400 likes | 498 Views
การเลือกปัญหาและการกำหนดปัญหาวิจัย. อัญชลี ธรรมะวิธีกุล Panchalee blog / 2 เมษายน 2556. จากทฤษฎีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่สนใจจะทำการศึกษา ตัวอย่าง - การจัดการความรู้ (Knowledge Management) CIPP PDCA. EAP : (Experiential Activities Planner)
E N D
การเลือกปัญหาและการกำหนดปัญหาวิจัย อัญชลี ธรรมะวิธีกุล Panchalee blog /2 เมษายน 2556
จากทฤษฎีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่สนใจจะทำการศึกษา • ตัวอย่าง - การจัดการความรู้ (Knowledge Management) • CIPP • PDCA
EAP :(Experiential Activities Planner) คือการออกแบบประสบการณ์ 6 ขั้นตอน • อุ่นเครื่อง • แนะนำปัญหา/โจทย์ • ไตร่ตรองแก้เฉพาะตน • ระดมสมองทางออกโดยกลุ่ม • สื่อสารทางออก • ถอดรหัสปรับใช้
การได้มาซึ่งปัญหาในการวิจัย • จากประสบการณ์ของผู้วิจัยซึ่งอาจจะเป็นปัญหาที่ตนเองประสบในการทำงาน หรือจากการสังเกตสภาพของสังคม สิ่งแวดล้อม แล้วนำมาสร้างเป็นหัวข้อปัญหาวิจัย • จากการอ่านหนังสือหรือวารสารเกี่ยวกับการวิจัย • จากข้อเสนอแนะของรายงานวิจัย เช่น วิทยานิพนธ์ • จากบทคัดย่อวิทยานิพนธ์หรือบทคัดย่องานวิจัย • จากผู้รู้หรือผู้เชี่ยวชาญ ด้านวิจัย
การวิเคราะห์ปัญหา • ปัญหาจากการทำงาน เมื่อนำมาศึกษา ลักษณะของปัญหาจะเป็นปัญหาที่กว้างๆ และมีลักษณะคลุมเครือดังนั้นจะตัองรู้จักวิธีทำปัญหาให้ชัดเจน • ในขั้นแรกจะมีลักษณะเป็นเพียงประเด็นวิจัย(Research Issue) • จะต้องทำประเด็นให้แคบ และชัดเจนยิ่งขึ้น สำหรับที่จะเป็นหัวข้อปัญหาที่จะทำวิจัย(Research Problem)
วิธีการวิเคราะห์ปัญหาการวิจัยวิธีการวิเคราะห์ปัญหาการวิจัย 1. การเขียนรายละเอียดเกี่ยวกับความจริง(Facts) 2. การเขียนคำอธิบาย(Explanations) เกี่ยวกับปัญหานั้น 3. วิเคราะห์หาความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้อง - ระหว่างความจริงและคำอธิบาย - ระหว่างคำอธิบายและความจริง
ตัวอย่างการวิเคราะห์ปัญหาจากการทำงาน • การจัดการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ระดับประถมศึกษา ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ให้กับกลุ่มเป้าหมายบนพื้นที่สูง อำเภอแม่ทา จังหวัดลำพูน พบว่ามีผู้สำเร็จการศึกษา เพียงร้อยละ 10 ของจำนวนนักศึกษาที่เรียน • จากปัญหาดังกล่าว ควรจะทำการศึกษาวิจัยเรื่องใด เพื่อที่จะนำข้อค้นพบมาช่วยในการแก้ปัญหา
การวิเคราะห์ความจริงเกี่ยวกับปัญหา(Facts)การวิเคราะห์ความจริงเกี่ยวกับปัญหา(Facts) • อัตราที่ผู้เรียนจบระดับประถมศึกษาต่ำ 1.ปัญหาจากตัวผู้เรียน - ทักษะความรู้ภาษาไทยพื้นฐาน ฟัง พูด อ่าน เขียน ไม่ดี - ผู้เรียนต้องประกอบอาชีพ มาเรียนไม่ต่อเนื่อง 2.ปัญหาการจัดการเรียนรู้ของครู - ไม่ประเมินความรู้พื้นฐานผู้เรียน - ครูไม่รู้จักผู้เรียนเป็นรายบุคคล - ไม่ได้จัดกิจกรรมเพื่อปรับพื้นฐานความรู้ให้กับผู้เรียน - การจัดชั้นเรียน จัดให้ผู้เรียนรวมกันทั้งเด็กและผู้ใหญ่
3. ปัญหาการบริหารจัดการของสถานศึกษา - ใช้หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 วิชาบังคับ 36 หน่วยกิต วิชาเลือก 12 หน่วยกิต รวม 48 หน่วยกิต - ไม่ได้พัฒนารายวิชาเลือกให้เหมาะสมกับสภาพปัญหาและความต้องการของผู้เรียนและชุมชน - จัดให้ลงทะเบียนเรียนตลอดหลักสูตร 4 ภาคเรียน
- ไม่ได้จัดทำหลักสูตรสถานศึกษา - ไม่ได้จัดทำแผนจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ - สื่อ ใช้แบบเรียนจากสำนักพิมพ์ - ไม่ได้จัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
4. ปัญหาของประชาชน - ประชาชนไม่ตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษา - ประชาชนยากจน - ประชาชนไม่มีที่ทำกิน - ประชาชนย้ายถิ่นที่อยู่ตลอดเวลา เพื่อหาสถานที่เพาะปลูก - ประชาชนสุขภาพอนามัยไม่ดี - ประชาชนนับถือผี
5. ปัญหาของชุมชน - อยู่ห่างไกลความเจริญ - การคมนาคมไม่สะดวก - ทรัพยากรธรรมชาติเสื่อมโทรม - ขาดแหล่งน้ำ - ขาดแหล่งเรียนรู้ในชุมชน
คำอธิบายเกี่ยวกับสาเหตุของปัญหา (Explanations) 1. ปัญหาการบริหารจัดการ - หลักสูตรไม่สอดคล้องกับสภาพปัญหาของผู้เรียนและชุมชน คือเนื้อสาระไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของผู้เรียน ทำให้ไม่ สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้ - การจัดให้ลงทะเบียน 4 ภาคเรียน ทำให้ผู้เรียนที่มีพื้นฐานภาษาไทยไม่ดี ความสามารถในการเรียนช้า และมีภาระในการประกอบอาชีพ จึงไม่ประสบความสำเร็จในการเรียน
2. ปัญหาการจัดการเรียนรู้ - ขาดการวัดความรู้พื้นฐานผู้เรียน ทำให้ไม่สามารถจัดกิจกรรมเพื่อปรับพื้นฐานให้ผู้เรียนก่อนเรียน - การจัดการเรียนรู้ จัดกิจกรรมการเรียนรู้ไม่หลากหลายไม่สอดคล้องกับเนื้อหาสาระและผู้เรียน คือจัดรูปแบบชั้นเรียน และสอนเป็นรายวิชา โดยใช้ตำราเรียน
ความสัมพันธ์ระหว่างความจริงกับคำอธิบาย และความสัมพันธ์ระหว่างคำอธิบายกับความจริง • ขั้นที่ 1เขียนหัวข้อเกี่ยวกับความจริง(Facts) • ขั้นที่ 2 เขียนคำอธิบาย(Explanations)ว่าความจริงนั้นทำให้เกิดปัญหาอะไร • ขั้นที่ 3ไปพิจารณาถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเด็นที่เป็นความจริงกับความจริง ประเด็นที่เป็นคำอธิบายกับคำอธิบาย และคำอธิบายกับความจริง วิเคราะห์ว่ามีประเด็นอะไรบ้างไม่เกี่ยวข้องกับปัญหา แล้วตัดข้อเหล่านั้นออก เหลือเพียงประเด็นที่จะต้องนำมาพิจารณา • ขั้นที่4 มีประเด็นอะไรอีกบ้างที่คาดว่ามีความสัมพันธ์กับปัญหา ก็สามารถนำมาพิจารณาในการกำหนดปัญหาวิจัยได้
กิจกรรมที่ 1 • เขียนบรรยายปัญหาในการจัดกิจกรรม กศน. 1ปัญหา
กิจกรรมที่ 2 • เขียนความจริงเกี่ยวกับปัญหา(Facts)
กิจกรรมที่ 3 • เขียนคำอธิบายเกี่ยวกับสาเหตุปัญหา(Explanations)
การพิจารณาความสำคัญ ของหัวข้อเรื่องที่ควรทำวิจัย • ความใหม่(Novelty) - เป็นเรื่องที่ยังไม่มีใครทำมาก่อน - เป็นการบุกเบิกหรือริเริ่มศึกษาเพื่อให้ได้องค์ความรู้ใหม่ ตัวอย่าง : การศึกษาสภาพ ปัญหา และแนวทางในการดำเนินการจัดการศึกษาตามโครงการศูนย์ฝึกอาชีพชุมชน
2. ความน่าสนใจ (Interesting) • เป็นเรื่องที่ความรู้เกี่ยวกับเรื่องนั้นยังมีอยู่ไม่มากนัก • เป็นปัญหาส่วนใหญ่ที่คนสนใจในปัจจุบัน แต่ยังไม่มีคำตอบ • ตัวอย่าง : - การศึกษาปัจจัยแห่งความสำเร็จในการจัดบ้านหนังสืออัจฉริยะให้เป็นห้องสมุดประจำหมู่บ้านเพื่อประชาชน - การศึกษารูปแบบการจัดการศึกษาเพื่อยกระดับการศึกษาระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 ภายใน 8 เดือนอย่างมีคุณภาพ
3. ความสำคัญ (Inportance) - ขัอค้นพบที่ได้จากการวิจัยมีประโยชน์ต่อการแก้ปัญหาที่มีอยู่ในปัจจุบัน - เป็นปัญหาที่ควรจะได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน - ตัวอย่าง : การศึกษารูปแบบการพัฒนาระบบประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาให้ได้มาตรฐาน เพื่อพร้อมรับการประเมินภายนอกรอบสาม
4. ความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ (Feasibility or amendability) • สามารถทำได้ตามหัวข้อวิจัยที่กำหนดหรือไม่ • อุปสรรคต่าง ๆที่อาจเกิดขึ้นจะมีแนวทางแก้ไขได้หรือไม่ • เมื่อทำวิจัยเสร็จแล้วจะได้คำตอบตรงตามปัญหาวิจัยหรือไม่ • ตัวอย่าง :
5. การมีข้อมูลเพียงพอ (Availabilty of cooperation) - ข้อมูลที่รวบรวมได้เพียงพอต่อการนำมาวิเคราะห์ ในการทดสอบสมมุติฐาน หรือเพื่อหาคำตอบตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้
6. ความร่วมมือที่จะได้รับ (Availability of Cooperation) - ความร่วมมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล - ความร่วมมือในการวิเคราะห์ข้อมูล - การสนับสนุนงบประมาณ
7. การแนะนำที่จะได้รับ (Availability of guidance) • ผู้วิจัยมีแหล่งข้อมูลหรือผู้เชี่ยวชาญที่จะให้คำแนะนำหรือขอคำปรึกษาหรือไม่ • เช่น การพัฒนาเอกสารประกอบการเรียนวิชาภาษาจีนเพื่อการสื่อสาร • โดยเฉพาะในงานวิจัยที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน • หรือความรู้เดิมที่อาจหาได้ยาก
8. ความเพียงพอของสิ่งจำเป็นอื่น ๆ (Availability of other facilities) • เป็นการมองอย่างกว้าง ๆ • เป็นการมองตลอดทุกขั้นตอนการวิจัย ว่าในแต่ละขั้นตอนมีสิ่งจำเป็นอะไรบ้าง • ความเพียงพอของปัจจัยพื้นฐานในการทำวิจัย เช่นงบประมาณ เวลา
9. การนำไปใช้ได้ทันที (Immediateapplication) • พิจารณาความสำคัญในด้านประโยชน์ในปัจจุบัน • เช่นการนำผลมาใช้ในการแก้ปัญหาที่เป็นอยู่ปัจจุบัน • ตัวอย่าง : การวิจัยปฏิบัติการพัฒนากระบวนการเรียนรู้การศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ระดับประถมศึกษา สำหรับกลุ่มเป้าหมายเด็กเร่ร่อน
10. เป้าหมายของการวิจัยเหมาะสมกับสภาพปัญหาในปัจจุบัน (Aim of research) • การวิจัยตรงประเด็นกับปัญหาที่มีอยู่หรือไม่ • วิเคราะห์ว่าปัญหาคืออะไร และเป้าหมายของการวิจัยอยู่ตรงไหน • ผลการวิจัยหรือข้อค้นพบสามารถแก้ปัญหานั้นได้หรือไม่
11. ระดับของการวิจัย (Level of research) • งานวิจัยมีหลายระดับ • ควรพิจารณาความยากง่ายและความเหมาะสมกับระดับงานวิจัย • ตัวอย่าง : การศึกษาจำนวนผู้หญิงและผู้ชายที่เข้ารับการฝึกอบรมอาชีพตามหลักสูตร OTOP Mini MBA อาจจะดูง่ายไปเมื่อนำมาเขียนโครงการวิจัย
12. เป็นสิ่งที่มาจากประสบการณ์ และมีลักษณะสร้างสรรค์(Experience and creativity) • เช่นการวิเคราะห์ความจริง และการเขียนคำอธิบายซึ่งเป็นการอธิบายสาเหตุของปัญหาที่มาจากสภาพจริง • การวิจัยที่นำนวัตกรรมซึ่งมีลักษณะสร้างสรรค์มาใช้ในการแก้ปัญหาก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
13. มีความมุ่งมั่นและตั้งใจจริงที่จะทำ (Courage andconfidence) • ขึ้นอยู่กับตัวผู้วิจัย • การทำวิจัยทุกเรื่องย่อมพบปัญหาและอุปสรรค • ผู้วิจัยจะต้องมีความมุ่งมั่นและตั้งใจ
สิ่งควรพิจารณาในด้านส่วนตัว 1. หัวข้อปัญหาอยู่ในแนวเดียวกับวัตถุประสงค์ของผู้วิจัย 2. หัวข้อวิจัยตรงกับความสนใจของผู้วิจัย 3. ความรู้ความสามารถหรือความชำนาญในเนื้อหาของเรื่องที่จะทำวิจัยของผู้วิจัย 4. เครื่องมือที่จะใช้ในการวิจัย 5. เวลาและงบประมาณ 6. ความเพียงพอของข้อมูล
7. การสนับสนุนจากหน่วยงานที่สังกัด 8. การสนับสนุนจากผู้บริหาร
การพิจารณาด้านสังคม 1. คำตอบหรือข้อค้นพบที่ได้ จะช่วยเสริมสร้างความรู้ในสาขาวิชาการหรือไม่ 2. ข้อค้นพบเป็นประโยชน์ต่อบุคคลหรือหน่วยงานหรือไม่ 3. สิ่งค้นพบนำไปใช้ได้อย่างกว้างขวางหรือไม่ 4. งานวิจัยที่ทำนี้ซ้ำซ้อนกับงานวิจัยที่ทำไว้แล้วหรือไม่ 5. ข้อค้นพบเป็นประโยชน์ต่องานวิจัยเรื่องอื่นหรือไม่ 6. หัวข้อวิจัยกว้างเกินไปหรือแคบเกินไปหรือไม่
การตั้งชื่อหัวข้อเรื่องวิจัย • ชื่อหัวข้อเรื่องวิจัยที่จะสื่อความหมายได้ดี ควรจะมีสิ่งสำคัญที่บอกไว้ในชื่อเรื่อง สามประการด้วยกัน คือ • 1. ตัวแปรที่ศึกษา • 2. ประชากรที่ศึกษา • 3. วิธีการศึกษา
สิ่งที่ควรนำมาพิจารณาในการตั้งชื่อวิจัย 1. หัวข้อเรื่องควรมีความเฉพาะเจาะจงในเรื่องที่ศึกษา ไม่ควรยาวเกินไปจนดูเยิ่นเย้อ ควรกะทัดรัด แต่สื่อความหมาย เช่น “ปัญหาการบริหารการศึกษาของสำนักงาน กศน. จังหวัดทุกแห่งในเขตจังหวัดภาคเหนือ” 2. หัวข้อไม่ควรกว้างเกินไป จนไม่รู้ว่าอะไรคือเรื่องที่ศึกษา เช่น “ปํญหาการจัดบ้านหนังสืออัฉริยะ”
ตัวอย่างการตั้งชื่อเรื่องที่จะทำการวิจัย • 1. แนวทางการพัฒนาคุณภาพการปฏิบัติงานของครู กศน. ตำบล ในเขตภูมิภาคตะวันตก วัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาสภาพปัญหาการปฏิบัติงาน ความต้องการที่คาดหวัง และปัญหาในการพัฒนาคุณภาพการปฏิบัติงานของครู กศน.ตำบล 2. เพื่อเสนอแนวทางการพัฒนาคุณภาพการปฏิบัติงาน ของครู กศน. ตำบล ในเขตภูมิภาคตะวันตก
การดำเนินกาวิจัย มี 2 ขั้นตอน ขั้นที่ 1 ศึกษาสภาพการปฏิบัติงาน ความต้องการที่คาดหวังและปัญหา ขั้นที่ 2 เพื่อเสนอแนวทางการพัฒนาคุณภาพการปฏิบัติงานของ ครู กศน. ตำบล กลุ่มตัวอย่าง ครู กศน. ตำบล จำนวน 233 คน
การเก็บรวบรวมข้อมูล 1. แบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ในด้านสภาพ และความต้องการที่คาดหวังการปฏิบัติงาน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2. การจัดประชุมสนทนา ที่ใช้กลุ่มตัวอย่างที่มาจากการเลือกเฉพาะเจาะจง จำนวน 12 คน การวิเคราะห์ข้อมูล ด้วยเทคนิคการวิเคราะห์เชิงพรรณนา และการยืนยันจากผู้เชี่ยวชาญ
กิจกรรมที่ 4 กำหนดชื่องานวิจัย