950 likes | 1.04k Views
by chairat. เทคนิคการถ่ายภาพเบื้องต้น basic Photography. สิ่งที่เราต้องมาเรียนรู้กัน … เรื่องการถ่ายภาพ. แสง ปุ่มและฟังชั่นของกล้อง DSLR อุปกรณ์การถ่ายภาพ องค์ประกอบการจัดภาพ กฎสามส่วนของการถ่ายภาพ เทคนิคการถ่ายภาพในโอกาสต่างๆ. หน้าชัด … หลังเบลอ ถ่ายกันเป็นหรือยัง ? อิอิ.
E N D
by chairat เทคนิคการถ่ายภาพเบื้องต้น basic Photography
สิ่งที่เราต้องมาเรียนรู้กัน…เรื่องการถ่ายภาพสิ่งที่เราต้องมาเรียนรู้กัน…เรื่องการถ่ายภาพ • แสง • ปุ่มและฟังชั่นของกล้อง DSLR • อุปกรณ์การถ่ายภาพ • องค์ประกอบการจัดภาพ • กฎสามส่วนของการถ่ายภาพ • เทคนิคการถ่ายภาพในโอกาสต่างๆ
หน้าชัด…หลังเบลอ ถ่ายกันเป็นหรือยัง? อิอิ
ถ่าย close upดอกไม้ ถ่ายอย่างไร?
ชัดตื้น… ชัดลึก เขาถ่ายกันเยี่ยงไร
แสงที่ใช้การถ่ายภาพ (Light) • "การถ่ายภาพ" หรือ "Photography" คือ การเขียนภาพด้วยแสงสว่าง แสงเปรียบเหมือนสีที่จิตรกรใช้ในการวาดภาพ ถ้ารู้จักเก็บแสงสีดีๆก็จะได้ภาพสวยๆไปด้วย... "แสง“จึงมีความจำเป็นที่สุดต่อการถ่ายภาพ
แสงที่ใช้ในการถ่ายภาพแสงที่ใช้ในการถ่ายภาพ • แสงที่ใช้ในการถ่ายภาพ แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ1. แสงธรรมชาติ (Natural light)คือ แสงสว่างที่ได้จากแหล่งกำเนิดแสงธรรมชาติ ได้แก่ ดวงอาทิตย์และแสงที่ได้จากการสะท้อนทางอ้อมในเวลากลางวัน ส่วนแสงจากดวงจันทร์และดวงดาวนั้นมีบ้างแต่มีโอกาสได้ใช้ค่อนข้างน้อย 2. แสงเทียน (Artificial light)คือ แสงสว่างที่ได้จากสิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์โดยกรรมวิธีต่างๆ เช่น แสงสว่างจากหลอดไฟฟ้าทุกชนิด แสงจากไฟแฟลชทุกชนิด แสงจากตะเกียงหรือเทียนไขและแสงรังสีต่างๆ ที่ใช้ในงานวิทยาศาสตร์และการแพทย์
ลักษณะของแสงที่ใช้ในการถ่ายภาพลักษณะของแสงที่ใช้ในการถ่ายภาพ natural light (Artificial light)
ลักษณะของแสงที่ใช้ในการถ่ายภาพลักษณะของแสงที่ใช้ในการถ่ายภาพ • 1. แสงแบบแข็ง(hard light) แสงแบบแข็งเป็นแสงสว่างจากดวงไฟส่องไปยังวัตถุที่ถ่ายโดยตรง วัตถุที่มีร่องขรุขระจะมองเห็นความแตกต่างระหว่างพื้นเรียบได้ชัดเจน • 2. แสงแบบนุ่ม (Soft light)เป็นส่วนที่สว่างและส่วนที่เป็นเงามืดมีความแตกต่างกันน้อย • 3. แสงสว่างทั่ว (High key)แสงสว่างทั่วเป็นการจัดแสงเพื่อทำให้ภาพดูนุ่มนวลชวนฝัน โดยใช้ฉากหลังเป็นสีอ่อนหรือสีขาวให้แสงสว่างกระจายทั่วส่องไปยังแบบให้เงาที่เกิดอ่อนที่สุด • 4. แสงสว่างส่วนน้อย (Low key)แสงสว่างส่วนน้อยเป็นการจัดแสงลักษณะตรงข้ามกับแบบแสงสว่างทั่ว เพื่อทำให้ภาพดูลึกลับตื่นเต้นน่าพิศวง ส่วนที่สว่างมีเนื้อที่น้อยที่สุด
ลักษณะภาพของแสงที่ต่างกันลักษณะภาพของแสงที่ต่างกัน (hard light) (Low key) (High key) (Soft light)
ทิศทางของแสง • 1. แสงในแนวตั้ง (Vertical lighting)เป็นแสงที่ส่องไปยังวัตถุทำให้เกิดมุมของแสงตามแนวตั้ง ซึ่งเราสามารถจัดแสงให้อยู่ในระดับสายตา ระดับต่ำกว่าสายตา หรือจัดให้อยู่ในมุมสูงส่องลงมายังวัตถุก็ได้ • 1.1 แสงในมุมสูง เป็นแสงที่ทำมุมกับแนวระนาบประมาณ 40°-60° ถ้าเป็นแสงธรรมชาติจะเป็นช่วงก่อนเที่ยงและช่วงบ่าย • 1.2 แสงในมุมต่ำ ได้แก่แสงที่ส่องจากด้านล่าง โดยมากไม่ค่อยพบในแสงธรรมชาติ แต่จะมีในเมื่อจัดแสงเทียมหรือแสงไฟจากแหล่งอื่นๆ ถ้าถ่ายภาพบุคคลโดยใช้แบบมุมต่ำจะดูน่ากลัว ลึกลับ
ทิศทางของแสง • 2. แสงในแนวนอน (Horizontal lighting)เป็นแสงที่ส่องมายังวัตถุในแนวนอน ได้แก่ 2.1 แสงหน้า (Front light)เป็นแสงที่ส่องตรงเข้ามาทางด้านหน้าของวัตถุที่ถูกถ่าย แสงแบบนี้จะมีเฉพาะบริเวณ Highlightไม่เกิดเงาในภาพ ทำให้วัตถุดูเรียบแบน2.2 แสงข้าง (Side lightเป็นแสงที่ส่องมาด้านข้างของสิ่งที่จะถ่าย ทำมุมประมาณ 90ºด้านซ้ายและด้านขวา ทำให้เกิดเงามืดตัดกับแสงสว่าง ช่วยให้เห็นผิวพื้นชัดเจน เห็นเป็นรูปลักษณะด้านสูง และลึก 2.3 แสงหลัง (Back light)เป็นแสงที่มาจากด้านหลังของสิ่งที่จะถ่าย ตรงข้ามกับตำแหน่งที่ตั้งกล้องเห็นเป็นเงาดำๆ แสดงเฉพาะรูปทรงภายนอกเท่านั้น2.4 แสงเฉียงหน้าและแสงเฉียงหลัง (Semi - Front light and Semi - Back light)เป็นแสงที่ส่องเฉียงเข้าด้านข้างและด้านหลังของวัตถุ ทั้งด้านซ้ายและขวา
ลักษณะภาพของมุมแสงที่ต่างกันลักษณะภาพของมุมแสงที่ต่างกัน
กล้องดิจิตอล (Digital Camera) • เมื่อเทคโนโลยีการถ่ายภาพได้พัฒนาอย่างไม่หยุดนิ่ง พร้อมกันนั้นเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ก็มีความก้าวหน้าเช่นกัน จึงได้มีผู้คิดค้นกล้องถ่ายภาพที่สามารถใช้งานร่วมกับคอมพิวเตอร์ ที่เรียกว่า กล้องดิจิตอล (Digital Camera) ที่ถ่ายภาพโดยไม่ต้องใช้ฟิล์ม ไม่ต้องผ่านกระบวนการล้าง อัด ขยายภาพ การบันทึกภาพจะบันทึกในรูปแบบของหน่วยความจำแบบดิจิตอล หรือบันทึกลงในแผ่นดิสก์เก็ต หรือ ซีดีรอม บางรุ่นสามารถบันทึกภาพได้ละเอียดถึง 6 ล้าน Pixel ช่องมองภาพจะเป็นจอภาพแบบ LCD หรือจอคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก สามารถพิมพ์ภาพออกทางเครื่องพิมพ์ (Printer) สามารถผลิตได้ทั้งภาพสี ภาพขาว ดำ สไลด์สี บางรุ่นสามารถบันทึกวิดีทัศน์ (Video) ได้ในตัว และสามารถแสดงผลทางจอภาพ ของเครื่องคอมพิวเตอร์ ตกแต่งและสร้างสรรค์ภาพด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์กราฟิก เช่น Adobe PhotoShopสามารถเผยแพร่ภาพทางอินเทอร์เน็ต หรือส่งทาง Email ได้ ปัจจุบันกล้องชนิดนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก บริษัทผลิตกล้องถ่ายภาพหลายบริษัทได้หันมาพัฒนาเทคโนโลยีกล้องดิจิตอลมากขึ้น
กล้องดิจิตอล (Digital Camera) • เราจะเลือกซื้อแบบไหนให้ได้ใช้งานได้อย่างคุ้มค่าได้อย่างไร กล้องมีมากมายหลายประเภทแล้วจะเลือกแบบไหนดี บางตัวเห็นมีเลนส์ยื่นออกมายาวๆ เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง แล้วแบบไหนล่ะที่ถ่ายภาพออกมาสวยงามกล้องที่เราเห็นอยู่มากมายหลายแบบ แยกออกเป็นประเภทดังนี้คือ
Digital Camera • กล้องคอมแพคหรือที่รู้จักกันในนาม ..กล้องปัญญาอ่อน.. อันที่จริงมันเป็นกล้องอัจฉริยะตะหากล่ะ เพราะว่ามันแสนรู้เพียงคนถ่ายกดปุ่ม ปุ่มเดียวโดยไม่ต้องปรับอะไรเลยก็ได้ภาพที่สวยสมใจแล้ว หากแสงไม่สว่างไม่พอกล้องแสนรู้ตัวนี้ก็จะสั่งให้แฟชทกระเด้งขึ้นมาและฉายแสงเอง อันที่จริงมันเป็นกล้องอัจฉริยะแต่ที่เรียกว่าปัญญาอ่อน ม่ายรู้ว่ากล้องหรือคนถ่ายกันแน่.... เอาเป็นว่าต่อไปเราเรียกมันว่ากล้องคอมแพคดีกว่านะ ดีกว่าเรียกว่ากล้องปัญญาอ่อนเดี๋ยวจะสะเทือนใจผู้ใช้งาน กล้องคอมแพคสมัยนี้มีคุณภาพที่สูงมาก ให้ความคมชัดสูง แทบทุกตัวจะมีซูมในตัวสามารถดึงภาพให้ได้ภาพที่ใหญ่ๆ บางรุ่นก็มีลูกเล่นมากมาย มีหลายระดับราคาให้เลือกตั้งแต่พันกว่าๆ ไปจนถึงเป็นหมื่นกว่าบาท กล้องประเภทนี้เปลี่ยนเลนส์ไม่ได้ ปรับเปลี่ยนความเร็วในการบันทึกภาพไม่ได้
Digital Camera • ข้อดี ตัวเล็กกระทัดรัด น้ำหนักเบา สะดวกต่อการพกพา ใช้ง่าย เห็นมุมไหนถูกใจก็เอาออกมาเล็ง แล้วก็กดเช๊ะเดียวก็ได้ภาพสมใจ ไม่ต้องมีความรู้เรื่องกล้องก็ใช้ได้ • ข้อเสีย ไม่มีลูกเล่นอื่นๆ ที่จะสร้างสรรภาพให้สวยงามเหมือนดั่งกล้อง SLR ความคมชัดเป็นรองอย่างมาก
Digital Camera • กล้อง SLR (Single LenReflex) มันย่อมาจากคำที่แปลว่า กล้องสะท้อนเลนส์เดี่ยวแปลให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือกล้องมองผ่านเลนส์ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามองเห็นในช่องมองภาพก็จะเป็นภาพที่จะปรากฏบนภาพถ่าย ถ้าหากเราลืมเปิดหน้าเลนส์ก็จะมองไม่เห็นอะไรเลย กล้องที่ช่างภาพเขาใช้กัน ที่ใส่เลนส์ยาวๆ ยืดได้หดได้นั่นล่ะ คือกล้อง SLR สามารถถอดเปลี่ยนเลนส์ตามที่ต้องการได้ เมื่อต้องการถ่ายภาพวิวส์ก็เปลี่ยนมาใช้เลนส์มุมกว้าง เมื่อต้องการถ่ายภาพที่ดึงภาพให้เห็นวัตถุที่ใหญ่ๆ เช่นการถ่ายภาพนกก็ต้องเปลี่ยนไปใช้เลนส์ถ่ายไกล สามารถเลือกใช้เลนส์ได้มากมายหลายขนาด
Digital Camera กล้อง SLR แยกเป็น 3 ประเภท คือ • กล้องแมนนวล • กล้องไฟฟ้า • กล้องAF หรือกล้อง Auto Focus
กล้องแมนนวล กล้องแมนนวล เป็นกล้องที่ผู้ใช้ต้องปรับเองทุกอย่าง ปรับความชัด ปรับขนาดหน้ากล้อง ปรับขนาดความเร็วชัตเตอร์ โดยจะมีเครื่องวัดแสงบ่งชี้ให้เรารู้ว่าแสงพอดีหรือมากไปน้อยไป • ข้อดีคือระบบการทำงานเป็นกลไก ทนทานกว่าระบบกล้องอิเลคโทรนิคเพราะไม่มีแผงวงจรไฟฟ้าที่อาจจะเสื่อมเมื่อเวลาผ่านไปนานๆ • ข้อเสียก็มีคือ ช้า ต้องเสียเวลาปรับแต่ง ไม่ทันการถ่ายภาพเร่งด่วนที่สำคัญๆ เพราะมัวแต่วัดแสงและปรับความชัดของภาพ บางครั้งการถ่ายภาพคน คนยิ้มแล้วก็ยังไม่ยอมถ่ายจนทำให้นางแบบยิ้มแล้วยิ้มอีกจนเมื่อยแก้ม ยิ่งถ่ายภาพตอนกลางคืนยิ่งมีปัญหามากเพราะไม่สามารถมองเห็นวัตถุในที่มืดได้ • กล้องแมนนวลมักจะมีราคาถูกเหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นในการเรียนรู้การถ่ายภาพ ยกเว้นบางยี่ห้อที่ราคาแพงค้างฟ้าก็ยังมีคนซื้อเพราะติดในยี่ห้อ
กล้องไฟฟ้า • กล้องไฟฟ้า กล้องนี้หลักการทำงานคือช่วย กันระหว่างคนกับวงจรไฟฟ้า คนปรับบ้างกล้องปรับบ้างช่วยๆ กันไป สิ่งที่ผู้ถ่ายจะต้องปรับคือ ปรับความคมชัดของเลนส์นอกจากนี้อาจจะต้องปรับความเร็วชัดเตอร์ กล้องจะปรับขนาดรูรับแสงให้เองโดยอัตโนมัติ หรือผู้ถ่ายปรับขนาดรูรับแสง ส่วนกล้องปรับความเร็วชัตเตอร์ให้ แล้วแต่ยี่ห้อและรุ่นที่ออกมา หากอ่านแล้วงงๆ ว่าต้องปรับอะไร คลิกเข้าไปอ่านในเรื่องการปรับแสงในหัวข้อกล้องและเลนส์
กล้อง AF หรือกล้อง Auto Focus • กล้อง AF หรือกล้อง Auto Focus ปรับความชัดของภาพอัตโนมัติ กล้อง SLR แบบนี้เป็นกล้องระบบอิเลคโนนิคที่ควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ขนาดจิ๋วที่อยู่ในตัวกล้อง แสนรู้เป็นที่สุด การใช้งานสะดวก สบายเหมือนกล้องคอมแพคแต่มีขนาดใหญ่กว่า แต่คุณภาพระดับสุดยอด การทำงานของกล้อง AF มีหลายระบบภายในตัวเดียวให้เลือกใช้ตามความต้องการของผู้ใช้
กล้อง AF หรือกล้อง Auto Focus • 1. ระบบ Full Auto (Auto) หรือระบบอัตโนมัติเต็มระบบ ผู้ใช้มีหน้าที่กดปุ่มเพียงอย่างเดียวที่เหลือกล้องจัดการปรับให้ทุกอย่าง ถ้าแสงไม่พอแฟชทก็จะฉายไฟออกมาเองโดยอัตโนมัติ ใครก็ได้ที่มีนิ้วสำหรับกดปุ่มก็สามารถใช้งานได้แล้ว • 2. ระบบ Program (P)กล้องปรับให้เองทุกอย่างเหมือนกับระบบ Full Auto แต่ผู้ใช้สามารถปรับแต่งได้ เช่นการปรับหน้ากล้องให้แคบลง กล้องก็จะปรับลดความเร็วชัตเตอร์ลงเพื่อให้แสงพอดีสำหรับการถ่ายภาพ
กล้อง AF หรือกล้อง Auto Focus • 3. ระบบ Tvผู้ถ่ายปรับแต่งความเร็วชัตเตอร์เอง โดยกล้องจะปรับขนาดรูรับแสงให้โดยอัตโนมัติ เพื่อให้แสงพอดีสำหรับการถ่ายภาพ • 4. ระบบ Av ผู้ถ่ายปรับแต่งขนาดรูรับแสงเอง โดยกล้องจะปรับความเร็วชัตเตอร์ให้โดยอัตโนมัติ เพื่อให้แสงพอดีสำหรับการถ่ายภาพ • นอกจากนี้ยังมีระบบอื่นๆ ที่เป็นลูกเล่นของแต่ละยี่ห้อเช่น โปรแกรมถ่ายดอกไม้ โปรแกรมถ่ายภาพกีฬา โปรแกรมถ่ายภาพวิวส์ เป็นต้น
อุปกรณ์ในการถ่ายภาพ • ตัวกล้อง(Camera body) เป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นในการถ่ายภาพ ตัวกล้องจะมีลักษณะเป็นกล่องภายในมีสีดำ ปิดมิดชิดเพื่อป้องกันแสงกระทบกับฟิล์ม ตัวกล้องอาจทำด้วยโลหะ หรือพลาสติกแข็ง ซึ่งแต่ละบริษัทใช้ผลิตออกมาจำหน่าย ภายในตัวกล้องจะมีกลไกต่าง ๆ หรืออุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ ที่ทำงานร่วมกันในการบันทึกภาพ กล้องบางรุ่นอาจเป็นระบบกลไก บางรุ่นอาจเป็นระบบกึ่งอัตโนมัติ หรือบางรุ่นอาจเป็นระบบดิจิตอล เพื่ออำนวยความสะดวกในการถ่ายภาพ ภายในตัวกล้อง จะมีส่วนประกอบที่สำคัญ ดังนี้ • ตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน กล้องถ่ายภาพได้มีการพัฒนาอย่างไม่หยุดนิ่ง ได้มีการนำเอาระบบดิจิตอล (Digital)ที่มีความสะดวก รวดเร็วและมีความแม่นยำในการถ่ายภาพ ทำให้รูปแบบของกล้องถ่ายภาพได้เปลี่ยนไป จากการบันทึกภาพด้วยฟิล์มมาเป็น การบันทึกภาพด้วยระบบหน่วยความจำ (Memory) และสามารถแสดงผลได้ทั้งทางจอภาพคอมพิวเตอร์ (Monitor) และแสดงผลหรือพิมพ์ภาพผ่านเครื่องพิมพ์ (Printer)
อุปกรณ์ในการถ่ายภาพ เลนส์ (Lens) • เป็นอุปกรณ์ที่สำคัญในการถ่ายภาพ โดยทำหน้าที่เป็นสื่อกลางที่ถ่ายทอดแสงสะท้อนภาพให้ผ่านเข้าไปในกล้อง รวมแสงให้เป็นภาพที่มีความคมชัดบันทึกลงแผ่นฟิล์ม เลนส์สำหรับกล้องถ่ายภาพ 35 มม. สะท้อนเลนส์เดี่ยวนั้น จะทำจากแก้วเลนส์ จำนวนหลายชิ้น เลนส์แต่ละชิ้นจะเคลือบด้วยสารไวแสง เพื่อให้การรับภาพมีความคมชัด และภายในกระบอกเลนส์จะมีแผ่นไดอะแฟรม (Diaphragm) สำหรับเพิ่มหรือลดขนาดรูรับแสงเพื่อควบคุมปริมาณแสงเข้าไปในตัวกล้อง
เลนส์(Optic) • เลนส์ คือ แก้วหรือวัตถุอย่างใดอย่างหนึ่งที่สามารถ ส่งผ่านแสงหรือหักเหแสงได้ แสงที่สะท้อนจากวัตถุต่างๆ ด้านหน้าของเลนส์จะปรากฏเป็นภาพอีกภาพหนึ่งที่ระยะใดระยะหนึ่ง ด้านหลังของเลนส์นั้น และภาพของวัตถุที่เกิดจากแสงเดินทางผ่านเลนส์มานั้น จะมีลักษณะเหมือนภาพจากวัตถุจริงทุกประการ
ชนิดของเลนส์ นักประดิษฐ์เลนส์ถ่ายภาพ ได้พยายามพัฒนา ออกแบบ เลนส์ให้เหมาะสมกับการใช้งานแต่ละประเภท โดยจำแนกประเภทของเลนส์ตามความยาวโฟกัส (Focus length) เลนส์ที่มีความยาว โฟกัสแตกต่างกัน จะให้ผลในการถ่ายภาพแตกต่างกันออกไป โดยมีเลนส์ขนาดหนึ่งใช้เป็นเลนส์ประจำกล้องเพื่อถ่ายภาพธรรมดาทั่วไป ซึ่งมีองศาในการรับภาพใกล้เคียงกับสายตาของมนุษย์ในการมองทั่วไป และมีเลนส์ขนาด อื่นแตกต่างกันออกไปอีกทั้งชนิด ที่มีองศารับภาพกว้างเหมาะสำหรับถ่ายภาพภูมิทัศน์ (Landscape) และเลนส์ที่มีทางยาวโฟกัสแคบ แต่สามารถถ่ายภาพในระยะไกลได้ นอกจากนี้ยงมีเลนส์ชนิดพิเศษที่สามารถอำนวยความสะดวก ในการถ่ายภาพได้ลักษณะตามต้องการ โดยจำแนกชนิดของเลนส์ ดังนี้
ชนิดของเลนส์ • 1.เลนส์มาตรฐาน (Normal lens หรือ Standard lens)เป็นเลนส์ประจำกล้อง ซึ่งเมื่อซื้อกล้องถ่ายภาพจะมีเลนส์ชนิดนี้ ติดมาด้วยเป็นเลนส์ที่ใช้ง่าย มีความยาวโฟกัส ระหว่าง 40-58 มม. ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นขนาด 50 มม. (โดยวัดจากกึ่งกลางเลนส์ถึงฟิล์ม) เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มเรียนรู้ในเรื่องการถ่ายภาพ เป็นเลนส์ที่มีองศาในการรับภาพกว้างประมาณ 47 องศา ซึ่งใกล้เคียงกับสายตาของมนุษย์ ภาพเลนส์มาตรฐาน (Normal lens หรือ Standard lens) มีความยาวโฟกัสตั้งแต่ 40 - 58 มม. องศาในการรับภาพประมาณ 47 องศา เหมาะสำหรับถ่ายภาพทั่วไป
ชนิดของเลนส์ • 2.เลนส์มุมกว้าง (Wide-angle lens)เป็นเลนส์ที่มีความยาวโฟกัสสั้นกว่าเลนส์มาตรฐาน และรับภาพได้มุมกว้างกว่า เหมาะสำหรับถ่ายภาพในสถานที่แคบหรือระยะห่างระหว่างกล้องถ่ายภาพ กับวัตถุที่จะถ่ายอยู่ใกล้กันแต่ต้องการเก็บภาพเป็น บริเวณกว้าง ซึ่งเลนส์ชนิดอื่นเก็บภาพได้ไม่หมด เหมาะสำหรับถ่ายภาพภูมิทัศน์(Land scape) หรือภาพในลักษณะอื่น ๆ เลนส์ชนิดนี้มีความชัดลึกสูงมาก คือแสดงให้เห็นระยะชัดตั้งแต่ใกล้สุดถึงไกลสุดได้ดี แต่ต้องระวังในเรื่องของสัดส่วนระยะ (Perspective) ต่าง ๆ จะเกิดการผิดเพี้ยน (Distortion) ถ้าความยาวโฟกัสยิ่งสั้นมากยิ่งผิดเพี้ยนมากขึ้น
เลนส์มุมกว้าง แบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ • 2.1 เลนส์มุมกว้างธรรมดา (Moderate Wide-angle lens) มีความยาวโฟกัสระหว่าง28-35 มม. มีมุมองศาในการรับภาพระหว่าง 74-62 องศา • 2.2 เลนส์มุมกว้างมาก (Ultra Wide-angle lens) มีความยาวโฟกัสอยู่ระหว่าง 13 -24 มม. มีมุมองศาในการรับภาพ 118-84 องศา • 2.3 เลนส์มุมกว้างพิเศษ หรือเลนส์ตาปลา (Fisheye lens) มีความยาวโฟกัสน้อยมาก คืออยู่ระหว่าง 6 - 16 มม. มีมุมองศาในการรับภาพ 180-360 องศา ภาพที่ได้จะมีลักษณะโค้งกลม นิยมใช้สำหรับการถ่ายภาพในลักษณะสร้างสรรค์ และแปลกตา
ชนิดของเลนส์ 3.เลนส์ถ่ายภาพไกล (Telephoto lens) เลนส์ชนิดนี้มีคุณสมบัติตรงข้ามกับเลนส์มุมกว้าง คือ มีความยาวโฟกัสยาวกว่าเลนส์มาตรฐานและเลนส์มุมกว้าง มีมุมรับภาพแคบเฉพาะส่วนหนึ่งเท่านั้น เมื่อรับภาพในระยะและตำแหน่งเดียวกันจะทำให้ภาพที่บันทึกได้มีขนาดใหญ่กว่าการใช้เลนส์ธรรมดาและเลนส์มุมกว้าง • เลนส์ถ่ายภาพไกล มีขนาดความยาวโฟกัสตกต่างกันหลายขนาด จาก 70 มม. ถึง 2,000 มม. มีมุมองศาการรับภาพตั้งแต่ 34-3 องศา เพื่อใช้ประโยชน์ต่างกัน ซึ่งพอจะแบ่งออกเป็นประเภทต่าง ๆ ตามความยาวโฟกัสได้ดังนี้
เลนส์ถ่ายภาพไกล • 3.1 เลนส์ถ่ายภาพไกลช่วงสั้น (Short Telephoto lens) มีความยาวโฟกัสอยู่ระหว่าง 70-135มม. มีมุมองศาในการรับภาพกว้างประมาณ 34-18 องศา เหมาะสำหรับการถ่ายภาพทั่ว ๆ ไป เช่น ภาพบุคคล ภาพภูมิทัศน์ ภาพถ่ายระยะใกล้ เป็นต้น • 3.2 เลนส์ถ่ายภาพไกลปานกลาง (Medium Telephoto lens) มีขนาดความยางโฟกัสอยู่ระหว่าง 150-300 มม. มุมองศาในการรับภาพจะแคบลงอยู่ระหว่าง 18-8 องศา เหมาะสำหรับการถ่ายภาพที่ไม่สามารถเข้าใกล้วัตถุที่จะถ่ายได้ เช่น สัตว์ในกรง วัตถุที่อยู่ที่สูงพอสมควร เป็นต้น
เลนส์ถ่ายภาพไกล • 3.3 เลนส์ถ่ายภาพช่วงไกล (Long Telephoto lens) มีความยางโฟกัสระหว่าง 400-600 มม. มุมองศาในการรับภาพจะแคบลงอยู่ระหว่าง 6-4 องศา เหมาะสำหรับการถ่ายภาพที่อยู่ไกล เช่น นกบนต้นไม้ การแข่งขันกีฬา เป็นต้น • 3.4 เลนส์ถ่ายภาพไกลช่วงพิเศษ (Super Long Telephoto lens) มีความยางโฟกัสระหว่าง 800-2,000 มม. มุมองศาในการรับภาพจะแคบลงอยู่ระหว่าง 3-1 องศา เท่านั้น สำหรับภาพที่ต้องการกำลังขยายมาก เช่น ภาพถ่ายทางดาราศาสตร์ ภาพถ่ายบนตึกสูง เป็นต้น เลนส์พวกนี้จะน้ำหนักมากเป็นพิเศษ ควรใช้ขาตั้งกล้องช่วยในการถ่ายภาพ
Zoom Lens • เลนส์ถ่ายภาพต่างระยะ (Zoom lens) หรือที่นิยมเรียกกันสั้น ๆ ว่า เลนส์ซูม เลนส์ชนิดนี้เป็น ที่นิยม อย่างมากเพราะใช้สะดวก มีเลนส์รวมกันอยู่หลายชนิดในตัวเดียว สามารถเปลี่ยนทางยาวโฟกัสได้ในตัว ด้วยการเลื่อนกระบอกเลนส์ (สำหรับเลนส์แบบวงแหวนเดียว)หรือการหมุนวงแหวน ปรับระยะ (สำหรับเลนส์แบบสองวงแหวน) ไม่ต้องคอยเปลี่ยนเลนส์บ่อย ๆ เหมือนกับเลนส์ชนิดความยาวโฟกัสคงที่ แต่เนื่องจากเลนส์ชนิดนี้มีชิ้นเลนส์มาก จึงทำให้ความคมชัดลดลงเล็กน้อย จึงไม่เหมาะสำหรับภาพที่ต้องการขยายใหญ่มาก ๆ แต่ก็เป็นเลนส์ที่มีผู้นิยมใช้กันมากตามเหตุผลที่ได้กล่าวมา เลนส์ถ่ายภาพต่างระยะ หรือเลนส์ซูมนี้ มีหลายขนาดให้เลือกใช้ โดยแบ่งออกเป็นหลายประเภท คือ
เลนส์ถ่ายภาพต่างระยะ (Zoom lens) • 4.1 เลนส์ซูมช่วงมุมกว้าง (Wide angle Zoom) มีช่วงขนาดความยาวโฟกัสสั้น รับภาพได้มุมกว้าง เช่นขนาด 20 -35 มม.24-35 มม.24-50 มม. เหมาะสำหรับการใช้งานในการถ่ายภาพมุมกว้าง • 4.2 เลนส์ซูมช่วงสั้น (Short Zoom) เป็นเลนส์ที่มีความยาวโฟกัสตั้งแต่ขนาดสั้นถึงปานกลาง โดยจะมีเลนส์ขนดมาตรฐานรวมอยู่ด้วย เป็นเลนส์ซูมที่มีผู้นิยมใช้มากที่สุด และราคาค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับเลนส์ซูมขนาดอื่น ๆ กล้องถ่ายภาพของบางบริษัทจะใช้เลนส์ซูมประเภทนี้แทนเลนส์มาตรฐาน มีช่วงความยาวโฟกัสที่นิยมใช้ คือ ขนาด 35-70 มม.35-105 มม.35-135 มม. เป็นต้น
เลนส์ถ่ายภาพต่างระยะ (Zoom lens) • 4.3 เลนส์ซูมช่วงไกล (Telephoto Zoom) เป็นเลนส์ซูมที่มีความยาวโฟกัสสูงกว่าเลนส์สองประเภทที่ได้กล่าวมา โดยมีขนาดที่นิยมใช้ คือ 80-200 มม.100-300 มม. สำหรับใช้งานแทนเลนส์ถ่ายภาพระยะไกล เลนส์ประเภทนี้จะมีน้ำหนักมาก ผู้ใช้ต้องอาศัยทักษะและความชำนาญในการใช้ เพราะอาจทำให้กล้องสั่นไหวได้ง่าย • 4.4 เลนส์ซูมช่วงไกลพิเศษ (Super Telephoto Zoom) เป็นเลนส์ซูมที่มีช่วงความยาวโฟกัสสูงมาก เหมาะสำหรับผู้ที่ถ่ายภาพเฉพาะด้าน เช่น ช่างภาพที่ถ่ายภาพกีฬาบางประเภท เช่น ฟุตบอล แข่งรถ นักถ่ายภาพสารคดี หรือนักถ่ายภาพทางดาราศาสตร์ก็นิยมใช้เลนส์ประเภทนี้ เลนส์ซูมประเภทนี้ มีขนาดช่วงความยาวโฟกัสที่นิยมใช้ คือ 80-400 มม.400-800 มม.360-1200 มม. เป็นต้น
ชนิดของเลนส์ถ่ายภาพ เลนส์ซูมช่วงสั้น(Short Zoom) ขนาดความยาวโฟกัส 35-70 มม. ภาพเลนส์ซูมช่วงมุมกว้าง (Wide angle Zoom) ขนาดความยาวโฟกัส 20-35 มม เลนส์ซูมช่วงไกลพิเศษ (Super Telephoto Zoom) ขนาดความยาวโฟกัส 80-400 มม เลนส์ซูมช่วงไกล (Telephoto Zoom) ขนาดความยาวโฟกัส 80-200 มม.
ชนิดของเลนส์ • เลนส์ภาพถ่ายใกล้ (Macro lens) เลนส์ถ่ายภาพใกล้หรือที่เรียกว่ามาโครเลนส์ เป็นเลนส์ชนิดที่สามารถถ่ายภาพในระยะใกล้ ๆ ได้มากเป็นพิเศษ ให้อัตราขยายของภาพได้ดีกว่าเลนส์ชนิดอื่น ๆ เหมาะสำหรับถ่ายภาพวัตถุที่มีขนาดเล็ก เช่น แมลง ดอกไม้ เครื่องประดับ หรือวัตถุอื่น ๆ ที่ต้องการความคมชัดและให้เห็นรายละเอียดมาก ซึ่งเลนส์ชนิดอื่นทำไม่ได้ และยังสามารถใช้ถ่ายภาพทั่ว ๆ ไปได้เช่นเดียวกับเลนส์ชนิดอื่น ๆ ที่มีขนาดความยาวโฟกัสเท่ากัน
ความไวแสงของเลนส์ (Lens Speed) • ความไวแสงของเลนส์ หมายถึง ขนาดความกว้างของรูรับแสงเมื่อเปิดรูรับแสงกว้างที่สุด เลนส์ที่สามารถเปิดรูรับแสงได้กว้างกว่า แสดงว่าเลนส์ตัวนั้นมีความไวแสงมากกว่า ซึ่งจะมีข้อได้เปรียบในการถ่ายภาพในที่ที่มีแสงน้อย และสามารถปรับความเร็วชัตเตอร์ได้เร็วกว่าเลนส์ที่มีความไวแสงน้อย แต่เลนส์ยิ่งมีค่าความไวแสงมาก ราคาของเลนส์ก็จะสูงขึ้นไปด้วย ดังนั้นควรเลือกใช้เท่าที่จำเป็นและงบประมาณที่มี • ความกว้างของรูรับแสงจะมีตัวเลขบอกค่าไว้ที่กระบอกเลนส์ เรียกว่า เอฟ/สต็อป (f/stop) หรือ เอฟ/นัมเบอร์ (f/number) ซึ่งมีค่ากำหนดไว้ เช่น 1.2 1.4 4 5.6 8 11 22 ตัวเลขยิ่งมากเท่าใดรูรับแสงยิ่งแคบลง ตัวเลขยิ่งน้อยลง ดังภาพด้านล่าง
ค่าความไวแสงของเลนส์ (Lens Speed) ภาพแสดงความกว้างของรูรับแสงและค่า เอฟ/สต็อป ของเลนส์ถ่ายภาพ
F-number ภาพที่ 1 จะเห็นว่า ยิ่ง ค่ารูรับแสง น้อย ก็จะเปิดไดอะแฟรม ของกล้องมาก และ ถ้า ค่ารูรับแสงมาก จะหรี่ไดอะแฟรม ลดจนแคบ และ มีให้เห็นได้ถึง f 32 เลยทีเดียว
แสง..เกิดจากฟังชั่น AV • นักถ่ายภาพที่ไม่ใช่มือใหม่ และมือใหม่ ต้องรู้จัก รูรับแสง หรือ Aperture ValueAperture Value หรือ ค่ารูรับแสง เป็นค่าที่แสดง การเปิดของช่องรับแสงในกล้อง ว่ามากน้อยเพียงใด ยิ่งค่าน้อย แสดงว่าเปิดรับแสงมาก ยิ่งค่ามาก แสดงว่าเปิดรับแสงน้อย อย่าสับสนนะครับ ดูภาพตัวอย่างข้างล่างประกอบ ค่า Aperture Value นี้ ในอดีต ปรับค่าเป็นแบบกลใก เพิ่มลงที่ละช่วง ใช้ค่า fแทนความสว่างแต่ละค่า จึงได้ยินบางครั้ง เขาเรียนกว่า f-number และ การเพิ่มขึ้นลง ของ f- number ทีละขั้น ก็เรียกว่า f-stop ซึ่งปัจจุบันในระบบดิจิตอล สามารถเพิ่ม ลด ได้ละเอียดมาก บางครั้ง เพิ่ม หรือ ลด ที่ละ 1/2 stop เรียกว่า ครึ่ง สต็อป
รูรับแสง(f-number) • โหมด Av หรือ A ในกล้องถ่ายภาพหมายถึง ค่ารูรับแสง หรือ f-number รูรับแสงน้อย หมายถึงเปิดไดอะแฟรม มาก รูรับแสงมาก หมายถึง เปิดน้อย หากสามารถเปิดรูรับแสงได้มาก ย่อมมีความสว่าง มากกว่า นั้นเอง • ปรกติกล้องดิจิตอลทั่ว ๆ ไป ที่เรียกว่า กล้องคอมแพ็ก มักจะตั้งได้เพียง f 8เท่านั้น อย่ามากก็ตั้งแคบสุดได้เพียง f 11 ซึ่งต่างจากกล้อง DSLR ที่เปลี่ยนเลนส์ได้ มักจะตั้งได้ f 16 - f 32 เลยทีเดียว ขึ้นอยู่กับเลนส์ที่ใช้ ส่วนรูรับแสง หรือ f-number มีผลอย่างไรกับภาพ ดูตัวอย่าง ในหัวข้อต่อ ๆ ไปได้เลยครับ ในบทนี้ แค่รู้จัก และ ไม่สับสน กับ Aperture , f-number และ f-stop ก็ยอดแล้วครับ
Speed Shutter • Shutter Speed ความเร็วชัตเตอร์ มีผลอย่างไรความเร็วชัตเตอร์ หรือ shutter speed หลายคนบอกว่า นี่เป็นความรู้ พื้นฐานเลยนะนี่ Basic ชัด ๆ นี่คือนักถ่ายภาพต้องรู้ ต้องทำความเข้าใจ ก็เพราะว่า นักถ่ายภาพ มือใหม่ เกือบ 80 % ไม่มีความรู้เรื่องนี้ บอกให้ถ่ายรูปที่ความเร็ว 1/5 วินาที รับรอง งง เป็น กุ้งตาแตกเลยครับ และ ต้องใช้ ขาตั้งกล้องอีก ไม่ใช่แค่ ยกกล้องขึ้นมาแล้วกด แช๊ะแช๊ะ
Speed Shutter • ความเร็วชัตเตอร์ เป็นความเร็วในการเปิด/ปิด ช่องรับแสง ของกล้อง ถ้าเห็นเครื่องหมาย / เช่น 1/125 แปลว่า มีความเร็วสูง คือ เสี้ยวหนึ่งของวินาทีแค่นั้นเอง แบ่งเวลา 1 วินาที ออกเป็น 125 ส่วน และ คิดดูว่า แค่ 1 ส่วนจะเร็วเพียงใด 1/5 วินาที คือ ครึ่งวินาทีนั้นเองแปลว่ามีความเร็วช้าลง ถ้าเป็นตัวเลขโดด ๆ เช่น 1 หรือ 3 หรือ 8 อย่างนี้ เป็นวินาทีครับ คิดดูว่าหน้ากล้องเปิด8 วินาที มือใหม่จะถือกล้องถ่ายรูปกันอย่างไร นี่คือเหตุผลของการนำมาในการใช้ขาตั้งกล้องถึงตรงนี้ก็แสดงความพัฒนา ความสามารถขึ้นมาแล้วนะครับ ความเร็วชัตเตอร์สูงมักใช้ถ่ายภาพ เคลื่อนไหว หรือ กีฬา ความเร็วชัตเตอร์น้อยมักถ่าย ภาพน้ำตกให้เป็นสาย หรือ ในถาพในที่แสงน้อย เพื่อให้มีความสว่างมากขึ้น ดูตัวอย่าง