1 / 72

บทที่ 9 ทฤษฎีเกมส์และกลยุทธ์การแข่งขัน

บทที่ 9 ทฤษฎีเกมส์และกลยุทธ์การแข่งขัน. ทฤษฎีเกมส์ (Games Theory). ความหมาย ทฤษฎีเกมส์เป็นการศึกษาว่าจะใช้วิธีทางคณิตศาสตร์กำหนดกลยุทธ์ที่ดีที่สุด(best strategy)อย่างไร เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีที่สุด ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด

donald
Download Presentation

บทที่ 9 ทฤษฎีเกมส์และกลยุทธ์การแข่งขัน

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. บทที่ 9ทฤษฎีเกมส์และกลยุทธ์การแข่งขัน

  2. ทฤษฎีเกมส์ (Games Theory) • ความหมาย ทฤษฎีเกมส์เป็นการศึกษาว่าจะใช้วิธีทางคณิตศาสตร์กำหนดกลยุทธ์ที่ดีที่สุด(best strategy)อย่างไร เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีที่สุด ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด • ทฤษฎีเกมส์พยายามลดความซับซ้อนของสถานการณ์จริงลง เพื่อให้ใช้หลักเหตุผลหรือคณิตศาสตร์หาทางเลือกที่ดีที่สุดได้ และลดโอกาสผิดพลาดลง

  3. หลักการพื้นฐานของทฤษฎีเกมส์หลักการพื้นฐานของทฤษฎีเกมส์ • ผู้เล่นเกมส์ เป็นผู้ที่ใช้หลักเหตุผลในการตัดสินใจ ดังนั้นจึงตัดสินใจอย่างมีเหตุผลเสมอ • ผู้เล่นเกมส์จะเลือกทางเลือกที่ดีที่สุดเสมอจากทางเลือกต่าง ๆ ที่มีอยู่ • ผู้เล่นพยายามทำความเข้าใจเกมส์จากมุมมองของฝ่ายตรงข้าม แล้วกำหนดกลยุทธ์ตอบสนองการกระทำที่คาดหมายนั้น

  4. ความหมายสำคัญ • ผู้เล่น (player) = ผู้ตัดสินใจ • กลยุทธ์ (strategy) = ทางเลือกต่าง ๆ ของผู้เล่น • ผลตอบแทน (pay off) = ผลลัพธ์จากแต่ละกลยุทธ์ • การเล่น (move) = การตัดสินใจใช้กลยุทธ์อย่างใดอย่างหนึ่ง

  5. ความหมายสำคัญ • ดุลยภาพแนช (Nash equilibrium)= สถานการณ์ที่ผู้เล่นแต่ละฝ่ายเลือกกลยุทธ์ที่ดีที่สุดสำหรับฝ่ายตน โดยขึ้นกับเงื่อนไขกลยุทธ์ที่ดีที่สุดที่ฝ่ายตรงข้ามใช้ • ในภาวะดุลยภาพ การเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์จะไม่ทำให้ดีขึ้น ดังนั้นถ้าเปลี่ยนกลยุทธ์แล้วดีขึ้นได้ แสดงว่ายังไม่อยู่ในดุลยภาพ

  6. เกมประมูลธนบัตร • กติกา: • ประมูลเพิ่มครั้งละ 10 บาท • ผู้ประมูลราคาสูงสุดได้ธนบัตรไป • ผู้ประมูลราคารองลงไปต้องจ่ายโดยไม่ได้อะไรเลย

  7. เกมประมูลธนบัตร • ก. ประมูล 20 บาท • ข. ประมูล 30 บาท • ถ้า ก. หยุดแล้วไม่มีใครประมูลต่อ ก. เสีย 20 ดังนั้น ก.ประมูล 40 บาท • ถ้า ข. หยุดแล้วไม่มีใครประมูลต่อ ข. เสีย 30 ดังนั้น ข.ประมูล 50 บาท • ก. ประมูล 60 ข. ประมูล 70 ก.ประมูล 80

  8. เกมประมูลธนบัตร • ข. ประมูล 90 ก. ประมูล 100 • ถ้า ข.หยุดจะเสีย 90 ถ้าประมูลต่อที่ 110 จะขาดทุน 10 ดังนั้น ข.ประมูล 110 • ถ้า ก.หยุดจะเสีย 100 ถ้าประมูลต่อที่ 120 จะขาดทุน 20 ดังนั้น ข.ประมูล 120 • ฯลฯ • เป็นพฤติกรรมที่ไม่มีเหตุผล

  9. ลักษณะของเกมส์ประเภทต่าง ๆที่สำคัญ • Zero-sum game = เกมส์ที่ผลได้ของฝ่ายหนึ่งเท่ากับผลเสียของอีกฝ่ายหนึ่งพอดี (ผลได้ผลเสียรวมกัน =0) • บริษัท A กับ B แข่งขันกันในตลาดน้ำอัดลม มีทางเลือกำหนดราคา 2 ราคาคือ ขวดละ 5 บาทกับ 10 บาท • ถ้ากำหนดราคา เท่ากันยอดขายแบ่งครึ่ง • ฝ่ายใดตั้งราคาสูงกว่าจะขายไม่ได้เลย

  10. Zero-sum game • กำไรคิดจากรายรับการขาย ลบด้วยต้นทุนคงที่ (25 ล้านบาท) • ถ้าขายราคา 5 บาทยอดขาย 10 ล้านขวด รายรับ 50 ล้านบาท แต่ละบริษัทกำไร = 25-25 =0 • ถ้าขายราคา 10 บาท ยอดขาย 5 ล้านขวด รายรับ 50 ล้านบาทแต่ละบริษัทกำไร = 25-25 =0

  11. ถ้า A ขายราคา 5 บาท B ขายราคา 10 บาท A ได้ยอดขายทั้งหมด 50 ล้าน หักต้นทุนคงที่ 25 ล้าน ได้กำไร =25 ล้าน B ยอดขาย =0 หักต้นทุนคงที่ 25 ล้าน กำไร = -25 ล้าน • ถ้า B ขายราคา 5 บาท A ขายราคา 10 บาท B ได้ยอดขายทั้งหมด 50 ล้าน หักต้นทุนคงที่ 25 ล้าน ได้กำไร =25 ล้าน A ยอดขาย =0 หักต้นทุนคงที่ 25 ล้าน กำไร = -25 ล้าน

  12. บริษัท B 5 บาท 10 บาท 5 บาท (0, 0) (25, -25) บริษัท A 10 บาท (0, 0) (-25, 25) Pay off: (A, B) ตัวอย่างกรณี zero-sum game

  13. Nonzero-sum game • เกมส์ทั่วไปทางเศรษฐศาสตร์มักไม่ใช่ Zero-sum game คือผลได้ของฝ่ายหนึ่งกับผลเสียอีกฝ่ายหนึ่งรวมกันแล้วไม่เท่ากับศูนย์ • ตัวอย่างเช่น การตัดสินใจของ บริษัท A และ B ว่าจะขยายกิจการหรือไม่ คาดหมายว่าจะได้ผลตอบแทนดังนี้ • ถ้าทั้ง 2 บริษัทขยายกิจการ บริษัท A จะได้กำไร 3 ล้าน บริษัท B ได้กำไร 2 ล้านบาท

  14. ถ้าทั้ง 2 บริษัทไม่ขยายกิจการ บริษัท A จะได้กำไร 10 ล้าน บริษัท B ได้กำไร 12 ล้านบาท • ถ้าบริษัท A ขยายแต่ B ไม่ขยายกิจการ บริษัท A จะได้กำไร 20 ล้าน บริษัท B ได้กำไร 5 ล้านบาท • ถ้าบริษัท B ขยายแต่ A ไม่ขยายกิจการ บริษัท A จะได้กำไร 8 ล้าน บริษัท B ได้กำไร 25 ล้านบาท

  15. บริษัท B ขยาย ไม่ขยาย ขยาย (3, 2) (20, 5) บริษัท A ไม่ขยาย (10, 12) (8, 25) Pay offs: (A, B) ตัวอย่างกรณี Nonzero-sum game

  16. กลยุทธ์เด่น(Dominant Strategy) • กลยุทธ์เด่น = ทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด ไม่ว่าคู่แข่งจะทำอย่างไร • ตัวอย่างเช่น การตัดสินใจของ บริษัท A และ B ว่าจะโฆษณาหรือไม่ คาดหมายว่าจะได้ผลตอบแทนดังนี้ • ถ้าทั้ง 2 บริษัทโฆษณา บริษัท A จะได้กำไร 4 ล้าน บริษัท B ได้กำไร 3 ล้านบาท

  17. ถ้าทั้ง 2 บริษัทไม่โฆษณาบริษัท A จะได้กำไร 3 ล้าน บริษัท B ได้กำไร 2 ล้านบาท • ถ้าบริษัท A โฆษณาแต่ B ไม่โฆษณาบริษัท A จะได้กำไร 5 ล้าน บริษัท B ได้กำไร 1 ล้านบาท • ถ้าบริษัท B โฆษณาแต่ A ไม่โฆษณาบริษัท A จะได้กำไร 2 ล้าน บริษัท B ได้กำไร 5 ล้านบาท

  18. บริษัท B โฆษณา ไม่โฆษณา โฆษณา (4, 3) (5, 1) บริษัท A (3, 2) ไม่โฆษณา (2, 5) Pay offs: (A, B) ตัวอย่างกรณี Dominant strategy

  19. การตัดสินใจของ A ขึ้นกับการตัดสินใจของ B • ถ้า B โฆษณา • A โฆษณา กำไรของ A = 4 • A ไม่โฆษณา กำไรของ A = 2 • ถ้า B ไม่โฆษณา • A โฆษณา กำไรของ A = 5 • A ไม่โฆษณา กำไรของ A = 3 √ √

  20. A เลือกโฆษณาแน่นอนไม่ว่า B ตัดสินใจอย่างไร • กลยุทธ์เด่นของ A คือโฆษณา • การตัดสินใจของ B ขึ้นกับการตัดสินใจของ A • ถ้า A โฆษณา • B โฆษณา กำไรของ B = 3 • B ไม่โฆษณา กำไรของ B = 1 √

  21. ถ้า A ไม่โฆษณา • B โฆษณา กำไรของ B = 5 • B ไม่โฆษณา กำไรของ B = 2 • B เลือกโฆษณาแน่นอนไม่ว่า A ตัดสินใจอย่างไร • กลยุทธ์เด่นของ B คือโฆษณา • ในกรณีนี้ผลลัพธ์( solution)ก็คือทั้ง 2 บริษัทจะโฆษณา และ A กำไร 4 ล้าน B กำไร 3 ล้าน √

  22. กรณีมีกลยุทธ์เด่นฝ่ายเดียวกรณีมีกลยุทธ์เด่นฝ่ายเดียว • ตัวอย่าง การตัดสินใจของ บริษัท A และ B ว่าจะขยายการผลิตหรือไม่ คาดหมายว่าจะได้ผลตอบแทนดังนี้ • ถ้าทั้ง 2 บริษัทขยายการผลิต บริษัท A จะได้กำไร 18 ล้าน บริษัท B ได้กำไร 8 ล้านบาท • ถ้าทั้ง 2 บริษัทไม่ขยายการผลิต บริษัท A จะได้กำไร 10 ล้าน บริษัท B ได้กำไร 12 ล้านบาท

  23. ถ้าบริษัท A ขยายแต่ B ไม่ขยายการผลิต บริษัท A จะได้กำไร 20 ล้าน บริษัท B ได้กำไร 15 ล้านบาท • ถ้าบริษัท B ขยายแต่ A ไม่ขยายการผลิต บริษัท A จะได้กำไร 5 ล้าน บริษัท B ได้กำไร 25 ล้านบาท

  24. บริษัท B ขยาย ไม่ขยาย ขยาย (18, 8) (20, 15) บริษัท A ไม่ขยาย (10, 12) (5, 25) Pay offs: (A, B) ตัวอย่างกรณีมีกลยุทธ์เด่นฝ่ายเดียว

  25. การตัดสินใจของ A ขึ้นกับการตัดสินใจของ B • ถ้า B ขยายการผลิต • A ขยาย กำไรของ A = 18 • A ไม่ขยาย กำไรของ A = 5 • ถ้า B ไม่ขยายการผลิต • A ขยาย กำไรของ A = 20 • A ไม่ขยาย กำไรของ A = 10 √ √

  26. A เลือกขยายการผลิตแน่นอนไม่ว่า B ตัดสินใจอย่างไร • กลยุทธ์เด่นของ A คือขยายการผลิต • การตัดสินใจของ B ขึ้นกับการตัดสินใจของ A • ถ้า A ขยายการผลิต • B ขยาย กำไรของ B = 8 • B ไม่ขยาย กำไรของ B = 15 √

  27. ถ้า A ไม่ขยายการผลิต • B ขยาย กำไรของ B = 25 • B ไม่ขยาย กำไรของ B = 12 • B ไม่มีกลยุทธ์เด่น การเลือกกลยุทธ์จะขึ้นกับการตัดสินใจของ A • เนื่องจาก A เลือกขยายการผลิตแน่นอน ในกรณีนี้ผลลัพธ์( solution)ก็คือบริษัทจะขยายการผลิตแต่ B ไม่ขยาย A กำไร 20 ล้าน B กำไร 15 ล้าน √

  28. กรณีไม่มีฝ่ายใดมีกลยุทธ์เด่นกรณีไม่มีฝ่ายใดมีกลยุทธ์เด่น • ตัวอย่าง การตัดสินใจของ บริษัท A และ B ว่าจะขยายการผลิตหรือไม่ คาดหมายว่าจะได้ผลตอบแทนดังนี้ • ถ้าทั้ง 2 บริษัทขยายการผลิต บริษัท A จะได้กำไร 18 ล้าน บริษัท B ได้กำไร 8 ล้านบาท • ถ้าทั้ง 2 บริษัทไม่ขยายการผลิต บริษัท A จะได้กำไร 10 ล้าน บริษัท B ได้กำไร 12 ล้านบาท

  29. ถ้าบริษัท A ขยายแต่ B ไม่ขยายการผลิต บริษัท A จะได้กำไร 8 ล้าน บริษัท B ได้กำไร 15 ล้านบาท • ถ้าบริษัท B ขยายแต่ A ไม่ขยายการผลิต บริษัท A จะได้กำไร 5 ล้าน บริษัท B ได้กำไร 25 ล้านบาท

  30. บริษัท B ขยาย ไม่ขยาย ขยาย (18, 8) (8, 15) บริษัท A ไม่ขยาย (10, 12) (5, 25) Pay offs: (A, B) ตัวอย่างกรณีไม่มีกลยุทธ์เด่น

  31. การตัดสินใจของ A ขึ้นกับการตัดสินใจของ B • ถ้า B ขยายการผลิต • A ขยาย กำไรของ A = 18 • A ไม่ขยาย กำไรของ A = 5 • ถ้า B ไม่ขยายการผลิต • A ขยาย กำไรของ A = 8 • A ไม่ขยาย กำไรของ A = 10 √ √

  32. A ไม่มีกลยุทธ์เด่น การตัดสินใจขึ้นกับว่า B จะตัดสินใจอย่างไร • การตัดสินใจของ B ขึ้นกับการตัดสินใจของ A • ถ้า A ขยายการผลิต • B ขยาย กำไรของ B = 8 • B ไม่ขยาย กำไรของ B = 15 √

  33. ถ้า A ไม่ขยายการผลิต • B ขยาย กำไรของ B = 25 • B ไม่ขยาย กำไรของ B = 12 • B ไม่มีกลยุทธ์เด่น การเลือกกลยุทธ์จะขึ้นกับการตัดสินใจของ A • ไม่อาจหาคำตอบที่แน่นอนได้ ผลลัพธ์ขึ้นกับว่าฝ่ายใดสามารถโน้มน้าวให้อีกฝ่ายหนึ่งเชื่อว่าจะตัดสินใจอย่างไรได้ก่อน √

  34. ถ้า A ออกข่าวให้ B เชื่อได้ว่าไม่ขยายการผลิตแน่นอน ทำให้ B เลือกขยายการผลิตโดยหวังกำไร = 25 ล้าน • เมื่อ B ขยายการผลิตแน่แล้ว A ก็จะดำเนินกลยุทธ์ดีที่สุดของตนคือขยายการผลิตด้วย • ผลทำให้ A กำไร = 18 ล้าน แต่ B กำไรเพียง 8 ล้าน

  35. กลยุทธ์ปลอดภัยไว้ก่อน(Maximin Strategy) • ในกรณีที่ไม่สามารถคาดคะเนทางเลือกของฝ่ายตรงข้ามได้แน่นอน หรือไม่มั่นใจพอ • ต้องการหลีกเลี่ยงความเสี่ยง จะใช้ maximin strategy • หลักการคือ • ดูว่าความเสียหายสูงสุดในแต่ละทางเลือกเป็นเท่าใด • เลือกทางเลือกที่เสียหายน้อยที่สุด

  36. กรณีใช้ maximin strategy • ตัวอย่าง การตัดสินใจของ บริษัท A และ B ว่าจะลงทุนในเทคโนโลยีใหม่หรือไม่ คาดหมายว่าจะได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นจากการลงทุนดังนี้ • ถ้าทั้ง 2 บริษัทต่างลงทุนบริษัท A จะกำไรเพิ่มขึ้น 20 ล้าน บริษัท B ได้กำไรเพิ่มขึ้น 10 ล้านบาท • ถ้าทั้ง 2 บริษัทไม่ลงทุน บริษัท A จะกำไรเพิ่ม = 0 บริษัท B กำไรเพิ่ม = 0

  37. ถ้าบริษัท A ลงทุนแต่ B ไม่ลงทุน บริษัท A จะได้กำไร ลดลง 100 ล้าน บริษัท B ได้กำไรเพิ่ม =0 • ถ้าบริษัท B ลงทุนแต่ A ไม่ลงทุนบริษัท A จะได้กำไรลดลง 10 ล้าน บริษัท B ได้กำไรเพิ่ม 10 ล้านบาท

  38. บริษัท B ลงทุน ไม่ลงทุน ลงทุน (-100, 0) (20, 10) บริษัท A ไม่ลงทุน (0, 0) (-10, 10) Pay offs: (A, B) Maximin strategy

  39. การตัดสินใจของ A ขึ้นกับการตัดสินใจของ B • ถ้า B ลงทุน • A ลงทุน กำไรของ A = 20 • A ไม่ลงทุน กำไรของ A = -10 • ถ้า B ไม่ลงทุน • A ลงทุน กำไรของ A = -100 • A ไม่ลงทุน กำไรของ A = 0 √ √

  40. A ไม่มีกลยุทธ์เด่น การตัดสินใจขึ้นกับว่า B จะใช้กลยุทธ์อย่างไร • การตัดสินใจของ B ขึ้นกับการตัดสินใจของ A • ถ้า A ลงทุน • B ลงทุน กำไรของ B = 10 • B ไม่ลงทุน กำไรของ B = 0 √

  41. ถ้า A ไม่ลงทุน • B ลงทุน กำไรของ B = 10 • B ไม่ลงทุน กำไรของ B = 0 • B มีกลยุทธ์เด่น การเลือกกลยุทธ์จะขึ้นกับการตัดสินใจของ A • ถ้าการตัดสินใจเป็นไปอย่างมีเหตุผลและการคาดการณ์ถูกต้อง B จะลงทุน ทำให้ A เลือกลงทุนด้วย • Nash equilibrium คือ A กำไร 20 B กำไร 10 √

  42. แต่ถ้าพฤติกรรมของ B ไม่มีเหตุผล และ A ไม่แน่ใจว่าถ้าตัดสินใจลงทุนไปแล้ว B ไม่ลงทุน ผลจะทำให้ A กำไรลดลงถึง 100 ล้าน • ควรใช้หลักปลอดภัยไว้ก่อนซึ่งได้ผลลัพธ์คือ • A ควรเลือกไม่ลงทุน • B เลือกที่จะลงทุน

  43. เหตุผลการตัดสินใจของ A คือ • ถ้า B ลงทุน minimum payoff ของ A = -10 (เมื่อ A ไม่ลงทุน) • ถ้า B ไม่ลงทุน minimum payoff ของ A = -100 (เมื่อ Aลงทุน) • A จะ maximize minimum pay off (สูญเสียต่ำสุด) เมื่อเลือกไม่ลงทุน

  44. สถานการณ์ Prisoners’ Dilemma • สามารถประยุกต์ใช้ได้ดีเมื่อวิเคราะห์ตลาดผู้ขายน้อยราย • เป็นแนวคิดของ A.W.Tucker • ตำรวจจับโจร 2 คน โทษจำคุก 10 ปี แต่หลักฐานอ่อน • ถ้าไม่มีใครสารภาพ โทษเบาแค่จำคุก 1 ปี • ตำรวจแยกสอบสวน โดยไม่ให้พบกันเลย • เสนอว่าถ้าสารภาพจะกันเป็นพยาน คนไม่สารภาพจะติดคุก 10 ปี แต่ถ้าสารภาพทั้งคู่จะติดคุกคนละ 5 ปี

  45. โจร B สารภาพ ไม่สารภาพ สารภาพ (5, 5) (0, 10) โจร A ไม่สารภาพ (1, 1) (10, 0) Pay offs: (A, B) Prisoners’ Dilemma

  46. การตัดสินใจของ A ขึ้นกับการตัดสินใจของ B • ถ้า B สารภาพ • A สารภาพ A ติดคุก 5 ปี • A ไม่สารภาพ A ติดคุก 10 ปี • ถ้า B ไม่สารภาพ • A สารภาพ A ติดคุก 0 ปี • A ไม่สารภาพ A ติดคุก 1 ปี √ √

  47. A มีกลยุทธ์เด่นคือสารภาพ • การตัดสินใจของ B ขึ้นกับการตัดสินใจของ A • ถ้า A สารภาพ • B สารภาพ B ติดคุก 5 ปี • B ไม่สารภาพ B ติดคุก 10 ปี • ถ้า A ไม่สารภาพ • B สารภาพ B ติดคุก 0 ปี • B ไม่สารภาพ B ติดคุก 1 ปี √ √

  48. B มีกลยุทธ์เด่น คือสารภาพเช่นกัน • ถ้าทั้ง 2 คนเลือกกลยุทธ์เด่นคือสารภาพ จะติดคุกคนละ 5 ปี • ถ้าตกลงกันได้คือไม่สารภาพทั้งคู่ จะติดคุกเพียงคนละ 1 ปี แต่ปัญหาก็คืออาจถูกหักหลังทำให้ติดคุกถึง 10 ปีได้

  49. การประยุกต์ Prisoners’ Dilemma • ในการวิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์ กรณีตลาดผู้ขายน้อยราย สามารถนำเอาแนวคิด Prisoners’ Dilemma มาใช้ได้ • ปกติกิจการที่แข่งขันกันสูง จะต่างฝ่ายต่างได้กำไรน้อยซึ่งเป็นผลจากการแข่งขัน • ถ้ารวมมือกันผูกขาดได้สำเร็จ ต่างฝ่ายต่างได้กำไรมากขึ้น • แต่การร่วมมือกันผูกขาดยากจะเกิดขึ้นเพราะไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะหักหลังหรือไม่

  50. จากตัวอย่างกรณี oligopoly ในบทที่ 12 • แข่งขัน (ราคาขาย = 4) กำไรบริษัทละ = 12 • ร่วมมือกันผูกขาด (ราคาขาย = 6) กำไรบริษัทละ = 16 • ถ้าตกลงจะผูกขาด แต่ฝ่ายหนึ่งไม่ปฏิบัติ ฝ่ายที่ทำตามข้อตกลง(ขายราคา =6)ได้กำไร = 4 ฝ่ายไม่ทำตาม(ขายราคา = 4)ได้กำไร = 20 • นำมาเขียนเป็น pay off matrix ได้ดังนี้

More Related