1 / 54

บทที่ 3 การออกฤทธิ์ของยา

บทที่ 3 การออกฤทธิ์ของยา หมายถึงการที่สารเคมีหลังจากเข้าสู่ร่างกายแล้วไปมีผล ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการทำหน้าที่ทางสรีรวิทยาของอวัยวะส่วนต่างๆ ตลอดจนปฏิกริยาต่างๆที่เกิดขึ้นในร่างกาย บริเวณ หรือตำแหน่งที่ยาไปออกฤทธิ์ วัตถุประสงค์ เพื่อให้ทราบ

dimaia
Download Presentation

บทที่ 3 การออกฤทธิ์ของยา

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. บทที่ 3 • การออกฤทธิ์ของยา • หมายถึงการที่สารเคมีหลังจากเข้าสู่ร่างกายแล้วไปมีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการทำหน้าที่ทางสรีรวิทยาของอวัยวะส่วนต่างๆ ตลอดจนปฏิกริยาต่างๆที่เกิดขึ้นในร่างกาย บริเวณ หรือตำแหน่งที่ยาไปออกฤทธิ์ • วัตถุประสงค์ • เพื่อให้ทราบ • 1. ความสัมพันธ์ระหว่างยาและการให้ยาโดยวิธีต่าง ๆ • 2. หลังจากได้รับยาเข้าไปในร่างกายแล้วยามีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร • 3. ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความเป็นพิษของยา การออกฤทธิ์ของยา

  2. การบริหารยา (DrugAdministration) การบริหารยาคือ วิธีการต่างๆ ในการให้ยาเข้าไปในร่างกายของผู้ป่วยโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ • 1. ผลเฉพาะที่ (Local effect)คือต้องการให้ยาออกฤทธิ์ในบริเวณที่ให้ยาซึ่งแสดงว่ายามีการดูดซึมได้น้อย ตัวอย่างเช่น การให้ยาที่ผิวหนัง หรือ เยื่อเมือกเพื่อลดการอักเสบในบริเวณนั้น • 2. ผลต่อระบบอวัยวะต่างๆ (Systemic effect)คือต้องการให้ยามีการดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดและสามารถกระจายไปตำแหน่งที่ออกฤทธิ์ ซึ่งสามารถให้ได้หลายวิธี เช่น ยากิน ยาฉีด บทนำ

  3. เมื่อยาเข้าไปสู่ร่างกายแล้วจะออกฤทธิ์ได้ มีความเกี่ยวข้องกับPharmacokinetics (การเปลี่ยนแปลง 3 ประการ) คือ • 1. การดูดซึม • 2. การกระจายของยา • 3. การกำจัดยาออกจากร่างกาย การออกฤทธิ์ของยา

  4. การใช้ยาให้ได้ผลต้องมีขนาดยาที่ใช้ซึ่งขึ้นกับการใช้ยาให้ได้ผลต้องมีขนาดยาที่ใช้ซึ่งขึ้นกับ • ผลิตภัณฑ์ยา • วิธีที่ให้ยา และ • ระยะเวลานานพอที่จะรักษาโรคได้ • การดูดซึมและการกระจายตัวของยาเป็นตัวกำหนดปริมาณของยาที่จะรวมกับตัวรับในบริเวณที่ยาออกฤทธิ์ • ส่วนการเปลี่ยนแปลงและการขับออกของยาเป็นตัวกำหนดการหมดฤทธิ์ของยา การออกฤทธิ์ของยา

  5. กลไกการออกฤทธิ์ของยา • ส่วนใหญ่เกิดจากการเกิดปฏิกริยาเคมีระหว่างยากับโมเลกุลส่วนหนึ่งของเนื้อเยื่อส่วนต่างๆที่ทำหน้าที่ในร่างกาย (receptor) ทำให้มีการรวมตัวระหว่างแขนที่เกาะ (bond) ของโมเลกุลซึ่งเป็น ionic bonds, hydrogen bonds หรือ Van der Waals forces และการรวมตัวนี้สามารถแยกจากกันได้ • นอกจากนี้เกิดจากยาทำปฎิกริยากับสารที่อยู่นอกอวัยวะ เช่น ยาลดกรด ทำปฏิกริยากับสารพิษที่ได้รับ หรือ ทำปฏิกริยากับเชื้อโรค การออกฤทธิ์ของยา

  6. รูปที่ 3-1 แสดงให้เห็นถึง parameter ต่างๆ ของ pharmacokinetic/ bioavailability เช่น Tmax (ระยะเวลาตั้งแต่เริ่มให้ยาจนวัดระดับยาในเลือดได้สูงสุด), AUC (area under the curve) เป็นต้น และแสดงให้เห็นระยะเวลาที่ยาเริ่มออกฤทธิ์ (onset) จนหมดฤทธิ์ (duration of action) การออกฤทธิ์ของยา

  7. รูปที่ 3-2 แสดงถึงระดับยาในเลือดเมื่อให้ยา 1 dose A:- เมื่อยาถูกดูดซึมในอัตราที่เร็วกว่าการขับออก a = เร็วกว่า 100 เท่า, b = เร็วกว่า 10 เท่า, c = ดูดซึมเท่ากับขับออก B:- ระดับยาสูงขึ้นเมื่อเพิ่มขนาดยาเป็น 2 เท่า C:- ยาอยู่ในร่างกายนานขึ้น ถ้าอัตราการขับออกช้ากว่าการดูดซึม 2 เท่า เช่น 10:1 และ 10:0.5 การออกฤทธิ์ของยา

  8. การดูดซึมยา หมายถึง การที่ยาสามารถผ่านจากตำแหน่งที่ให้ยาเข้าสู่กระแสโลหิตได้ การที่ยาผ่านจากตำแหน่งที่ให้ยาจะต้องเคลื่อนผ่าน biological membrane เช่น ผิวหนัง เยื่อบุหรือผนังเส้นเลือด membrane เหล่านี้เป็นชั้นของไขมันชนิดฟอสโฟลิปิดซึ่งมีอยู่สองชั้น และล้อมรอบด้วยชั้นของโปรตีน ทำให้ สารหรือยาที่มีคุณสมบัติละลายได้ดีในไขมันจะซึมผ่าน biological membrane ได้ดีกว่าสารที่มีคุณสมบัติละลายได้ดีในน้ำ การออกฤทธิ์ของยา

  9. การดูดซึมยา ปัจจัยที่มีผลต่อการดูดซึมยา • ตัวยา: ขนาดโมเลกุล วิธีให้ยา ความเข้มข้นของยา รูปแบบของยา การละลายตัว การแตกตัว • ตัวสัตว์/ ผู้ป่วย:การหมุนเวียนของเลือด พื้นที่ผิวของอวัยวะสำหรับดูดซึมยา การทำงานของกระเพาะอาหาร การทำงานของเอนซัยม์ ต่างๆ • อิทธิพลของสิ่งแวดล้อม: สภาพอากาศ ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ การออกฤทธิ์ของยา

  10. 1. ปัจจัยที่เกี่ยวกับตัวยา 1.1. ลักษณะทางฟิสิกส์ของยา1.1.1 ของแข็ง (solid) - มีการดูดซึมได้ช้าเนื่องจากจะต้องละลายน้ำก่อนดูดซึม 1.1.2ของเหลว (solution) - ดูดซึมได้เร็วที่สุด 1.1.3ยาเคลือบ - จะดูดซึมช้าได้ช้าเพราะต้องรอให้สารที่เคลือบละลายก่อน การออกฤทธิ์ของยา

  11. 1.1.ลักษณะทางฟิสิกส์ของยา(ต่อ)1.1.ลักษณะทางฟิสิกส์ของยา(ต่อ) 1.1.4. ยาผลึก (suspension) - จะดูดซึมได้ช้ากว่ายาประเภท solution 1.1.5. vehicle ของยา - น้ำมันจะดูดซึมได้ช้ากว่าน้ำ เช่น penicillin ในน้ำดูดซึมได้เร็วกว่า penicillin ในน้ำมัน การออกฤทธิ์ของยา

  12. 1.2. วิธีการ (route) ของการให้ยา • การให้ยากินจะใช้เวลาดูดซึมนานกว่าการให้ยาฉีด เพราะต้องผ่านปาก กระเพาะ ลำไส้ ดูดซึมผ่านเส้นเลือดเข้าสู่หัวใจแล้วจึงกระจายทั่วร่างกาย • การฉีดยาสามารถให้ได้หลายทาง เช่น เข้าเส้นเลือด เข้ากล้ามเนื้อ เข้าใต้ผิวหนัง โดยที่การให้เข้าเส้นเลือด ยาจะออกฤทธิ์เร็วที่สุด ส่วนการให้ route อื่น ๆ ต้องมีการดูดซึมเข้าสู่กระแสโลหิต ซึ่งจะดูดซึมช้าหรือเร็ว ขึ้นอยู่กับว่าตำแหน่งนั้น มีเส้นเลือดมากน้อยเพียงใด การออกฤทธิ์ของยา

  13. 1.3. ขนาดและความเข้มข้นของยา • การให้ยาขนาดสูงหรือความเข้มข้นสูง จะดูดซึมได้เร็วกว่ายาขนาดต่ำหรือความเข้มข้นต่ำ 1.4. ลักษณะทางเคมีของยา • ยาส่วนใหญ่มีคุณสมบัติเป็นกรดอ่อนหรือเบสอ่อน ความสามารถในการแตกตัวเป็นสภาพ ion ขึ้นกับ • ค่าpKa • ความเป็นกรดหรือเบสของสภาพแวดล้อม (สารที่ละลายยา) และ • ความสามารถในการละลายของตัวยาในไขมัน การออกฤทธิ์ของยา

  14. ค่า pKa • ค่า Ka คือ สัมประสิทธิ์ของการแตกตัวของกรด HA H+ + A- • ค่า p Ka = -log Ka • ดังนั้น ค่า Ka ต่ำ ค่า pKa สูง กรดอ่อน • ดูดซึมได้ดี ไม่เกิดประจุ ยาจะแตกตัวได้ไม่ดี • เช่น ยา ที่มี Ka = 1.9 x 10-5จะแตกตัวได้ดีกว่า Ka = 7 x 10-10 การออกฤทธิ์ของยา

  15. เมื่ออยู่ในสารละลายตัวกลางที่มี pH เท่ากัน • ยาที่เป็นกรดที่มีค่า pKa ต่ำ จะแตกตัวเป็นไอออนได้ดีกว่ากรดที่มีค่า pKa สูง (เนื่องจากมีความเป็นกรดที่แรงหรือแก่กว่า) • ยาที่เป็นเบสที่มีค่า pKa สูง จะแตกตัวเป็นไอออนได้ดีกว่าเบสที่มีค่า pKa ต่ำ (เนื่องจากมีความเป็นเบสที่แรงหรือแก่กว่า) การออกฤทธิ์ของยา

  16. ตัวอย่างการคำนวณ ยา A เป็นกรดอ่อน มีค่า pKa =5.5 เมื่ออยู่ในสารละลายที่มี pH = 3.5 จะอยู่ในรูปที่ไม่แตกตัว และรูปที่แตกตัวเป็นสัดส่วน ? pH = pKa + log [I] 3.5 = 5.5 + log [I] log [I] = -2.0 [I] = ยาที่แตกตัว = antilog -2.0 = 10-2 [UI] [UI] [UI] [UI] ยาที่ไม่แตกตัว ยาที่ไม่แตกตัว = 102

  17. ยาที่สามารถเคลื่อนผ่านเซลเมมเบรนได้ต้องมีคุณสมบัติดังนี้ยาที่สามารถเคลื่อนผ่านเซลเมมเบรนได้ต้องมีคุณสมบัติดังนี้ • ค่าpKa • ไม่มีประจุ ไม่มีขั้ว • น้ำหนักโมเลกุลต่ำ • ละลายในไขมันได้ดี • สปส.การละลายในไขมันต่อการละลายในน้ำมีค่าสูง คือ การละลายในไขมัน การละลายได้ในน้ำ การออกฤทธิ์ของยา

  18. ยาที่ดูดซึมได้ดีคือยาที่มีฤทธิ์เป็นกรดหรือเบสอ่อน ซึ่ง ในสภาพอวัยวะที่มี pH ใกล้เคียงกัน จะทำให้ยาไม่เกิดการแตกตัว รูปที่ 3-3 แสดงถึงอิทธิพลของ pH และ pKa ต่อการไม่แตกตัวของยาที่มีคุณสมบัติเป็นกรด (HA) และ ด่าง (B) การออกฤทธิ์ของยา

  19. รูปที่ 3-4 แสดงอิทธิพลของการละลายในไขมัน (lipid solubility) ต่อการดูดซึมยากลุ่ม Barbiturates 3 ชนิด ที่มี pKa ใกล้เคียงกันจากกระเพาะอาหาร ยาที่ดูดซึมผ่านผนังกระเพาะได้ดีที่สุดคือ thiopental การออกฤทธิ์ของยา

  20. 2. ปัจจัยที่เกี่ยวกับตัวสัตว์ 2.1. ฤทธิ์ในการขยายตัวหรือหดตัวเส้นเลือด ยาที่มีผลขยายเส้นเลือดจะถูกดูดซึมเร็ว ในขณะที่ยาที่มีฤทธิ์ทำให้เส้นเลือดหดตัวจะถูกดูดซึมช้า ตัวอย่าง ยาชาจะมีฤทธิ์ทำให้เส้นเลือดหดตัว ถูกดูดซึมช้าและจะออกฤทธิ์เฉพาะที่ ยาชามักใช้ในการผ่าตัดเฉพาะที่เพื่อระงับความรู้สึกเจ็บปวด การออกฤทธิ์ของยา

  21. 2.2. การไหลเวียนเลือด • ถ้าเลือดมีการไหลเวียนช้า จะทำให้ถูกดูดซึมช้า • ตัวอย่าง เมื่อใกล้ตายความดันโลหิตต่ำ ดังนั้นการให้ยาทางปากหรือฉีด เข้าใต้ผิวหนังไม่ทัน ต้องฉีดเข้าเส้นเลือดหรือบางครั้งจำเป็นต้องฉีดเข้าหัวใจถ้าความดันเลือดต่ำจนมองไม่เห็นตำแหน่งของเส้นเลือด การออกฤทธิ์ของยา

  22. 2.3. อวัยวะต่างๆ มีการดูดซึมยาได้ดีไม่เท่ากัน • อวัยวะที่มีเยื่อบุชั้นเดียวยาจะถูกดูดซึมได้ดีกว่าหลายชั้น • อวัยวะที่มีเซลเยื่อบุบาง ยาจะถูกดูดซึมได้ดีเช่นกัน • ยาจะถูกดูดซึมได้มากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับว่า pH ของยาและของอวัยวะนั้นมีความแตกต่างมากน้อยเพียงใด ถ้าแตกต่างมากจะถูกดูดซึมได้น้อย ผนังหลอดเลือดฝอย ดูดซึมดีที่สุด การออกฤทธิ์ของยา

  23. บริเวณต่างๆ ที่มีการดูดซึมยา • 2.3.1. ปาก • การให้ยากินจะดูดซึมได้น้อยเพราะอาหารอยู่ในปากเป็นเวลาสั้น แต่การให้ยาอมใต้ลิ้นจะดูดซึมได้เร็วมากเพราะเส้นเลือดดำใต้ลิ้นไม่ผ่านตับ ยาจึงไม่ถูก metabolized เหมือนการให้ยาด้วยวิธีอื่น แต่ยาจะไปสู่หัวใจโดยตรงทำให้ได้รับยาอย่างรวดเร็ว (sublingual vein superior vena cava หัวใจ) ตัวอย่างเช่น การให้ยา nitroglycerin รักษาอาการหัวใจขาดเลือด การออกฤทธิ์ของยา

  24. 2.3.2. กระเพาะ • ปกติยาจะถูกดูดซึมได้น้อย เนื่องจากกระเพาะมีฤทธิ์เป็นกรดและมีผนังหลายชั้น แต่ยาบางชนิดจะถูกดูดซึมได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น พวกสารละลายในน้ำมัน (non ionized) และเป็นยาที่มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อน ๆ เช่น salicylate, barbiturate การออกฤทธิ์ของยา

  25. 2.3.2. กระเพาะ • การได้รับยาในขณะที่กระเพาะว่างจะดูดซึมดีกว่าในขณะที่มีอาหารในกระเพาะ ยาบางอย่างถูกทำลายที่กระเพาะ แต่ต้องการให้ดูดซึมที่ลำไส้ แก้ไขได้โดยให้ในรูปยาเคลือบ (enteric coated tablet หรือ capsule) การออกฤทธิ์ของยา

  26. 2.3.3. ลำไส้เล็ก • ยาส่วนใหญ่ดูดซึมที่นี่ในสภาพ lipid nonionized molecule • ดูดซึมที่นี่มากเพราะ * ลำไส้ยาว อาหารใช้เวลาเคลื่อนผ่านนาน * มี Villi มาก ซึ่งเป็นเซลที่มีผนังเซลชั้นเดียว * ลำไส้มีการบีบตัวคละเคล้าตลอดขบวนการดูดซึม การออกฤทธิ์ของยา

  27. 2.3.4 ทวารหนัก • ให้ผลทั้งแบบเฉพาะที่และต่ออวัยวะต่าง ๆ เนื่องจากมีการดูดซึมผ่านเส้นเลือดได้ 2 ทาง คือ • * ทวารหนัก rectal vein inferior vena cavaheartsuperior rectal vein portal vein ตับ • จะใช้ยากรณีที่ยานั้นทำให้เกิดอาการข้างเคียง คือ คลื่นไส้ อาเจียน ระคายเคืองทางเดินอาหาร และไม่ต้องการให้ยาถูกทำลายโดยกรดในกระเพาะอาหาร • ใช้ในรูป Suppository (ยาเหน็บ) การออกฤทธิ์ของยา

  28. 2.3.5 ปอด • alveoli มีเส้นเลือดมาก ดูดซึมได้ดี เช่น ก๊าซพวกคลอโรฟอร์ม อีเทอร์ 2.3.6. โพรงจมูก (nasal septum) • ดูดซึมได้เร็ว เพราะผนังบาง และมีเส้นเลือดมาหล่อเลี้ยงมาก 2.3.7 ช่องคลอด • ดูดซึมได้ไม่ดี เหมาะสำหรับรักษาโรคเฉพาะแห่ง (ที่เกิดขึ้นใน reproductive tract) การออกฤทธิ์ของยา

  29. 2.3.8 ท่อทางเดินปัสสาวะ • ยาไม่ค่อยดูดซึม เพราะผนังหนา จึงเป็นการให้ยาเพื่อรักษาโรคเฉพาะแห่ง 2.3.9. เยื่อเมือกในเต้านม • การดูดซึม มีความผันแปร เนื่องจาก - ชนิดยา - ความเข้มข้น - สาเหตุอื่นๆ เช่น สภาพการอักเสบมีฝีหนอง ทำให้ยาไม่ค่อยเข้า systemic circulation การออกฤทธิ์ของยา

  30. 2.3.10 ตา • หยอดใน conjunctival sac • ดูดซึมรวดเร็ว • ส่วนใหญ่เป็นยาพวกยาน้ำ, ointment การออกฤทธิ์ของยา

  31. 2.3.11 ผิวหนัง • ใช้ในรูปแบบยาพวก ointment, ยาผง • ปกติแล้วยาดูดซึมไม่ค่อยดี เนื่องจากเป็นเซลหลายชั้น ซึ่งยาจะถูกดูดซึมได้ดี เมื่อสภาพผิวหนังมีบาดแผลเกิดขึ้น • การดูดซึมจะดีขึ้น หากเลือกใช้ตัวทำละลายที่เหมาะสมหรือมีการปิดทับตำแหน่งนั้นไม่ให้สูญเสียความชื้นและตัวยาที่ใช้ทา การออกฤทธิ์ของยา

  32. การดูดซึมยาที่ตำแหน่งต่างๆการดูดซึมยาที่ตำแหน่งต่างๆ Wartak, J. 1983. Drug dosage and administration: Modern Theory and Practice. University Park Press, Baltimore, p. 113. การออกฤทธิ์ของยา

  33. 3. ปัจจัยที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม 3.1. อากาศ(อุณหภูมิ) • อากาศหนาวทำให้เส้นเลือดหดตัว ในขณะที่อากาศร้อนทำให้เส้นเลือดขยายตัว บริเวณที่มีเส้นเลือดมาเลี้ยงมาก ยาถูกดูดซึมเร็ว การออกฤทธิ์ของยา

  34. กิน หรือ ฉีด หรือ ทา ? 2 เพื่อให้เกิด systemic effect ,3 เพื่อ local effect, 1 ได้ผลทั้งสองแบบ การออกฤทธิ์ของยา

  35. ก. การให้ยาทางปาก • นิยมมากที่สุดในคน • มีหลายสูตร หลายรูปแบบ เช่น Acid labile (ยาไม่ทนกรด) & acid stable drugs (ยาทนกรด) • กระเพาะเป็นอวัยวะสำคัญ มี hydrochloric acid ซึ่งสร้างจาก gastric gland และน้ำย่อยในการช่วยย่อยสิ่งต่างๆ ที่กินเข้าไป ดังนั้นสภาพของกระเพาะจึงเป็นกรด • ยาบางชนิดถูกทำลายในกระเพาะอาหาร เรียกว่า acid labile drug เช่น epinephrine, insulin การออกฤทธิ์ของยา

  36. การให้ยาที่ไม่ทนกรด • (1) ในสัตว์กระเพาะเดี่ยวให้ 1 ชม. ก่อนอาหารหรือ 2 ชม. หลังอาหารเพราะเป็นช่วงที่ยังไม่มีการหลั่งน้ำย่อยหรือน้ำย่อยหมดไปแล้ว • ยกเว้น ไม่ควรใช้ในสัตว์กระเพาะรวมซึ่งมีการหมักเกิดขึ้นในกระเพาะตลอดเวลา • (2) เปลี่ยนรูปยาทางเคมี เช่น • Penicillin G + Phenoxymethyl gr. จะมีความทนกรดได้ดีขึ้น • (3) Coat เม็ดยา/ ใส่ใน Capsule ทำให้ยาถูกย่อยละลายในลำไส้ • (4) เปลี่ยนวิธีให้ยา เช่น จากกินเป็นฉีด ให้ยากินในขณะท้องว่างดูดซึมดีกว่า การออกฤทธิ์ของยา

  37. ยากลุ่มที่ไม่ได้รับผลกระทบจากกรดในกระเพาะเรียกว่า acid stable drug • ตัวอย่างยาทนกรด Amoxicillin Dicloxacillin Cloxacillin Ampicillin Griseofulvin Penicillin V Cephalexin Hetacillin Phenethicillin Cephaloglycin oxacillin Tetracycline Oxytetracycline การออกฤทธิ์ของยา

  38. DRUG IRRITABILITY ของยาที่ให้กิน 1. เป็นผลเนื่องมาจากในกระเพาะอาหาร มีน้ำคัดหลั่ง 2 จำพวก คือ • 1. HCl & enzymes ช่วยในการย่อยอาหาร • 2. mucus ป้องกันการย่อยผนังกระเพาะ • การให้ยาเม็ดมักตกอยู่เป็นจุด ๆ ในกระเพาะซึ่งยาบางชนิดทำให้เกิดการระคายเคืองมาก อาจถึงขั้นทำให้เกิดเป็นแผลหลุมและมีเลือดออกในกระเพาะได้ การออกฤทธิ์ของยา

  39. DRUG IRRITABILITY (ต่อ) 2. pH ของทางเดินอาหาร • สภาพ pH ในทางเดินอาหารต่างกันตามส่วนต่าง ๆ เช่น กระเพาะเป็นกรด ลำไส้เป็นด่างซึ่งมีผลกระทบในการระคายเคืองและการดูดซึม การออกฤทธิ์ของยา

  40. ยาถูกดูดซึมในทางเดินอาหารได้ ต้องอยู่ในรูป Undissociated (non-ionized) form คืออยู่ในรูปที่ไม่มีการแตกตัว • ยาส่วนใหญ่มีคุณสมบัติเป็นกรดอ่อน (pH เกือบถึง 7) หรือด่างอ่อน (pH เกิน 7 เล็กน้อย) ซึ่งจะไม่ถูกดูดซึมในกระเพาะอาหาร เพราะ pH ประมาณ 1-2 แต่ดูดซึมในลำไส้เล็กได้ดีขึ้น เพราะ pH เป็นด่างอ่อนใกล้เคียงกับยา ทำให้อยู่ในรูป non-ionized form การออกฤทธิ์ของยา

  41. การออกฤทธิ์ของยา

  42. สรุป ปัจจัยที่มีผลต่อการดูดซึมในทางเดินอาหาร • 1. สภาพกระเพาะว่าง • 2. ทางเดินอาหารมี การบีบตัวตามปกติ • 3. ปริมาณเส้นเลือดที่ไปเลี้ยง • 4. ขนาดและรูปแบบของยา • 5. คุณสมบัติทางเคมีของยา • Uncharged • nonpolar • low molecular weight • high lipid solubility การออกฤทธิ์ของยา

  43. ข. การให้ยาฉีด (I/V, I/M, S/C, I/D) ยาหลายชนิดกำหนดให้ใช้เฉพาะทางเช่น • ให้ฉีดเข้าเส้นเลือด (I/V) ไม่ให้ฉีดเข้ากล้าม (I/M) หรือ • ให้ทาง I/M ไม่ให้ I/V เนื่องจากยาฉีด I/M ที่ต้องการให้ออกฤทธิ์นาน มักจะใช้น้ำมันเป็นสื่อ จึงห้ามฉีด I/V • ในขณะที่ยาฉีด I/V บางอย่าง ห้ามฉีด I/M เนื่องจากระคายเคืองต่อกล้ามเนื้อ เช่น Potassium chloride, diazepam การออกฤทธิ์ของยา

  44. ข. การให้ยาฉีด (ต่อ) • การฉีดวัคซีนมักนิยมให้ทั้งทาง I/M และ เข้าชั้นใต้ผิวหนัง (S/C) • ส่วนการฉีดเข้าในผิวหนัง (I/D) ส่วนใหญ่ใช้สำหรับการวินิจฉัยโรค เช่น allergy testing, tuberculosis testingนอกจากนี้พึงระลึกด้วยว่าการให้ยาฉีดหลายชนิดผสมกัน อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากคุณสมบัติทางเคมีที่ตรงข้ามกัน หรือยามีฤทธิ์หักล้างกันเอง การออกฤทธิ์ของยา

  45. 1. Intravenous injection • ใช้ในกรณีต้องการให้ยาออกฤทธิ์อย่างรวดเร็ว เนื่องจากไม่ต้องใช้เวลาในการดูดซึมหรือในกรณีให้ยาที่ระคายเคืองและยามีความเข้มข้นสูง • ให้โดยการฉีดเข้า Peripheral Vein เช่น • ให้เข้า jugular vein ในสัตว์สี่กระเพาะ • ให้เข้า ear vein ในสุกร • ให้เข้า cephalic vein ในสุนัข แมว การออกฤทธิ์ของยา

  46. 1. Intravenous injection (ต่อ) • หากให้ยาไม่ดี อาจเกิดการอักเสบของเส้นเลือดในบริเวณนั้น (Phlebitis) หรือหากยามีความระคายเคืองมาก ผิวด้านในเส้นเลือดจากเรียบจะกลายเป็นขรุขระ เมื่อมีการกระทบกระแทกถูกเส้นเลือดแตก ทำให้เลือดจับเป็นกลุ่ม/ ลิ่มเลือด (emboli) อาจทำให้ตายเพราะ emboli ไปอุดตันในเส้นเลือด การออกฤทธิ์ของยา

  47. 1. Intravenous injection (ต่อ) • นอกจากนี้ สิ่งแปลกปลอมที่เข้าในกระแสเลือดก็อาจทำให้เกิด emboli ได้ และหากเป็นเชื้อจุลชีพก็จะทำให้เกิดการติดเชื้อและแพร่เชื้อไปสู่ส่วนต่างๆของร่างกาย ดังนั้นการให้ยาด้วยวิธีนี้จะต้องรักษาความสะอาดทั้งเครื่องมือและยาด้วย การออกฤทธิ์ของยา

  48. 2. Intramuscular injection • สามารถให้ยาได้ง่ายและมีความปลอดภัยกว่าการฉีด I/V ควรเลือกตำแหน่งที่มีกล้ามเนื้อหนา เช่น ที่คอ ที่สะโพก หรือ ต้นขา • การให้ยาฉีดเข้ากล้ามประเภท aqueous solution ดูดซึมเร็วกว่าการให้ยาฉีด S/C เพราะมีเลือดมาเลี้ยงมากกว่า แต่ปริมาณยาที่ให้จะจำกัดกว่า เนื่องจากชั้น S/C มีความ loose มากกว่า การออกฤทธิ์ของยา

  49. 2. Intramuscular injection (ต่อ) • การฉีดยาน้ำฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ทำให้เกิดช่องว่างแทรกในกล้ามเนื้อ ซึ่งหากใช้ปริมาตรมากก็จะดันกล้ามเนื้อจนเกิดอาการเจ็บปวด • ถ้ายาระคายเคือง จะทำให้ปวดจนกว่ายาจะกระจายไปหมด ดังนั้นบางครั้งจะผสมยาชาไว้ด้วย • ตัวอย่างขนาดยาที่ใช้ในสัตว์เล็กไม่ควรเกิน 2 ml และในสัตว์ใหญ่ไม่ควรเกิน 20 ml ถ้าใช้ยาปริมาณมากกว่านี้ ต้องแบ่งฉีดที่ตำแหน่งอื่น การออกฤทธิ์ของยา

  50. 2. Intramuscular injection (ต่อ) • สามารถทำให้ยาออกฤทธิ์ได้นานโดยการฉีดครั้งเดียว ยามักอยู่ในรูป suspended particles หรือในรูปแบบที่ตัวทำละลายเป็นน้ำมัน ทำให้การดูดซึมเกิดขึ้นช้าๆ ขึ้นกับการละลายของยาในร่างกายและปริมาณของเลือดที่มาเลี้ยงบริเวณนั้น • อาจเกิดฝีที่ตำแหน่งที่ฉีดยาได้ หากตัวสัตว์หรือเครื่องมือสกปรก การออกฤทธิ์ของยา

More Related