310 likes | 591 Views
พระพุทธศาสนาสมัยสุโขทัย เริ่มประมาณ พ.ศ. ๑๘๐๐. หลังจากอาณาจักรพุกามและกัมพูชาเสื่อมอำนาจลง คนไทยจึงได้ตั้งตัวเป็นอิสระ ได้ก่อตั้งอาณาจักรขึ้นเอง 2 อาณาจักร ได้แก่ อาณาจักรล้านนาทางภาคเหนือของไทย ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่และอาณาจักรสุโขทัยซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่จังหวัดสุโขทัยในปัจจุบัน.
E N D
พระพุทธศาสนาสมัยสุโขทัยเริ่มประมาณ พ.ศ. ๑๘๐๐ • หลังจากอาณาจักรพุกามและกัมพูชาเสื่อมอำนาจลง คนไทยจึงได้ตั้งตัวเป็นอิสระ ได้ก่อตั้งอาณาจักรขึ้นเอง 2 อาณาจักร ได้แก่ อาณาจักรล้านนาทางภาคเหนือของไทย ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่และอาณาจักรสุโขทัยซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่จังหวัดสุโขทัยในปัจจุบัน
๐ • สุโขทัยเริ่มแรกนับถือพุทธศาสนาแบบมหายานและศาสนาพราหมณ์เพราะได้รับอิทธิพลจากอาณาจักรขอมเรืองอำนาจ และนับถือเถรวาทแบบมอญซึ่งได้รับอิทธิพลจากอาณาจักรพุกาม ของพม่า (พ.ศ. ๑๔๐๐-๑๖๕๐) ( มอญทวารวดี (พ.ศ.๑๑๐๐-๑๖๐๐) และลพบุรี (พ.ศ.๑๖๐๐-๑๘๐๐) • พ่อขุนรามคำแหงทรงเห็นว่าขอมหมดอำนาจแล้วและทรงไม่ศรัทธาในลัทธิเดิม และเห็นว่าว่ามีลัทธิพุทธศาสนาที่ยังบริสุทธิ์ดีอยู่นั่นคือพระพุทธศาสนาเถรวาทแบบลังกาวงศ์จากเมืองนครศรีธรรมราชโดยนิมนต์พระสงฆ์เหล่านั้นที่เป็นพระไทยและลังกามาแผ่พุทธศาสนาที่สุโขทัย
ในยุคนี้เองที่พระไทย เขมร มอญ นิยมไปเรียนพระพุทธศาสนาที่ศรีลังกา และนำภาษาบาลีมาใช้ในไทยและเริ่มใช้ภาษาบาลีแต่ก็ยังมีอิทธิพลของภาษาสันสกฤตที่มีมาพร้อมกันกับลัทธิมหายานก่อนหน้านั้น • เกิดนิกาย ๒ นิกาย คือ นิกายคณะเหนือ คือกลุ่มพระสงฆ์เดิม และกลุ่มพระสงฆ์จากลังกาที่ได้มาจากนครศรีธรรมราชเป็นนิกายคณะใต้
เกิดรูปแบบวัดป่าและวัดในเมือง คือพระสงฆ์ฝ่ายเหนืออยู่วัดแบบคามวาสี (มือง)ส่วนฝ่ายใต้อยู่วัดแบบอารัญญิก (ป่า) • เกิดค่านิยมว่าฝ่ายเหนือที่เป็นคามวาสีเป็นกลุ่มพระพวกคันถธุระ คือมีหน้าที่เรียนพระไตรปิฎก และพวกคณะใต้ที่เป็นฝ่ายอารัญญิกมุ่งปฏิบัติวิปัสสนาธุระ
พระสงฆ์เถรวาทแบบเดิมใช้ภาษาสันสกฤต ส่วนสายลังกาใช้ภาษาบาลี • สายลังกาตั้งข้อรังเกียจสงฆ์เดิมที่เกี่ยวข้องกับมหายานมาก จึงไม่สังฆกรรมร่วม • เกิดการรวมสงฆ์ทั้ง ๒ นิกายเข้าด้วยด้วยกุสโลบายของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช คือทรงให้การสนับสนุนสายลังกาและเหล่าบรรดาเจ้านายก็เลื่อมใสลังกาวงศ์ สุดท้ายเลยรวมกันมาเป็นมหานิกายเช่นที่รู้จักกันในปัจจุบัน
หลังจากรวมกันได้มีการบรรพชาอุปสมบทที่ต้องใช้ภาษา สันสกฤตและบาลี ในการรับไตรสรณคมน์ (เลิกในสมัย ร.๕) • พุทธศตวรรษที่ ๑๘-๑๙ พระพุทธศาสนาเถรวาทแบบลังกาวงศ์ส่งอิทธิพลทั่ว ไทย พม่า มอญ ลาว เขมร
สมัยนี้เลิกนับถือนิกายมหายาน ส่วนใหญ่นับถือเถรวาทแบบลังกาวงศ์ สมัยขอมปกครองนั้นมหายานรุ่งเรืองมาก • ระบบการปกครองของขอม พระเจ้าแผ่นดินเป็นแบบเทพาวตาร คือ เทพเจ้าอวตารลงมา(แบบลัทธิพราหมณ์) พระเจ้าแผ่นดินจึงเหินห่างประชาชน ส่วนสมัยสุโขทัยนั้นใช้ระบอบพ่อปกครองลูก กษัตริย์จึงใกล้ชิดประชาชนมาก กษัตริย์ทรงบำเพ็ญจักรวรรดิสูตรต่อประชาชน ซึ่งมีอิทธิพลอย่างสูงต่อการปกครองมาก
ศิลาจารึกของขอม เริ่มด้วยการสดุดีพระเจ้าแล้วพูดถึงเกียรติคุณของกษัตริย์ ลงท้ายด้วยการสาปแช่ง ส่วนจารึกของไทยสมัยสุโขทัยจะพูดถึง • เหตุการณ์บ้านเมือง เศรษฐกิจและสังคม ไม่มีการสาปแช่งสังคม อันเป็นผลมาจากการปกครองแบบพ่อปกครองลูก • ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ไทยสมมัยสุโขทัยเจริญรุ่งเรืองอย่างรวดเร็วในระยะเวลาเพียง ๕๐ ปีเท่านั้น คนทั้งหลายเบื่อการปกครองแบบขอมที่ผลักภาระอันหนักให้แก่ประชาชน ด้วยการเก็บภาษีอย่างแรง และเกณฑ์คนไปสร้างปราสาทหินอันมหึมาเพื่ออวดศักดาของผู้ปกครอง คนทั้งหลายจึงพอใจอ้อนน้อมต่อสุโขทัยซึ่งปกครองโดยธรรม
พระไตรปิฎกที่รับมาจากทวาราวดีไม่ค่อยสมบูรณ์ได้รับเพิ่มมาจากลังการสมบูรณ์ขึ้น มีการแปลภาษาสิงหลที่บันทึกพระไตรปิฎกเป็นอักษรขอม เพราะนิยมแบบขอม และเกิดความเข้าใจผิดไปว่าอักษรขอมใช้สำหรับพระไตรปิฎกและตีความว่าอักษรขอมเป็นของขลัง ในสมัย ร. ๕ จึงให้บันทึกเป็นอักษรไทย
สร้างมนังคสิลาอาสน์ เพื่อให้พระสงฆ์มาเผยแผ่ศาสนา • ทรงมุ่งพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้าโดยใช้สัญลักษณ์จากพระพุทธรูปปางลีลา
ไตรภูมิพระร่วง (เตภูมิกถา) หนังสือไตรภูมิพระร่วงเป็นหนังสือสำคัญสมัยกรุงสุโขทัยที่ตกทอดมาถึงปัจจุบันเป็นวรรณคดีทางศาสนาที่มีอิทธิพลต่อคนไทยมากเดิมเรียกว่า "เตภูมิกถา หรือไตรภูมิกถา"ในการพิมพ์ครั้งแรกเมื่อพ.ศ. 2455 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเปลี่ยนชื่อหนังสือเล่มนี้เป็น "ไตรภูมิพระร่วง"เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระร่วงเจ้าแห่งกรุงสุโขทัยให้คู่กับหนังสือสุภาษิตพระร่วงผู้แต่งพระมหาธรรมราชาที่ 1 (พระยาลิไท)ความมุ่งหมาย1. เพื่อเทศนาโปรดพระมารดา 2. เพื่อใช้สั่งสอนประชาชนให้มีคุณธรรมและช่วยกันดำรงพระพุทธศาสนาไว้ให้ยั่งยืน
ลักษณะการแต่งแต่งเป็นร้อยแก้วลักษณะการแต่งแต่งเป็นร้อยแก้ว เนื้อหาสาระเริ่มต้นด้วยคาถานมัสการเป็นภาษาบาลีต่อไปมีบานแพนกบอกชื่อผู้แต่งวันเดือนปีที่แต่งบอกชื่อคัมภีร์บอกความมุ่งหมายในการแต่งแล้วจึงกล่าวถึงภูมิทั้ง 3 ว่า "อันว่าสัตว์ทั้งหลายย่อมจะเวียนวนไปมาและเกิดในภูมิ 3 อันนี้แล"คำว่า "ไตรภูมิ"แปลว่าสามแดนคือกามภูมิ , รูปภูมิ , และอรูปภูมิทั้ง 3 ภูมิแบ่งออกเป็น 8 กันฑ์คือ 1. กามภูมิ มี 6 กัณฑ์
กามมี 6 ชั้นคือจาตุมหาราชิก , ดาวดึงส์ , ยามะ , ดุสิต , นิมมานรดี , ปรนิมมิตวสวดี 2. รูปภูมิ มี 1 กัณฑ์คือรูปาวจรภูมิเป็นแดนของพรหมที่มีรูปแบ่งเป็น 16 ชั้นตามภูมิธรรมเรียกว่าโสฬสพรหม 3. อรูปภูมิมี 1 กัณฑ์คืออรูปาวจรภูมิเป็นแดนของพรหมไม่มีรูปมีแต่จิต แบ่งเป็น 4ชั้น
คุณค่า 1. ด้านศาสนา ไตรภูมิพระร่วงเป็นหนังสืออ่านยาก ตั้งแต่สมัยสุโขทัยตลอดมาจนกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นผู้ที่นำไตรภูมิไปสู่ชาวบ้านก็คือพระสงฆ์และนำไปโดยการเทศนาทำภาษายากให้เป็นภาษาง่ายที่ชาวบ้านเข้าใจได้โดยเฉพาะเนื้อเรื่องนั้นมีอิทธิพลต่อความรู้สึกนึกคิดเกี่ยวกับบาปบุญคุณโทษการเกิดการตายเกี่ยวกับโลกทั้งสาม (ไตรภูมิ)ซึ่งทำให้คนสมัยกรุงสุโขทัยเข้าใจเรื่องชีวิตของตนเองว่าเกิดมาอย่างไรตายแล้วไปไหนโลกที่อยู่ปัจจุบันและโลกหน้าเป็นอย่างไร
2. ด้านภาษา สำนวนโวหารในไตรภูมิโดยเฉพาะพรรณนาโวหารนั้นประณีตละเอียดลออเป็นอย่างยิ่งจนทำให้นึกเห็นสมจริงให้เห็นสภาพอันน่าสยองขวัญของนรกสภาพอันรุ่งเรืองบรมสุขของสวรรค์จนจิตรกรอาจถ่ายบทพรรณนานั้นลงเป็นภาพได้เราจะเห็นภาพฝาผนังของวิหารและโบสถ์ตามวัดต่างๆ ไป (นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงทางภาษาระหว่างสมัยพ่อขุนรามคำแหงกับสมัยพระมหาธรรมราชาลิไท)
3. ด้านสังคม มุ่งใช้คุณธรรมความดีเป็นพื้นฐานการสร้างสรรค์ความสุขในสังคม 4. ด้านอิทธิพลต่อกวียุคหลังกวียุคหลังได้ใช้ไตรภูมินี้เป็นแนวพรรณนาป่าหิมพานต์เขาพระสุเมรุ วิมานพระอินทร์ ส่วนจิตรกรได้อาศัยความคิดความเชื่อในไตรภูมิเป็นแนวการสร้างสรรค์งานศิลปะรวมความว่า ไตรภูมิพระร่วงเป็นหนังสือเก่าชั้นวรรณคดีที่มีอิทธิพลต่อความคิดอ่านของคนไทยในเรื่องบาปบุญคุณโทษในด้านจิตรกรรมฝาผนังโบสถ์ต่างๆและวรรณคดีตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงสมัยปัจจุบันหนังสือนี้แสดงให้เห็นพระปรีชาสามารถของพระยาลิไทในด้านศาสนาและใช้จริยธรรมในการบริหารบ้านเมืองอย่างดียิ่ง
ศิลปะสุโขทัย : สถาปัตยกรรม แผนผังของวัด (เขตพุทธาวาส) วัดประกอบด้วยพื้นที่สำคัญ 2 ส่วน 1.ส่วนที่เป็นท่ออยู่ของสงฆ์เรียกว่าสังฆาวาส 2.ส่วนที่ไว้ใช้ทำพิธีกรรมหรือประดิษฐานสิ่งก่อสร้างสำคัญหรือพระพุทธรูปสำคัญเรียกว่าพุทธาวาส สิ่งก่อสร้างที่อยู่ในส่วนสังฆาวาส ได้แก่ กุฏิซึ่งมักทำจากไม้เมื่อเวลาผ่านไปย่อมเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลาในขณะที่ส่วนพุทธาวาสจะสร้างขึ้นจากวัสดุที่คงทนเช่นอิฐหินศิลาแลงเป็นต้นวัดในสมัยสุโขทัยจึงเหลือหลักฐานให้ศึกษาเฉพาะส่วนพุทธาวาส
การวางแผนผังอาคารในส่วนพุทธาวาสสมัยสุโขทัยนิยมหันหน้าไปทางทิศตะวันออกอาจแบ่งประเภทของแผนผังวัดได้ดังนี้การวางแผนผังอาคารในส่วนพุทธาวาสสมัยสุโขทัยนิยมหันหน้าไปทางทิศตะวันออกอาจแบ่งประเภทของแผนผังวัดได้ดังนี้ 1.ทำเจดีย์เป็นประธานของวัดด้านหน้าเจดีย์ทำวิหารประดิษฐานพระพุทธรูป (รูปที่ 1) 2.ทำมณฑปเป็นประธานของวัดด้านหน้าเจดีย์ทำวิหารประดิษฐานพระพุทธรูป (รูปที่ 2) จึงเห็นได้ว่าในสมัยสุโขทัยสิ่งก่อสร้างที่มีความสำคัญได้แก่เจดีย์มณฑปและ วิหารในขณะที่อุโบสถยังไม่มีความ สำคัญสร้างขึ้นในตำแหน่งที่ไม่สำคัญหรือบางวัดอาจไม่มีการทำอุโบสถ
ทำเจดีย์เป็นประธานของวัดด้านหน้าเจดีย์ทำวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปทำเจดีย์เป็นประธานของวัดด้านหน้าเจดีย์ทำวิหารประดิษฐานพระพุทธรูป
- มณฑป มณฑปในสมัยสุโขทัยเป็นอาคารรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสประดิษฐานพระพุทธรูปขนาดใหญ่ไว้ภายในมณฑปในสมัยสุโขทัยมีความหมายว่าเป็นกุฎี เฉพาะขององค์พระพุทธเจ้าเท่านั้นดังนั้นจึงใช้ประดิษฐานเฉพาะพระพุทธรูปเพียงอย่างเดียวไม่มีพื้นที่สำหรับจุคนจำนวนมากๆได้หรือเอาไว้ใช้ทำพิธีกรรมได้ (รูปที่ 5)
- อุโบสถ ไว้ใช้ทำพิธีกรรมเฉพาะสงฆ์ในสมัยสุโขทัยพบเป็นจำนวนน้อยแต่เท่าที่พบรูปแบบโดยทั่ว ไปมีลักษณะเหมือนกับวิหารเพียงแต่มีใบเสามาล้อมรอบและมักมีคูน้ำล้อมรอบหรือสร้างขึ้นบนเกาะกลางน้ำ (รูปที่ 7)
ศิลปะสุโขทัย : ประติมากรรม พระพุทธรูป พระพุทธรูปสมัยสุโขทัยมีผู้แบ่งกลุ่มตามพุทธลักษณะเป็น 4 กลุ่มได้แก่ 1. หมวดวัดตระกวน 2.หมวดใหญ่ 3. หมวดพระพุทธชินราช 4. หมวดกำแพงเพชร
1. หมวดวัดตระกวน เหตุที่เรียกชื่อนี้เนื่องจากพระพุทธรูปในหมวดนี้ที่วัดตระกวนเป็นครั้งแรกพระพุทธรูปหมวดวัดตระกวนนี้มีพุทธลักษณะที่สำคัญคือพระพักตร์กลมบางองค์มีชายสังฆาฏิสั้นเหนือพระถัน(นม) พระพุทธรูปบางองค์ในกลุ่มนี้อาจเป็นพระพุทธรูปยุคแรกของสุโขทัยก็ได้
2. หมวดใหญ่ พระพุทธรูปหมวดนี้ ถือกันว่าเป็นพระพุทธรูปที่งดงามที่สุด พุทธลักษณะของพระพุทธรูปหมวดนี้คือพระรัศมี เปลวพระพักตร์รูปไข่ พระขนงโก่งอมยิ้มเล็กน้อยพระอังสาใหญ่บั้นพระองค์เล็กครองจีวรห่มเฉียงชายสังฆาฏิจรดพระนาภี (ท้อง) ปลายเป็นเขี้ยวตะขาบหากเป็นพระพุทธรูปนั่งมักทำปางมารวิชัยขัดสมาธิราบ
นอกจากนี้พระพุทธรูปในหมวดนี้ยังมีที่ทำเป็น ปางลีลาหรือ ก้าวเดินซึ่งถือว่าเป็นเอกลักษณ์ของศิลปะสุโขทัยด้วย
3. หมวดพระพุทธชินราช เป็นกลุ่มที่ทำพระพุทธรูปขนาดใหญ่เช่นพระพุทธชินราชพระพุทธชินสีห์พระศรีศาสดาเป็นต้นพุทธลักษณะที่สำคัญคือพระพักตร์ค่อนข้างกลมนิ้วพระหัตถ์ทั้งสี่นิ้วยกเว้นนิ้วโป้งจะยาวเท่ากัน
4. หมวดกำแพงเพชร ส่วนใหญ่มีพุทธลักษณะแบบเดียวกันกับพระพุทธรูปหมวดใหญ่เพียงแต่ว่าวงพระพักตร์ตอนบนกลางพระหนุ(คาง) เสี้ยมพบเป็นจำนวนน้อย
เทวรูป แม้ในสมัยสุโขทัยจะนับถือพุทธศาสนาแบบลังกาวงศ์เป็นหลักแต่ก็มิได้หมายความว่าจะไม่มีการนับถือศาสนาอื่นๆศาสนาที่มีการนับถืออยู่บ้างในสมัยสุโขทัยได้แก่ศาสนาฮินดูดังได้พบเทวรูปสำริดอันประกอบด้วยพระอิศวรพระอุมา
พระนารายณ์พระพรหมและพระหริหระพระนารายณ์พระพรหมและพระหริหระ แม้ว่าจะสร้างขึ้นเนื่องในศาสนาฮินดูแต่เป็นที่น่าสังเกตว่าลักษณะบางประการเช่นวงพระพักตร์ของเทวรูปเหล่านี้เป็นวงรูปไข่คล้ายกับพระพุทธรูป แสดงให้เห็นว่าช่างผู้สร้างอาจเป็นช่างกลุ่มเดียวกันหรืออาจอยู่ภายใต้อิทธิพลซึ่งกันและกัน ก็ได้