2 ที่ดินมีโฉนด หรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 หรือน.ส. 3 ก.)ซึ่งมีหนังสือรับรองราคาประเมินของสำนักงานที่ดินและไม่มีภาระผูกพันอันอาจกระทบต่อการบังคับคดี (จำนอง) • 1.3 ห้องชุดมีโฉนดที่ดินและมีหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ห้องชุด และต้องไม่มีภาระผูกพันอันอาจกระทบต่อการบังคับคดี • 1.4 หลักทรัพย์อย่างอื่นที่กำหนดราคามูลค่าที่แน่นอนได้ เช่น-พันธบัตรรัฐบาล- สลากออมสิน- สลากออมทรัพย์ทวีสินของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร- ใบรับเงินฝากประจำของธนาคาร- กรมธรรม์ประกันภัย - ตั๋วเงินที่ธนาคารรับรอง เป็นผู้ออกตั๋ว หรือเป็นผู้สั่งจ่าย - หนังสือค้ำประกันหรือหนังสือรับรองของธนาคาร กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

  29. 2. การใช้บุคคลเป็นประกัน (ตำแหน่ง) • 3. ส่วนราชการตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการช่วยเหลือข้าราชการหรือลูกจ้างของทางราชการที่ต้องหาคดีอาญา • 4. เป็นผู้ดำรงตำแหน่งหน้าที่การงานหรือมีรายได้แน่นอน เช่น ข้าราชการ ข้าราชการบำนาญ พนักงานรัฐวิสาหกิจ พนักงานของรัฐประเภทอื่น ๆ รวมถึงลูกจ้างของทางราชการหรือรัฐวิสาหกิจ หรือพนักงานบริษัทเอกชนให้ทำสัญญาประกันได้ในวงเงินไม่เกิน 10 เท่า ของอัตราเงินเดือนหรือรายได้เฉลี่ยต่อเดือน • 5. เป็นผู้ประกอบวิชาชีพ เช่น แพทย์ เภสัชกร พยาบาล วิศวกร สถาปนิก ผู้สอบบัญชี ครู ผู้ประกอบวิชาชีพด้านสื่อสารมวลชน ฯ เมื่อต้องเป็นผู้ต้องหาหรือจำเลย อาจใช้ตนเองเป็นหลักประกันได้ สำหรับกรณีความผิดที่ถูกกล่าวหาเกิดจากการปฎิบัติหน้าที่หรือการปฎิบัติงานในการประกอบวิชาชีพโดยสามารถทำสัญญาประกันได้ในวงเงินไม่เกิน 15 เท่าของอัตราเงินเดือนหรือรายได้เฉลี่ยต่อเดือน กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

  30. ข้อสังเกต • ในกรณีที่วงเงินประกันมียอดสูงกว่าวงเงินที่ผู้นั้นมีสิทธิประกันได้ เจ้าพนักงานหรือศาลอาจกำหนดให้ผู้ขอประกันวางเงินหรือหลักทรัพย์อื่นเพิ่มเติมให้เพียงพอ กับวงเงินประกันหรืออาจให้มีผู้ขอประกันหลายคนร่วมกัน ทำสัญญาประกันโดยใช้วงเงินของแต่ละคนรวมกันได้ • ในกรณีหลักประกัน มียอดสูงกว่าวงเงินประกัน ผู้นั้นมีสิทธินำไปประกันผู้ต้องหรือจำเลยคนอื่นได้อีก กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

  31. หลักฐานที่ต้องนำมาแสดงในการขอประกันตัวต่อศาลหลักฐานที่ต้องนำมาแสดงในการขอประกันตัวต่อศาล - บัตรประจำตัวประชาชน บัตรข้าราชการ หรือบัตรแสดงตำแหน่งหน้าที่การงาน ทะเบียนบ้านของจำเลยและผู้ขอประกันพร้อมสำเนา - หลักทรัพย์ที่ใช้ประกัน เช่น เงินสดโฉนดที่ดิน หนังสือรับรองการ ทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) สมุดเงินฝากประจำพร้อมสำเนา - หนังสือรับรองจากต้นสังกัดหรือนายจ้าง (กรณีขอประกันตัวด้วยตำแหน่งหน้าที่) - หนังสือรับรองราคาประเมินที่ดินจากสำนักงานที่ดิน (กรณีใช้โฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นประกัน)พร้อมสำเนา - หนังสือรับรองจากธนาคาร (กรณีใช้สมุดเงินฝากประจำเป็นประกัน) - หนังสือยินยอมของคู่สมรส (กรณีผู้ขอประกันมีคู่สมรส) กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

  32. ตัวอย่างอัตราหลักทรัพย์ตัวอย่างอัตราหลักทรัพย์ • อัตราหลักทรัพย์ที่ขอประกันผู้ต้องหาหรือจำเลย • ความผิดเกี่ยวกับชีวิตและร่างกาย 1. ฆ่าผู้อื่น 300,000 บาทขึ้นไป 2. พยายามฆ่า 200,000 บาทขึ้นไป 3. ประมาทเป็นเหตุให้คนตาย - รถส่วนตัว 200,000 บาท - รถรับจ้าง 250,000 บาทขึ้นไป 4. ทำร้ายร่างกายสาหัส 150,000 บาทขึ้นไป กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

  33. + 48 ชั่วโมง พนักงานสอบสวนปล่อยชั่วคราว กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

  34. ยื่นคำร้องขอให้ศาลขังยื่นคำร้องขอให้ศาลขัง หมายขัง ค.1 12 วัน 48 ชั่วโมง ศาลปล่อยชั่วคราว กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

  35. เมื่อมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ประกันเมื่อมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ประกัน • คำสั่งของเจ้าพนักงาน • อุทธรณ์ไม่ได้ • ขอปล่อยชั่วคราวใหม่ได้ • คำสั่งของศาลชั้นต้น, อุทธรณ์, • อุทธรณ์,ฎีกาได้ คำสั่งยืนให้เป็นที่สุด • ขอปล่อยชั่วคราวใหม่ได้ กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

  36. เมื่อมีคำสั่งอนุญาตให้ประกันเมื่อมีคำสั่งอนุญาตให้ประกัน • ได้รับการปล่อยชั่วคราว จนกว่าจะเรียกตัว • เมื่อเรียกตัวแล้ว ต้องพาผู้ต้องหา,จำเลยมา • ถ้านายประกันไม่นำตัวผู้ต้องหา, จำเลยมา ถือว่าผิดสัญญาประกัน ถ้าผู้ประกันไม่ชำระค่าปรับตามสัญญา บังคับทางสัญญาโดย • เจ้าพนักงาน ฟ้องบังคับตามสัญญาประกันเว้นแต่การวางเงินประกัน บังคับค่าปรับได้ทันที • ศาลพิพากษาปรับตามสัญญา ถ้าไม่ชำระ ศาลออกหมายบังคับคดีโดยหัวหน้าสำนักงานประจำศาลยุติธรรมเป็นผู้ดำเนินการบังคับคดีในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา (มาตรา 119 ว.2) กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

  37. หลักประกันจะได้รับคืนเมื่อหลักประกันจะได้รับคืนเมื่อ • คืนผู้ต้องหา จำเลย ต่อผู้อนุญาตให้ประกัน • ความรับผิดตามสัญญาสิ้นสุด • คดีถึงที่สุด กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

  38. การควบคุมตัว การฝากขัง การผัดฟ้อง ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาคดีอาญาศาลแขวง พ.ศ. 2499 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

  39. คดีที่อยู่ภายใต้ พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาคดีอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 ได้แก่ • พื้นที่ที่มีการจัดตั้งศาลแขวง • คดีอาญาที่มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ • คดีแพ่งที่มีทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกิน 3 แสนบาท • พื้นที่ที่ไม่มีการจัดตั้งศาลแขวง แต่มีกฎหมายให้นำ พ.ร.บ. จัดตั้งฯไปใช้ในพื้นที่โดยอนุโลม กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

  40. พนักงานสอบสวน หรือพนักงานอัยการต้องยื่นฟ้องผู้ต้องหาต่อศาล ภายใน 48ชม. นับแต่ผู้ต้องหาถูกจับม.7 พ.ร.บ.ศาลแขวงฯ • ถ้าฟ้องไม่ทันภายใน 48 ชม. พนักงานสอบสวน หรือพนักงานอัยการต้องยื่นคำร้องขอผัดฟ้องต่อศาล • ศาลอนุญาตได้คราวหนึ่งไม่เกิน 6 วัน รวมกันไม่เกิน 3 คราว • หากศาลอนุญาตครบ 3 คราวแล้ว ยังฟ้องไม่ทันอีก หากพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการยื่นคำร้องต่อศาล เพื่อขอผัดฟ้องต่อไปอีกโดยอ้างเหตุจำเป็น ศาลจะอนุญาตตามขอนั้นได้ ก็ต่อเมื่อพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการได้แสดงถึงเหตุจำเป็นและนำพยานเข้าเบิกความประกอบจนเป็นที่พอใจ • ศาลอนุญาตให้ผัดฟ้องต่อไปได้อีก 2 คราว ๆละ ไม่เกิน 6 วัน กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

  41. พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงฯ ม.7 “ในการสอบสวนคดีอาญาที่อยู่ในอำนาจศาลแขวงที่จะพิจารณาพิพากษาได้ เมื่อมีการจับตัวผู้ต้องหาได้แล้ว ให้พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบส่งตัวผู้ต้องหาพร้อมด้วยสำนวนการสอบสวนไปยังพนักงานอัยการ เพื่อให้พนักงานอัยการยื่นฟ้องผู้ต้องหาต่อศาลภายในกำหนดเวลาสี่สิบแปดชั่วโมงนับแต่เวลาที่ผู้ต้องหาถูกจับ แต่มิให้นับเวลาเดินทางตามปกติที่นำตัวผู้ต้องหาจากที่จับมายังที่ทำการของพนักงานสอบสวน......ในเวลาสี่สิบแปดชั่วโมงนั้นด้วย” กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

  42. ในกรณีที่มีความจำเป็นไม่สามารถฟ้องผู้ต้องหาต่อศาลได้ทันภายในกำหนดเวลาดังกล่าวในวรรคแรก ให้พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการแล้วแต่กรณี ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้ขอผัดฟ้องต่อไปได้อีกคราวละไม่เกินหกวัน แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินสามคราว ....... เมื่อศาลอนุญาตให้ผัดฟ้องครบสามคราวแล้ว หากพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการยื่นคำร้องต่อศาล เพื่อขอผัดฟ้องต่อไปอีกโดยอ้างเหตุจำเป็น ศาลจะอนุญาตตามขอนั้นได้ ก็ต่อเมื่อพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการได้แสดงถึงเหตุจำเป็นและนำพยานเข้าเบิกความประกอบจนเป็นที่พอใจ....ซึ่งศาลมีอำนาจสั่งอนุญาตให้ผัดฟ้องต่อไปได้คราวละไม่เกินหกวัน แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินสองคราว กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

  43. การขัง ยื่นคำร้องขอผัดฟ้อง อนุญาตผัดฟ้อง (ค.1) 6 วัน ควบคุมได้ 48 ชั่วโมง อนุญาตผัดฟ้อง (ค.2) 6 วัน ฟ้อง ภายใน 48 ชั่วโมง กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

  44. พนักงานสอบสวน หรือพนักงานอัยการมีอำนาจปล่อยชั่วคราว หรือควบคุมตัวผู้ถูกจับได้ไม่เกิน 48 ชั่วโมงถ้ามีความจำเป็นที่จะต้องควบคุมต่อไปให้ยื่นคำร้องฝากขังต่อศาลพร้อมกับคำขอผัดฟ้องต่อศาล ซึ่งศาลมีคำสั่งอนุญาตฝากขังได้เท่ากับระยะเวลาที่ศาลอนุญาตให้ผัดฟ้อง(พนักงานสอบสวนไม่ปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหา) กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

  45. พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงฯ ม.8 “ในคดีอาญาที่อยู่ในอำนาจศาลแขวงที่จะพิจารณาพิพากษาได้นั้น การควบคุมผู้ต้องหาให้เป็นไปตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา แต่กรณีจะเป็นอย่างไรก็ตาม พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจจะควบคุมตัวผู้ต้องหาไว้เกินกว่ากำหนดเวลาดังกล่าวในมาตรา7 วรรคหนึ่งมิได้ ถ้าผู้ต้องหาอยู่ในความควบคุมของพนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจให้พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการแล้วแต่กรณี นำตัวผู้ต้องหามาส่งศาลพร้อมกับการยื่นคำขอผัดฟ้อง และขอให้ศาลออกหมายขังผู้ต้องหาไว้ แต่ถ้าผู้ต้องหาป่วยอยู่ในสภาพที่ไม่อาจนำมาศาลได้ ให้พนักงานสอบสวน หรือพนักงานอัยการขออนุญาตศาลออกหมายขังผู้ต้องหา โดยมีพยานหลักฐานประกอบจนเป็นที่พอใจแก่ศาลในเหตุที่ไม่อาจนำตัวผู้ต้องหามาศาลได้ ในกรณีที่ศาลสั่งอนุญาตให้ผัดฟ้องให้ศาลออกหมายขังผู้ต้องหาเท่ากับระยะเวลาที่ศาลอนุญาตให้ผัดฟ้องนั้น” กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

  46. ยื่นคำร้องขอผัดฟ้อง และฝากขัง อนุญาตผัดฟ้อง (ค.1) 6 วัน 48 ชั่วโมง อนุญาตผัดฟ้อง (ค.2) 6 วัน ฟ้อง ภายใน 48 ชั่วโมง พนักงานสอบสวนปล่อยชั่วคราว กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

  47. ยื่นคำร้องขอผัดฟ้อง และฝากขัง อนุญาตผัดฟ้อง (ค.1) 6 วัน และขอฝากขัง (ค.1) 6 วัน 48 ชั่วโมง ศาลไม่อนุญาต ปล่อยชั่วคราว อนุญาตผัดฟ้อง (ค.2) 6 วัน ฟ้อง ภายใน 48 ชั่วโมง และขอฝากขัง (ค.2) 6 วัน พนักงานสอบสวนไม่ ปล่อยชั่วคราว กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

  48. ยื่นคำร้องขอผัดฟ้อง และฝากขัง อนุญาตผัดฟ้อง (ค.1) 6 วัน ขอฝากขัง (ค.1) 6 วัน 48 ชั่วโมง ศาลอนุญาต ปล่อยชั่วคราว อนุญาตผัดฟ้อง (ค.2) 6 วัน ฟ้อง ภายใน 48 ชั่วโมง พนักงานสอบสวนไม่ ปล่อยชั่วคราว กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

  49. ข้อสังเกต • กรณีที่พนักงานสอบสวนมิได้ผัดฟ้องต่อศาล หรือฟ้องผู้ต้องหาไม่ทันกำหนดเวลาที่ผัดฟ้อง พนักงานอัยการจะต้องขออนุญาตต่ออัยการสูงสุดจึงจะฟ้องผู้ต้องหาในความผิดนั้นได้ ตาม พ.ร.บ. วิธีพิจารณาคดีอาญาในศาลแขวง มาตรา 9 มาตรา 9 “ห้ามมิให้พนักงานอัยการฟ้องคดี เมื่อพ้นกำหนดเวลาตามมาตรา 7 เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมอัยการ” • กรณีที่พนักงานสอบสวนต้องฟ้องผู้ต้องหาต่อศาลภายใน 48 ช.ม. ตาม พ.ร.บ. วิธีพิจารณาคดีอาญาในศาลแขวง มาตรา 7 เฉพาะกรณีที่มีการจับผู้ต้องหาดังนั้น ถ้าไม่มีการจับผู้ต้องหา พนักงานสอบสวนไม่จำต้องขอผัดฟ้องต่อศาล กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

  50. มาตรา ๙ “ห้ามมิให้พนักงานอัยการฟ้องคดี เมื่อพ้นกำหนดเวลาตามมาตรา ๗ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมอัยการ” มาตรา ๗“ในการสอบสวนคดีอาญาที่อยู่ในอำนาจศาลแขวงที่จะพิจารณาพิพากษาได้ เมื่อมีการจับตัวผู้ต้องหาได้แล้ว ให้พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบส่งตัวผู้ต้องหาพร้อมด้วยสำนวนการสอบสวนไปยังพนักงานอัยการ เพื่อให้พนักงานอัยการยื่นฟ้องผู้ต้องหาต่อศาลภายในกำหนดเวลาสี่สิบแปดชั่วโมงนับแต่เวลาที่ผู้ต้องหาถูกจับ แต่มิให้นับเวลาเดินทางตามปกติที่นำตัวผู้ต้องหาจากที่จับมายังที่ทำการของพนักงานสอบสวน......ในเวลาสี่สิบแปดชั่วโมงนั้นด้วย” กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

More Related