1 / 45

บทที่ 4 (2) ความเหมาะสมของภาษี (Optimal Taxation)

บทที่ 4 (2) ความเหมาะสมของภาษี (Optimal Taxation). ความหมายของความเหมาะสมของภาษี. คุณสมบัติของการเก็บภาษีด้านประสิทธิภาพ (Efficiency) กับความเท่าเทียม (Equity) ที่ต้องคำนึงอยู่เสมอในการเก็บภาษี ความเสมอภาคในแนวนอน (Horizontal Equity) ความเสมอภาคในแนวดิ่ง (Vertical Equity)

fabian
Download Presentation

บทที่ 4 (2) ความเหมาะสมของภาษี (Optimal Taxation)

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. บทที่ 4 (2) ความเหมาะสมของภาษี (Optimal Taxation)

  2. ความหมายของความเหมาะสมของภาษีความหมายของความเหมาะสมของภาษี • คุณสมบัติของการเก็บภาษีด้านประสิทธิภาพ (Efficiency) กับความเท่าเทียม (Equity) ที่ต้องคำนึงอยู่เสมอในการเก็บภาษี • ความเสมอภาคในแนวนอน (Horizontal Equity) • ความเสมอภาคในแนวดิ่ง (Vertical Equity) • เนื่องจากการจัดเก็บภาษีทุกๆ ครั้งก่อให้เกิดการบิดเบือนของการจัดสรรทรัพยากร ยกเว้นภาษีที่ไม่ทำให้ราคาเปรียบเทียบเปลี่ยนแปลง (ภาษีแบบเหมาจ่าย) และมีผลต่อความเป็นธรรมระหว่างผู้เสียภาษี • ทำให้การออกแบบภาษีต้องคำนึงว่าจะทำอย่างไรจึงจะทำให้การจัดเก็บภาษีที่ผลต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาให้น้อยที่สุด ที่นำไปสู่การหลบเลี่ยงภาษีน้อยที่สุด

  3. ความเหมาะสมของภาษีเก็บจากสินค้า (Optimal Community Taxation) • เป็นตัวอย่างที่ดีแสดงการเก็บภาษีที่เหมาะสม เพราะมีปัจจัยประกอบทั้งราคาสินค้า และการจัดสรรทรัพยากรสำคัญ คือเวลาที่ใช้ในการทำงานหารายได้ • หลักการพิจารณาคือ จะเก็บภาษีอย่างไร อัตราที่เหมาะสม สินค้าใดควรถูกจัดเก็บภาษีอย่างไร ภายใต้ข้อสมมุติการหารายได้จากภาษีของรัฐบาลต้องมีภาระภาษีส่วนเกิน (Deadweight loss) ที่ต่ำที่สุด โดยไม่ใช่การเก็บแบบเหมาจ่าย

  4. ความเหมาะสมของภาษีเก็บจากสินค้า (Optimal Community Taxation) • Optimal commodity taxationคือการเลือกอัตราภาษีระหว่างสินค้าต่างๆ ที่เหมาะสมที่ทำให้เกิดภาระส่วนเกินน้อยที่สุด แล้วทำให้รัฐบาลสามารถได้รับรายได้ตามที่กำหนด

  5. ตัวอย่างการศึกษา • สมมุติมีผู้บริโภคคนหนึ่งที่สามารถเลือกการบริโภคสินค้า 2 ชนิดคือ x และ y และเลือกเวลากากรพักผ่อน (การทำงาน) L โดยมีเงื่อนไขดังนี้ • โดย w = อัตราค่าจ้าง • T* = time endowment (24 ชั่วโมง) • Px = ราคาสินค้า x • Py = ราคาสินค้า y

  6. ตัวอย่าง จัดเทอมใหม่ได้คือ สมมุติมีการจัดเก็บภาษีสินค้าทั้งสองและการพักผ่อนเพิ่มขึ้นโดยรัฐบาลทำให้เป็น

  7. ตัวอย่างการเก็บภาษีที่เหมาะสมตัวอย่างการเก็บภาษีที่เหมาะสม • หารตลอดด้วย (1+t) จะได้ • ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบก่อนและหลังการเก็บภาษีพบว่าการเก็บภาษีอัตรา t เหมือนเป็นการเก็บภาษีแบบเหมาจ่าย เพราะเป็นการทำให้ มูลค่า time endowment ลดลงในสัดส่วนของอัตราภาษีที่จัดเก็บ • แต่ความจริงคือจะเก็บภาษีจากการพักผ่อนอย่างไร ที่เทียบเท่ากับสินค้าที่เป็นรูปธรรมชัดเจนได้ ดังนั้นการเก็บภาษีที่ขาดการเก็บจากการพักผ่อนจึงทำให้เกิดการบิดเลือนอย่างแน่นอน

  8. ตัวอย่างการเก็บภาษีที่เหมาะสมตัวอย่างการเก็บภาษีที่เหมาะสม • ดังนั้นการเก็บภาษีจากสินค้าทุกประเภทที่ปรารถนาให้มีความเป็นกลาง (neutral tax) ในอัตราเดียวกัน ที่ไม่รวมการพักผ่อนจึงไม่อาจทำได้ โดยไม่ก่อให้เกิดความไม่มีประสิทธิภาพ

  9. Ramsey Rule’s • เป็นความพยายามเก็บภาษีที่ทำให้มีภาระส่วนเกินน้อยที่สุด ขณะที่รัฐบาลยังสามารถได้รายได้ภาษีตามต้องการจำนวนหนึ่ง

  10. กฎแรมซี่ย์ กับภาษีสินค้าที่เหมาะสม Optimal commodity taxation and Ramsey rule • กฎของ Ramsey คือ: • คือกำหนดอัตราภาษีระหว่างสินค้าต่างๆ ที่ทำให้ สัดส่วนระหว่างส่วนเพิ่มของภาระส่วนเกิน (marginal deadweight loss)กับรายได้ส่วนเพิ่มที่เก็บได้เพิ่ม (marginal revenue raised)เท่ากันในทุกๆ สินค้า

  11. กฎแรมซี่ย์ กับภาษีสินค้าที่เหมาะสม ราคา สมมุติมีสินค้า 2 ชนิดที่ไม่ทดแทนหรือใช้ร่วมกัน ทำให้ การเก็บภาษีกับสินค้าหนึ่งที่มีผลกระทบต่อราคา ของสินค้าย่อมไม่กระทบอีกสินค้าหนึ่ง โดยสมมุติว่า Supply ขนานกับแกนนอน โดยเริ่มต้นบริโภคสินค้าที่ x0 แต่หลังมีภาษี ราคา เพิ่มเป็น P0 + uxทำให้การบริโภคลดเหลือเพียง x1 ทำให้ภาระส่วนเกินเท่ากับพื้นที่ abc b P0+ux c P0 a Dx ∆X x0 X1 ปริมาณสินค้า

  12. กฎแรมซี่ย์ กับภาษีสินค้าที่เหมาะสม ราคา ต่อมามีการเก็บภาษีเพิ่มอีกหนึ่งหน่วย เป็น P0+ux+1 ภาระส่วนเกินเพิ่มเป็น fecโดยจะหาภาระส่วนเกินส่วนเพิ่มจาก พื้นที่ fec – abc เท่ากับขนาดของ marginal Deadweight loss ที่เท่ากับ พื้นที่ feabที่มีค่าเท่ากับ ½ ∆ x[ux +(ux+ 1)] โดย ∆x คือหน่วยสุดท้ายของภาระภาษีในรูปสินค้า x ที่ลดน้อยลง g P0+ux +1 f h b i P0+ux j e c P0 a Dx ∆x x0 X1 X2 ปริมาณสินค้า

  13. กฎแรมซี่ย์ กับภาษีสินค้าที่เหมาะสม • ขณะนี้เราสามารถหาค่าภาระส่วนเกินของภาษีได้แล้ว สิ่งที่เหลือคือการหาค่ารายได้ภาษีส่วนเพิ่ม โดยจากรูปค่ารายได้ภาษีส่วนเพิ่มอีกหนึ่ง หน่วยคือการเก็บเพิ่มจาก uxเป็น ux+1 • จากรูปคือพื้นที่สี่เหลี่ยม ghifแต่การขึ้นภาษียังมีส่วนรายได้ภาษีที่หายไปอีกจากภาระส่วนเกิน คือพื้นที่ ibea • ผลต่างของรายได้รายได้ภาษีสุทธิจึงเป็น พื้นที่ ghif – ibeaโดยสามารถเขียนเป็นสูตรคณิตศาสตร์ได้คือ • x2(ux+1) – x1ux • Marginal excess burden จึงเป็น 1/2∆x[ux + (ux +1)]ซึ่งมีค่าเท่ากับ ∆X

  14. เพราะว่า 1/2∆x[ux + (ux +1)] หรือ ∆xux + ½∆x • สามารถประมาณได้เท่ากับ ∆xuxเนื่องจากค่าเทอมที่สอง มีขนาดเล็กจนอาจกำหนดให้เท่ากับศูนย์ • และค่า 1/∆x เท่ากับux/∆X เพราะต่างเท่ากับ slope ของเส้น demand ดังนั้น • ∆xux= ∆X • ซึ่งคือค่า excess burden ของภาษีที่เพิ่มขึ้น 1 หน่วยนั่นเอง • ขั้นตอนถัดไปคือการหาค่ารายได้ภาษีที่เพิ่มขึ้น เพื่อหาสัดส่วนรายได้ภาษีที่เพิ่มจากการเพิ่มอัตราภาษี (ux)

  15. กฎแรมซี่ย์ กับภาษีสินค้าที่เหมาะสม ราคา จากรูปในที่นี้การหารายได้ที่เพิ่มจากการเพิ่มแตราภาษีดังกล่าวคือ รายได้ภาษี = uxX1(อัตราภาษีคูณกับหน่วยสินค้าที่ขาย) และ ขนาดรายได้ภาษีเท่ากับ hbajณ อัตราภาษีคือ uxและเมื่อเพิ่ม เป็น ux + 1 ขนาดภาษีเท่ากับ gfihโดยมีเสียภาษีไป ibae หรือเท่ากับ X2 - (X1 – X2)ux g P0+ux +1 f h b i P0+ux j e c P0 a Dx ∆x x0 X1 X2 ปริมาณสินค้า

  16. กฎแรมซี่ย์ กับภาษีสินค้าที่เหมาะสม • เพราะ marginal tax revenue เท่ากับ • X2 (ux +1) – X1ux = X2 + ux(X2 – X1) • เพราะจากรูป X2 = X1 - ∆x • แทนค่าได้ X1 = ∆x -ux ∆x • แต่เพราะว่า ∆x= ∆X/ux • ดังนั้น X1 - ∆X(1 + ux)/ux • แต่ ux > 1 เสมอ ทำให้ ประมาณได้เท่ากับ X1 - ∆X เท่ากับ marginal tax revenue • marginal excess burden/ เงินรายได้ภาษีที่เพิ่มขึ้น คือ ∆X/X1 - ∆X

  17. กฎแรมซี่ย์ กับภาษีสินค้าที่เหมาะสม • สำหรับสินค้า Y จะได้เหมือนกันคือ ∆Y/Y1 - ∆Y • ภายใต้เงื่อนไขของภาระส่วนเกินน้อยที่สุด • ∆X/X1 - ∆X= ∆Y/Y1 - ∆Y • จัดเทอมใหม่ได้ • ∆X/X1= ∆Y/Y1 • ความหมายของสมการนี้คือ percentage change นั่นเอง ดังนั่น การที่ต้องการภาระส่วนเกินรวมของภาษีน้อยที่สุด ต้องจัดเก็บอัตราภาษีที่ทำให้ percentage change ของการลดลงของปริมาณสินค้าต่างๆ เท่ากัน

  18. กฎแรมซี่ย์ กับภาษีสินค้าที่เหมาะสม • การแปลความหมายตามกฎของแรมซี่ย์ เพราะการเปลี่ยนแปลงของอุปสงค์สามารถแสดงความสัมพันธ์กับค่าความยืดหยุ่นได้

  19. กฎแรมซี่ย์ กับภาษีสินค้าที่เหมาะสม Optimal commodity taxation and Ramsey rule • เป้าหมายของ Ramsey Ruleคือต้องการminimize ภาระส่วนเกินจากภาษี ให้มากที่สุดขณะที่สามารถเก็บรายได้ภาษีได้ตามจำนวนที่กำหนด • มูลค่ารายได้ที่เพิ่มของรัฐบาล คือมูลค่าของเงินที่อยู่ในมือของรัฐบาลแทนที่จะอยู่ในภาคเอกชน

  20. ภาษีสินค้าที่เหมาะสม กับกฎส่วนกลับของความยีดหยุ่น Inverse elasticity rule • กฎ ส่วนกลับของความยืดหยุ่น เป็นการแสดงผลของ กฎของRamsey อย่างง่ายๆ เพื่อให้สามารถเข้าใจถึงนโยบายภาษีกับความยืดหยุ่นของอุปสงค์ • กล่าวคือรัฐบาลควรเก็บภาษีกับสินค้าแต่ละชนิด โดยมีกฎพื้นฐานว่าภาษีที่เก็บจากสินค้าแต่ละชนิดนั้นความเป็นส่วนกลับกับค่าความยืดหยุ่นของอุปสงค์ของสินค้านั้นๆ นั่นคือ • หากสินค้ามีค่าความยืดหยุ่นยิ่งต่ำเท่าไร อัตราภาษีควรสูงมากขึ้นเท่านั้น

  21. กฎส่วนกลับของอัตราภาษีกับความยืดหยุ่นกฎส่วนกลับของอัตราภาษีกับความยืดหยุ่น • การพิสูจน์ สมมุติมีสินค้า 2 ชนิด x และ y ที่ไม่มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน โดยมีราคาสินค้าคือ Pxและ Py • ค่าความยืดหยุ่นของสินค้า x คือ ηxและของสินค้า y คือ ηy • การเก็บภาษีกับสินค้า x คือ txและสินค้า y คือ ty • ดังนั้นตามกฎของ Ramsey แล้วภาระส่วนเกินภาษีรวมคือ • ภายใต้เงื่อนไขของการเก็บรายได้ภาษีเท่ากับ

  22. กฎส่วนกลับของอัตราภาษีกับความยืดหยุ่นกฎส่วนกลับของอัตราภาษีกับความยืดหยุ่น • ดังนั้นภายใต้เงื่อนไขของการเก็บภาษีที่มีภาระส่วนเกินน้อยที่สุดทำให้ได้สมการ objective คือ • โดย subject to

  23. กฎส่วนกลับของอัตราภาษีกับความยืดหยุ่นกฎส่วนกลับของอัตราภาษีกับความยืดหยุ่น • ตั้งสมการ Lagrangianequation ได้คือ • Set หาค่า multiplier ได้ • และ

  24. กฎส่วนกลับของอัตราภาษีกับความยืดหยุ่นกฎส่วนกลับของอัตราภาษีกับความยืดหยุ่น • จาก • ได้ • และจาก • ได้

  25. กฎส่วนกลับของอัตราภาษีกับความยืดหยุ่นกฎส่วนกลับของอัตราภาษีกับความยืดหยุ่น • ดังนั้น • ท้ายที่สุดจะได้ว่า • ซึ่งคือกฎ inverse elasticity rule นั่นเอง

  26. การประยุกต์เรื่องความเท่าเทียมภายใต้กฎ Ramsey • จำเป็นต้องมีความสมดุลของปัจจัยสองอย่าง เพื่อจัดเก็บภาษีกับสินค้าที่เหมาะสม: • กฎความยืดหยุ่น The elasticity rule: คือเก็บภาษีกับสินค้าที่มีค่าความยืดหยุ่นต่ำ • กฎ ฐานภาษีทั่วไป The broad base rule: อาจเหมาะสมกว่าหากเก็บภาษีกับสินค้าทุกๆ ชนิดด้วยอัตราภาษีที่ต่ำ เพราะภาระส่วนเกินของภาษีจะเพิ่มตามอัตราภาษี (พิจารณาจากสูตรภาระส่วนเกิน) • ดังนั้นรัฐบาลจึงควรพิจารณาเก็บภาษีกับสินค้าทุกๆ ชนิดที่สามารถทำได้ โดยมีอัตราที่แตกต่างกัน

  27. ตัวอย่างการประยุกต์การจัดเก็บภาษีสินค้าตัวอย่างการประยุกต์การจัดเก็บภาษีสินค้า • หากรัฐบาลมีการอุดหนุนราคาสินค้าสองชนิด ข้าวโพด กับข้าว ขณะเดียวกันเก็บภาษีจากน้ำมันพืช • โดยเงื่อนไขตัวอย่างนี้แสดงในตารางถัดไป

  28. ตารางที่ 2 ภายใต้ค่าความยืดหยุ่นที่ปรากฏต้องมีการเปลี่ยนนโยบายต่อสินค้าต่างๆ

  29. ตัวอย่างการประยุกต์การจัดเก็บภาษีสินค้าตัวอย่างการประยุกต์การจัดเก็บภาษีสินค้า • จากตารางพบว่าการอุดหนุนทำให้เกิดการบิดเบือนการบริโภค ในสินค้าข้าวโพด และข้าวสูง เพราะมีความยืดหยุ่นสูง เมื่อมีการอุดหนุนจากรัฐบาลทำราคาต่ำกว่าควร ประชาชนจึงหันมาบริโภคข้าวโพด และข้าวมาก ก่อให้มีความไม่มีประสิทธิภาพสูง • ขณะเดียวกันการก็บภาษีจากน้ำมันพืชก็ทำให้มีภาระส่วนเกินอยู่แล้ว • หากใช้กฎของ Ramsey’s ข้อเสนอในการปรับปรุงราคาที่กำหนดจึงมีข้อเสนอว่า การปฏิรูปภาษีควรเพิ่มประสิทธิภาพและเป็นกลางในการจัดเก็บรายได้: นั่นคือการลดภาษีกับน้ำมันพืช และลดการสูญเสียรายได้จากการนำไปอุดหนุนสินค้าอื่นๆ ในที่นี้คือข้าวโพด และที่สำคัญคือ สินค้าข้าว ต้องลดลง

  30. ตัวอย่างการประยุกต์การจัดเก็บภาษีสินค้าตัวอย่างการประยุกต์การจัดเก็บภาษีสินค้า • ปัญหาการกระจายรายได้ที่อาจเกี่ยวข้องกับการปฏิรูปภาษี • โดยสินค้า น้ำมันพืช และข้าวโพดอาจเป็นสินค้าที่บริโภคโดยผู้มีรายได้น้อยเป็นสำคัญ แต่ข้าวอาจบริโภคโดยประชาชนทั่วไปทุกระดับชั้นรายได้ หากเป็นกรณีดังกล่าว การลดอุดหนุนข้าวโพดอาจทำได้ยากลำบาก และอาจไม่ควรจะต้องลดการอุดหนุนเพียงเพื่อลดปัญหาความไม่มีประสิทธิภาพเท่านั้น (แต่ต้องคำนึงประเด็นความเท่าเทียมประกอบด้วย)

  31. การประยุกต์การกำหนดอัตราค่าใช้บริการสาธารณะที่เหมาะสมการประยุกต์การกำหนดอัตราค่าใช้บริการสาธารณะที่เหมาะสม • เราสามารถประยุกต์การเก็บภาษีที่เหมาะสมกับการคิดอัตราค่าธรรมเนียมบริการของรัฐบาลจากประชาชนได้ โดยลักษระการให้บริการของรัฐบาลมักเป็นรูปแบบผูกขาดตามธรรมชาติ (natural monopolist) เช่นไฟฟ้า น้ำประปา ฯลฯ เพราะเป็นการลงทุนที่มี sunk cost สูง แต่อัตราต้นทุนส่วนเพิ่มต่ำ (marginal cost) ซึ่งหากให้เอกชนดำเนินการอาจทำไม่ได้เนื่องจากใช้ทุนเริ่มต้นจำนวนมาก แต่หากทำได้จะมีกำไรส่วนเกินสูง

  32. การประยุกต์การกำหนดอัตราค่าใช้บริการสาธารณะที่เหมาะสมการประยุกต์การกำหนดอัตราค่าใช้บริการสาธารณะที่เหมาะสม ราคา สังเกตุได้จากรูปว่าเป็นการผูกขาดเพราะ MC > AC เสมอ ดังนั้น ยิ่งมีการขนาดการให้บริการ จะยิ่งได้รับผลตอบแทนมากขึ้น ACz MCz MRz Dz ปริมาณ

  33. การประยุกต์การกำหนดอัตราค่าใช้บริการสาธารณะที่เหมาะสมการประยุกต์การกำหนดอัตราค่าใช้บริการสาธารณะที่เหมาะสม ราคา การคิดราคาตามประสิทธิภาพสูงสุด MC = MR ได้กำไรส่วนเกิน เท่ากับ พื้นที่สีเขียว Pm ACm ACz MCz MRz Dz ปริมาณ Zm

  34. การประยุกต์การกำหนดอัตราค่าใช้บริการสาธารณะที่เหมาะสมการประยุกต์การกำหนดอัตราค่าใช้บริการสาธารณะที่เหมาะสม ราคา หากคิดราคาตามต้นทุนเฉลี่ยคือที่ P = AC จะไม่มีกำไรส่วนเกิน และไม่ขาดทุน ทำได้เพียงคุ้มทุนเท่านั้น Pa ACz MCz MRz Dz Za ปริมาณ

  35. การประยุกต์การกำหนดอัตราค่าใช้บริการสาธารณะที่เหมาะสมการประยุกต์การกำหนดอัตราค่าใช้บริการสาธารณะที่เหมาะสม ราคา หากคิดราคาตามต้นทุนส่วนเพิ่ม คือที่ MC = P ทำให้สามารถ ให้บริการได้มากที่สุดแก่ประชาชน แต่จะประสบกับการขาดทุนอยู่ดี ACz P* MCz MRz Dz Z* ปริมาณ

  36. การประยุกต์การกำหนดอัตราค่าใช้บริการสาธารณะที่เหมาะสมการประยุกต์การกำหนดอัตราค่าใช้บริการสาธารณะที่เหมาะสม • ด้วยวิธีการตั้งราคาบริการสาธารณะทั้ง 3 รูปแบบจึงพบว่ารัฐบาลต้องกำกับการกำหนดราคาและปริมาณให้บริการที่มีประสิทธิภาพ เพื่อ • ไม่ให้มีกำไรส่วนเกินมากเกินไป • หากยอมให้การขาดทุนเกิดขึ้นต้องได้รับการชดเชย • กรณีที่มีกำไรส่วนเกินสูง แต่ปริมาณให้บริการไม่มีประสิทธิภาพรัฐบาลจึงต้องดำเนินการเอง เช่น ไฟฟ้า น้ำประปา ฯลฯ • กรณีที่ยอมคิดราคาต่ำกว่าต้นทุน ปัญหาคือการเก็บภาษีแบบเหมาจ่ายที่ไม่ทำให้ราคาถูกบิดเบือน เป็นเรื่องยากในทางปฏิบัติ และจะจัดเก็บภาษีจากใคร หากคำนึงความเสมอภาคแท้จริงแล้ว อาจต้องนำหลัก Benefit received principle มาร่วมพิจารณา เพราะผู้ได้ประโยชน์เป็นผู้รับภาระ

  37. การกำหนดอัตราค่าใช้บริการสาธารณะที่เหมาะสมกับกฎของ Ramsey • จากแนวคิดราคาค่าบริการสาธารณะ หากนำแนวคิดของ Ramsey มาประกอบ จะพบว่าการให้บริการของรัฐวิสาหกิจต่างๆ เสมือนหนึ่งเป็นสินค้าชนิดต่างๆ การคิดค่าธรรมเนียมบริการคือการเก็บภาษีนั่นเอง • เมื่อต้องการเก็บรายได้จากบริการต่างๆ อย่างเป็นธรรมจึงทำให้อัตราค่าบริการระหว่างประเภทของบริการสาธารณะสามารถประยุกต์ใช้กฎของ Ramsey ได้คือ กฎส่วนกลับของค่าความยืดหยุ่น • แต่ในกรณีนี้บริการที่มีค่าความยืดหยุ่นต่ำอาจเป็นบริการที่ประชาชนไม่มีทางเลือกอื่น แม้จะมีค่าบริการสูงเท่าไรก็ตามก็ต้องบริโภค • ดังนั้นข้อเสนอสำคัญหนึ่งในทางปฏิบัติ คือการคิดราคาที่เท่ากับต้นทุนเฉลี่ย เพราะเป็นการกระจายภาระค่าบริการสาธารณะกับบริการของรัฐบาลในทุกๆ ประเภทของบริการ

  38. ภาษีเงินได้ที่เหมาะสม OPTIMAL INCOME TAXES • ภาษีเงินได้ที่เหมาะสม คือการเลือกอัตราภาษีตามระดับชั้นรายได้ที่ทำให้ได้รับ social welfare สูงสุด ภายใต้ข้อจำกัดที่ว่ารายได้รัฐบาลสามารถจัดเก็บได้ตามต้องการchoosing the tax rates across income groups to maximize social welfare subject to a government revenue requirement. • ปัญหาสำคัญในกรณีนี้คือการวิเคราะห์ความเท่าเทียมแนวตั้ง

  39. ตัวอย่างการวิเคราะห์ Optimal income taxes • สมมุติให้มีข้อกำหนดดังนี้: • ประชาชนทุกๆ คนมี utility เหมือนกันหมด • โดยมี Diminishing marginal utility of income คือรายได้เพิ่มขึ้น ทำให้ MUIลดลง • มีรายได้ทั้งหมดคงที่ • ทั้งนี้สมการอรรถประโยชน์เป็นแบบ Utilitarian social welfare function • ภายใต้ระบบการเก็บภาษีเงินได้ที่เหมาะสมทำให้ทุกๆ คนมีเงินได้เท่ากันหลังการเก็บภาษี • หมายความว่า หากใครมีรายได้เกินกว่าค่าเฉลี่ยจะถูกเก็บภาษีที่มีmarginal tax rate 100% • สุดท้ายกำหนดให้รายได้รวม (labor supply) อยู่คงที่

  40. ภาษีที่เหมาะสมกับผลต่อพฤติกรรมของประชาชนภาษีที่เหมาะสมกับผลต่อพฤติกรรมของประชาชน • โดยหลักแล้วจะมีการ tradeoff ระหว่างความมีประสิทธิภาพและความเท่าเทียมเสมอในการเก็บภาษี • การเพิ่มการจัดเก็บภาษีย่อมทำให้มีผลต่อฐานของภาษีในแง่ที่ผู้เป็นฐานภาษีจะพยายามหลีกเลี่ยงภาระภาษี ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ตัวอย่างการเพิ่มภาษีกับรายได้ของแรงงานจะมีผลสองประการ: • รายได้ภาษีที่จัดเก็บเพิ่มขึ้น ณ ระดับรายได้ของแรงงานที่กำหนดแต่ขณะเดียวกัน • เพราะภาษีที่เพิ่มขึ้น แรงงานจึงลดการหารายได้ ทำให้มีรายได้ภาษีลดลง • ในช่วงที่มีอัตราภาษีสูง อิทธิพลด้านที่ สอง จะมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ตามอัตราภาษีที่เพิ่มขึ้น

  41. ภาษีที่เหมาะสมกับผลต่อพฤติกรรมของประชาชนภาษีที่เหมาะสมกับผลต่อพฤติกรรมของประชาชน • เส้นLaffercurve เป็นเส้นที่แสดงความสัมพันธ์ดังกล่าวและถูกใช้เป็นเครื่องมือการจัดการด้าน supply side ในบางช่วงเวลา • เส้น Laffer Curve แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไม่สามารถเพิ่มอัตราภาษีได้ตลอดเวลา เพราะการเพิ่มอัตราภาษีสูงเกินไป ทำให้ฐานภาษีจะหลบเลี่ยงการเสีย และรายได้ภาษีอาจไม่ได้เพิ่มตามที่คาดการณ์

  42. Figure 7 เส้นLaffer curve ณ จุดสูงสุด การเพิ่มอัตราไม่ทำให้รายได้ภาษีเพิ่มขึ้น รายได้ภาษี ด้านที่ควรจะเป็น ไม่ควรเป็น τ*% อัตราภาษี 0 100%

  43. ภาษีที่เหมาะสมกับผลต่อพฤติกรรมของประชาชนภาษีที่เหมาะสมกับผลต่อพฤติกรรมของประชาชน • เป้าหมายของภาษีที่เหมาะสมคือการวิเคราะห์ที่สามารถแสดงโครงสร้างภาษีที่ทำให้สวัสดิการสังคมสูงสุด พร้อมกับรายได้ภาษีสูงที่สุดด้วย • ซึ่งเงื่อนที่สามารถทำให้ได้เป้าหมายการเก็บภาษีดังกล่าวสามารถแสดงเงื่อนไขการเก็บภาษีได้คือ: • โดย MUiคือthe marginal utility ของบุคคลทั่วไปที่iและMR คือmarginal revenue จากบุคคลต่างๆ

  44. Optimal income taxesAn example • As with optimal commodity taxation, this outcome represents a compromise between two considerations: • Vertical equity • Behavior responses • Figure 8 shows that optimal income taxation equates this ratio across individuals, leading to a higher tax rate for the rich.

  45. รูปที่ 8 MU/MR คนจน คนรวย ภาษีเงินได้ที่เหมาะสมทำให้ (MU/MR) เท่ากันสำหรับทุกๆ คน อัตราภาษี 10% 20%

More Related