1 / 38

การประชาสัมพันธ์ให้การเปลี่ยนผ่านไปสู่ทีวีในระบบดิจิตอลเป็นไปอย่างราบรื่น

การประชาสัมพันธ์ให้การเปลี่ยนผ่านไปสู่ทีวีในระบบดิจิตอลเป็นไปอย่างราบรื่น. การประชาสัมพันธ์การเปลี่ยนผ่านสู่ทีวีดิจิตอล.

fagan
Download Presentation

การประชาสัมพันธ์ให้การเปลี่ยนผ่านไปสู่ทีวีในระบบดิจิตอลเป็นไปอย่างราบรื่น

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. การประชาสัมพันธ์ให้การเปลี่ยนผ่านไปสู่ทีวีในระบบดิจิตอลเป็นไปอย่างราบรื่นการประชาสัมพันธ์ให้การเปลี่ยนผ่านไปสู่ทีวีในระบบดิจิตอลเป็นไปอย่างราบรื่น

  2. การประชาสัมพันธ์การเปลี่ยนผ่านสู่ทีวีดิจิตอลการประชาสัมพันธ์การเปลี่ยนผ่านสู่ทีวีดิจิตอล • หนึ่งในตัวชี้วัดหนึ่งในแผนแม่บทการเปลี่ยนผ่านไปสู่ทีวีระบบดิจิตอลคือ “มีแผนสื่อสารประชาสัมพันธ์และประสานงาน เพื่อให้ข้อมูลข่าวสารประชาสัมพันธ์ สร้างความเข้าใจกับภาคส่วนทีเกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง” • แผนประชาสัมพันธ์มีความสำคัญต่อความสำเร็จในการเปลี่ยนผ่านไปสู่ทีวีดิจิตอลในต่างประเทศ เพราะการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมยากยิ่งกว่าการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี • ประชาชนรับรู้ถึงแผนการเปลี่ยนผ่านช้าเท่าไหร่ ผู้ประกอบการรายใหม่ก็อยู่รอดได้ยากขึ้นเท่านั้น

  3. การประชาสัมพันธ์การเปลี่ยนผ่านสู่ทีวีดิจิตอลการประชาสัมพันธ์การเปลี่ยนผ่านสู่ทีวีดิจิตอล • บ้านสมเด็จโพลล์>> กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 43.4 ไม่ทราบว่าทีวีดิจิตอลมีจำนวนให้รับชมถึง 48 ช่อง ร้อยละ 38.2 ไม่ทราบว่าเครื่องโทรทัศน์ในปัจจุบันไม่สามารถรับสัญญาณในระบบดิจิตอลได้ และร้อยละ 41.8 ไม่ทราบว่าต้องมีกล่องแปลงสัญญาทีวีดิจิตอลเพื่อรับชมสัญญาณในระบบดิจิตอล • อีสานโพลล์ >> ร้อยละ 56.8 ของกลุ่มตัวอย่างไม่รู้ว่าจะสามารถรับชมฟรีทีวีจำนวนช่องเพิ่มมากขึ้น และร้อยละ 82.4 ไม่รู้วิธีการรับชมทีวีดิจิตอล

  4. การประชาสัมพันธ์การเปลี่ยนผ่านสู่ทีวีดิจิตอลการประชาสัมพันธ์การเปลี่ยนผ่านสู่ทีวีดิจิตอล • กสทช. ไม่มีหรือไม่เคยแถลงแผนประชาสัมพันธ์การเปลี่ยนผ่านสู่ทีวีดิจิตอลที่ชัดเจนและมีขั้นตอนเชิงรูปธรรม รวมถึงแผนประชาสัมพันธ์ไม่สอดรับกับสถานการณ์ ซึ่งเกิดจากการตัดสินใจอันล่าช้า • ประชาชนไม่ทราบถึงวิธีการรับชมทีวีดิจิตอล • ประชาชนบางส่วนเข้าใจว่าซื้อกล่องแปลงสัญญาณแล้วสามารถรับชมได้ทันที แต่ปรากฏว่าโครงข่ายยังขยายสัญญาณไปไม่ถึง • ประชาชนซื้อทีวีใหม่แล้วเข้าใจผิดคิดว่ารับสัญญาณทีวีดิจิตอลได้ • ประชาชนยังไม่ทราบถึงเวลา จำนวนเงิน วิธีการ และพื้นที่ในการแจกคูปองเท่าไหร่

  5. การประชาสัมพันธ์การเปลี่ยนผ่านสู่ทีวีดิจิตอลการประชาสัมพันธ์การเปลี่ยนผ่านสู่ทีวีดิจิตอล • ข้อเสนอแนะ • เร่งทำแผนประชาสัมพันธ์อย่างเป็นรูปธรรม สอดคล้องกับสถานการณ์ วางแผนการใช้งบประชาสัมพันธ์ในสื่อต่างๆ และสำรวจสถานะความรู้ความเข้าใจของประชาชนอย่างสม่ำเสมอ • ทำประชาสัมพันธ์เพื่อให้ประชาชนเข้าใจถึงแผนการกระจายสัญญาณของผู้ให้บริการโครงข่าย (MUX) ซึ่งจะมีขึ้นไม่พร้อมกันทั่วประเทศ • เร่งประชาสัมพันธ์ในเรื่องแผนการแจกคูปองให้สอดคล้องกับแผนการกระจายสัญญาณของผู้ให้บริการโครงข่าย รวมถึงให้ความชัดเจนเกี่ยวกับการแจกคูปอง • เร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบถึงแผนการเปลี่ยนผ่านโดยรวม หรือ roadmap ทั้งหมด ซึ่ง กสทช. ควรเร่งทำแผนที่ชัดเจนถึงช่วงเวลาในการยกเลิกการถ่ายทอดสัญญาณอะนาล็อก(analogue switch-off)

  6. การกำกับดูแลเนื้อหา

  7. การกำกับดูแลเนื้อหา • โจทย์สำคัญ • กสทช. จะกำกับดูแลเนื้อหาอย่างไรเพื่อให้ทีวีดิจิตอลประเภทธุรกิจในหมวดหมู่ต่างๆ (เด็ก ข่าวสารสาระ และทั่วไป) จัดผังและถ่ายทอดรายการที่สอดคล้องตามวัตถุประสงค์ของแต่ละหมวดหมู่อย่างแท้จริง • กสทช.จะกำกับดูแลเนื้อหาอย่างไรเพื่อให้ทีวีดิจิตอลต่างประเภทกัน (สาธารณะ ธุรกิจ และชุมชน) จัดผังรายการและและถ่ายทอดรายการที่สอดคล้องตามวัตถุประสงค์ของแต่ละประเภทอย่างแท้จริง • กสทช.จะกำกับดูแลเนื้อหาและจัดการกับเรื่องร้องเรียนอย่างไรในยุคทีวีดิจิตอลที่มีการแตกตัวของช่องรายการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

  8. ประเภทใบอนุญาต การแข่งขันของทีวีประเภทต่างๆ

  9. การกำกับดูแลเนื้อหาตามหมวดหมู่ทีวีธุรกิจการกำกับดูแลเนื้อหาตามหมวดหมู่ทีวีธุรกิจ • หมวดหมู่และราคาตั้งต้น: เด็ก 140 ล้านบาท ข่าวสารสาระ 220 ล้านบาท ทั่วไปคมชัดปกติ 380 ล้านบาท และทั่วไปคมชัดสูง 1,510 ล้านบาท • ราคาตั้งต้นถูกกว่าเพราะต้องการสนับสนุนรายการที่ปล่อยให้ตลาดทำงานอาจมีการผลิตน้อยเกินไป • หาก กสทช. ไม่สามารถกำกับดูแลเนื้อหาให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และสัดส่วน ผลคือ • ประชาชนเสียโอกาสในการรับชมรายการที่กลไกตลาดอาจผลิตน้อยเกินไป • ประเทศชาติเสียโอกาสได้รับค่าตอบแทนการใช้คลื่นสาธารณะที่สมควร • ไม่เป็นธรรมกับเอกชนที่เสียเงินมากกว่าประมูลในหมวดหมู่ทั่วไป

  10. การกำกับดูแลเนื้อหาตามประเภทการกำกับดูแลเนื้อหาตามประเภท

  11. การกำกับดูแลเนื้อหาตามประเภทการกำกับดูแลเนื้อหาตามประเภท • การกำกับดูแลเนื้อหาให้ตรงตามวัตถุประสงค์ของแต่ละประเภทซึ่งมีพันธกิจสาธารณะแตกต่างกัน “มีความสำคัญต่อการแข่งขันที่เป็นธรรมและการปกป้องผลประโยชน์สาธารณะ” • กรณีช่อง 5 ในช่วง 5 ปี แรก กสทช. ให้ “สิทธิ” ในการออกอากาศคู่ขนาน (simulcast)โดยอ้างว่ายังไม่ได้เป็นการให้ใบอนุญาตเพื่อประกอบกิจการสาธารณะ ดังนั้น ช่อง 5 จึงสามารถหาโฆษณาได้ภายใต้เงื่อนไขเดียวกับทีวีธุรกิจ และไม่จำเป็นต้องผลิตเนื้อหาเพื่อประโยชน์สาธารณะ

  12. สัดส่วนรายการข่าวสาร-สาระประโยชน์สัดส่วนรายการข่าวสาร-สาระประโยชน์ % สัดส่วนขั้นต่ำของทีวีสาธารณะ ตามกฎหมาย สัดส่วนขั้นต่ำใหม่ของทีวีข่าว ที่มา: Media Monitor

  13. การกำกับดูแลเนื้อหาตามประเภทการกำกับดูแลเนื้อหาตามประเภท • กฎหมายเปิดช่องให้ทีวีบริการสาธารณะประเภท 2 หาโฆษณาได้ทั่วไป เพียงแต่ระบุไว้อย่างไม่ชัดเจนว่าให้หารายได้ “เท่าที่พอเพียงต่อการประกอบกิจการ” • กสทช. กำหนดให้สามารถหารายได้จากโฆษณาได้ไม่เกินชั่วโมงละ 10 นาที หรือเฉลี่ยทั้งวันไม่เกิน 8 นาทีต่อชั่วโมง • หาก กสทช. ไม่สามารถตรวจสอบให้ทีวีบริการสาธารณะประเภท 2 เผยแพร่เนื้อหาที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะและตรงตามวัตถุประสงค์เฉพาะอย่างแท้จริง ก็จะถือเป็นการสร้างสนามแข่งขันที่ไม่เท่าเทียมระหว่างทีวีธุรกิจและทีวี “ประกอบธุรกิจภายใต้ชื่อของทีวีสาธารณะ”

  14. การกำกับดูแลเนื้อหาตามประเภทการกำกับดูแลเนื้อหาตามประเภท

  15. การกำกับดูแลเนื้อหาในยุคดิจิตอลที่สื่อแตกตัวมากมายการกำกับดูแลเนื้อหาในยุคดิจิตอลที่สื่อแตกตัวมากมาย • สื่อโทรทัศน์มีจำนวนเพิ่มขึ้นทบทวีคูณ อย่างน้อยในอนาคตก็จะมีเพิ่ม 48 ช่อง • กรณีดาวเทียมและเคเบิลที่มีจำนวนหลายร้อยช่อง กสทช. ยังไม่สามารถจัดการเนื้อหาที่สุ่มเสี่ยงผิดกฎหมายได้ • การตรวจสอบเนื้อหาให้เป็นไปตามสัดส่วนและวัตถุประสงค์ที่ระบุไว้ในกฎหมายหรือประกาศที่เกี่ยวข้อง กสทช. อาจเห็นควรจัดตั้งกลไกตรวจสอบเนื้อหาเชิงรุกซึ่งในปัจจุบันยังไม่มี เช่น การสุ่มตรวจรายการด้วยตนเอง หรือร่วมมือกับองค์กรวิชาชีพ • กลไกรับร้องเรียนของ กสทช. ปัจจุบันมีลักษณะ “การกำกับดูแลโดยรัฐ” ค่อนข้างมาก ซึ่งยากต่อการจัดการเนื้อหาที่เพิ่มทวีขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้นจึงควรพิจารณาถึงกลไกการกำกับดูแลกันเองและการกำกับดูแลร่วม

  16. ข้อเสนอการกำกับดูแลเนื้อหาข้อเสนอการกำกับดูแลเนื้อหา • ออกหลักเกณฑ์ที่ให้คำนิยามที่ชัดเจนถึงประเภทรายการ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการตรวจสอบ • จัดตั้งกลไกในการตรวจสอบเนื้อหาเชิงรุก • ออกหลักเกณฑ์ประกวดคุณสมบัติที่ใช้ในการคัดเลือกผู้ได้ใบอนุญาตทีวีบริการสาธารณะโดยคำนึงถึงพันธกิจสาธารณะ • กำหนดขอบเขตการหารายได้ของทีวีสาธารณะประเภทสองให้ชัดเจน • เร่งออกประกาศที่ใช้ในการกำกับดูแลเนื้อหาโฆษณาที่เกี่ยวข้อง(โฆษณารายการเด็ก โฆษณาแฝงและโฆษณาทางการเมือง ฯลฯ) • เร่งส่งเสริมกลไกการกำกับดูแลกันเองผ่านเครื่องมือการกำกับดูแลของรัฐ (การกำกับดูแลร่วม)

  17. การกำกับดูแลการสำรวจความนิยมในการรับชมโทรทัศน์การกำกับดูแลการสำรวจความนิยมในการรับชมโทรทัศน์

  18. การกำกับดูแลการวัดเรตติ้งการกำกับดูแลการวัดเรตติ้ง • สมาคมมีเดียเอเยนซี่และธุรกิจสื่อแห่งประเทศไทยระบุว่า ปี 2557 ทีวีระบบอะนาล็อกยังมีอัตราเติบโตราว 2% แม้จะมีการเริ่มออกอากาศทีวีดิจิตอล และคาดว่าจะมีการโยกงบมาสู่ทีวีดิจิตอลราว 4,000 ล้านบาท • โคคาโคลาให้สัมภาษณ์ว่า จะรอดูผลตอบรับก่อนแล้วจึงค่อยตัดสินใจ โดยดูจากการวัดเรตติ้ง • CIMB ประมาณการว่า กว่า DTTV จะแย่งส่วนแบ่งโฆษณาจากทีวีอะนาล็อกได้ต้องใช้เวลาอย่างน้อยอีก 3-4 ปี

  19. รายได้จากโฆษณา รายได้โฆษณา (ล้านบาท) ที่มา: CIMB

  20. การกำกับดูแลการวัดเรตติ้งการกำกับดูแลการวัดเรตติ้ง • ผู้ชนะประมูลดูกังวลกับการวัดเรตติ้ง เช่น อากู๋บอกว่า “ยังไม่มีการวัดเรตติ้งที่แน่นอน ทำให้เป็นห่วงว่าจะหารายได้อย่างไร” หรือ เฮียฮ้อ กังวลกับการวัดเรตติ้งและสนับสนุนให้มีหน่วยงานกลางเข้ามาดูแลด้านเรตติ้งแทนนีลเส็นเพื่อให้เกิดความเหมาะสมและเป็นกลาง • ฟรีทีวีถือเป็น “ตลาดสองทาง” (two-sided market) คือไม่ได้ขายบริการเนื้อหาให้กับผู้รับชมโดยตรง แต่เน้นขายพื้นที่โฆษณาผ่านการรับชมของผู้ชมให้กับบริษัทโฆษณาหรือเจ้าของสินค้าบริการอีกทอดหนึ่ง ดังนั้น เรตติ้งที่ใช้ในการตัดสินใจซื้อพื้นที่โฆษณาจึงสำคัญต่อความอยู่รอดของผู้ประกอบการฟรีทีวี

  21. ผลกระทบจากการวัดเรตติ้งที่ไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นธรรมผลกระทบจากการวัดเรตติ้งที่ไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นธรรม • ผู้ซื้อโฆษณาซึ่งอาจซื้อสื่อที่ไม่ได้รับความนิยมจริงหรือไม่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายของสินค้าและบริการ • สถานีโทรทัศน์และผู้ผลิตรายการ ซึ่งอาจทุ่มงบประมาณมหาศาลในการผลิตรายการดีๆ แต่ไม่สามารถอยู่รอดได้ทางธุรกิจ เนื่องจากผลการวัดเรตติ้งคลาดเคลื่อน หรือไม่ครอบคลุมถึงช่องทางใหม่ๆ • ประชาชนทั้งในฐานะผู้บริโภคและพลเมือง ซึ่งอาจเสียโอกาสจากการรับชมรายการที่ตนชื่นชอบไปหากรายการไม่มีโฆษณาเข้า เนื่องจากความถูกต้องของเรตติ้งนั้นมีความสัมพันธ์อย่างมากกับทรัพยากรที่สถานีหรือผู้ผลิตรายการทุ่มไปกับการผลิตตัวเนื้อหารายการ รวมถึงอาจเสียโอกาสในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่หลากหลายจากผู้ผลิตรายใหม่

  22. ปัญหาการวัดเรตติ้งของนีลเส็น (ผูกขาดตั้งแต่ปี 2540) • กลุ่มตัวอย่างมีขนาดเล็กเกินไปเมื่อเทียบกับจำนวนประชากร • การสำรวจใหญ่ประจำปี (establishment survey) ยังถือว่ามีขนาดเล็กเกินไป (ข้อมูลปี 2554 การสำรวจใหญ่ประจำปีมีขนาด 6,000 ครัวเรือน เพื่อใช้ในการเลือกกลุ่มตัวอย่าง 1,250 ครัวเรือน ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าเพียง 5เท่า) • การกระจายตัวของกลุ่มตัวอย่างไม่สะท้อนช่องทางการรับชมสื่อที่เปลี่ยนไปตามเทคโนโลยี (การวัดเรตติ้งการรับชมผ่านทีวีดาวเทียมและเคเบิลมีขนาดเพียง 260 ครัวเรือน ขณะที่ตัวเลขการรับชมทีวีผ่านเคเบิลและดาวเทียมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ)

  23. ปัญหาการวัดเรตติ้งของนีลเส็นปัญหาการวัดเรตติ้งของนีลเส็น • การเลือกปฏิบัติในการวัดเรตติ้ง (บริษัทวัดเรตติ้งควรวัดเรตติ้งของทุกช่องในแต่ละ platform แต่ที่ผ่านมาบางกรณีไม่เป็นเช่นนั้น) • ขาดความเป็นกลางทางเทคโนโลยี (ต้องวัดเรตติ้งในทุกๆ ช่องทางโดยไม่สนว่ารับผ่านเทคโนโลยีอะไร เช่น เคเบิล ดาวเทียม อินเทอร์เน็ต ฯลฯ แต่นีลเส็นปรับไม่ทันเทคโนโลยี เช่น กว่าจะมีการวัดเรตติ้งทีวีดาวเทียมก็ใช้เวลานานหลังจากที่ดาวเทียมได้รับความนิยมแล้ว) • สุ่มเสี่ยงต่อผลประโยชน์ทับซ้อน (นีลเส็นรับทำวิจัยด้วย ทำให้อาจมีผลประโยชน์ทับซ้อนกับการวัดเรตติ้ง เช่น มีการวิจารณ์ว่าสื่อสิ่งพิมพ์ไหนจ้างนีลเส็นทำวิจัย ก็จะได้ใส่รายชื่อเข้าไปในการสำรวจ) • การไม่เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับระเบียบวิธีในการวัดเรตติ้ง

  24. รูปแบบการกำกับดูแลการวัดเรตติ้งรูปแบบการกำกับดูแลการวัดเรตติ้ง • กำกับดูแลกันเอง (self-regulation) • การรวมกลุ่มของภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เช่น สถานีโทรทัศน์ เอเยนซี่โฆษณา บริษัทวางแผนสื่อ ฯลฯ ตั้งองค์กรกลางในการวัดเรตติ้งเอง เช่นกรณีของ the Broadcasters’ Audience Research Board (BARB) ในอังกฤษ • การรวมกลุ่มกันตั้งองค์กรวิชาชีพเพื่อกำกับดูแลบริษัทวัดเรตติ้งอีกทีหนึ่ง เช่น Media Rating Council ของสหรัฐฯ • กำกับดูแลโดยรัฐ (state regulation) • องค์กรของรัฐเข้ามากำกับดูแลและรับรองการวัดเรตติ้งด้วยตนเอง เช่น Telecom Regulatory Authority of India (TRAI) • องค์กรของรัฐเข้ามาวัดเรตติ้งด้วยตนเอง

  25. รูปแบบการกำกับดูแลการวัดเรตติ้งรูปแบบการกำกับดูแลการวัดเรตติ้ง • กำกับดูแลร่วม (co-regulation) • การใช้เครื่องมือของการกำกับดูแลโดยรัฐเพื่อกระตุ้นให้กลไกการกำกับดูแลกันเองทำงานได้ดี เช่น การให้ความช่วยเหลือทางการเงิน การออกกฎบังคับให้มีการออกแนวปฏิบัติ ฯลฯ • Telecom Regulatory Authority of India (TRAI) หรือ กสทช. ของอินเดียสนับสนุนการรวมตัวขององค์กรวิชาชีพ คือ Broadcast Audience Research Council (BARC) และเสนอให้ BARC จัดทำแนวปฏิบัติในการกำกับดูแลบริษัทวัดเรตติ้ง • AGCOM หรือ กสทช. ของอิตาลี ออกแนวปฏิบัติเพื่อกำกับดูแล Auditelองค์การวิชาชีพที่รวมตัวกันวัดเรตติ้งอีกชั้นหนึ่ง

  26. แนวปฏิบัติที่ใช้กำกับบริษัทวัดเรตติ้งแนวปฏิบัติที่ใช้กำกับบริษัทวัดเรตติ้ง • กรณีศึกษาอินเดีย>> มีความคล้ายคลึงกับสถานการณ์ของไทย คือ บริการวัดเรตติ้งถูกผูกขาดโดย TAM Media Research และมีปัญหาในการวัดเรตติ้งเหมือนกัน • TRAI เสนอให้ใช้โมเดลการกำกับดูแลกันเองก่อน โดยส่งเสริมให้มีการตั้ง BARC องค์กรวิชาชีพ ทว่า BARC ไม่สามารถออกหลักปฏิบัติและกำกับดูแลการวัดเรตติ้งได้จริง • TRAI จัดทำหลักปฏิบัติด้วยตนเองโดยการดึงการมีส่วนร่วมและรับฟังความเห็นจากรอบด้าน

  27. แนวปฏิบัติที่ใช้กำกับบริษัทวัดเรตติ้งแนวปฏิบัติที่ใช้กำกับบริษัทวัดเรตติ้ง • ตัวอย่าง Guidelines for Television Rating Agencies • หน่วยงานวัดเรตติ้งจะต้องได้รับการรับรองและลงทะเบียนกับ Ministry of Information and Broadcasting • แนวปฏิบัติครอบคลุมในรายละเอียดถึงขั้นตอนการลงทะเบียน เกณฑ์คุณสมบัติ ระเบียบวิธีในการวัดเรตติ้งการถือหุ้นไขว้ กลไกรับและจัดการเรื่องร้องเรียน การเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ การเปิดเผยข้อมูลต่อองค์กรกำกับดูแล การตรวจสอบทั้งจากภายในและภายนอก และบทลงโทษ • บริษัทหรือนิติบุคคลใดๆ ที่ให้บริการวัดเรตติ้ง ไม่สามารถถือกรรมสิทธิ์หุ้นส่วนมากกว่าร้อยละ 10 ในบริษัทวัดเรตติ้งอื่นๆ และสถานีโทรทัศน์/ผู้ซื้อโฆษณา/เอเยนซี่โฆษณา ไมว่าจะทางตรงหรือผ่านตัวแทนที่เกี่ยวข้อง

  28. แนวปฏิบัติที่ใช้กำกับบริษัทวัดเรตติ้งแนวปฏิบัติที่ใช้กำกับบริษัทวัดเรตติ้ง • การวัดเรตติ้งต้องมีความเป็นกลางทางเทคโนโลยี (technology neutral) และต้องเก็บข้อมูลผ่านทุกช่องทางการรับชม • การคัดเลือกครัวเรือนที่จะเป็นกลุ่มตัวอย่างนั้นต้องเลือกมาจากการสำรวจประจำปี (Establishment Survey) ที่มีขนาดไม่น้อยกว่า 10 เท่าของจำนวนกลุ่มตัวอย่าง • ขนาดของกลุ่มตัวอย่างต้องมีขนาดไม่น้อยกว่า 20,000 ครัวเรือน ภายใน 6 เดือน และต้องขยายขนาดกลุ่มตัวอย่างปีละ 10,000 ครัวเรือน จนกว่าจะครบ 50,000 ครัวเรือน (ตัวเลขที่คำนวณจากจำนวนครัวเรือนในอินเดีย) • บริษัทต้องรักษาความลับและความเป็นส่วนตัวของครัวเรือนกลุ่มตัวอย่าง ร้อยละ 25 ของกลุ่มตัวอย่างต้องมีการหมุนเวียนทุกปี

  29. แนวปฏิบัติที่ใช้กำกับบริษัทวัดเรตติ้งแนวปฏิบัติที่ใช้กำกับบริษัทวัดเรตติ้ง • บริษัทวัดเรตติ้งต้องส่งระเบียบวิธีการวัดเรตติ้งโดยละเอียดให้กับองค์กรที่เกี่ยวข้องของรัฐและตีพิมพ์ลงในเว็บไซต์ • บริษัทวัดเรตติ้งต้องจัดตั้งกลไกการรับเรื่องร้องเรียนที่มีประสิทธิภาพพร้อมกับเบอร์โทรฟรี • บริษัทวัดเรตติ้งต้องสร้างกลไกการตรวจสอบภายในเพื่อตรวจสอบระเบียบวิธีและกระบวนการเก็บข้อมูลทุกๆ ไตรมาส และให้มีการตรวจสอบจากภายนอกทุกๆ ปี รวมถึงตีพิมพ์รายงานการตรวจสอบบนเว็บไซต์ นอกจากนั้น รัฐบาลและ TRAI คงสิทธิในการตรวจสอบระบบและกลไกต่างๆ ของบริษัทวัดเรตติ้ง

  30. แนวทางการกำกับดูแลเรตติ้งในไทยแนวทางการกำกับดูแลเรตติ้งในไทย • โมเดลการกำกับดูแลกันเอง • สร้างช่องทางให้เกิดผู้ให้บริการสำรวจความนิยมทางโทรทัศน์เพิ่มมากขึ้น >> บริษัทวิดีโอรีเสิร์ชเข้ามาในไทยกว่าทศวรรษ แต่ก็ยังไม่สามารถให้บริการแข่งกับนีลเส็นได้ • สนับสนุนให้เกิดการรวมตัวของภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดตั้งองค์กรวิชาชีพขึ้นมากำกับบริษัทวัดเรตติ้งอย่างนีลเส็น>> ภาคอุตสาหกรรมอาจไม่ต้องการแบกรับค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ • สนับสนุนให้เกิดการรวมตัวของภาคอุตสาหกรรมในการวัดเรตติ้งด้วยตนเอง

  31. แนวทางการกำกับดูแลเรตติ้งในไทยแนวทางการกำกับดูแลเรตติ้งในไทย • โมเดลการกำกับดูแลโดยรัฐ • กสทช. เข้ามาเป็นผู้ให้บริการวัดเรตติ้งด้วยตนเอง >> ไม่ค่อยได้รับความนิยมในต่างประเทศ ไม่มีอะไรการันตีว่าองค์กรของรัฐจะมีความกลาง และ กสทช. ไม่น่ามีองค์ความรู้เพียงพอในการจัดการ • กสทช. ออกแนวปฏิบัติในการกำกับบริษัวัดเรตติ้งเองและเข้ามากำกับดูแลการให้บริการวัดเรตติ้งผ่านการให้ใบอนุญาต >> กสทช. ดูจะเลือกทางนี้ แต่ต้องระวังเรื่องขอบเขตการใช้อำนาจและศึกษาข้อจำกัดของการกำกับดูแลโดยรัฐ

  32. แนวทางการกำกับดูแลเรตติ้งในไทยแนวทางการกำกับดูแลเรตติ้งในไทย • โมเดลการกำกับดูแลร่วม • กสทช. สนับสนุนเงินทุนเพื่อให้เกิดการรวมตัวของภาคอุตสาหกรรมในการจัดตั้งองค์กรทำหน้าที่วัดเรตติ้งหรือกำกับดูแลการวัดเรตติ้ง โดย กสทช. อาจวางกรอบให้องค์กรวิชาชีพปฏิบัติตาม >> ภาคอุตสาหกรรมส่วนหนึ่งดูจะสนับสนุนวิธีการนี้

  33. ข้อเสนอแนะ • การกำกับดูแลกันเองอาจเกิดขึ้นยาก เมื่อพิจารณาว่าภาคอุตสาหกรรมรู้ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับการวัดเรตติ้ง แต่ไม่สามารถรวมตัวเพื่อจัดการปัญหาใดๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ • โครงการฯ เสนอโมเดลแบบค่อยเป็นค่อยไป คือ • ใช้การกำกับดูแลร่วมด้วยการออกแบบแรงจูงใจให้เกิดการรวมตัวกันในภาคอุตสาหกรรมก่อน และอาจกระตุ้นให้องค์กรวิชาชีพออกแนวปฏิบัติภายใต้กรอบเวลากำหนด โดย กสทช. กำหนดหัวข้อที่ต้องครอบคลุมถึง เช่น เกณฑ์คุณสมบัติขั้นต่ำ ระเบียบวิธีการวัดเรตติ้ง การเปิดเผยข้อมูล การจัดกลไกรับเรื่องร้องเรียน ฯลฯ

  34. ข้อเสนอแนะ 2. หากไม่สำเร็จ หรือองค์กรวิชาชีพไม่สามารถทำงานได้ กสทช. อาจจัดตั้งกระบวนการในการร่างแนวปฏิบัติที่ชัดเจนและโปร่งใสตั้งแต่กระบวนการศึกษาวิจัยทั้งบริบทสภาพปัญหาของการวัดเรตติ้งในไทยและประสบการณ์ต่างประเทศ ดึงการมีส่วนร่วมจากผู้มีส่วนได้เสียตั้งแต่ขั้นตอนการร่างและการรับฟังความเห็นสาธารณะ รวมถึงเตรียมพร้อมทั้งในแง่ของบุคลากรและองค์ความรู้เพื่อใช้ในการกำกับดูแลจริงในทางปฏิบัติ

  35. ขอบคุณครับ

More Related