1 / 43

การลงโทษผู้ทิ้งงาน

การลงโทษผู้ทิ้งงาน. หลักเกณฑ์การลงโทษผู้ทิ้งงาน. 1.ผู้ได้รับคัดเลือกไม่มาทำสัญญา 2.คู่สัญญา/ผู้รับจ้างช่วงไม่ปฏิบัติตามสัญญา 3.คู่สัญญาไม่แก้ไขความชำรุดบกพร่องหรือ พัสดุตามสัญญา/วัสดุที่ใช้ไม่ได้มาตรฐาน/ ไม่ครบถ้วน ทำให้งานเสียหายอย่างร้ายแรง. หลักเกณฑ์การลงโทษผู้ทิ้งงาน (ต่อ).

Download Presentation

การลงโทษผู้ทิ้งงาน

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. การลงโทษผู้ทิ้งงาน

  2. หลักเกณฑ์การลงโทษผู้ทิ้งงานหลักเกณฑ์การลงโทษผู้ทิ้งงาน 1.ผู้ได้รับคัดเลือกไม่มาทำสัญญา 2.คู่สัญญา/ผู้รับจ้างช่วงไม่ปฏิบัติตามสัญญา 3.คู่สัญญาไม่แก้ไขความชำรุดบกพร่องหรือ พัสดุตามสัญญา/วัสดุที่ใช้ไม่ได้มาตรฐาน/ ไม่ครบถ้วน ทำให้งานเสียหายอย่างร้ายแรง

  3. หลักเกณฑ์การลงโทษผู้ทิ้งงาน (ต่อ) 4.งานก่อสร้างสาธารณูปโภค ใช้ของที่มีข้อบกพร่อง/ ไม่ได้มาตรฐาน/ไม่ครบถ้วน 5.ที่ปรึกษาที่มีผลงานบกพร่อง/ผิดพลาด/ก่อให้เกิด ความเสียหายอย่างร้ายแรง 6.ผู้กระทำการขัดขวางการแข่งขันราคา/กระทำการโดยไม่สุจริตในการเสนอราคา

  4. การพิจารณาผู้ทิ้งงานทั่วไปตามข้อ 1-5 1. หัวหน้าส่วนราชการรายงานเสนอปลัดกระทรวงพร้อมความเห็นโดยเร็ว 2. ปลัดกระทรวงพิจารณาเห็นว่าไม่มีเหตุผลอันสมควรส่งชื่อให้ผู้รักษาการสั่งให้เป็นผู้ทิ้งงาน 3. กวพ. เสนอความเห็นว่าสมควรเป็นผู้ทิ้งงาน 4. ผู้รักษาการพิจารณาสั่งเป็นผู้ทิ้งงาน 5. ผู้รักษาการระบุชื่อผู้ทิ้งงานในบัญชีรายชื่อผู้ทิ้งงาน 6. ผู้รักษาการแจ้งเวียนชื่อให้ส่วนราชการอื่นทราบ/แจ้งผู้ทิ้งงานทางไปรษณีย์ลงทะเบียน

  5. การขัดขวางการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรมการขัดขวางการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม • ผู้เสนอราคา ผู้เสนองาน กระทำการอย่างใด ๆ อันเป็นการขัดขวาง หรือเป็นอุปสรรค หรือ ไม่เปิดโอกาสให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม

  6. การพิจารณาผู้ทิ้งงานตามข้อ 6(ผู้กระทำการขัดขวางการแข่งขันราคาหรือ กระทำการโดยไม่สุจริตในการเสนอราคา) 1.ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าบุคคล ดังกล่าว สมควรเป็นผู้ทิ้งงาน หรือไม่ 2.แจ้งเหตุที่สงสัยไปให้ผู้เสนอราคา/เสนองานที่ถูกสงสัยทราบ ชี้แจงภายในเวลาที่กำหนดไม่น้อยกว่า 15 วัน 3.ดำเนินการต่อไปตามหลักเกณฑ์การพิจารณาผู้ทิ้งงานทั่วไป

  7. ผลการลงโทษผู้ทิ้งงาน 1. ลงโทษนิติบุคคล ถ้าการกระทำเกิดจากผู้บริหาร ลงโทษผู้บริหารด้วย 2. การสั่งลงโทษนิติบุคคล มีผลถึงนิติบุคคลอื่นที่ดำเนินธุรกิจประเภทเดียวกัน ซึ่งมีผู้บริหารคนเดียวกันด้วย 3. การสั่งลงโทษบุคคลธรรมดา มีผลถึงนิติบุคคลที่บุคคลดังกล่าวเป็นผู้บริหารด้วย หมายเหตุผู้บริหาร – หุ้นส่วนผู้จัดการ/กรรมการผู้จัดการ/ผู้บริหาร/ผู้มีอำนาจดำเนินกิจการของนิติบุคคลนั้นๆ

  8. การอุทธรณ์การลงโทษ 1. ยื่นอุทธรณ์เป็นหนังสือต่อผู้รักษาการตามระเบียบภายใน 15 วัน นับแต่วันรับแจ้งการลงโทษ 2. ชี้แจงข้อเท็จจริง (ถ้ามี) 3. การพิจารณาอุทธรณ์ตามพ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 4. คำสั่งยกอุทธรณ์มาตรา 45 วรรคสองและวรรคสามประกอบกฎกระทรวงฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2540) ข้อ 2 (5) 5. ฟ้องต่อศาลปกครองภายใน 90 วัน ตามมาตรา 49 พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองพ.ศ.2542

  9. การขอเพิกถอนการเป็นผู้ทิ้งงานการขอเพิกถอนการเป็นผู้ทิ้งงาน 1. ได้ถูกลงโทษมาแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 2 ปี 2. มิได้กระทำไปด้วยเจตนาทุจริตหรือเป็นการเอาเปรียบทางราชการ 3. เป็นนิติบุคคลที่มีฐานะมั่นคงและมีเกียรติประวัติดีมาก่อน 4. ยอมรับและรู้สำนึกความผิดในการกระทำของตน (หนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ด่วนมาก ที่ น.ว.105/2504 ลว. 18 ต.ค.2504)

  10. เอกสารประกอบการขอเพิกถอน(บุคคลธรรมดา)เอกสารประกอบการขอเพิกถอน(บุคคลธรรมดา) • สำเนาใบทะเบียนพาณิชย์ (ถ้ามี) • สำเนาการเสียภาษีย้อนหลัง 3 ปี • สำเนาใบแจ้งยอดบัญชีธนาคารย้อนหลังไม่น้อยกว่า 1 ปี • สำเนาหลักฐานการทำงานกับภาคเอกชน (ถ้ามี) • สำเนาใบรับรองผลงาน

  11. เอกสารประกอบการขอเพิกถอน (นิติบุคคล) • สำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคล • สำเนาการเสียภาษีย้อนหลัง 3 ปี • สำเนารายงานของผู้สอบบัญชีรับอนุญาตย้อนหลัง 3 ปี • สำเนาหลักฐานการทำงานกับภาคเอกชน (ถ้ามี) • สำเนาใบรับรองผลงาน

  12. แบบแสดงรายละเอียดการทำ (ทง.1-3) • การแจ้งรายละเอียดและส่งเอกสารหลักฐานประกอบในการพิจารณาผู้ทิ้งงาน • แจ้งตามหนังสือสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ นร 1305/ว 4739 ลว. 30 พ.ค. 43 • รายละเอียดอยู่ในเอกสารแนบประกอบคำบรรยาย

  13. วิธีปฏิบัติในการเปิดโอกาสให้ชี้แจงเหตุผลวิธีปฏิบัติในการเปิดโอกาสให้ชี้แจงเหตุผล • การเปิดโอกาสให้ผู้ที่จะถูกลงโทษเป็นผู้ทิ้งงาน(นิติบุคคล บุคคลธรรมดาและผู้บริหาร ได้ชี้แจงก่อนถูกลงโทษ ให้ส่งหนังสือให้ชี้แจงไม่น้อยกว่า 15 วัน • แจ้งตามหนังสือสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ นร (กวพ) 1305/ว 9696 ลว. 21 ต.ค. 42 • รายละเอียดอยู่ในเอกสารแนบประกอบคำบรรยาย

  14. เหตุที่จะไม่ถูกลงโทษให้เป็นผู้ทิ้งงานตามมติ ครม.ว113 • ข้อ 1.2 • ต้องเป็นสัญญาที่ถูกบอกเลิกหลัง 1 ตุลาคม 2550 - 17 มิถุนายน 2551 • ต้องได้รับผลกระทบจากวิกฤติราคาน้ำมัน เหล็ก วัสดุก่อสร้าง • ต้องเป็นงานก่อสร้าง

  15. ข้อ 3 มี 2 เงื่อนไข ดังนี้ • เงื่อนไขที่ 1 • เสนอราคามาก่อนจนถึงวันที่ ครม. มีมติ (17 มิถุนายน 2551) และอยู่ระหว่างรอการลงนามในสัญญา • ผู้เสนอราคาไม่ประสงค์ลงนามในสัญญาหรือข้อตกลง • ต้องมีคำขอภายใน 60 วัน • ให้ถอนการเสนอราคาโดยไม่ถือว่าเป็นผู้ทิ้งงาน • ต้องเป็นงานก่อสร้าง • ให้คืนหลักประกันซอง

  16. ข้อ 3 มี 2 เงื่อนไข ดังนี้(ต่อ) • เงื่อนไขที่ 2 • ลงนามในสัญญาก่อนวันที่ 17 มิถุนายน 2551 • ยังไม่ได้ทำงานหรือยังไม่ได้ส่งงานงวดแรก • ต้องมีคำขอภายใน 60 วัน (วันที่ 18 สิงหาคม 2551) • ให้ยกเลิกสัญญาได้โดยไม่ถือว่าเป็นผู้ทิ้งงาน • ให้คืนหลักประกันสัญญา

  17. กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการพัสดุและการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการพัสดุและการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ

  18. พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของทางราชการ พ.ศ. 2540 • มาตรา 9 ข้อมูลข่าวสารที่รัฐต้องจัดไว้ให้ประชาชนเข้าตรวจดูได้ • (1) ผลการพิจารณาหรือคำวินิจฉัยที่มีผลโดยตรงต่อเอกชน • (8) ข้อมูลข่าวสารอื่นตามที่คณะกรรมการกำหนด

  19. ประกาศคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการลงวันที่ 1 ธันวาคม 2543 • เรื่อง กำหนดให้มีข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับผลการพิจารณาจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานของรัฐ เช่น ข้อมูลข่าวสารที่ต้องจัดไว้ให้ประชาชนตรวจดูได้ตามมาตรา 9 (8) แห่ง พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540

  20. 1.ให้หน่วยงานของรัฐจัดทำสรุปผลการพิจารณาจัดซื้อจัดจ้าง วันเดือนปี งาน วงเงิน วิธี ชื่อผู้เสนอราคา ผู้ชนะ เหตุผลที่คัดเลือกรายนั้น 2.ทำตามแบบ สขร.1

  21. พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 • มาตรา 10 เจ้าหน้าที่มีอำนาจ อนุมัติ พิจารณา ดำเนินการเกี่ยวกับการเสนอราคา รู้ หรือควรจะรู้ว่ามีพฤติการณ์ปรากฏว่ามีการกระทำผิดตาม พ.ร.บ. • ไม่เสนอยกเลิก • โทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปีถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 บาท – 200,000 บาท

  22. พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 • มาตรา 11 เจ้าหน้าที่หรือผู้ได้รับมอบหมายจากหน่วยงาน • ทุจริต ออกแบบ กำหนดราคา กำหนดเงื่อนไขอันเป็นมาตรฐานในการเสนอราคา • มุ่งหมายมิให้มีการแข่งขันอย่างเป็นธรรม • ช่วยเหลือผู้เสนอราคารายใดให้เข้าทำสัญญา • กีดกันมิให้เข้าเสนอราคาอย่างเป็นธรรม • โทษจำคุก5ปี-20ปี/ตลอดชีวิต+ปรับ 100,000-400,000บาท

  23. พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 • มาตรา 12 เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำผิดตาม พ.ร.บ.นี้ • กระทำการโดยมุ่งหมายมิให้มีการแข่งขันเพื่อเอื้ออำนวยผู้เสนอราคาให้เป็นผู้มีสิทธิทำสัญญา • โทษจำคุก 5 ปี – 20 ปีหรือตลอดชีวิตและปรับ 100,000 - 400,000 บาท

  24. พ.ร.บ. ที่ราชพัสดุ พ.ศ. 2518 • ที่ราชพัสดุ หมายถึง อสังหาริมทรัพย์อันเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินทุกชนิด ยกเว้นสาธารณสมบัติ... • กฎกระทรวง ฉบับที่11(พ.ศ.2537) ลว.19 ต.ค.37 • การต่อไปนี้ให้บังคับตามกฎกระทรวง • การโอนกรรมสิทธิ์ การขายและแลกเปลี่ยน การให้ การโอนคืนให้แก่ผู้ยกให้

  25. ระเบียบคณะกก.ตรวจเงินแผ่นดินว่าด้วยวินัยทางงบประมาณและการคลัง พ.ศ.2544 • ความผิดเกี่ยวกับการพัสดุ (ข้อ 37-49) • แบ่งซื้อแบ่งจ้างเป็นเหตุให้เสียหาย,จัดซื้อที่ดินและสิ่งก่อสร้าง ปฏิบัติ/ละเว้นการปฏิบัติโดยมิชอบเป็นเหตุเสียหาย,กำหนดราคากลาง,สเปคในการประกวด/สอบ มิชอบ,ไม่ปิด/ส่งประกาศ,ไม่ซื้อ/จ้างรายต่ำโดยไม่มีเหตุผล,ทำสัญญามิชอบ,คุมงาน/ตรวจการจ้างมิชอบ,ตรวจรับพัสดุ,ลงบัญชี/ทะเบียน,เบิกจ่าย ตรวจสอบพัสดุมิชอบ • กรณีเป็นผู้บังคับบัญชา,ระเบียบยานพาหนะ,ผู้กระทำ/ร่วมเป็นผู้บังคับบัญชา ชั้น 4 (หมายเหตุ ต้องเป็น จ.มีหน้าที่และเสียหาย)

  26. พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2502 • มาตรา 23 วรรคแรก • ห้ามมิให้จ่ายเงินหรือก่อหนี้ผูกพันตาม พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี หรือ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมจนกว่าจะได้รับอนุมัติเงินประจำงวดแล้ว ฯลฯ

  27. พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉ.7) พ.ศ.2550 • มาตรา 38 อำนาจในการสั่ง อนุญาต อนุมัติ การปฏิบัติราชการหรือดำเนินการอื่นที่ผู้ดำรงตำแหน่งใดจะพึงปฏิบัติหรือดำเนินการตาม กฎหมาย กฎ ระเบียบ ประกาศ หรือคำสั่งใดหรือมีมติคณะรัฐมนตรีในเรื่องใด • ถ้ากฎหมาย กฎ ระเบียบ ประกาศ หรือคำสั่งนั้น หรือ มติคณะรัฐมนตรีในเรื่องนั้นมิได้กำหนดเรื่องการมอบหมายอำนาจไว้เป็นอย่างอื่น หรือมิได้ห้ามเรื่องการมอบอำนาจไว้ • ผู้ดำรงตำแหน่งนั้น อาจมอบให้ผู้ดำรงตำแหน่งอื่นในส่วนราชการเดียวกัน หรือส่วนราชการอื่น หรือผู้ว่าฯ ได้ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดในพ.ร.ฎ. • การมอบอำนาจให้ทำเป็นหนังสือ

  28. ระเบียบ นร.ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 • ข้อ 9 • ผู้มีอำนาจดำเนินการตามระเบียบนี้จะมอบอำนาจเป็นหนังสือให้แก่ผู้ดำรงตำแหน่งใดก็ได้โดยให้คำนึงถึงระดับ ตำแหน่ง หน้าที่ และความรับผิดชอบของผู้ที่ได้รับมอบ • ผู้รับมีหน้าที่ต้องรับจะมอบต่อไม่ได้ ยกเว้น ผู้ว่าฯอาจมอบต่อได้...,กลาโหมมอบต่อตามระเบียบฯ กลาโหม

  29. พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 • มาตรา 3 วิธีปฏิบัติราชการทางปกครองตาม กม.ต่างๆ ให้เป็นไปตามที่กำหนดในพ.ร.บ.นี้ เว้นแต่ในกรณีที่กม.ใดกำหนดวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองเรื่องใดไว้โดยเฉพาะและมีหลักเกณฑ์ที่ประกันความเป็นธรรมหรือมีมาตรฐานในการปฏิบัติราชการไม่ต่ำกว่าหลักเกณฑ์ที่กำหนดใน พ.ร.บ. นี้ • ความในวรรคหนึ่ง มิให้ใช้บังคับกับขั้นตอนและระยะเวลาอุทธรณ์หรือโต้แย้งที่กำหนดในกฎหมาย

  30. พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 • คำสั่งทางปกครอง หมายความว่า • (1) การใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ ที่มีผลเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคลในอันที่จะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน ระงับ หรือมีผลกระทบต่อสถานภาพ หรือสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคล ไม่ว่าจะเป็นการชั่วคราว หรือถาวร • (2) การอื่นที่กำหนดในกฎกระทรวง

  31. คำสั่งทางปกครอง • การใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่เช่นการสั่งการ การอนุญาต อนุมัติ วินิจฉัยอุทธรณ์ การรับรอง การรับจดทะเบียบ • มีผลสร้างนิติสัมพันธ์ระหว่างบุคคล/กระทบสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคล • มีผลเฉพาะ “กรณีใดหรือบุคคลใด” • เป็นการกระทำที่มีผลไปสู่ภายนอกโดยตรง

  32. หลักการสำคัญเกี่ยวกับคำสั่งทางปกครองหลักการสำคัญเกี่ยวกับคำสั่งทางปกครอง • 1. เจ้าหน้าที่ • 1)คำสั่งทางปกครองต้องกระทำโดยเจ้าหน้าที่ซึ่งมีอำนาจในเรื่องนั้น (ม.12) • 2) เจ้าหน้าที่ที่มีส่วนได้เสียจะทำการพิจารณาทางปกครองไม่ได้ (ม.13,16) • เช่น เป็นคู่กรณีเอง คู่หมั้น คู่สมรสหรือญาติ เจ้าหนี้ ลูกหนี้ นายจ้าง เป็นหรือเคยเป็นผู้แทนโดยชอบธรรม ผู้พิทักษ์ หรือตัวแทนของคู่กรณี หรือมีเหตุอื่นซึ่งมีสภาพร้ายแรงอันอาจทำให้การพิจารณาทางปกครองไม่เป็นกลาง

  33. พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 • กฎกระทรวงฉบับที่ 12 (พ.ศ.2543) • ให้การดำเนินการของเจ้าหน้าที่ดังต่อไปนี้เป็นคำสั่งทางปกครอง • 1. การดำเนินการเกี่ยวกับการจัดหา หรือให้สิทธิประโยชน์ในกรณี(1) การสั่งรับ หรือไม่รับคำเสนอขาย รับจ้าง แลกเปลี่ยน เช่า ขาย ให้เช่า หรือให้สิทธิประโยชน์ • (2) การอนุมัติสั่งซื้อ จ้าง แลกเปลี่ยน เช่า ขาย ให้เช่า หรือให้สิทธิประโยชน์ • (3) การสั่งยกเลิกกระบวนการพิจารณาคำเสนอหรือการดำเนินการอื่นในลักษณะเดียวกัน • (4) การสั่งให้เป็นผู้ทิ้งงาน • 2. การให้หรือไม่ให้ทุนการศึกษา

  34. หลักการบังคับใช้กฎหมายหลักการบังคับใช้กฎหมาย • 1.เจ้าหน้าที่ไม่สามารถกระทำการใดไปกระทบสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลใดได้ เว้นแต่จะมีกฎหมาย (พ.ร.บ.) ให้อำนาจไว้ • 2.ในกรณีที่กฎหมายที่ให้อำนาจไว้นั้น กำหนดหลักเกณฑ์ ขั้นตอน วิธีการหรือเงื่อนไขการใช้อำนาจไว้อย่างไร การใช้อำนาจในเรื่องนั้นก็จะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ ขั้นตอน วิธีการ หรือเงื่อนไขนั้น

  35. หลักการบังคับใช้กฎหมาย (ต่อ) • 3.หากการใช้อำนาจเรื่องนั้น มีกฎหมายเกี่ยวข้องหลายฉบับ การกระทำของเจ้าหน้าที่ก็จะต้องถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายนั้นทุกฉบับ • 4.กรณีที่กฎหมายให้เป็นดุลพินิจกับเจ้าหน้าที่ การใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ในเรื่องนั้นก็จะต้องชอบด้วยกฎหมาย • 5.ถูกตรวจสอบได้โดยศาลปกครอง

  36. ลักษณะการกระทำการที่ไม่ชอบด้วย กม. • ออกกฎ คำสั่ง หรือกระทำการอื่นใด เนื่องจาก • ไม่มีอำนาจ (ออกโดยเจ้าหน้าที่อื่น ไม่ได้รับมอบอำนาจ) • นอกเหนืออำนาจ (ทำไม่เกินกว่าที่กม.ให้อำนาจไว้) • ไม่ถูกต้องตามกม. (เนื้อหาของคำสั่งขัด/แย้งต่อกม.) • ไม่ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอน หรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญ • ไม่สุจริต(การใช้อำนาจเพื่อประโยชน์ส่วนตัว) • เลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม (ขัดต่อหลักความเสมอภาค) • สร้างขั้นตอนโดยไม่จำเป็น (เกินขอบเขตแห่งความจำเป็นที่กม.กำหนด) • สร้างภาระเกินสมควร (เป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักความได้สัดส่วน) • ใช้ดุลพินิจโดยไม่ชอบ (เกินกว่าที่วิญญูชนจะรับฟังได้)

  37. การพิจารณาทางปกครอง • 1.เจ้าหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ตามความเหมาะสมไม่ผูกพันคำขอ/พยานของคู่กรณี และต้องพิจารณาพยานหลักฐานที่เห็นว่าจำเป็นแก่การพิสูจน์ข้อเท็จจริง • 2.คำสั่งทางปกครองที่อาจกระทบสิทธิของคู่กรณีต้องให้คู่กรณีมีโอกาสทราบข้อเท็จจริงอย่างเพียงพอและมีโอกาสโต้แย้งแสดงพยานหลักฐานของตน • ยกเว้น จำเป็นรีบด่วนเนิ่นช้าจะเสียหายร้ายแรงหรือจะกระทบประโยชน์สาธารณะ ห้ามให้โอกาสถ้าจะก่อให้เกิดผลเสียหายอย่างร้ายแรงต่อประโยชน์สาธารณะ

  38. พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 • องค์ประกอบของการกระทำละเมิด • ผู้ใดทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย • กระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ • ให้เขาเสียหาย แก่ชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ทรัพย์สิน หรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใด • ผู้ทำละเมิดต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน

  39. กระทำละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่กระทำละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่ • หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดต่อผู้เสียหายในผลแห่งละเมิดที่เจ้าหน้าที่ของตนได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่ • ผู้เสียหายอาจฟ้องหน่วยงานของรัฐดังกล่าวได้โดยตรง แต่จะฟ้องเจ้าหน้าที่ไม่ได้ • ถ้าการละเมิดเกิดจากเจ้าหน้าที่ซึ่งไม่ได้สังกัดหน่วยงานของรัฐแห่งใดให้ถือว่ากระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานของรัฐที่ต้องรับผิด

  40. กระทำละเมิดไม่ใช่ในการปฏิบัติหน้าที่กระทำละเมิดไม่ใช่ในการปฏิบัติหน้าที่ • ถ้าการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่มิใช่การกระทำในการปฏิบัติหน้าที่เจ้าหน้าที่ต้องรับผิดในการนั้นเป็นการเฉพาะตัว • ผู้เสียหายอาจฟ้องเจ้าหน้าที่ได้โดยตรง แต่จะฟ้องหน่วยงานของรัฐไม่ได้

  41. ความรับผิดของเจ้าหน้าที่ความรับผิดของเจ้าหน้าที่ • เจ้าหน้าที่ผู้ทำละเมิดจะรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเมื่อได้กระทำไปด้วยความจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง • ต้องคำนึงถึงระดับความร้ายแรงแห่งการกระทำและความเป็นธรรมในแต่ละกรณีเป็นเกณฑ์โดยมิต้องให้ใช้เต็มจำนวนของความเสียหายก็ได้

  42. ความรับผิดของเจ้าหน้าที่(ต่อ)ความรับผิดของเจ้าหน้าที่(ต่อ) • ถ้าการละเมิดเกิดจากความผิดหรือความบกพร่องของหน่วยงานของรัฐหรือระบบการดำเนินงานส่วนรวมให้หักส่วนแห่งความรับผิดดังกล่าวออกด้วย • ไม่นำหลักเรื่องลูกหนี้ร่วมมาใช้บังคับ เจ้าหน้าที่แต่ละคนต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเฉพาะส่วนของตนเท่านั้น

  43. ระยะเวลาเรียกค่าสินไหมทดแทนจากเจ้าหน้าที่ระยะเวลาเรียกค่าสินไหมทดแทนจากเจ้าหน้าที่ • สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากเจ้าหน้าที่ผู้ทำละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่มีกำหนดอายุความ 2 ปี นับแต่วันที่หน่วยงานของรัฐรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวเจ้าหน้าที่ ผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน • กรณีที่หน่วยงานของรัฐเห็นว่าเจ้าหน้าที่ผู้นั้นไม่ต้องรับผิดแต่กระทรวงการคลังตรวจสอบแล้วเห็นว่าต้องรับผิด ให้สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนนั้น มีกำหนดอายุความ 1 ปี นับแต่วันที่หน่วยงานของรัฐมีคำสั่งตามความเห็นของกระทรวงการคลัง

More Related