1 / 58

แหล่งสารสนเทศ 4.2 สารสนเทศทุติยภูมิ ดร.นฤมล รักษาสุข

แหล่งสารสนเทศ 4.2 สารสนเทศทุติยภูมิ ดร.นฤมล รักษาสุข. 4.2 สารสนเทศทุติยภูมิ (Secondary Sources). 4.2.1 ขอบเขตของสารสนเทศทุติยภูมิ 4.2.2 ประโยชน์ของสารสนเทศทุติยภูมิ 4.2.3 ประเภทของสารสนเทศทุติยภูมิ. 4.2.1 ขอบเขตของสารสนเทศทุติยภูมิ. เป็นสารสนเทศที่เกิดจากการรวบรวมและ

kacia
Download Presentation

แหล่งสารสนเทศ 4.2 สารสนเทศทุติยภูมิ ดร.นฤมล รักษาสุข

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. แหล่งสารสนเทศ 4.2 สารสนเทศทุติยภูมิ ดร.นฤมล รักษาสุข

  2. 4.2 สารสนเทศทุติยภูมิ(Secondary Sources) 4.2.1 ขอบเขตของสารสนเทศทุติยภูมิ 4.2.2 ประโยชน์ของสารสนเทศทุติยภูมิ 4.2.3 ประเภทของสารสนเทศทุติยภูมิ

  3. 4.2.1 ขอบเขตของสารสนเทศทุติยภูมิ • เป็นสารสนเทศที่เกิดจากการรวบรวมและ เรียบเรียงสารสนเทศปฐมภูมิ 2) เป็นการนำสารสนเทศประเภทเดียวกันมาไว้ด้วยกัน จัดหมวดหมู่ให้เป็นระเบียบ ย่อเรื่องให้เข้าใจง่าย หรือจัดทำในรูปดรรชนีวารสารหรือสาระสังเขป

  4. 4.2.2 ประโยชน์ของสารสนเทศทุติยภูมิ 1) ให้สารสนเทศที่เข้าใจง่าย 2) เป็นเครื่องมือในการเข้าถึงสารสนเทศปฐมภูมิ

  5. 4.2.3 ประเภทของสารสนเทศทุติยภูมิ 1) หนังสือตำรา 2) ทรัพยากรสารสนเทศอ้างอิง (สารานุกรม พจนานุกรม นามานุกรม อักขรานุกรมภูมิศาสตร์) 3) วารสารเสนอความคิดเห็น (Opinion Paper)

  6. 4.2.3 ประเภทของสารสนเทศทุติยภูมิ(ต่อ) 4) จดหมายข่าวหรือข่าวสาร (Newsletter) 5) รายงานสถานภาพวิทยาการปัจจุบัน (State –of- the- art-report) 6) ดรรชนีวารสาร (Index to Journal Articles) 7) สาระสังเขป (Abstract)

  7. 4.2.3 ประเภทของสารสนเทศทุติยภูมิ (ต่อ) 8) บรรณานุกรม (Bibliography) 9) บรรณนิทัศน์ (Annotated Bibliography) 10) หนังสือแนะนำวรรณกรรมเฉพาะสาขาวิชา (Guide to the Literature)

  8. หนังสือตำรา (Textbook) • หมายถึงผลงานเรียบเรียงเพื่อเสนอความรู้ในศาสตร์สาขาวิชาต่างๆ • “ตำรับ” หมายถึงตำราที่กำหนดไว้เป็นเฉพาะแต่ละเรื่องละราย เช่น ตำรับหอสมุดแห่งชาติ (พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน 2542)

  9. ทรัพยากรสารสนเทศอ้างอิงทรัพยากรสารสนเทศอ้างอิง • สารานุกรม • พจนานุกรม • นามานุกรม • อักขรานุกรมภูมิศาสตร์

  10. สารานุกรม (Encyclopedias) • แหล่งสารสนเทศว่าด้วย “สารพัดความรู้” • วัตถุประสงค์หลักในการจัดทำ คือ เพื่อนำเสนอ สารสนเทศที่กระชับ (concise) และเข้าถึงง่าย (easily access)

  11. ประเภทของสารานุกรม - แบ่งตามเนื้อหา - สารานุกรมทั่วไป (General Encyclopedia) - สารานุกรมเฉพาะวิชา (Subject Encyclopedia) - แบ่งตามลักษณะรูปเล่ม - Single-Volume Encyclopedias - Multivolume Encyclopedias

  12. พจนานุกรม • ให้นิยาม ความหมายของคำ • ใช้ตรวจสอบการสะกดคำ การออกเสียง และการใช้คำ • บอกประวัติการเกิดของคำ

  13. นามานุกรม (Directories) - แหล่งสารสนเทศที่ให้รายชื่อ ร้านค้า บริษัท สถาบัน หน่วยงานของรัฐ โดยอาจให้เฉพาะชื่อหน่วยงานหรือ บุคคลในหน่วยงาน และอาจให้สารสนเทศเกี่ยวกับ สินค้าและบริการด้วย - สารสนเทศดังกล่าวมีการจัดกลุ่มและจัดเรียงอย่าง เป็นระบบเพื่อความสะดวกในการเข้าถึงสารสนเทศ ที่ต้องการ

  14. นามานุกรม (Directories) (ต่อ) - ข้อมูลที่ได้มักได้จากแบบสอบถาม - ข้อมูลมีการเปลี่ยนแปลงบ่อยต้องปรับปรุง ให้ทันสมัยอยู่เสมอ

  15. ตัวอย่างนามานุกรม • The Directory of Physics and Astronomy Staff Members (American Institute of Physics) • Research Centers Directory (Gale Research Company) • Directory of Selected Scientific Institutions in Mainland China (Hoover Institution Publications Series : 96)

  16. อักขรานุกรมภูมิศาสตร์ อักขรานุกรมภูมิศาสตร์ • ให้รายชื่อ สถานที่ทางภูมิศาสตร์และลักษณะทางกายภาพ เรียงตามลำดับอักษร • ให้ข้อมูลจำนวนประชากร สภาพทางภูมิศาสตร์ วัฒนธรรม ประเพณีและเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสถานที่นั้น • Columbia – Lippincott Gazetteer of the World • The National Gazetteerof the United States of America

  17. ดรรชนีวารสาร (Index to Journal Articles) • คือคำค้นที่ใช้เพื่อการเข้าถึงบทความวารสาร • คำค้นมักได้แก่ ชื่อผู้แต่ง (Authors) หัวเรื่อง (Subject-Headings) และคำสำคัญ (Keywords) • ดรรชนีอาจอยู่ในรูปสื่อสิ่งพิมพ์ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ หรือฐานข้อมูลออนไลน์

  18. ความเป็นมาของดรรชนี - แนวคิดการทำดรรชนีเรื่อง (Subject Index) เริ่ม ในศตวรรษที่ 15 โดยมีการจัดทำสิ่งพิมพ์ชื่อ“Apothegmata” ซึ่งเป็นรายการเรียงตามลำดับอักษร ในหัวข้อเทววิทยา (Theological Topics) - การทำดรรชนีเพื่อค้นหาวรรณกรรมทางด้าน วิทยาศาสตร์ ได้เริ่มขึ้นอย่างจริงจังเมื่อมีการผลิต วารสารวิชาการออกเผยแพร่จำนวนมาก

  19. ความเป็นมาของดรรชนี (ต่อ) - ต้นศตวรรษที่ 19 The Royal Society ได้จัดพิมพ์ Catalogue of Scientific Papers ซึ่งเป็นดรรชนี ผู้แต่ง(Author Index) เพื่อใช้ค้นบทความจาก วารสารด้านวิทยาศาสตร์ 1,500 ชื่อ

  20. ความเป็นมาของดรรชนี (ต่อ) - ในศตวรรษที่ 20 บริการดรรชนี (Indexing Services) ได้เริ่มขึ้นและกิจการเติบโตขึ้นตามลำดับ - Zoological Record (1864 - ) - Index Medicus (1872 - ) - Biological and Agricultural Index (1916 - )

  21. ความเป็นมาของดรรชนี (ต่อ) - Applied Science and Technology Index (1958 - ) - Science Citation Index (1961 - ) - British Technology Index (1962 - ) - Pandex : Current Index to Scientific and Technical Literature (1967 - )

  22. สาระสังเขป (Abstracts) • ให้สารสนเทศที่เป็นสรุปย่อเนื้อเรื่องของทรัพยากร สารสนเทศ • ให้ข้อมูลทางบรรณานุกรม • สาระสังเขปอาจอยู่ในรูปของสื่อสิ่งพิมพ์ สื่อเล็กทรอนิกส์หรือฐานข้อมูลออนไลน์

  23. ความสำคัญของสาระสังเขปความสำคัญของสาระสังเขป • ช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงสารสนเทศที่ต้องการได้อย่าง สะดวก (กรณีที่สาระสังเขปเขียนโดยภาษาสากล- ภาษาอังกฤษ) • ช่วยประหยัดเวลาของผู้ใช้ในการคัดเลือก สารสนเทศที่ต้องการ

  24. ความเป็นมาของบริการสาระสังเขปความเป็นมาของบริการสาระสังเขป • เครื่องมือที่ทำหน้าที่คล้ายกับสาระสังเขปเริ่มมีขึ้นในยุคเมโสโปเตเมีย ซึ่งมีลักษณะเป็นซองแผ่นดินเหนียวที่ปิดทับอักษรคิวนิฟอร์มและมีการเขียนเนื้อเรื่องย่อไว้ (Francis Witty)

  25. ความเป็นมาของบริการสาระสังเขป (ต่อ) • วารสารสาระสังเขปเริ่มจัดทำขึ้นในศตวรรษที่ 18 - Pharmaceutisches Central-Blatt (1830 - ) - Engineering Index (1844 - ) - Science Abstracts (1898 - ) - Official Gazette (1872 - )

  26. ความเป็นมาของบริการสาระสังเขป (ต่อ) • บริการสาระสังเขป (Abstracting Services) มีพัฒนาการอย่างมากในศตวรรษที่ 20 - Chemical Abstracts (1907 - ) - Biological Abstracts (1926 - ) - Mathematical Reviews (1940 - ) - Bulletin Signaletique (1940 - )

  27. พัฒนาการของบริการสาระสังเขปในศตวรรษที่ 20 - Excerpta Medica (1947 - ) - Applied Mechanics Reviews (1948 - ) - Analytical Abstracts (1954 - ) - Referativnyi Zhunal (1954 - ) - Excerpta Botanica (1959 - )

  28. พัฒนาการของบริการสาระสังเขปในศตวรรษที่ 20(ต่อ) - International Aerospace Abstracts (1961 - ) - Astronomy and Astrophysics Abstracts (1969 - )

  29. บริการสาระสังเขป ได้ขยายตัวโดยการจัดทำสาระสังเขปเฉพาะวิชามากขึ้น - Helminthological Abstracts (1932 - ) - Apicultural Abstracts (1950 - ) - Rheology Abstracts (1958 - ) - Electroanalytical Abstracts (1963- )

  30. บริการสาระสังเขปได้ขยายตัวโดยการจัดทำบริการสาระสังเขปได้ขยายตัวโดยการจัดทำ สาระสังเขปเฉพาะวิชามากขึ้น (ต่อ) - Journal of Current Laser Abstracts (1967 - ) - Nucleic Acid Abstracts (1971 - ) - Amino Acid Peptide and Protein Abstracts (1972 - )

  31. ประเภทของสาระสังเขป 1. สาระสังเขปประเภทชี้แนะ (Indicative Abstract) ให้ข้อมูลสั้นๆ เพื่อให้ผู้อ่านตัดสินใจเองว่าจะอ่าน เพิ่มเติมจากต้นฉบับหรือไม่ 2. สาระสังเขปประเภทให้ความรู้ (Informative Abstract) ให้เนื้อหาย่อเพื่อให้ผู้อ่านมีความรู้เกี่ยวกับงานนั้น ในระดับหนึ่ง

  32. ตัวอย่างสาระสังเขปประเภทชี้แนะตัวอย่างสาระสังเขปประเภทชี้แนะ

  33. ตัวอย่างสาระสังเขปประเภทให้ความรู้ตัวอย่างสาระสังเขปประเภทให้ความรู้

  34. ตัวอย่างสาระสังเขปประเภทให้ความรู้ (ต่อ)

  35. สาระสังเขปของไทย - สาระสังเขปวิทยานิพนธ์ - สาระสังเขปงานวิจัย

  36. บรรณานุกรม • บรรณานุกรม คือ ข้อมูลตัวแทนทรัพยากร สารสนเทศ (Surrogate Records) ประเภทหนึ่ง ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับทรัพยากรสารสนเทศแต่ละ รายการ • เป็นแหล่งสารสนเทศที่รวบรวมรายการ ทรัพยากรสารสนเทศประเภทต่าง ๆ ภายใต้ ชื่อผู้แต่งหรือผู้ผลิต (lists of information packages)

  37. ความหมายของบรรณานุกรม (ต่อ) • บรรณานุกรมบางประเภทอาจมี “บรรณนิทัศน์”(annotations) ประกอบ ซึ่งเป็นข้อมูลย่อๆ เกี่ยวกับเนื้อหาหรือประโยชน์ของทรัพยากร สารสนเทศรายการนั้น • บรรณานุกรมอาจอยู่ในรูปของสื่อสิ่งพิมพ์ สื่ออิเล็กทรอนิกส์หรือฐานข้อมูลออนไลน์

  38. ความสำคัญของบรรณานุกรมความสำคัญของบรรณานุกรม • มีความสำคัญต่อนักวิชาการและผู้ที่ต้องทำงานเกี่ยวข้องกับหนังสือและทรัพยากรสารสนเทศในรูปแบบต่าง ๆ เช่น บรรณารักษ์ นักจดหมายเหตุ ภัณฑารักษ์ นักสะสม ผู้ขายหนังสือ ตัวแทนจำหน่ายหนังสือ วารสารหรือฐานข้อมูล • เป็นแหล่งสารสนเทศสำหรับใช้ค้นคว้าหารายการ ทรัพยากรสารสนเทศที่มีผู้ผลิตขึ้นในบรรณภิภพ

  39. ข้อมูลที่ได้รับจากบรรณานุกรมข้อมูลที่ได้รับจากบรรณานุกรม - บรรณานุกรมแต่ละรายการมักให้ข้อมูลเกี่ยวกับ ชื่อผู้แต่ง(ผู้ผลิต) ชื่อเรื่อง ครั้งที่พิมพ์ (จัดทำ) ผู้จัดพิมพ์ (จัดทำ) สถานที่พิมพ์ (จัดทำ) และ ปีที่พิมพ์ (จัดทำ) - แบบแผนการลงรายการบรรณานุกรมอาจ แตกต่างกันทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าผู้จัดทำจะยึด แบบแผนของหน่วยงานใด

  40. แบบแผนการลงรายการบรรณานุกรมแบบแผนการลงรายการบรรณานุกรม • APA (American Psychological Association)1 Mitchell, T. R., & Larson, J.R., Jr. (1987). People in organizations : An introduction to organizational behavior (3rd ed.). New York : McGraw-Hill.

  41. Chicago Manual of Style2 Mitchell, Terence R., and James R. Larson, Jr. People in Organizations : An Introduction to Organizational Behavior. 3d ed. New York : McGraw-Hill, 1987.

  42. MLA (Modern Language Association)3 Mitchell, Terence R., and James R. Larson,Jr. People in organizations : An introduction to Organizational Behavior. 3d ed. New York : McGraw-Hill, 1987.

  43. Science (Scientific Style and Format)4 Mitchell, TR, Larson JR, Jr. 1987. People in Organizations : An Introduction to Organizational Behavior. 3d ed. New York : McGraw-Hill, 1987.

  44. Turabian5 Mitchell, Terence R., and James R. Larson, Jr. People in Organizations : An Introduction to Organizational Behavior. 3d ed. New York : McGraw-Hill, 1987.

  45. Style Manual (U.S. Government Style Manual)6 Mitchell, Terence R., and James R. Larson, Jr.People in Organizations : An Introduction to Organizational Behavior. 3d ed. (New York : McGraw-Hill,1987).

  46. ประเภทของบรรณานุกรม Arlene G. Taylor ได้แบ่งบรรณานุกรมออกเป็น 7 ประเภท 1. บรรณานุกรมแยกตามสาขาวิชา (Subject)เช่น The New Press Guide to Multicultural Resources for young Readers 2. บรรณานุกรมแยกตามชื่อผู้แต่ง (Author)เช่น บรรณานุกรมศาสตราจารย์ ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน

  47. ประเภทของบรรณานุกรม (ต่อ) 3. บรรณานุกรมแยกตามภาษา (Language)เช่น An Extensive Bibliography of Studies in English, German, and French on Turkish Foreign Policy, 1923-1997 4. บรรณานุกรมแยกตามช่วงเวลาการผลิต (Time Period) เช่น British Women Writers, 1700-1850 : Annotated Bibliography of Their works and works About Them

  48. ประเภทของบรรณานุกรม (ต่อ) 5. บรรณานุกรมแยกตามภูมิภาค (Locale) เช่น บรรณานุกรมแห่งชาติ บรรณานุกรมสากลArea Bibliography of Japan 6. บรรณานุกรมแยกตามผู้จัดพิมพ์ (Publisher) เช่น The Stinehour Press : A Bibliographical Checklist of the First Thirty Years 7. บรรณานุกรมแยกตามรูปแบบทรัพยากรสารสนเทศ(Form) เช่น Maps and Mapping of Africa : A Resource Guide

  49. Krishna Subramanyam ได้แบ่งบรรณานุกรมออกเป็น 4 ประเภทดังนี้ 1. บรรณานุกรมฉบับปัจจุบัน (Current Bibliographies) 2. บรรณานุกรมฉบับย้อนหลัง (Retrospective Bibliographies) 3. บรรณานุกรมเฉพาะสาขาวิชา 4. บรรณานุกรมของบรรณานุกรม

  50. 1. บรรณานุกรมฉบับปัจจุบัน (Current Bibliographies) รวบรวมรายการทรัพยากรสารสนเทศที่เพิ่งมีการ จัดพิมพ์/จัดทำ มักอยู่ในรูปสิ่งพิมพ์ต่อเนื่อง 2. บรรณานุกรมฉบับย้อนหลัง (Retrospective Bibliographies) รวบรวมรายการทรัพยากร สารสนเทศที่จัดพิมพ์ในอดีตประมาณหนึ่งถึงสอง ศตวรรษที่ผ่านมา

More Related