1 / 91

การกระจายอำนาจให้แก่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

การกระจายอำนาจให้แก่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น. นายภิญโญ พัวศรีพันธุ์ เจ้าพนักงานปกครอง ๖ ว หัวหน้างานถ่ายโอนกิจกรรมบริการสาธารณะ สำนักงานท้องถิ่นจังหวัดเชียงใหม่. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2549. มาตรา 5

Download Presentation

การกระจายอำนาจให้แก่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. การกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นายภิญโญ พัวศรีพันธุ์ เจ้าพนักงานปกครอง ๖ ว หัวหน้างานถ่ายโอนกิจกรรมบริการสาธารณะ สำนักงานท้องถิ่นจังหวัดเชียงใหม่

  2. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2549

  3. มาตรา 5 - สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ประกอบด้วยสมาชิกไม่เกิน 250 คน - อายุไม่ต่ำกว่า 35 ปี - ทำหน้าที่สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และรัฐสภา - กรณีที่มีกฎหมายห้ามมิให้บุคคลดำรงตำแหน่งทางการเมือง มิให้นำกฎหมายนั้นมาใช้บังคับแก่การได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ

  4. มาตรา 8 - สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติผู้ใดกระทำการอันเป็นการเสื่อมเสีย สมาชิกไม่น้อยกว่า 20 คน มีสิทธิเข้าสื่อร้องขอต่อประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อให้ผู้นั้นพ้นจากสมาชิกภาพ - มติให้พ้นจากสมาชิกภาพ ต้องมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ในวันลงคะแนน

  5. มาตรา 9 - การประชุมต้องมีสมาชิกมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้งหมดจึงจะถือเป็นองค์ประชุม

  6. มาตรา 10 - พระมหากษัตริย์ทรงตราพระราชบัญญัติโดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ - ร่างพระราชบัญญัติจะเสนอได้ก็แต่โดยสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติไม่น้อยกว่า 25 คน หรือคณะรัฐมนตรี แต่ร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงิน จะเสนอได้ก็แต่โดยคณะรัฐมนตรี

  7. มาตรา 11 - สมาชิกทุกคนมีสิทธิตั้งกระทู้ถามรัฐมนตรี แต่รัฐมนตรีย่อมมีสิทธิที่จะไม่ตอบเมื่อเห็นว่าเรื่องนั้นยังไม่ควรเปิดเผย เพราะเกี่ยวกับความปลอดภัยหรือประโยชน์สำคัญของแผ่นดิน - สมาชิก 100 คน สามารถขออภิปรายเพื่อซักถามข้อเท็จจริงจากรัฐมนตรีได้ แต่ลงมติไว้วางใจหรือไม่ไว้วางใจไม่ได้

  8. มาตรา 12 - กรณีมีปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน คณะรัฐมนตรีเห็นสมควรจะรับฟังความคิดเห็น ให้แจ้งประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติขอให้มีการเปิดอภิปรายทั่วไป แต่สภานิติบัญญัติแห่งชาติจะลงมติในปัญหาที่อภิปรายมิได้

  9. มาตรา 13 - การกล่าวถ้อยคำใด ๆ ในการประชุมสภานิติบัญญัติ ถือเป็นเอกสิทธิโดยเด็ดขาด จะนำไปเป็นเหตุฟ้องร้องว่ากล่าวผู้นั้นในทางใดมิได้ แต่ไม่คุ้มครองผู้กล่าวถ้อยคำในการประชุมที่มีการถ่ายทอดทางวิทยุกระจายเสียงหรือวิทยุโทรทัศน์ ถ้าหากถ้อยคำนั้นมีลักษณะเป็นความผิดทางอาญาหรือละเมิดสิทธิในทางแพ่งต่อบุคคลอื่นซึ่งมิใช่รัฐมนตรีหรือสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ - กรณีที่สมาชิกฯ ถูกควบคุมหรือขัง ให้สั่งปล่อยต่อเมื่อประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติร้องขอ หรือกรณีถูกฟ้องในคดีอาญาให้ศาลพิจารณาคดีต่อไปได้ เว้นแต่ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติร้องขอให้งดการพิจารณาคดี

  10. มาตรา 14 - พระมหากษัตริย์แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี 1 คน และรัฐมนตรีอื่นอีกไม่เกิน 35 คน - พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการให้นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งตามที่ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติถวายคำแนะนำ และให้รัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งตามที่นายกรัฐมนตรีถวายคำแนะนำ

  11. มาตรา 19 - สภาร่างรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วยสมาชิก 100 คน - ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ เป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งประธานสภา และรองประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ - สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ต้องไม่เป็น หรือเคยเป็นสมาชิกพรรคการเมือง หรือดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมือง ภายในเวลา 2 ปี ก่อนวันได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ และต้องไม่ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในขณะเดียวกัน

  12. มาตรา 20 - สมัชชาแห่งชาติ ประกอบด้วยสมาชิกที่มีสัญชาติไทยโดยกำเนิด อายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี ไม่เกิน 2,000 คน - ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ เป็นผู้ลงนามสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งสมาชิกสมัชชาแห่งชาติตามวรรคหนึ่ง

  13. มาตรา 22 - ให้สมัชชาแห่งชาติมีหน้าที่คัดเลือกสมาชิกด้วยกันเอง เป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ 200 คน และเมื่อได้คัดเลือกสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญแล้ว หรือเมื่อครบกำหนดเวลาแล้ว ยังไม่อาจคัดเลือกได้ครบถ้วน ให้สมัชชาแห่งชาติเป็นอันสิ้นสุด - การคัดเลือกตามวรรคหนึ่ง สมาชิกสมัชชาแห่งชาติมีสิทธิเลือกได้คนละไม่เกิน 3 รายชื่อ และให้ผู้ได้คะแนนเสียงสูงสุดเรียงไปตามลำดับจนครบ 200 คน เป็นผู้ได้รับเลือก

  14. มาตรา 23 - ให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติคัดเลือกบุคคลตามบัญชีรายชื่อดังกล่าวให้เหลือ 100 คน และแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ - ให้ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ

  15. มาตรา 24 - ในระหว่างที่สภาร่างรัฐธรรมนูญยังปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญนี้ไม่แล้วเสร็จ หากมีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญพ้นจากตำแหน่ง ให้ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติคัดเลือกบุคคลจากบัญชีรายชื่อตามมาตรา 22 ที่เหลืออยู่ หรือจากบุคคลที่เคยเป็นสมาชิกสมัชชาแห่งชาติ แล้วแต่กรณี แต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญแทนตำแหน่งที่ว่าง ทั้งนี้ ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่มีตำแหน่งว่าง

  16. มาตรา 26 - เมื่อคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญจัดทำร่างรัฐธรรมนูญเสร็จแล้ว ให้จัดทำคำชี้แจงว่า ร่างรัฐธรรมนูญที่จัดทำขึ้นใหม่นั้นมีความแตกต่างกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ในเรื่องใด พร้อมด้วยเหตุผลในการแก้ไข ไปยังสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ องค์กร และบุคคลดังต่อไปนี้

  17. มาตรา 26 (ต่อ)1.คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ 2.สภานิติบัญญัติแห่งชาติ 3.คณะรัฐมนตรี 4.ศาลฎีกา 5.ศาลปกครองสูงสุด 6.คณะกรรมการการเลือกตั้ง 7.คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 8.ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน 9.ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา 10.คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ 11.สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 12.สถาบันอุดมศึกษา

  18. มาตรา 26 (ต่อ) - ให้คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญเผยแพร่ร่างรัฐธรรมนูญและเอกสารชี้แจงตามวรรค 1 ให้ประชาชนทั่วไปทราบ ตลอดจนส่งเสริมและจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนด้วย

  19. มาตรา 27 - เมื่อสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญได้รับร่างรัฐธรรมนูญและเอกสารตามมาตรา 26 แล้ว หากประสงค์จะแปรญัตติแก้ไขเพิ่มเติมให้กระทำได้เมื่อมีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญลงชื่อรับรองไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของจำนวนสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มีอยู่ - สมาชิกที่ยื่นคำขอแปรญัตติ หรือที่ให้คำรับรองคำแปรญัตติของสมาชิกอื่นแล้วจะยื่นคำขอแปรญัตติ หรือรับรองคำแปรญัตติของสมาชิกอื่นใดอีกไม่ได้

  20. มาตรา 28 - เมื่อพ้นกำหนด 30 วันนับแต่วันที่ส่งเอกสารตามมาตรา 26 ให้คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญพิจารณาความเห็นที่ได้รับมาตามมาตรา 26 และคำแปรญัตติตามมาตรา 27 พร้อมทั้งจัดทำรายงานการแก้ไขเพิ่มเติม หรือไม่แก้ไขเพิ่มเติม พร้อมทั้งเหตุผล เผยแพร่ให้ทราบเป็นการทั่วไป แล้วนำเสนอร่างรัฐธรรมนูญต่อสภาร่างรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณา การพิจารณาของสภาร่างรัฐธรรมนูญตามวรรค 1 เป็นการพิจารณาเพื่อให้ความเห็นชอบ หรือไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ และเฉพาะมาตราที่สมาชิกยื่นคำขอแปรญัตติตามมาตรา 27 หรือที่คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญเสนอ โดยสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญจะแปรญัตติแก้ไขเพิ่มเติมนอกจากที่บัญญัติไว้ในมาตรา 27 มิได้ เว้นแต่คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญจะเห็นชอบด้วย หรือสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญมีจำนวนไม่น้อยกว่า 3 ใน 5 เห็นชอบด้วยกับการแก้ไขเพิ่มเติมนั้น

  21. มาตรา 29 - ให้สภาร่างรัฐธรรมนูญจัดทำร่างรัฐธรรมนูญและพิจารณาแล้วเสร็จภายใน 180 วัน นับแต่วันเปิดประชุมสภาร่างรัฐธรรมนูญครั้งแรก - ให้เผยแพร่ให้ประชาชนทราบ และจัดให้มีการออกเสียงประชามติว่าจะให้ความเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ซึ่งต้องจัดทำไม่เร็วกว่า 15 วัน และไม่ช้ากว่า 30 วัน นับแต่วันที่เผยแพร่ร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าว - การออกเสียงประชามติต้องกระทำภายในวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร

  22. มาตรา 30 - เมื่อจัดทำร่างรัฐธรรมนูญแล้วเสร็จให้คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญดำเนินการยกร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญเฉพาะที่จำเป็น เพื่อประโยชน์ในการจัดให้มีการเลือกตั้ง ให้แล้วเสร็จภายใน 45 วัน นับจากวันที่จัดทำร่างรัฐธรรมนูญแล้วเสร็จ เพื่อเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติดำเนินการต่อไป ซึ่งสภานิติบัญญัติแห่งชาติต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 45 วัน นับแต่วันที่ได้รับร่างจากคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ - ห้ามมิให้กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภา ภายใน 2 ปี นับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่งกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ

  23. มาตรา 32 - ในกรณีที่สภาร่างรัฐธรรมนูญจัดทำร่างรัฐธรรมนูญไม่แล้วเสร็จ ให้สภาร่างรัฐธรรมนูญสิ้นสุดลงและให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติประชุมร่วมกับคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่ได้เคยประกาศใช้บังคับมาแล้วฉบับใดฉบับหนึ่งมาปรับปรุงให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน นับแต่วันออกเสียงประชามติไม่เห็นชอบ และนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้เป็นรัฐธรรมนูญต่อไป - การประกาศใช้รัฐธรรมนูญตามมาตรานี้ให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ

  24. มาตรา 34 - เพื่อประโยชน์ในการรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงแห่งชาติ ให้มีคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ประกอบด้วย บุคคลตามประกาศของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 24 ลงวันที่ 29 กันยายน พุทธศักราช 2549

  25. มาตรา 35 - บรรดาการใดที่มีกฎหมายกำหนด ให้เป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ หรือเมื่อมีปัญหาว่า กฎหมายใดขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ให้เป็นอำนาจของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ ซึ่งประกอบด้วย ประธานศาลฎีกาเป็นประธาน ประธานศาลปกครองสูงสุดเป็นรองประธาน ผู้พิพากษาในศาลฎีกา ซึ่งดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าผู้พิพากษาศาลฎีกา ซึ่งได้รับเลือกโดยที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกา โดยวิธีลงคะแนนลับ จำนวน 5 คน เป็นตุลาการรัฐธรรมนูญ และตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ซึ่งได้รับเลือกโดยที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุด โดยวิธีลงคะแนนลับจำนวน 2 คน เป็นตุลาการรัฐธรรมนูญ

  26. มาตรา 36 - บรรดาประกาศและคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองที่ได้ประกาศ หรือสั่งไว้ ในระหว่างสันที่ 19 กันยายน พุทธศักราช 2549 จนถึงวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ ให้มีผลใช้บังคับต่อไป และให้ถือว่า ประกาศหรือคำสั่ง ตลอดจนการปฏิบัติตามประกาศ หรือคำสั่งนั้น ไม่ว่าการปฏิบัติตามประกาศ หรือคำสั่งนั้น จะกระทำก่อน หรือหลัง วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ เป็นประกาศหรือคำสั่ง หรือการปฏิบัติ ที่ชอบด้วยกฎหมาย และชอบด้วยรัฐธรรมนูญ

  27. มาตรา 37 - บรรดาการกระทำทั้งหลาย ซึ่งได้กระทำเนื่องในการยึด และควบคุมอำนาจการปกครองแผ่นดิน เมื่อวันที่ 19 กันยายน พุทธศักราช 2549 ของหัวหน้าและคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รวมตลอดทั้งการกระทำของบุคคลที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำดังกล่าว หากการกระทำนั้นผิดต่อกฎหมาย ให้ผู้กระทำพ้นจากความผิด และความรับผิดโดยสิ้นเชิง

  28. มาตรา 38 - ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

  29. กฎหมายรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องกับการกระจายอำนาจตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ 2540(ยกเลิกแล้ว) หมวด 5 แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ มาตรา 78รัฐต้องกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นพึ่งตนเองและตัดสินใจในกิจการท้องถิ่นได้เอง พัฒนาเศรษฐกิจ ระบบสาธารณูปโภค โครงสร้างพื้นฐานให้ทั่วถึงและเท่าเทียมกันทั้งประเทศ รวมทั้งพัฒนาจังหวัดมีความพร้อมให้เป็น อปท. ขนาดใหญ่ โดยคำนึงถึงเจตนารมณ์ของประชาชนในจังหวัดนั้น มาตรา 88บทบัญญัติในหมวดนี้มีไว้เพื่อเป็นแนวทางสำหรับการตรากฎหมายและดำเนินการนโยบายในการบริหารราชการแผ่นดิน

  30. กฎหมายรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องกับการกระจายอำนาจกฎหมายรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องกับการกระจายอำนาจ หมวด 9การปกครองท้องถิ่น มาตรา 282การปกครองท้องถิ่นต้องเป็นไปตามเจตนารมณ์ของประชาชนในท้องถิ่น มาตรา 283การกำกับดูแลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ต้องทำเท่าที่จำเป็นตามที่กฎหมายบัญญัติ และเป็นไปเพื่อการคุ้มครองประโยชน์ของประเทศเป็นส่วนรวม

  31. กฎหมายรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องกับการกระจายอำนาจกฎหมายรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องกับการกระจายอำนาจ หมวด 9การปกครองท้องถิ่น มาตรา 284องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นย่อมมีความเป็นอิสระในการกำหนดนโยบาย การบริหาร การบริหารงานบุคคล การเงินและการคลัง และมีอำนาจหน้าที่ของตนเองโดยเฉพาะ ให้มีการกำหนดอำนาจและหน้าที่ระหว่างรัฐกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วยกันเอง โดยคำนึงถึงการกระจายอำนาจเพิ่มขึ้นให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

  32. กฎหมายรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องกับการกระจายอำนาจกฎหมายรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องกับการกระจายอำนาจ หมวด 9การปกครองท้องถิ่น มาตรา 284 (ต่อ)ให้มีกฎหมายกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจฯ ที่ต้องมีสาระสำคัญเกี่ยวกับการแบ่งอำนาจและหน้าที่ และการจัดสรร สัดส่วนภาษีอากรระหว่างรัฐกับท้องถิ่นและระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วยกันเอง ให้มีคณะกรรมการขึ้นทำหน้าที่ในการแบ่งอำนาจและหน้าที่ และการจัดสรรสัดส่วนภาษีอากรดังกล่าวข้างต้น

  33. กฎหมายรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องกับการกระจายอำนาจกฎหมายรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องกับการกระจายอำนาจ หมวด 9การปกครองท้องถิ่น มาตรา 285องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องมีสภาท้องถิ่น และคณะผู้บริหารหรือผู้บริหารท้องถิ่นที่มาจากการเลือกตั้ง และมีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละ 4 ปี มาตรา 286ราษฎรผู้มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นจำนวนไม่น้อยกว่าสามในสี่ของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มาลงคะแนนเสียง มีสิทธิลงคะแนนเสียงให้สมาชิกสภาหรือผู้บริหารท้องถิ่นพ้นจากตำแหน่งได้

  34. กฎหมายรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องกับการกระจายอำนาจกฎหมายรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องกับการกระจายอำนาจ หมวด 9การปกครองท้องถิ่น มาตรา 287ราษฎรผู้มีสิทธิเลือกตั้งในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง มีสิทธิเข้าชื่อกันร้องขอต่อประธานสภาท้องถิ่นให้ออกข้อบัญญัติท้องถิ่นได้ มาตรา 288การบริหารงานบุคคลของท้องถิ่น ต้องเป็นตาม ความต้องการและความเหมาะสมของท้องถิ่น และต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการพนักงานส่วนท้องถิ่นก่อน ตามที่กฎหมายบัญญัติ

  35. กฎหมายรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องกับการกระจายอำนาจกฎหมายรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องกับการกระจายอำนาจ หมวด 9การปกครองท้องถิ่น มาตรา 289องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีหน้าที่ในการบำรุงรักษาศิลปะ วัฒนธรรมประเพณี ฯลฯ และจัดการศึกษาอบรมและ การฝึกอาชีพ ตามความต้องการของท้องถิ่น มาตรา 290องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีหน้าที่ในการจัดการ บำรุงรักษาและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในเขตของตน และสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในการพิจารณาโครงการหรือกิจกรรมที่มีผลกระทบต่อท้องถิ่นของตน

  36. หลักการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นหลักการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่น ประกอบด้วย 2 มิติ คือ ด้านการเมือง ได้แก่ การให้ประชาชนมีอิสระ(automy) ในการปกครองตนเองภายใต้ขอบเขตของกฎหมาย ด้านการบริหาร ได้แก่ ให้องค์กรปกครองท้องถิ่นมีขนาด ที่เหมาะสม คุ้มค่า ประหยัด มีประสิทธิภาพประสิทธิผล และสามารถบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลได้

  37. แนวทางการกระจายอำนาจ • กระจายอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบให้ อปท. (ไม่ใช่กระจายงาน/เงิน)จะทำให้ อปท. เกิดความรับผิดชอบต่อภารกิจที่ราชการเคยทำ แต่ต่อไปจะไม่ทำ เพราะให้ อปท.ทำ • ปรับบทบาทของส่วนราชการจากผู้ปฏิบัติการ เป็น ผู้กำกับดูแล และ ส่งเสริมให้ อปท. เป็นผู้ดำเนินการ โดยสนับสนุนด้านบุคลากร วิชาการ และเตรียมความพร้อมให้ อปท. ปรับปรุงกฎหมายและพัฒนากลไกการกระจายอำนาจ รวมถึงการสร้างระบบติดตาม ตรวจสอบ และ ประเมินผล

  38. เป้าหมายของแผนการกระจายอำนาจเป้าหมายของแผนการกระจายอำนาจ • ต้องให้มีการถ่ายโอนให้ อปท.ที่มีความพร้อมให้สามารถดำเนินการได้ภายใน ๔ ปี เว้นแต่กรณีที่ต้องการการสนับสนุนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของ อปท. ก่อน อาจมีช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านอีก ๖ ปี • ต้องกำหนดแนวทางการจัดสรรรายได้ให้ อปท. สอดคล้องภารกิจที่ถ่ายโอน ตามเป้าหมาย ร้อยละ ๓๕ ในปี ๒๕๔๙ • ต้องกำหนดแนวทาง วิธีการในการโอนถ่ายบุคลากร และเสร้างระบบบริหารงานบุคคลท้องถิ่นเพื่อรองรับการถ่ายโอน • เร่งรัด ปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวข้อง

  39. หลักการทั่วไปในการถ่ายโอนภารกิจจากรัฐสู่ อปท. • หลักการแบ่งความรับผิดชอบระหว่างอำนาจหน้าที่ของรัฐกับ อปท. และระหว่าง อปท. • ภาระที่รัฐบาลส่วนกลางยังคงรับผิดชอบ คือ ภารกิจที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมของประเทศ (งานความมั่นคง การต่างประเทศ การเงินการคลังของประเทศ การพิพากษาคดี) • อปท. มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงในภารกิจที่เกี่ยวข้องงานด้านส่งเสริมคุณภาพชีวิต การจัดบริหารสาธารณะที่เกี่ยวกับชีวิตประจำวัน • ภารกิจมอบให้ อปท. ดูผลที่เกิดว่าผู้ได้รับประโยชน์อยู่ในพื้นที่ใด

  40. หลักความสามารถขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหลักความสามารถขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น • ดูความพร้อมของ อปท. • แต่มิได้เป็นเงื่อนไขของการมอบ – ไม่มอบ เป็นเงื่อนไขในการกำหนดเงื่อนเวลาและการเพิ่มขีดความสามารถให้กับท้องถิ่น • ถ้า อปท.ยังไม่พร้อม ส่วนราชการต้องมีแผนพัฒนาความพร้อมให้ อปท.เพื่อรองรับการจัดให้ให้บริการสาธารณะได้ • ขีดความสามารถจึงไม่ใช่มูลเหตุและเงื่อนไขของการกำหนดว่าภารกิจใดจะสามารถหรือไม่สามารถถ่ายโอนให้ อปท.ได้

  41. หลักการจัดโครงสร้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหลักการจัดโครงสร้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น • จัดโครงสร้างเพื่อรองรับภารกิจการบริหารงานในอนาคต • โครงสร้างเพิ่มเท่าที่จำเป็น เพื่อไม่ให้โครงสร้างใหญ่เกินไป จนก่อปัญหาการบริหารงานซ้ำซ้อน สร้างภาระค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร • อปท. ใดมีความต้องการจัดบริการสาธารณะในเรื่องที่เป็นงานเฉพาะ ก็สามารถดำเนินการจัดโครงสร้างของตนเองได้ • โครงสร้างไม่จำเป็นต้องเหมือนกันทั้งประเทศ • ให้คำนึงถึงความต้องการหรือความจำเป็นของแต่ละพื้นที่เป็นหลัก

  42. หลักประกันของการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดบริการหลักประกันของการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดบริการ • การประหยัด • ขนาดการลงทุน คำนึงต้นทุนการให้บริการ • หากต้นทุนสูง ควรจัดทำร่วมกัน เพื่อให้ขนาดการลงทุนถูกลง • การสร้างหลักประกันในการจัดบริการสาธารณะ • มีคุณภาพมาตรฐานสูงกว่า หรือไม่น้อยกว่าหน่วยงานของส่วนกลาง หรือส่วนภูมิภาคทำ • ต้องยึดถือมาตรฐานของส่วนราชการ หรือมาตรฐานทางวิชาการในการดำเนินกิจการบริการสาธารณะที่รับถ่ายโอน

  43. ภารกิจที่ถ่ายโอน • ภารกิจที่ซ้ำซ้อน : คือภารกิจใดที่รัฐทำอยู่ และท้องถิ่นก็ทำอยู่ • ภารกิจที่รัฐไปทำในเขตท้องถิ่น และเป็นอำนาจหน้าที่ของ อปท.ต้องทำ • ภารกิจที่รัฐไปทำในเขตท้องถิ่นแล้วกระทบหลายท้องถิ่น เช่นทางหลวงชนบทที่ผ่านหลายตำบล แต่อยู่ในเขตจังหวัด

  44. รูปแบบการมอบหมายภารกิจ/ทำบริการสาธารณะรูปแบบการมอบหมายภารกิจ/ทำบริการสาธารณะ • ภารกิจที่ อปท. ดำเนินการเอง • ภารกิจที่รัฐหยุดดำเนินการ และมอบให้ อปท.ดำเนินการแทน(โดยต่างทำเอง / ร่วมกันทำในโครงการขนาดใหญ่) หรือ ซื้อบริการ หรือ ให้เอกชนทำ • บทบาท อปท.จะรับผิดชอบงาน/ภารกิจทั้งหมด • ส่วนราชการเป็นผู้กำกับดูแล สนับสนุนวิชาการ เตรียมความพร้อม • บุคลาการอาจมีบางส่วนถ่ายโอนให้ อปท.โดยตรง หรือ โอนไปรวมที่ท้องถิ่นขนาดใหญ่ ท้องถิ่นขนาดเล็กมาใช้ประโยชน์ร่วมกันได้

  45. ภารกิจที่ อปท.ดำเนินการร่วมกับรัฐ • ส่วนราชการยังดำเนินการ แต่มอบงานบางส่วนให้ อปท.ทำ โดยแบ่งความรับผิดชอบกันชัดเจน • บทบาท อปท.จะดำเนินงานบางส่วน และ ส่วนราชการกำกับบางส่วนรวมทั้งดำเนินการเองบางส่วน เช่น การดูแลแหล่งน้ำในเขตจังหวัด ให้ อปท.ดูแลอำนาจอนุญาตสิ่งล่วงล้ำลำน้ำ ดูแลรักษาตลิ่ง น้ำเสีย ท่าเทียบเรือขนาดเล็ก ส่วนราชการมีอำนาจหน้าที่ขุดลอกแม่น้ำขนาดใหญ่ • มีบุคลากรบางส่วนถ่ายโอนไป อปท. บางส่วน อปท.อาจกำหนดโครงสร้าง กับ อัตราบุคลากรเอง

  46. ภารกิจที่รัฐยังดำเนินการ และ อปท. ก็ดำเนินการได้ • ภารกิจที่แผนปฏิบัติการฯไม่ได้กำหนดให้มีการถ่ายโอน เช่นงานของรัฐวิสาหกิจ หรือ องค์การมหาชน เช่น ประปา ไฟฟ้า • งานเหล่านี้ ถ้า อปท. ต้องการทำก็สามารถทำเรื่องขอรับโอนได้ ถ้าเรื่องนั้นเป็นอำนาจหน้าที่ของ อปท. ตามที่กฎหมายบัญญัติ

  47. ประเภทกิจกรรม กิจกรรมที่จะถ่ายโอนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่รับโอนจะระบุกิจกรรมเป็น 2 ประเภท คือ * ประเภทที่ 1 “เลือกทำโดยอิสระ” * ประเภทที่ 2 “หน้าที่ที่ต้องทำ”

  48. ภารกิจที่ถ่ายโอนจะแบ่งเป็น 2 ประเภท ประการที่ 1กรณี“เลือกทำโดยอิสระ”หมายถึงอปท. มีอิสระในการที่จะเลือกทำกิจกรรมใด ตามที่ อปท. เห็นว่าจำเป็น และการถ่ายโอนหลายเรื่องไม่ควรบังคับให้ อปท. ทำกิจกรรมตามแผนงาน งบประมาณ ที่ส่วนราชการตั้งไว้เดิม

  49. ประเภทที่ 2กรณี“หน้าที่ที่ต้องทำ”หมายถึง อปท. ต้องทำในงานที่เกี่ยวข้องกับชีวิต ประจำวันของประชาชนหรือความจำเป็น ขั้นพื้นฐานและงานที่เป็นเรื่องของการมอบอำนาจและการใช้อำนาจ

  50. เป้าหมายของแผนปฏิบัติการเป้าหมายของแผนปฏิบัติการ 1. ถ่ายโอนภารกิจของส่วนราชการ จำนวน 6 ด้านรวม 245 ภารกิจให้แก่ อปท. จำนวน 7,950 แห่ง 2. ให้ อปท. มีรายได้เพิ่มขึ้น คิดเป็นสัดส่วนต่อรายได้ของรัฐบาล ไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ใน พ.ศ. 2544 และมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนถึงปี 2549 คิดเป็นสัดส่วนต่อรายได้ของรัฐบาลไม่น้อยกว่าร้อยละ 35

More Related