740 likes | 1.43k Views
การบ่มและ การป้องกันคอนกรีตสด. ผู้จัดทำ. 1. น . ส . กันยา ตำบัน รหัสนักศึกษา 5210110033 2. นาย ษณ กร บุญจรูญรักษ์ รหัสนักศึกษา 5210110621 3. นาย ไรน่าน หลงอะ หลี รหัสนักศึกษา 5210110510 คณะวิศวกรรมศาสตร์ ภาควิชาวิศวกรรมโยธา
E N D
การบ่มและ การป้องกันคอนกรีตสด
ผู้จัดทำ 1. น.ส. กันยา ตำบัน รหัสนักศึกษา 5210110033 2. นาย ษณกร บุญจรูญรักษ์ รหัสนักศึกษา 5210110621 3. นาย ไรน่าน หลงอะหลี รหัสนักศึกษา 5210110510 คณะวิศวกรรมศาสตร์ ภาควิชาวิศวกรรมโยธา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
การบ่ม ( Curing )คือ วิธีการที่ช่วยให้ปฏิกิริยาไฮเดรชั่นของซีเมนต์ เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ซึ่งจะส่งผลให้การพัฒนากำลังอัดของคอนกรีตเป็นไปอย่างต่อเนื่อง • วิธีการทำโดยให้น้ำแก่คอนกรีตหลังจากที่คอนกรีตแข็งตัวแล้ว
หน้าที่สำคัญของการบ่มคอนกรีตมีด้วยกัน 2 ประการคือ 1. ป้องกันการสูญเสียความชื้นจากเนื้อคอนกรีต 2. รักษาระดับอุณหภูมิให้อยู่ในสภาพที่เหมาะสม • สำหรับวัตถุประสงค์ที่สำคัญของการบ่มคอนกรีต คือ 1. เพื่อให้ได้คอนกรีตที่มีกำลังและความทนทาน 2. เพื่อป้องกันการแตกร้าวของคอนกรีต โดยรักษาระดับอุณหภูมิ ให้เหมาะสม และลดการระเหยของน้ำให้น้อยที่สุด
ระยะเวลาของการบ่ม (TIME OF MOIST CURING) • ระยะเวลาการบ่มพิจารณาจากความชื้นที่ใช้ในการบ่มคอนกรีต เนื่องจากมีอิทธิพลต่อการพัฒนากำลังคอนกรีตโดยตรง ตราบใดที่ยังมีความชื้น การทำปฏิกิริยาของซีเมนต์ยังคงมีอยู่ การบ่มทำให้มีการพัฒนากำลังได้รวดเร็วในระยะแรก และค่อย ๆ ช้าลงในระยะเวลาต่อมา ดังนั้น การบ่มคอนกรีตในระยะแรก เป็นช่วงที่สำคัญ • ในงานโครงสร้างคอนกรีตโดยทั่วไป การบ่มชื้นคอนกรีต ควรมีการบ่มต่อเนื่องกันจะได้ค่ากำลังที่ดี แต่ถ้ามีการบ่มชื้นช่วงระยะหนึ่ง และบ่มต่อในอากาศ ค่ากำลังอัดที่ได้รับจะมีค่าลดลง ดังแสดงในรูปที่ 8.14
ในทางปฏิบัติงานก่อสร้างคอนกรีตโดยทั่วไป หลังจากถอดแบบแล้ว ระยะเวลาการบ่มไม่สามารถบ่มต่อเนื่องจนถึงอายุ 28 วัน ตามกำหนด เนื่องจากข้อจำกัดทางด้าน เวลา แบบหล่อคอนกรีตตลอดจนค่าใช้จ่าย แต่อย่างไรก็ตามที่กล่าวมาแล้ว การบ่มคอนกรีตในระยะแรก เป็นช่วงที่สำคัญ เช่น ที่อายุ 3-7 วัน ซึ่งแล้วแต่ประเภทของปูนซีเมนต์ที่ใช้ เพราะระยะเวลาการพัฒนากำลังคอนกรีตของช่วงระยะเวลา 3-7 วัน สามารถให้ค่ากำลังอัดสูงถึง 70-80 % ของกำลังอัดที่อายุ 28 วัน
หมายเหตุ • ในงานคอนกรีตบางประเภทที่ต้องการให้คอนกรีตแข็งตัวเร็ว (FAST SETTING CONCRETE) เช่น งานก่อสร้างถนน ซ่อมแซมถนน ชิ้นส่วนคอนกรีตอัดแรง เป็นต้น จะต้องบ่มคอนกรีตต่อเนื่องจนถึงระยะเวลาการเปิดใช้งานนั้น ๆ
ตารางที่ 8.1 ข้อแนะนำระยะเวลาการบ่มคอนกรีต (ที่มา : DAVIS, TROXEL, KELLY, 1979, COMPOSITION AND PROPERTIES OF CONCRETE)
กรรมวิธีการบ่ม 2.การบ่มที่อุณหภูมิสูง 1.การบ่มที่อุณหภูมิปกติ การป้องกันการสูญเสียน้ำ การบ่มด้วยไอน้ำความดันสูง การเพิ่มความชื้น การบ่มด้วยไอน้ำความดันต่ำ การใช้กระดาษกันน้ำซึมได้คลุม การขังน้ำ การพรมน้ำหรือฉีดน้ำ การใช้แผ่นพลาสติกคลุม การใช้วัสดุเปียกชื้นคลุม การบ่มด้วยน้ำยาเคลือบผิวคอนกรีต การบ่มโดยใช้แบบหล่อ
การบ่มที่อุณหภูมิปกติการบ่มที่อุณหภูมิปกติ สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 วิธีหลัก ๆ คือ • 1. การบ่มโดยการเพิ่มน้ำ เป็นการเพิ่มน้ำให้ผิวหน้าคอนกรีตในระยะเริ่มแข็งตัวโดยตรงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งน้ำที่ใช้บ่มจะต้องไม่มีสสารที่เป็นอันตรายต่อคอนกรีต ไม่ทำให้ผิวคอนกรีตเปลี่ยนสี และควรหลีกเลี่ยงการใช้น้ำบ่มที่มีอุณหภูมิต่ำกว่าคอนกรีตเกิน 10 องศาเซลเซียส เพราะจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอย่างมากโดยฉับพลันและทำให้คอนกรีตแตกร้าวได้ • สามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้
1.1 การขังน้ำ (PONDING) • เหมาะสำหรับงานคอนกรีตที่มีพื้นราบ เช่น แผ่นพื้นทั่วไป , ดาดฟ้า , พื้นสะพาน , ถนน, ทางเท้า , สนามบิน • วิธีการทำโดยใช้ดินเหนียวหรือก่ออิฐทำเป็นคัน โดยรอบของงานคอนกรีตที่จะบ่ม แล้วขังน้ำให้คอนกรีตเปียกอยู่อย่างต่อเนื่อง • ข้อควรระวัง อย่าให้น้ำที่ใช้บ่มมีอุณหภูมิต่ำกว่า คอนกรีตเกิน 10 oC ระมัดระวังไม่ให้เกิดความเสียหายที่เกิดจากน้ำรั่วออกจาก นบ จนทำให้ผิวหน้าคอนกรีตแห้ง
ข้อดี ข้อเสีย • ทำได้สะดวก,ง่าย,ราคาถูก • วัสดุหาได้ง่าย เช่นดินเหนียวและน้ำ • ใช้คนงานระดับกรรมกรทำได้ • ซ่อมแซมได้สะดวก,รวดเร็ว และ ประหยัดค่าใช้จ่าย ตัวอย่างเช่น ทำคันดินเหนียวและพังก็สามารถ ซ่อมได้ทันที • ต้องหมั่นตรวจดูรอยร้าวของ ดินเหนียวที่นำมาใช้อยู่เสมอ • ต้องเก็บทำความสะอาดภายหลังการบ่ม • กรณีเป็นพื้นอาคารหลายชั้นจะไม่เหมาะ เพราะต้องก่อสร้างชั้นถัดไป (ยกเว้นพื้นดาดฟ้า)
1.2 การรดน้ำหรือฉีดพ่นน้ำ (SPRINKLING ORSPRAYING) • เหมาะกับโครงสร้างทั้งที่อยู่ในแนวราบและแนวดิ่ง เช่น ผนัง , กำแพง , และ พื้น เป็นต้น • วิธีการฉีดน้ำหรือพรมน้ำด้วยหัวฉีดหรือท่อยาง นิยมใช้ในการบ่มระยะเริ่มต้นเพื่อให้ผิวคอนกรีตที่เริ่มแข็งตัวชื้นอยู่ตลอดเวลา • ข้อควรระวัง คือ น้ำอาจชะผิวคอนกรีตที่ยังไม่แข็งตัวดี ทำให้ผิวเสียหายได้ และไม่ควรใช้น้ำบ่มที่มีอุณหภูมิต่ำกว่าคอนกรีตเกิน 10 oC
ข้อดี ข้อเสีย • ทำได้สะดวก ได้ผลดี • ค่าใช้จ่ายถูก • ใช้คนงานระดับกรรมกรทำได้ • ไม่ต้องดูแลตลอดเวลา • ไม่เหมาะกับสถานที่ที่หาน้ำได้ยาก • ไม่สะดวกกับการฉีดกับกำแพงใน • แนวดิ่ง เพราะน้ำจะแห้งเร็ว
1.3 การใช้วัสดุเปียกชื้นคลุม (WET COVERING) • เหมาะกับโครงสร้างที่อยู่ในแนวราบ เช่น พื้น แต่ถ้าใช้กระสอบก็สามารถใช้กับโครงสร้างที่อยู่ในแนวดิ่ง เช่น ผนัง และกำแพง • วิธีการ เช่นนำผ้าใบ กระสอบ ซึ่งอุ้มน้ำได้ ถ้าเป็นผ้าใบควรเป็นสีขาว เพราะสะสมความร้อนได้ดี และรอยต่อต้องเหลื่อมกันให้มาก ถ้าใช้ฟางหรือขี้เลื่อยคลุมควรหนาไม่น้อยกว่า 15 ซม. คลุมให้ทั่วและฉีดน้ำให้ชุ่มอยู่เสมอ • ข้อควรระวัง คือวัสดุที่คลุมต้องเปียกชุ่มอยู่เสมอ การคลุมต้องคลุมให้วัสดุคลุมเหลื่อมกัน วัสดุที่ใช้คลุมต้องปราศจากสารที่เป็นอันตรายต่อคอนกรีต หรือทำให้คอนกรีตด่าง สำหรับงานในแนวดิ่ง ต้องยึดวัสดุคลุมให้แน่นหนา ไม่เลื่อนหล่นลงมาได้ โดยเฉพาะเวลาที่ราดน้ำ
ข้อดี ข้อเสีย • ได้ผลดีมาก ราคาไม่สูงเกินกว่าที่จะทำ • ทำได้ทั้งแนวราบและแนวดิ่ง ในกรณีที่ใช้ผ้าใบและกระสอบ • ใช้คนงานระดับกรรมกรทำได้ • สามารถหาวัสดุมาใช้ได้ง่าย • ถ้าอากาศร้อนจะแห้งเร็ว • ที่กว้างๆถ้าใช้ผ้าใบคลุมจะเสียค่าใช้จ่ายมาก • ต้องฉีดน้ำให้ชุ่มอยู่เสมอ • ต้องพิจารณาก่อนที่จะนำมาใช้ ว่าวัสดุนั้นเป็นอันตรายต่อซีเมนต์ หรือผิวคอนกรีตหรือไม่
2. การบ่มโดยการป้องกันการสูญเสียน้ำเป็นการใช้วัสดุปิดทับ อาทิ เช่น กระดาษกันน้ำซึม , แผ่นผ้าพลาสติก , น้ำยาบ่มคอนกรีต และการบ่มโดยใช้แบบหล่อ ทำหน้าที่เป็นแผ่นคลุม หรือเป็นฟิล์มเคลือบผิวคอนกรีต เพื่อลดการสูญเสียน้ำที่ระเหยออกจากคอนกรีต • สามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้
2.1 การใช้กระดาษกันน้ำซึมได้คลุม(WATERPROOF PAPER) • กระดาษกันน้ำซึมได้ ควรมีคุณภาพตามข้อกำหนดของ ASTM C 171 มี 2 ชั้น ประกอบด้วย ชั้นของกระดาษเหนียวยึดติดด้วยชั้นของกาวประเภทยางมะตอยเสริมความเหนียวด้วยใยแก้ว และมีคุณสมบัติยืดหดตัวไม่มาก • นิยมใช้กับงานคอนกรีตแนวระดับ เช่น พื้น ดาดฟ้า • วิธีการ วางกระดาษกันน้ำซึมได้บนผิวคอนกรีตให้เรียบและเหลื่อมกัน ผนึกด้วยเทปหรือใช้ทรายทับ • ข้อควรระวัง คือ บริเวณรอยต่อระหว่างแผ่นจะต้องผนึกให้แน่นและกระดาษต้องไม่มีร่องรอยฉีกขาด หรือชำรุด
ข้อดี ข้อเสีย • ทำได้สะดวก รวดเร็ว • ป้องกันคอนกรีตไม่ให้แห้งได้เร็ว • แต่ต้องคอยราดน้ำด้วย • ใช้คนงานระดับกรรมกรทำได้ • ราคาแพง • ไม่สะดวกในการปฏิบัติงาน • ไม่สะดวกในการเก็บรักษาต่อไป • เมื่อนำมาใช้งานต่อ
2.2 การใช้แผ่นพลาสติกปิดคลุม (PLASTIC SHEETING) • แผ่นพลาสติก ควรมีคุณภาพตามข้อกำหนดของ ASTM C 171 การใช้แผ่นพลาสติกทำงานได้ง่ายมีน้ำหนักเบา และควรใช้แผ่นพลาสติก สีขาวเพื่อสะท้อนแสงแดด ไม่อมความร้อน • สามารถใช้ได้ในงานคอนกรีตทั้งในแนวราบและแนวตั้ง โดยเฉพาะ งานที่ไม่เน้นลักษณะผิวที่ปรากฏ เช่น รางน้ำ , พื้นหลังคา , พื้นถนน ,ขอบทาง • วิธีการ วางแผ่นพลาสติกบนผิวคอนกรีตให้เรียบและเหลื่อมกันผนึกด้วยเทป หรือใช้ทรายทับ • ข้อควรระวัง คือ จะต้องวางไม่ให้มีรอยย่น เพื่อลดรอยด่าง รอยต่อต้องผนึกให้ติดแน่น
ข้อดี ข้อเสีย • มีน้ำหนักเบา ปฏิบัติงานง่าย • ได้ผลดีในการป้องกันน้ำที่ระเหยออกไปจากคอนกรีต • ไม่ต้องราดน้ำให้ชุ่มอยู่ภายใน • บางมาก ชำรุดง่าย • ต้องหาของหนักทับเพื่อกันปลิว • ราคาแพงถ้าใช้ในการคลุมงาน คอนกรีตที่กว้างๆ
2.3 การใช้น้ำยาเคมีเคลือบผิวคอนกรีต (CURING COMPOUND) • น้ำยาบ่มคอนกรีต ควรมีคุณภาพตามข้อกำหนดของ มอก. 841 หรือ ASTM C 309 เป็นสารที่เคลือบบนผิวคอนกรีตซึ่งเมื่อแห้งแล้วจะเป็นแผ่นบาง สามารถป้องกันการสูญเสียน้ำระหว่างการแข็งตัวของคอนกรีตในช่วงแรกได้ • ใช้ได้กับโครงสร้างพิเศษต่างๆ ที่ต้องการใช้งานเร็ว เช่น พื้นสนามบิน , หลังคากว้าง ๆ , หลังคาเปลือกบาง , พื้นถนน , อาคารสูง
วิธีการสามารถใช้งานได้ทันที มีหลายสีด้วยกัน เช่น ใส ขาว เทาอ่อน และดำ สำหรับสีขาวจะเหมาะสมกว่าเพราะสะท้อนความร้อนและแสงได้ดีกว่า โดยการใช้ฉีดพ่นคลุมพื้นผิวคอนกรีตที่ต้องการใช้งานเร็วๆ เช่นลานบินหลังคากว้างๆ หรือตึกสูงๆที่ส่งน้ำไปได้ลำบาก โดยควรฉีดพ่นซ้ำมากกว่า 1 ครั้ง • ข้อควรระวัง คือ หลีกเลี่ยงผิวคอนกรีตที่ยังคงมีการเยิ้มอยู่ หรือยังคงมีการระเหยของน้ำที่ผิวมากเกินไป และไม่ควรฉีดพ่นน้ำยาบ่มลงบนเหล็กเสริม หรือที่รอยต่อของการก่อสร้าง เนื่องจากบริเวณดังกล่าวต้องการการยึดเกาะที่ดีกับคอนกรีตที่จะเทต่อไปภายหลัง
ข้อดี ข้อเสีย • สะดวก รวดเร็ว • ได้ผลดีพอสมควร ถ้าน้ำยานั้นเป็นของแท้และมีความเข้มข้นตามมาตรฐานของผู้ผลิต • ไม่ต้องคอยลดน้ำ • ไว้ใช้ในกรณีที่การบ่มด้วยวิธีอื่นไม่ได้ผล • ค่าใช้จ่ายสูง • ต้องจัดเตรียมเครื่องมือสำหรับพ่นทุกครั้ง • ต้องใช้บุคลากรที่เคยทำการพ่นมาก่อน • น้ำยาเคมีที่ใช้พ่นอาจทำอันตรายแก่ผู้ที่อยู่ในระยะใกล้เคียงได้
2.4 การบ่มโดยแบบหล่อ (FORMWORK) • แบบหล่อไม้ที่เปียก และแบบหล่อเหล็ก สามารถป้องกันการสูญเสียความชื้นได้ดี วิธีนี้จัดได้ว่าง่ายที่สุด • ใช้ได้กับโครงสร้าง เช่น ฐานราก , เสา , คาน , ผนัง , กำแพง • วิธีการเพียงแค่ทิ้งแบบหล่อให้อยู่กับคอนกรีตที่หล่อไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ และคอยดูแลให้ผิวด้านบนคอนกรีตมีน้ำอยู่ โดยน้ำนั้นสามารถไหลซึมลงมาระหว่างแบบหล่อกับคอนกรีตได้ • ข้อควรระวัง ระยะเวลาในการถอดแบบหล่อควรพิจารณาจากผลการทดสอบกำลังของคอนกรีตโดยตรง
ข้อดี ข้อเสีย • ทำได้สะดวก • ใช้คนงานระดับกรรมกรทำได้ • ต้องใช้ไม้แบบจำนวนมาก • ช้า เพราะต้องนำไม้แบบไปใช้งาน ด้านอื่นต่อไป • ถ้าเป็นไม้แบบเก่า, ต้องเสียเวลาทำ ความสะอาดไม้แบบ
การบ่มที่อุณหภูมิสูง • สามารถเร่งอัตราการเพิ่มกำลังได้อย่างรวดเร็ว จึงเป็นที่นิยมใช้กับการผลิตคอนกรีตสำเร็จรูป เช่น ท่อ คานและพื้น เป็นต้น รูป ผลของอุณหภูมิที่ใช้ในการบ่มกับกำลังอัดของคอนกรีต
ข้อดีในการปฏิบัติ • สามารถผลิตได้อย่างรวดเร็ว • ประหยัดแบบหล่อ เพราะสามารถถอดแบบได้เร็ว • คอนกรีตมีกำลังสูงเร็ว ทนต่อการเคลื่อนย้ายและใช้งานได้ดี
1. การบ่มด้วยไอน้ำที่มีความกดดันต่ำ (Low Pressure Steam Curing) • อุณหภูมิที่ใช้อยู่ระหว่าง 40-100 องศาเซลเซียส ส่วนอุณหภูมิที่ให้ผลดีที่สุดจะอยู่ระหว่าง 65-80 องศาเซลเซียส การเลือกอุณหภูมิที่ใช้ ขึ้นอยู่กับอัตราการเพิ่มกำลังและกำลังสูงสุดที่ต้องการ อุณหภูมิสูงจะทำให้กำลังสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและกำลังประลัยสูงสุดจะมีค่าต่ำ อุณหภูมิที่ต่ำให้กำลังประลัยสูงสุดที่สูงแต่ด้วยอัตราการเพิ่มกำลังที่ต่ำ ดังแสดงในรูป
รูป ผลของอุณหภูมิของการบ่มด้วยไอน้ำที่ความกดดันต่ำที่มีต่อกำลังของคอนกรีตในระยะแรก
ขั้นตอนการควบคุมอุณหภูมิ • บ่มคอนกรีตไว้ที่อุณหภูมิปกติประมาณ 2-3 ชั่วโมง ก่อนที่จะสัมผัสกับไอน้ำ เพื่อให้เกิดปฏิกิริยาไฮเดรชันเบื้องต้นก่อน • เพิ่มอุณหภูมิ โดยอัตราการเพิ่มของอุณหภูมิไม่ควรให้เกิน 30 oC ต่อชั่วโมง • รักษาระดับของอุณหภูมิ จนกระทั่งมีกำลังเท่าที่ต้องการ • ลดอุณหภูมิ โดยใช้อัตราการลดอุณหภูมิระหว่าง 20-30 oCต่อชั่วโมง • โดยทั่วไประยะเวลาของการบ่มไอน้ำจะใช้เวลาทั้งหมดไม่เกิน 18 ชั่วโมง
รูป ขั้นตอนการควบคุมอุณหภูมิสำหรับการบ่ม ด้วยไอน้ำที่ความกดดันต่ำ รูป อิทธิพลของผลคูณระหว่างเวลาและอุณหภูมิ ต่อผลการเพิ่มของกำลังอัด
2. การบ่มด้วยไอน้ำที่มีความกดดันสูง (High Pressure Steam Curing) • หากต้องการบ่มคอนกรีตด้วยอุณหภูมิเกิน 100 องศาเซลเซียส เราต้องให้ ความกดดันสูงขึ้นและต้องบ่มคอนกรีตในภาชนะที่ปิดสนิท ซึ่งมีชื่อว่า Autoclave อุณหภูมิที่ใช้จะอยู่ในช่วง 160-220 องศา-เซลเซียส ที่ความดัน 6-20 atmสารประกอบที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยาเคมีภายใต้สภาวะดังกล่าว มีคุณสมบัติต่างจากสารประกอบซึ่งบ่มที่อุณหภูมิต่ำกว่า 100 องศาเซลเซียส และมีผลดี ดังนี้
สามารถใช้คอนกรีตได้ภายใน 24 ชั่วโมง เพราะคอนกรีตมีกำลังสูงทัดเทียม กับการบ่มปกติเป็นเวลา 28 วัน • มีการหดตัวและการล้าลดลงมาก • ทนเกลือซัลเฟตได้ดีขึ้น • กำจัด Efflorescence • มีความชื้นต่ำภายหลังการบ่ม ในทางปฏิบัติการบ่มชนิดนี้จะเสียค่าใช้จ่ายสูง และใช้ได้กับคอนกรีตสำเร็จรูปเท่านั้น เช่น ผลิตภัณฑ์ซีเมนต์ใยหิน ( AsbestosCement Product ) และอิฐทรายปูนขาว ( Sand-Lime Brick )
ขั้นตอนการบ่มไอน้ำความดันสูงขั้นตอนการบ่มไอน้ำความดันสูง • บ่มคอนกรีตไว้ที่อุณหภูมิปกติระยะหนึ่งเพื่อให้คอนกรีตมีความแข็งแรงพอสำหรับทำงาน • เพิ่มความร้อนให้กับคอนกรีตอย่างสม่ำเสมอและไม่เร็วเกินไป โดยใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง • คงความร้อนที่อุณหภูมิสูงสุดประมาณ 5-8 ชั่วโมง • ลดความร้อน โดยใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที การบ่มไอน้ำความดันสูง สามารถใช้ได้กับปูนซีเมนต์ -ปอร์ตแลนด์เท่านั้น
การบ่มและการป้องกันคอนกรีตที่เทในสภาพอากาศร้อนการบ่มและการป้องกันคอนกรีตที่เทในสภาพอากาศร้อน • ที่อุณหภูมิสูงปฏิกิริยาไฮเดรชั่นเกิดขึ้นเร็ว ทำให้คอนกรีตเกิดการก่อตัวและแข็งตัวเร็วขึ้น เป็นผลให้กำลังของคอนกรีตไม่สูงเท่าที่ควร นอกจากนี้ถ้าอุณหภูมิสูง การระเหยของน้ำก็จะเกิดขึ้นได้ง่าย ซึ่งนำไปสู่การแตกร้าวเนื่องจากการหดตัวของคอนกรีตในสภาพพลาสติก (Plastic Shrinkage Crack) และการแตกลายงา (Crazing)ได้
อุณหภูมิของคอนกรีตสดขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของส่วนผสม คู่มือการตรวจสอบคอนกรีต ACI 305 R ได้ให้สูตรการคำนวณ ดังนี้ T = 0.22(TaWa+TcWc)+TwWw+TaWwa 0.22(Wa+Wc)+Ww+Wwa เมื่อ T คือ อุณหภูมิของคอนกรีต (องศาเซลเซียส) 0.22 คือ ค่าเฉลี่ยของอัตราส่วนความร้อนจำเพาะ (Specific Heat) ของวัสดุแห้งต่อน้ำ W คือ น้ำหนักของส่วนผสม (กก./) และ a,c,w,waคือ มวลรวมแห้ง,ปูนซีเมนต์,น้ำ, น้ำในมวลรวม ตามลำดับ
การเทคอนกรีตที่อุณหภูมิสูงจึงควรลดอุณหภูมิของคอนกรีตสดให้ไม่เกิน 20-30oC ซึ่งอุณหภูมิยิ่งต่ำจะยิ่งดีต่อการพัฒนากำลัง • ทำกำบังลมและกำบังแดดให้กับมวลรวม และที่ผิวหน้าของคอนกรีต • พ่นละอองน้ำให้ชื้นและป้องกันการแห้งตัวของผิวหน้าคอนกรีตก่อนที่คอนกรีตจะแข็งตัว • ทำการบ่มให้เร็วที่สุด เพราะการรดน้ำบนคอนกรีตจะช่วยลดความร้อนของคอนกรีตได้ด้วย • ลดอุณหภูมิของมวลรวม โดยการฉีดน้ำหรือการให้น้ำเย็นผ่านท่อน้ำที่ขดอยู่ภายในกองมวลรวม
การบ่มและการป้องกันสำหรับการเทคอนกรีตหลาการบ่มและการป้องกันสำหรับการเทคอนกรีตหลา • สำหรับงานคอนกรีตหลา จะเกิดความแตกต่างระหว่างอุณหภูมิภายในคอนกรีต กับสิ่งแวดล้อมภายนอก ซึ่งอาจทำให้เกิดการแตกร้าวจากอุณหภูมิ (Thermal Cracking)ได้ ดังนั้นจึงต้องมีการลดอุณหภูมิ เริ่มต้นอาจทำได้หลายวิธี เช่น • การลดอุณหภูมิของคอนกรีตเอง โดยใช้ทรายและหินที่มีอุณหภูมิต่ำ หรือใช้น้ำเย็นในการผสม • การใช้วัสดุผสมที่ช่วยลดความร้อนจากปฏิกิริยาไฮเดรชั่น เช่น ใช้เถ้าลอยแทนที่ปูนซีเมนต์บางส่วน • การห่อหุ้มรอบคอนกรีตด้วยฉนวนกันความร้อนเพื่อลดความแตกต่างของอุณหภูมิภายในเนื้อคอนกรีต
การบ่มด้วยฉนวนมีวิธีการ ดังนี้ • นำกระสอบคลุมผิวหลังจากเทคอนกรีต • ฉีดน้ำที่มีอุณหภูมิปกติลงบนกระสอบให้พอชุ่ม • คลุมด้วยแผ่นพลาสติก โดยให้แผ่นทับซ้อนกันอย่างน้อย 15 cm. • ทำการวางโฟมที่หนาอย่างน้อย 2 cm. วางบนแผ่นพลาสติก • วางแผ่นพลาสติกทับโฟมเอาไว้ • ควรหาวัสดุวางทับเพื่อกันแผ่นพลาสติกปลิว • บ่มจนอุณหภูมิคอนกรีตที่แกนกลางลดลงมาในระดับที่ไม่ก่อให้เกิดการแตกร้าว
การบ่มและการป้องกันคอนกรีตที่เทในสภาพอากาศหนาวการบ่มและการป้องกันคอนกรีตที่เทในสภาพอากาศหนาว • ปัญหาของการเทคอนกรีตในอากาศที่หนาวเย็นเกิดจากการที่น้ำเกิดการแข็งตัว ปูนซีเมนต์จะทำปฏิกิริยาไม่ได้เพราะขาดน้ำ ถ้าคอนกรีตสามารถก่อตัวได้แต่ยังมีกำลังต่ำและมีการแข็งตัวของน้ำ คอนกรีตก็จะเสียหายได้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเทคอนกรีตในอุณหภูมิที่สูงขึ้นเพื่อไม่ให้เกิดการแข็งตัวของน้ำ และป้องกันคอนกรีตให้มีเวลาเพียงพอที่จะพัฒนากำลังเบื้องต้นในการต้านทานอากาศหนาวเย็น ทั้งนี้การใส่สารกักกระจายฟองอากาศก็สามารถช่วยได้เช่นกัน
ตารางแสดง อุณหภูมิต่ำสุดของคอนกรีตสำหรับการเทคอนกรีตในอากาศหนาว
ดังนั้นในการผสมคอนกรีตจึงต้องเพิ่มอุณหภูมิให้กับส่วนผสมซึ่งสามารถคำนวณได้เช่นเดียวกับการเทคอนกรีตในอากาศร้อน • การเพิ่มอุณหภูมิทำได้โดยการใช้น้ำร้อน หรือการให้ไอน้ำโดยตรงต่อมวลรวม นอกจากนี้จะไม่เทคอนกรีตสัมผัสกับพื้นดินที่เย็นโดยตรงแต่ให้ใช้ไม้แบบเป็นฉนวนกั้น • หลังจากเทคอนกรีตแล้ว ป้องกันโดยการใช้ฉนวนหุ้มและใส่เครื่องทำความร้อนไว้ภายใน แต่ต้องระวังไม่ให้คอนกรีตแห้งและควรให้ความร้อนเฉลี่ยทั่วทั้งคอนกรีต • เมื่อครบระยะเวลาของการป้องกันแล้วก็ลดอุณหภูมิ ซึ่งอุณหภูมิที่ยอมให้ลดได้ใน 24 ชม. อยู่ระหว่าง 11-28oC ขึ้นอยู่กับขนาดของคอนกรีต