1 / 15

ทำความรู้จักกับ VPN

ทำความรู้จักกับ VPN.

kayla
Download Presentation

ทำความรู้จักกับ VPN

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. ทำความรู้จักกับ VPN VPN ย่อมาจาก Virtual Private Network เป็นเทคโนโลยีการเชื่อมต่อเครือข่ายนอกอาคาร (WAN - Wide Area Netwok) ที่กำลังเป็นที่น่าสนใจและเริ่มนำไปใช้ในหน่วยงานที่มีหลายสาขา หรือ มีสำนักงานกระจัดกระจายอยู่ในหลายภูมิภาค ในระบบ VPN การเชื่อมต่อระหว่างสำนักงานโดยใช้เครือข่าย อินเตอร์เนต แทนการต่อเชื่อมด้วย Leased line หรือ Frame Relay

  2. การทำงานของ VPN เทคโนโลยี VPN จะมีรูปแบบการทำงานอยู่บนระบบอินเตอร์เน็ต ซึ่งจะทำให้ระบบเครือข่ายสาธารณะให้เป็นระบบเครือข่าย เสมือนส่วนตัวภายในองค์กร โดยองค์ประกอบ พื้นฐานสำคัญของเทคโนโลยี VPN จะประกอบไปด้วยสองส่วนคือ - การทำ Tunneling - Security Service

  3. การทำ Tunneling การทำ Tunneling หรือการสร้างอุโมงค์เสมือนซึ่งถือเป็นหัวใจหลักในการทำเทคโนโลยี VPN ทั้งหมด ซึ่งการทำ Tunneling จะสามารถแบ่งย่อยได้อีกสองแบบคือ - End-to-End Tunneling - Node-to-Node

  4. End-to-End Tunneling End-to-End Tunneling : เป็นการทำ Tunneling โดยอุปกรณ์ทั้งสองฝั่ง การเชื่อมต่อของ VPN จะเป็นหน้าที่รับผิดชอบของอุปกรณ์ทั้งสองฝั่ง ไม่ว่าจะเป็นการสร้าง Tunneling การเข้ารหัสข้อมูล(Data Encryption) รวมถึงการถอดรหัสข้อมูลที่มีการรับส่งของข้อมูลทั้งสองฝั่ง

  5. Node-to-Node Node-to-Node : รูปแบบ Node-to-Node นี้ การสร้างและสิ้นสุด Tunneling รวมถึงการเข้ารหัสและถอดรหัสจะถูกจัดการโดย Router ของแต่ละฝั่งของการเชื่อมต่อของอุปกรณ์ VPN

  6. การทำ Tunneling ของทั้งสองรูปแบบที่ได้กล่าวข้างต้นนั้นจำเป็นต้องอาศัยProtocol ในการสร้างและสิ้นสุดการใช้งานเราจะเรียก Protocol เหล่านี้ว่า “VPN Tunneling Protocol” โดยมีให้เลือกใช้ตามความเหมาะสมของเครือข่าย ดังนี้ - The Layer 2 Tunneling Protocol (L2TP) - IP Security Protocol (IPSEC) - Generic Routing Encapsulations Protocol (GRE) - The Point-to-Point Tunneling Protocol (PPTP) - Layer 2 Forwarding Protocol (L2F)

  7. Security Service Security Service : โดยในส่วนนี้จะทำให้การทำงานของระบบ VPN มีความเป็นส่วนตัวหรือ Private ซึ่งระบบรักษาความปลอดภัยมีด้วยกันหลายรูปแบบ คือ - Authentication: เป็นรูปแบบของระบบความปลอดภัยที่เป็น การยืนยันผู้ใช้งานหรือยืนยันข้อมูลที่มีการรับส่งว่ามาจากด้านที่ได้รับอนุญาตอย่างแท้จริง เช่น ต้องให้ผู้ใช้งานจำเป็นต้องใส่ชื่อและรหัสผ่านก่อนการใช้งานต่อไป

  8. - Confidentiality (Encryption): เป็นการเข้ารหัสข้อมูลก่อนทำการส่งไปบนระบบอินเตอร์เน็ต และเมื่อข้อมูลถึงปลายทาง อุปกรณ์ปลายทางจะทำการถอดรหัสข้อมูลให้เป็นเหมือนเดิม เพื่อนำมาใช้งานต่อไป โดยวิธการนี้เป็นการป้องกันข้อมูลจากการถูกโจรกรรมจากพวกแฮ็กเกอร์ - Access Control (Firewall): ระบบ firewall จะเป็นระบบรักษาความปลอดภัยที่มีหน้าที่ป้องกันมิ ให้ผู้ที่มิได้รับอนุญาตเข้ามาใช้งานในระบบเครือข่าย โดยระบบ Firewall มีให้เลือกด้วยกันหลายประเภท โดยสามารถ แบ่งได้3 รูปแบบดังต่อไปนี้- Packet filtering Firewall - Applications Gateway Firewall- Stateful Inspection Firewall

  9. รูปแบบของ VPN Software-Based VPN มีการทำงานโดยใช้ซอฟต์แวร์ทำหน้าที่สร้างอุโมงค์ข้อมูล และการเข้ารหัสและการถอดรหัสของข้อมูลบนคอมพิวเตอร์ เป็นซอฟต์แวร์ที่ทำงานในลักษณะของไคลเอนต์และเซิร์ฟเวอร์ จะมีการติดตั้งซอฟต์แวร์เข้าไปที่เครื่องของไคลเอนต์และเชื่อมต่อกับ เซิร์ฟเวอร์ที่ติดตั้งซอฟต์แวร์ VPN และจัดตั้งอุโมงค์เชื่อมต่อ VPN ขึ้น เมื่อท่านเลือกใช้ซอฟต์แวร์ VPN ท่านต้องการขบวนการบริหาร จัดการกับกุญแจรักษาความปลอดภัยที่ดี จะเห็นได้ว่าระบบซอฟต์แวร์ VPN นี้มีความยืดหยุ่นพอสมควร - ข้อดี : สนับสนุนการทำงานบนหลากหลายระบบปฏิบัติการ ติดตั้งง่าย สามารถจัดการระบบได้ง่ายด้วยระบบและอุปกรณ์ที่มีอยู่ - ข้อเสีย : คือเรื่องประสิทธิภาพทำงานในทั้งเรื่อง การสร้างอุโมงค์ข้อมูล (Tunneling) และการเข้ารหัสข้อมูล (Encryptions) ที่มีประสิทธิภาพที่ด้อยลงไป

  10. Firewall-Based VPN ลักษณะการทำ Firewall-Based VPN เป็นการเพิ่มความสามารถในการทำ VPN บนอุปกรณ์ Firewall - ข้อดี : สามารถใช้กับหลากหลายระบบปฏิบัติการ รวมทั้งฮาร์ดแวร์หลายแบบ สามารถใช้อุปกรณ์ทา ฮาร์ดแวร์ที่มีอยู่แล้ว บางผลิตภัณฑ์สนับสนุน Load Balancing รวมทั้ง IPsec - ข้อเสีย : อาจมีปัญหาเกี่ยวกับระบบรักษาความปลอดภัย เนื่องจากระบบปฏิบัติการเข้ากันไม่ได้เต็มที่กับระบบพิสูจน์สิทธิแบบ RADIUS

  11. Router-Based VPN - ข้อดี :ใช้ฮาร์ดแวร์ เช่น เราเตอร์ที่มีอยู่แล้ว มีระบบรักษาความปลอดภัยที่น่าเชื่อถือ ต้นทุนต่ำ หากใช้เราเตอร์ที่มีอยู่แล้ว - ข้อเสีย : บางผลิตภัณฑ์อาจต้องการเพิ่มการ์ดอินเตอร์เฟส เพื่อการเข้ารหัสข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติม มีปัญหาเรื่องประสิทธิภาพ ต้องการอัพเกรดเพื่อประสิทธิภาพที่ดีกว่า

  12. ข้อดีของเทคโนโลยี VPN - มีการทำงานเป็นระบบเปิด มีการทำงานพื้นฐานอยู่บน Internet Protocol (IP) จึงทำให้ใช้งานง่ายและแพร่หลาย -ใช้งานง่าย คือสามารถใช้งานได้ทุกที่ๆ มีระบบอินเตอร์เน็ต - ประหยัดค่าใช้จ่าย ได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม ไม่ว่าจะเป็นการประหยัดค่าเช่าวงจรเครือข่าย WAN เชื่อมต่อระบบจากทางไกล - ง่ายต่อการดูแลและจัดการ เพียงแค่เชื่อมต่อ internet ก็สามารถใช้งาน VPN ได้ทันที - มีความยืดหยุ่นสูง เพราะสามารถใช้งานเทคโนโลยี VPN ณ.ที่ใดก็ได้ และยังสามารถขยาย Bandwidth ในการใช้งาน VPN ได้อย่างไม่ยุ่งยาก - มีความปลอดภัยสูง เพราะ VPN จะประกอบไปด้วย ระบบรักษาความปลอดภัยมากมาย เช่น การทำ Tunneling และ การเข้ารหัสข้อมูล เป็นต้น

  13. การนำ VPN มาใช้งาน เราสามารถนำ VPN มาประยุกต์ใช้กับแอพลิเคชันต่างๆได้อย่างมากมาย จะขอยกตัวอย่างที่ใช้งานกันอย่างแพร่หลายดังนี้ - Remote Access VPN ได้ถูกนำมาใช้งานสำหรับผู้ใช้ที่มักอยู่นอกสำนักงาน (Remote Worker) หรือผู้ที่จำเป็นต้องเดินทางบ่อยๆ เช่น นักธุรกิจที่ต้องทำงานที่บ้าน (Work at Home) ให้เข้าใช้งานทรัพยากรในระบบเครือข่ายของสำนักงานใหญ่ได้ เช่น การ รับ-ส่ง E-mail หรือข้อมูลต่างๆ โดยที่ไม่จำเป็นต้องเข้าไปที่สำนักงานเลย

  14. - Site-to-Site Connectivity มีลักษณะการทำงานคล้ายๆกับ Remote Access Application แต่จะแตกต่างกันที่ผู้ที่จะเข้ามาใช้งานในสำนักงานไม่ใช่พนักงาน หรือ Remote User แต่เป็นการเชื่อมต่อกันระหว่างสาขาใหญ่ กับสาขาที่อยู่ไกลออกไป เช่น ต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ ซึ่งการนำเทคโนโลยี VPN เข้ามาประยุกต์ใช้งานกับการทำงานแบบ Site-to-Site Connectivity นี้ทำให้สาขาไม่จำเป็นต้องเช่า ระบบ Leases Line หรือ Frame Relay เพื่อเชื่อมต่อเข้ากับสำนักงานใหญ่ ซึ่งช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการเช่าเครือข่าย WAN ไปได้อย่างมาก และยังได้ประสิทธิภาพเทียบเท่า การเช่าเครือข่ายส่วนบุคลอีกด้วย

  15. - VPN-Base Extranets จะมีลักษณะการทำงานที่องค์กรนั้นๆมีการบริการให้ลูกค้าเพื่อเชื่อมต่อ เข้ามาใช้งานข้อมูลและทรัพยากรที่กำหนดไว้ให้ใช้ได้ ลักษณะการ ทำงานแบบนี้จะต้องมีระบบ Fire Wall เข้ามามีส่วนร่วมเพื่อความปลอดภัยยิ่งขึ้น

More Related