E N D
สองพ่อลูก ผู้โง่เขลา
และลูกชาย จูงลาเดินไปตามทางเรื่อย ๆ อากาศก็ร้อน แดดก็เปรี้ยงเสียด้วยวันนั้น สองพ่อลูกเดินจูงลาและเช็ดเหงื่อที่ไหล ย้อยลงมาอย่างไม่ยอมหยุดและเดินทางไปเรื่อย ๆ ในระหว่างทาง พวกเขาได้พบกับพวกผู้หญิงกลุ่มหนึ่ง ซึ่งกำลังซักผ้ากันอยู่ที่ริมแม่น้ำ ผู้หญิงในกลุ่มนั้นคนหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า "ดูนั่นซิ" และยังชี้มือมาทางเจ้าของ โรงสี และลูกชาย " ช่างโง่ชะมัดเลยทั้งสองคน....เธอว่าไหม ?"
ตะโกนถาม ผู้หญิงคนที่พูดขึ้นนั้นว่า " ทำไมการเดินจูงลาแล้วจะต้องเป็นคนที่โง่ชะมัดอย่างที่หล่อนว่านั้นด้วยเล่า ? " ผู้หญิงคนนั้นจึงพูดว่า " ก็ถ้าเป็นคนที่ฉลาด ๆละก็ ก็คงจะไม่ยอมเดินคลุกฝุ่นอย่างนั้นอยู่ได้น่ะสิ ทั้งๆที่คน หนึ่งน่าจะขี่หลังลา นั่งให้สบาย ๆ แต่ไม่ยักกะทำ พวกเราถึงได้ว่า ว่าโง่ชะมัดยังไงเล่า?" ผู้พ่อเมื่อได้ฟัง ดังนั้นก็เห็นด้วยกับผู้หญิงคนที่พูดนั้น เขาจึงบอกกับลูกชายว่า " ที่ผู้หญิงคนนั้นพูดก็ถูกนะ ลูกขึ้นไปขี่ลาเถิด มา ขึ้นมา" ว่าแล้วเขาก็ช่วยลูกชายให้ขึ้นนั่ง หลังลา แล้วทั้งสองคนเดินก็ทางกันต่อไป ในไม่ช้า สองพ่อลูก ก็พบหญิงชรานางหนึ่งมือถือไม้เท้า และกำลังจะเดินสวนทางมาทางสองพ่อลูกเข้าอีก
หญิงชรานางนั้นเมื่อเดินสวนมาถึงที่ใกล้ ๆ กับสองพ่อลูก แล้วอยู่ ๆ นางก็ยกไม้เท้าที่ถือมาในมือนั้นขึ้นเคาะไปที่ หัวของลูกชายที่นั่งอยู่บนหลังลาดัง " ป๊อก " แล้วพูดอย่างโมโหฉุนเฉียวว่า " อ้าย คนเนรคุณ ! จอมขี้เกียจ สันหลังยาว อากาศร้อน ๆออกอย่างนี้ แทนที่จะให้พ่อผู้แก่ชรานั่งบนหลังลากับมานั่งเสียเอง ดูสิ ! แกนั่นแหละ ควรเป็นคนเดินไม่ใช่พ่อแก " ลูกชายตกใจมากที่อยู่ดี ๆก็มาโดนเคาะหัวแล้วยังแถมโดนหญิงชราดุสั่งสอน เอาอย่างนั้นเข้าอีก แต่เขาก็คิดเห็นด้วยกับคำพูดของ หญิงชรานางนั้นเมื่อเดินสวนมาถึงที่ใกล้ ๆ กับสองพ่อลูก แล้วอยู่ ๆ นางก็ยกไม้เท้าที่ถือมาในมือนั้นขึ้นเคาะไปที่ หัวของลูกชายที่นั่งอยู่บนหลังลาดัง " ป๊อก " แล้วพูดอย่างโมโหฉุนเฉียวว่า " อ้าย คนเนรคุณ ! จอมขี้เกียจ สันหลังยาว อากาศร้อน ๆออกอย่างนี้ แทนที่จะให้พ่อผู้แก่ชรานั่งบนหลังลากับมานั่งเสียเอง ดูสิ ! แกนั่นแหละ ควรเป็นคนเดินไม่ใช่พ่อแก " ลูกชายตกใจมากที่อยู่ดี ๆก็มาโดนเคาะหัวแล้วยังแถมโดนหญิงชราดุสั่งสอน เอาอย่างนั้นเข้าอีก แต่เขาก็คิดเห็นด้วยกับคำพูดของ
เมื่อเดินทางต่อมาได้อีกไม่ไกลนัก ก็ได้พบกับคนเดินทางเดินสวนทางผ่านมา คนเดินทางผู้นั้นมองสองพ่อลูก แล้วพูดเปรย ๆให้ได้ยินทั้ง ๆหัวเราะว่า " โง่ชะมัดเลยทั้งพ่อทั้งลูก ทั้ง ๆที่ร้อนออกอย่างนี้ มีลาอยู่ทั้งตัว ก็จะมามัวเดินจูงอยู่ทำไมก็ไม่รู้ ก็ขึ้นไปนั่งทั้งสองคนก็หมดเรื่อง ทำไมถึงโง่จริง ๆ เลย ฮ่า ๆๆๆ " เจ้าของโรงสีและลูกชายก็เห็นด้วยตามที่คนเดินทางผู้นั้นพูดอีกนั่นแหละ " คน เดินทางผู้นั้นพูดก็ถูกน่ะ" ผู้พ่อ ว่า แล้วเขาก็ช่วยให้ลูกชายขึ้นมานั่งลงที่ข้างหลังของเขา แล้วทั้งสองก็เดินทางต่อ โดยขึ้นขี่หลังลาไปด้วยกัน ทั้งสองคน
พวกเขาเกือบไปถึงเมืองแล้ว แต่ก็ยังได้ไปพบกับผู้ชายที่เป็นชาวนาคนหนึ่งเข้า "นี่ลาของคุณหรือ" "ใช่" เจ้าของโรงสี ตอบ "เราจะเอาไปขายที่ตลาด คุณถามทำไมล่ะ" ชายชาวนาจึงตอบกลับมาว่า " ก็ในไม่ช้า เจ้าลาที่น่าสงสารนี่ คงหมดแรงลงแน่ ๆ ถ้าต้องแบกคุณสองคนไปตลอดทาง เชื่อสิ " ชายชาวนาคนนั้นตอบ " แล้วตอนนั้นใครเขาจะ อยากซื้อมัน จริงไหม เราคิดว่าถ้าพวกท่านจะช่วยแบกมันแทนล่ะก็ น่าจะดีกว่านะ " เจ้าของโรงสีและลูกชาย มองตากันและเห็นด้วยกับชาวนาคนนั้นที่พูดทักขึ้นทันที
" นี่ก็เป็นความคิดที่ดี" เจ้าของโรงสีเอ่ย แล้วเขาก็หาไม้และเชือกมา ช่วยกันผูกลากับไว้ท่อนไม้ และหามเจ้าลา เข้าไปในเมือง ผู้คนในเมืองไม่เคยเห็นสิ่งที่ตลกเท่านี้มาก่อนเลย "ดูซิ" ชายคนหนึ่งร้อง "พวกเขาพยายามหามลา" คนในเมืองพากันหัวเราะท้องคัดท้องแข็งจนน้ำตาไหล ทีนี้ก็ถึงตาเจ้าลาบ้างแล้ว ลาไม่ว่าอะไรหรอกที่ต้องถูก หามแบบนี้ แต่มันไม่ชอบให้ใครมาหัวเราะเยาะ ดังนั้นมันจึงพยศขึ้น คือมันทั้งดิ้นสะบัดตัวและทั้งเตะทั้งถีบ จนในที่สุดเชือกก็เลยขาดออก แล้วบังเอิญตรงนั้นเป็นสะพานข้ามคลองเข้าพอดี ลาเลยตกลงไปในน้ำและจมหายไปในน้ำนั้นทันที เจ้าของโรงสีและลูกชายจึงจำต้องเดินหน้าเศร้ามือปล่าว กลับบ้านอย่างช่วยไม่ได้ และต้องเสียลาไปโดยปล่าวประโยชน์ " พ่อไม่น่าพยายามจะทำให้ถูกใจทุกคนเลย" เขาบอกและถอนใจใหญ่ "ในที่สุดก็ลงเอยว่า พ่อทำไม่ถูกใจใครสักคน พ่อว่าตอนนี้พ่อเองแหละที่โง่เหมือนลา" นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : ไม่รู้จักที่จะใช้มันสมองและความคิดของตัวเอง มัวแต่อาศัยและทำตาม ความคิดของชาวบ้าน สักวันหนึ่งก็จะต้องพบกับความเสียหายอย่างสองพ่อลูกเข้าจนได้สักวัน