1 / 54

P’Pitch Med 133

P’Pitch Med 133. Outline. Introduction 1 st , 2 nd , and 3 rd laws of Thermodynamics Enthalpy Entropy Gibbs free energies. Thermodynamics.

eljah
Download Presentation

P’Pitch Med 133

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. P’Pitch Med 133

  2. Outline • Introduction • 1st, 2nd, and 3rd laws of Thermodynamics • Enthalpy • Entropy • Gibbs free energies

  3. Thermodynamics “The study of heat, work, energy and the changes they produce in the states of systems (the relationships between the macroscopic properties of a system)”

  4. Thermodynamics • เทอร์โมไดนามิกส์เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงของพลังงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะเน้นการศึกษาในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพลังงาน (E), ความร้อน (q), งาน (w) , สมบัติและการเปลี่ยนแปลงของสสารที่สัมพันธ์กับพลังงาน ความร้อนและงาน • ในทางเคมีเราใช้หลักทางเทอร์โมไดนามิกส์เพื่อ 1 คำนวณพลังงานที่ปฏิกิริยาเคมีคายออกมาหรือดูดเข้าไป 2 ทำนายทิศทางการเกิดปฎิกิริยา 3 หาจุดสมดุลของปฏิกิริยา 4 ทำนายการเกิดสารประกอบต่างๆ 5 อธิบายการเกิดปฏิกิริยาในเซลชีวภาพและการผลิตไฟฟ้าจากเซลไฟฟ้าเคมี

  5. ความเป็นมาโดยย่อ 1743-1794: Caloric Th. Antonic Lavoisier (อังตวน ลาวัวซิเยร์) 1753-1814 Count Rumford,ศึกษาการเปลี่ยนรูปของพลังงานความร้อน มันไปเจาะกระบอกปืนใหญ่แล้วพบว่างานกลายเป็นความร้อน 1814-1878 Robert Julius Mayer, 1818-1889 James Joule 1821-1894 Hermann Von Helmholtz  มีบทบาทสำคัญในการสร้างกฎข้อที่ 1

  6. Surrounding System Definitions • System (ระบบ) ส่วนที่เราสนใจ • Surrounding (สิ่งแวดล้อม) ส่วนอื่นๆที่มีผลต่อส่วนที่เราสนใจ • Universe (จักรวาล) ระบบและสิ่งแวดล้อม *แต่กปป.ของระบบจะสำคัญกว่าสวล.เพราะมันจะมีผลน้อยกว่า Universe

  7. System • เช่น ในกระบอกสูบที่ประกอบไปด้วยก๊าซ O2 กับ H2 เราจะนับว่าก๊าซผสมเป็นระบบ ในขณะที่ลูกสูบ และกระบอกสูบเป็นสิ่งแวดล้อม • ในการเกิด Reaction ไม่มีการแลกเปลี่ยนมวลสาร (Mass) ระหว่างระบบ (System) กับสิ่งแวดล้อม (Surroundings) แต่มีการแลกเปลี่ยนพลังงานในรูปของความร้อนและงานที่เกิดขึ้นซึ่งเป็นปริมาณที่เราสามารถวัดได้

  8. Types of Systems Open System (ระบบเปิด) ถ่ายเท พลังงาน มวล Closed System (ระบบปิด) ถ่ายเท พลังงาน Isolated System (ระบบโดดเดี่ยว)ไม่มีการแลกเปลี่ยนมวลหรือพลังงานกับสิ่งแวดล้อม Open Closed Isolated

  9. ตัวอย่าง ระบบเปิด (สิ่งมีชีวิตเป็นระบบเปิด) ระบบปิด ระบบโดดเดี่ยว ไม่มีในธรรมชาติ

  10. Properties of System • Intensiveproperty: ไม่ขึ้นกับปริมาณหรือขนาดของระบบ โดยแต่ละส่วนย่อยจะมีค่าคุณสมบัติประเภทนี้เท่ากัน เช่น ความดัน อุณหภูมิ ความเข้มข้น • Extensive property: ขึ้นกับปริมาณ,ขนาดของระบบ โดยแต่ละส่วนย่อยจะมีค่าคุณสมบัติประเภทนี้ไม่เท่ากัน เช่น มวล ปริมาตร โมล เช่น ความหนาแน่น D=m/V *สมบัติพวกนี้ไม่เกี่ยวข้องใด ๆ เลยกับฟังก์ชันสภาวะแต่ฟังก์ชันสภาวะส่วนใหญ่มักเป็นสมบัติอินเทนสิฟ

  11. Properties of System ตัวอย่าง • ความหนืด Intensive Property • ความเร็ว Intensive Property • ศักย์ไฟฟ้าเคมี Intensive Property • ความยาว Extensive Property • ความร้อน Extensive Property • เอนทาลปี Extensive Property • เอนโทรปี Extensive Property

  12. Definitions • State (สภาวะ) ลักษณะหรือสมบัติของระบบ ที่ขณะใดขณะหนึ่ง(เมื่อระบบอยู่ในสมดุลแล้ว)ระบุได้โดยใช้ชุดของ State functions Path function และ State function - สมบัติของระบบที่ปริมาณขึ้นกับเส้นทางที่ระบบเคลื่อนที่ผ่าน เรียกว่าpath function เช่น งาน (work, w) = แรง × ระยะทาง - สภาวะของระบบที่ปริมาณไม่ขึ้นกับเส้นทางที่ระบบเคลื่อนที่ผ่าน แต่ขึ้นกับสภาวะเริ่มต้นและสภาวะสุดท้าย เรียกว่าฟังก์ชันสภาวะ (statefunction) อุณหภูมิ ความดัน ปริมาตร พลังงานรวม เอนทาลปี เอนโทรปี พลังงานเสรี เป็นฟังก์ชันสภาวะ *ความร้อนและงาน ไม่ใช่ State function แต่เป็น Path function

  13. State Functions&State Equations • State function(ฟังก์ชันสภาวะ) ตัวแปรที่บอกถึงสมบัติ หรือ สภาวะของระบบที่ขณะเวลาใดเวลาหนึ่ง ไม่เกี่ยวข้องกับอดีตหรืออนาคต ไม่ขึ้นกับเส้นทาง (T, P, V, U, n etc.) • เราไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างระบบสองระบบที่มี State function ทุกตัวเหมือนกัน และเมื่อกำหนดค่าของบฟังก์ชันตั้งแต่ 2 ขึ้นไปค่าฟังก์ชันสภาวะอื่น ๆ จะถูก กำหนดไปโดยอัตโนมัติ เช่น PV = nRT (สมการสภาวะของก๊าซ) • State equations(สมการสภาวะ)ความสัมพันธ์ของฟังก์ชันสภาวะต่างๆของระบบที่ขณะใดขณะหนึ่ง หรือเงื่อนไขที่เป็นไปได้ของฟังก์ชันสภาวะของระบบ ใช้ได้เมื่อระบบอยู่ในสมดุลเท่านั้น

  14. State Functions ไม่จำเป็นต้องทราบว่าเปลี่ยนสภาวะไปด้วยวิธีใด (เส้นทางใด) เช่น Pเริ่ม = 1 atm  P = 0.1 atm P = 10 atm  P = 100 atm สุดท้าย คิดเป็น ∆P= (10-1) atm เท่านั้น

  15. StateB i j l k State A Process and Cycle Process(กระบวนการ):เมื่อสมบัติของระบบอย่างหนึ่งอย่างใดเปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้สภาวะของระบบเปลี่ยนไปจากสภาวะเริ่มต้นเป็นสภาวะใหม่ Cycle(วัฏจักร): กระบวนการที่ระบบมีการเปลี่ยนแปลงจากสภาวะเริ่มต้นผ่านสภาวะต่างๆกลับไปสู่สภาวะเริ่มต้น

  16. Processes (Changes) • Irrevesible process ผันกลับไม่ได้ แต่เราสามารถทำให้มันย้อนกลับได้ • Revesible process ผันกลับได้ • Isothermal Process อุณหภูมิคงที่ มีการดูดคายความร้อนนะ แต่มันปป.ไปเป็นรูปอื่นอย่างรวดเร็ว (เกี่ยวข้องกับสมช.) • Isobaric Process ความดันคงที่ • Adiabatic Process ไม่มีการถ่ายเทความร้อน

  17. State B State A Processes (cont.) กระบวนการเปลี่ยนแปลงจากสภาวะเริ่มต้นไปยังสภาวะสุดท้ายอาจเกิดได้หลายเส้นทาง • Reversible Process (กระบวนการผันกลับได้) • Irreversible Process (กระบวนการผันกลับไม่ได้)

  18. Internal Energy (U) • เป็นพลังงานรวมทั้งหมดของระบบ เคมี, นิวเคลียร์, ความร้อน,ไฟฟ้า, แรงโน้มถ่วงไม่สามารถวัดค่าพลังงานภายในของระบบได้ แต่วัดการเปลี่ยนแปลงพลังงานภายใน (ΔU) เมื่อระบบเปลี่ยนแปลงไปได้ โดย –รับหรือเสียความร้อน –ได้รับหรือเสียงาน –มวลของระบบเพิ่มขึ้นหรือลดลง หน่วย (J) 1J = 1kg m2 s-2 = 1Nm, 1cal = 4.184 J • ΔU is a state function

  19. รูปแบบพลังงาน • พลังงานจลน์ มี 3 แบบ Translation เคลื่อนที่ Rotation หมุน Vibrational motion สั่น • พลังงานศักย์ มี 2 แบบ Intermolecular ระหว่างโมเลกุล Intramolecular ภายในโมเลกุล *Note gas สมบูรณ์ไม่มีพลังงานศักย์มีแต่พลังงานจลน์

  20. Work • เกี่ยวข้องกับการหดและขยายตัวของก๊าซ ฉะนั้นถ้าเป็นของเหลวหรือแข็งจะมีงานน้อยมากถือเป็นศูนย์ Wgas=FgasΔS , Fgas=PgasA Wgas=PgasAΔS เมื่อ AΔS=ΔVฉะนั้น Wgas=PgasΔV=-PexΔV เนื่องจาก Fgas = -Fex โดย 1 L·atm = 101.325 J ถ้างานเป็นลบแสดงว่าระบบทำงานหรือเสียงาน(ก๊าซขยายตัว) เป็นบวกแสดงว่าได้งาน(ก๊าซหดตัว)

  21. งานสูงสุดของก๊าซ • Wmaxคืองานที่เกิดจากการขยายตัวของก๊าซแบบ Isothemal เมื่อความดันภายนอกเท่ากับความดันภายใน(ก๊าซ)หรือเมื่อมีกปป.แบบผันกลับได้จะได้ว่า(คือมันค่อย ๆขยายเพื่อจะรักษาสมดุลไว้) Wmax = -nRT In(Vf/Vi) มาจาก dW = -PexdV แต่กระบวนการผันกลับ Pex = Pgas *ถ้าก๊าซขยายตัวอย่างรวดเร็วแบบผันกลับไม่ได้(แต่เราทำให้มันกลับได้)จะได้งานน้อยกว่า

  22. Heat (q) • ความร้อนคือการถ่ายเทพลังงานจากวัตถุที่มีอุณหภูมิสูงไปยังอุณหภูมิต่ำ ระหว่างระบบและสวล. • ถ้าเป็นบวกแสดงว่าระบบได้รับความร้อน • เป็นลบแสดงว่าเสียควมร้อน

  23. Heat Capacity & Specific heat capacity • Heat capacity (ความจุความร้อน) ปริมาณความร้อนที่ต้องใช้ในการทำให้สารมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้น 1 Kelvin • C=dq/dT=mc • ฉะนั้นถ้าคว่มจุความร้อนสูงจะทำให้ร้อนยากกว่า • Specific heat capacity(ความจุความร้อนจำเพาะ)ปริมาณความร้อนที่ต้องใช้ในการทำให้สาร 1 หน่วยปริมาณ มีอุณหภูมิเพิ่มขึ้น 1 Kelvin • q = mcΔT • q = C ΔT

  24. The First Law of Thermodynamics • Law of conservation • “ในขบวนการใดๆ พลังงานอาจมีการเปลี่ยนรูปได้แต่จะไม่มีการเกิดใหม่หรือสูญหายไป” qgas= ΔUgas หรือ ΔEgas-wgas • ΔU เป็นบวกหมายถึงระบบรับพลังงานจากสิ่งแวดล้อม (ดูดพลังงาน) • ΔU เป็นลบหมายถึงระบบเสียพลังงานให้กับสิ่งแวดล้อม(คายพลังงาน)

  25. คาลอริมิเตอร์ที่ปริมาตรคงที่ (ไม่มีงาน) ΔU=qv Bomb calorimeter • ΔU=qv + w • Cv=dqv/dT • Cv=dU/dT • ฉะนั้น ΔU=CΔT • Reaction at Constant V • ΔH is notqv ไม่มีความร้อนเข้าหรือออกจากระบบ

  26. คาลอริมิเตอร์ที่ความดันคงที่คาลอริมิเตอร์ที่ความดันคงที่ • ΔU=qp + w • ΔU= ΔH + (-Pex) ΔV • ΔH= ΔU + PexΔV • Reaction at Constant P • ΔH = qp เราเรียก q ที่ความดันคงที่ว่าเอ็นทาลปี Calorimeter ไม่มีความร้อนเข้าหรือออกจากระบบ

  27. Internal Energy of Ideal Gas • Ideal Gas(แก๊สอุดมคติ) • แต่ละอนุภาคไม่มี interaction กัน • อนุภาคเคลื่อนที่แบบสุ่ม • ความเร็วของอนุภาคขึ้นกับอุณหภูมิ • มีพลังงานจลน์ ไม่มีพลังงานศักย์ • พลังงานภายในขึ้นกับอุณหภูมิ

  28. Cp &Cv • Cp > Cv แต่ถ้าไม่ใช่ก๊าซใกล้เคียงกัน(งานใกล้ศูนย์) • แต่ qv>qp • สำหรับ Ideal gas Cp-Cv = R คิด 1 mol • Ideal gas มีแต่พลังงานจลฉะนั้น Cv = dU/dT = [3/2RdT]/dT = 3/2R Cp = Cv +R = 5/2R • [Dulong + Petit]Cp ของของแข็งทุกชนิดจะมีค่า 25 ±1 J/mol·K ยกเว้นน้ำแข็ง • สำหรับของแข็งและของเหลว Cp ≈ Cv • ค่า Cpขึ้นกับ มวลอะตอม ขนาดอะตอม มวลโมลเลกุล

  29. Enthalpy • เอนทาลปี = ความร้อนของปฏิกิริยาที่ความดันคงที่ (โดยทั่วไปเป็นความดันบรรยากาศ) จาก ΔU = q + w ΔH = ΔU + PexΔV

  30. Comparing heats of reaction • Δn=nf – ni และคิดเฉพาะก๊าซเท่านั้น เช่น 2H2 + O2 2H2O(l) Δn = o - (2 + 1) = -3 จะได้ว่า P ΔV= ΔnRT

  31. เอนทาลปีมาตรฐานของการเกิด (ΔHf ํ) • การเปลี่ยนแปลงเอนทาลปีของปฏิกิริยาการเกิดสารประกอบ 1 โมล จากธาตุในสภาวะมาตรฐาน (1atm, 25oC) • ต้องระบุสถานะ • ธาตุที่อยู่ในรูปที่เสถียร: ΔH ํf = 0 เช่น ΔH ํf(C, graphite) = 0kJ/mol ΔH ํf(O2, g) =0kJ/mol *ระวังถ้าเป็น เพชร กับ โอโซนจะไม่ใช่ 0

  32. Hess’ Law • ΔHของกระบวนการรวม= ΔH ผลรวมของแต่ละขั้นย่อย * ประโยชน์ของ Hess’ Law คือใช้หา ΔH ของปฏิกิริยาที่ไม่สามรถทดลองได้

  33. เอนทาลปีของการเกิดปฏิกิริยาเคมีเอนทาลปีของการเกิดปฏิกิริยาเคมี • ΔH = ΣH products – ΣH reactants Exothermic Hp> Hr ΔH > 0 Endothermic Hp<Hr ΔH < 0

  34. สมการอุณหเคมี • การเปลี่ยนแปลงเอนทาลปีเป็นสัดส่วนโดยตรงกับสัดส่วนโมลของสาร หน่วย kJ/mol • เครื่องหมายเปลี่ยนแปลงในทิศทางตรงกันข้ามสำหรับปฏิกิริยาย้อนกลับ H2O (l) H2O (s) ΔH = -6.01 kJ • การคูณทั้งสองข้างของสมการด้วยตัวเลข n ใดๆ การเปลี่ยนแปลงเอนทาลปีมีสัดส่วนเป็น n เท่าเช่นกัน 2H2O (s) 2H2O (l) ΔH = 2 x 6.01 = 12.0 kJ

  35. หลักการ • ∆H แปรผันตามสารเช่นถ้าเป็นต่อโมลต้องคิดมลด้วย • กลับสมการ ∆H เปลี่ยนเครื่องหมาย • ในสมการต้องระบุสถานะ • ค่า ∆H ต้องมีการระบุสภาวะ เนื่องจากเมื่อ T เปลี่ยน ∆H จะเปลี่ยนไปด้วย • ∆H ํ ของธาตุในรูปที่เสถียรที่สุดมีค่าเป็นศูนย์ เช่น O2(g)

  36. Cont. • ΔH ํf = heat of formation คือ ΔH ของสารที่ 25 C 1 atm และ 1 M • ΔHcomb = heat of combustion โดยทั่วไปมักเกี่ยวกับสารอินทรีย์เพราะมักเป็นปฏิกิริยาคายพลังงาน โดยทำปฏิกิริยากับก๊าซออกซิเจน แล้วเปลี่ยน C ทั้งหมดเป็น CO2 และเปลี่ยน H ทั้งหมดเป็นน้ำ (ซึ่งไม่ใช่ไอน้ำนะ) • ΔH298= bond enthalpy พลังงานที่ต้องการเพื่อสลายพันธะและแยกอะตอมออกจากกัน และไม่ให้เกิดพันธะใหม่ ดังนั้นค่า ΔH ของสารตั้งต้นจะเป็น บวก แต่ผลิตภัณฑ์จะเป็นลบ (เหมือน ม.ปลาย เกิดคายสลายดูด)

  37. Entropy (S) • ปริมาณความไม่เป็นระเบียบ มีหน่วยเป็น J/K

  38. Standard Entropy (S°) • เอนโทรปีมาตรฐานของสาร กำหนดที่ 1 atm และ 25°C S° > 0 หน่วย J/K·mol

  39. The Second Law of Thermodynamics • กระบวนการที่เกิดขึ้นได้เอง • ΔSuniv = ΔSsys + ΔSsurr > 0 • กระบวนการที่สมดุล • ΔSuniv = ΔSsys + ΔSsurr = 0 ΔS = Sfinal – Sinitial ΔS (+) ความไม่เป็นระเบียบมากขึ้น ความเป็นระเบียบน้อยลง ΔS (-) ความไม่เป็นระเบียบน้อยลง ความเป็นระเบียบมากขึ้น

  40. Entropy change in a system (ΔSsys) • ΔSsys = qrev/T หาได้จากกระบวนการผันกลับได้เท่านั้น • ในกรณีระบบผันกลับได้และมีปริมาตรคงที่ • qrev = qV = ΔU เพราะงานเป็นศูนย์ • ในกรณีระบบผันกลับได้และมีความดันคงที่ • qrev = qP = ΔH

  41. Cont. • เรารู้ว่า reversible process มันเกิดขึ้นได้ที่ จุดเดือด จุดหลอมเหลว จุดระเหิด ฯลฯ (ที่ T เดียวกันแต่มีสาร 2 สถานะ) ดังนั้นที่จุดพวกนี้จึงสามารถเอา qrev มาคิด ΔS ได้ Trouton’s rule = ΔSvapของของเหลวส่วนใหญ่ เท่ากับ 88.5 ± 5 J/mol·K ยกเว้นน้ำจะมีมากกกว่าสารอื่น

  42. The Third Law of Thermodynamics • เอนโทรปีขีของผลึกสมบูรณ์ (perfect crystalline) จะมีค่าใกล้ศ้ศูนย์เมื่ออุณหภูมิเข้า สู่ศูนย์เคลวิน

  43. Gibbs Free Energy (G) • กระบวนการที่เกิดขึ้นได้เอง ΔSuniv > 0 ΔSuniv = ΔSsys + ΔSsurr > 0 T,P คงที่ ΔSuniv = ΔSsys – (ΔHsys/T) > 0 TΔSuniv = - ΔHsys + TΔSsys > 0 -TΔSuniv = ΔHsys - TΔSsys < 0 ΔG < 0 spontaneous ΔG > 0 non-spontaneous ΔG = 0 at equilibrium G

  44. Standard free energy offormation (ΔGf°) • สภาวะมาตรฐาน กำหนดที่ความดัน 1 atm พลังงานอิสระมาตรฐานของการเกิด (ΔG ํf) ในรูปที่เสถียรที่สุด มีค่าเป็น ศูนย์ เช่น ΔG ํf(O2) = 0 ΔG ํf = ΔG ํf pro - ΔG ํf reac

  45. Free Energy and ChemicalEquilibrium ΔG = ΔG° + RT lnQ -R: ค่าคงที่ของก๊าซ 8.314 JK-1mol-1 -T: อุณหภูมิ หน่วย K -Q: reaction quotient

  46. Cont. ที่สมดุล ΔG = 0, Q = K 0 = ΔG° + RT lnK ΔG° = - RT lnK K lnK ΔG° >1 + - เกิดปฏิกิริยาไปข้างหน้า <1 - + เกิดปฏิกิริยาย้อนกลับ =1 0 0 สมดุล

  47. Electrochemistry • Contents • Ecell • ΔG • Keq

More Related