E N D
ความหมายของดนตรีและนาฏศิลป์ความหมายของดนตรีและนาฏศิลป์ • กำธร สนิทวงศ์ ณ อยุธยา (2514 : 1) ดนตรี หมายถึง เครื่องมือ (Tools) สำหรับไว้สื่อความคิด (Idia) ความนึกฝัน (Imagination) และความรู้สึก (Emotion) โดยออกมาในรูปของ “เสียง” เพื่อให้ตนเอง ให้ผู้อื่น ได้ชื่นชมชื่นใจ อย่างไรก็ตามการที่ผู้ฟังจะเข้าใจภาษาสากลของดนตรีนี้ได้อย่าง ลึกซึ้งเพียงใด ก็ย่อมขึ้นอยู่กับความแตกต่างระหว่างบุคคล พื้นฐานการศึกษา ความรู้ เกี่ยวกับดนตรี ตลอดจนประสบการณ์ของผู้ฟังเป็นสำคัญ • ประดิษฐ์ อินทนิล (2536:1) นาฏศิลป์ หมายถึง การเคลื่อนไหวอิริยาบถต่างๆ ทั้งมือ แขน ขา ลำตัว และใบหน้า เป็นสื่อถ่ายทอดความหมายและอารมณ์ เพื่อให้ผู้ชมคนดูเกิดความรู้สึกสะเทือนอารมณ์ต่างๆ
ดนตรี • เครื่องดนตรี คือ เครื่องมือที่สร้างขึ้นมาเพื่อใช้บรรเลงให้มีเสียงดังเป็นทำนองเพลง ทำให้เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน การแบ่งเครื่องดนตรี โดยอาศัยอากัปกิริยาในการบรรเลง แบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท คือ • เครื่องดนตรีประเภทดีด • เครื่องดนตรีประเภทสี • เครื่องดนตรีประเภทตี • เครื่องดนตรีประเภทเป่า
1.เครื่องดนตรีประเภทดีด ใช้มือดีด หรือดีดด้วยวัสดุอื่นเกิดเป็นเสียง ดีดที่สายขึง ใช้นิ้วกดที่สาย แล้วดีดให้เกิดเป็นเสียง 7 เสียงได้แก่ พิณ ซึง จะเข้ กระจับปี่ 2.เครื่องดนตรีประเภทสี มีเสียงเกิดจากการสีของคันชักที่ทำมาจากหางม้าสีลงบนสายที่ทำมาจากไหม หรือเอ็น มี 2-3 สาย มีคันทวนและกะโหลก ได้แก่ สะล้อ ซอสามสาย ซอด้วง ซออู้ ซออีสาน ซอมอญ 3.เครื่องดนตรีประเภทตี จำแนกได้อีก 3 ประเภท คือ 3.1 เครื่องตีทำด้วยไม้ ได้แก่ กรับคู่ กรับพวง 3.2 เครื่องตีทำด้วยโลหะ ได้แก่ มโหระทึก ฆ้อง ฉิ่ง ฉาบ ระฆัง กังสดาล 3.3 เครื่องตีทำด้วยหนัง ได้แก่ กลองทัด กลองตุ๊ก ตะโพน บัณเฑาะว์ กลองมลายู 4.เครื่องดนตรีประเภทเป่า ได้แก่ แตรเขาควาย แตรงอน แตรสังข์ ปี่ใน ขลุ่ย ปี่ซอ ประเภทของวงดนตรีไทย
การผสมวงดนตรีไทย การผสมวงดนตรีไทย มี ดังนี้ 1. วงขับไม้ ประกอบด้วยเครื่องดนตรี ซอสามสาย โทน กระจับปี่ และผู้ขับร้อง 2. วงเครื่องกลองแขก ประกอบด้วยเครี่องดนตรี กลองมลายู ปี่ ฆ้องโหม่ง 3. วงเครื่องสาย ประกอบด้วยเครื่องดนตรี ซอด้วง ซออู้ จะเข้ ฉิ่ง ขลุ่ย โทน รำมะนา
4. วงปี่พาทย์ มีชื่อเรียกต่าง ๆ กัน ได้แก่ 4.1 วงปี่พาทย์ชาตรี มี ปี่นอก ฆ้องคู่ โทนชาตรี ตะโพน กลองทัด ฉิ่ง ฆ้องวงใหญ่ 4.2 วงปี่พาทย์เครื่องห้า มี ระนาดเอก ปี่ใน ตะโพน กลองทัด ฆ้องวงใหญ่ ฉิ่ง 4.3 วงปี่พาทย์เครื่องคู่ มี ระนาดเอก ระนาดทุ้ม ปี่ใน ตะโพน กลองทัด ฉิ่ง ฆ้องวงใหญ่ ฆ้องวงเล็ก 4.4 วงปี่พาทย์เครื่องใหญ่ มี ระนาดเอก ระนาดทุ้ม ฆ้องวงใหญ่ ฆ้องวงเล็ก ปี่ใน ปี่นอก ตะโพน กลองทัด ฉิ่ง ฉาบ กรับ โหม่ง ระนาดเอกเหล็ก ระนาดทุ้มเหล็ก
5. วงมโหรี เป็นวงดนตรีที่มีความสมบูรณ์มากที่สุด มีเครื่องดนตรีทุกประเภท เป็นการรวมวงเครื่องสายกับปี่พาทย์เข้าด้วยกัน วงมโหรีมี 3 ชนิด คือ 5.1 วงมโหรีเครื่องเดี่ยว มี ระนาดเอก ฆ้องวง ซอ ขลุ่ย จะเข้ โทน รำมะนา ฉิ่งฉาบ 5.2 วงมโหรีเครื่องคู่ มี ซอด้วง ซออู้ จะเข้ ซอสามสาย (อย่างละ 2) ระนาดเอก ระนาดทุ้ม ฆ้องวงเล็ก ฆ้องวงใหญ่ ขลุ่ยหนีบ ขลุ่ยเพียงออ โหม่งราว ฉิ่ง ฉาบ กรับพวง โทน รำมะนา 5.3วงมโหรีเครื่องใหญ่ มีเครื่องดนตรีครบทุกประเภท และสมบูรณ์มากที่สุด โดยเพิ่มระนาดเอกเหล็ก และระนาดทุ้มเหล็กเข้าไป มีขลุ่ยอู้อีกชิ้นหนึ่งด้วยดนตรีสากลเป็นเครื่องดนตรีที่ชาวตะวันตกได้นำมาเผยแพร่จนเป็นที่รู้จักกันทั่วโลก จึงทำให้ทุกชนชาติทุกภาษาสามารถเล่นดนตรีสากลได้ ทั้งนี้เพราะเครื่องดนตรีสากลมีมาตรฐานเดียวกัน และใช้ โน้ต บันทึกทำนองเพลง
ประเภทของดนตรีสากล แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท คือ 1. ดนตรีพื้นเมือง หรือดนตรีพื้นบ้าน (Folk Music) มีอยู่ตามท้องถิ่น ส่วนใหญ่ใช้เครื่องประกอบจังหวะ ฉิ่ง กรับ ฉาบ โหม่ง โทน ระมะนา กลอง อาจมี สะล้อ ซอ ซึง แคน เป็นต้น 2. ดนตรีแบบฉบับ (Classical Music) เป็นการพัฒนาดนตรีของแต่ละชนชาติ จนเป็นดนตรีชั้นสูง มีความดีเด่นจนเป็นดนตรีประจำชาติได้ เช่น ดนตรีไทย มีพัฒนาการจนสามารถบรรเลงในราชสำนักได้ 3. ดนตรีสมัยนิยมหรือ ชนนิยม (Popular Music) เป็นดนตรีที่ได้รับความนิยมจากประชาชนทั่วไป จะมีเพลงที่ได้รับความนิยมอยู่ในช่วงเวลาหนึ่ง แล้วก็เสื่อมไป มีเพลงใหม่เข้ามาแทนที่ มีการนำเอาทำนองของต่างชาติมาใช้
เครื่องดนตรีสากล • แบ่งออกเป็น 5 ประเภท คือ • เครื่องสาย (The String Instruments) • เครื่องเป่าลมไม้ (The Woodwind Instruments) • เครื่องเป่าโลหะ (The Brass Instruments) • คีย์บอร์ด (The Keyboard Instruments) • เครื่องตี (The Percussion Instruments)
1. เครื่องสาย (The String Instruments) ทำมาจากสายโลหะ และสายเอ็น 1.1 จำพวกเครื่องสายแบบดีด ได้แก่ กีตาร์ แบนโจ แมนโดลีน ฮาร์ป 1.2 จำพวกเครื่องสายสี ใช้คันชัก ได้แก่ ไวโอลีน วิโอล่า ดับเบิลเบส 2. เครื่องเป่าลมไม้ (The Woodwind Instruments) 2.1 ประเภทเป่าลมผ่านช่องลม ได้แก่ ฟลุท ปิคโคโล เรคอเดอร์ 2.2 ประเภทเป่าลมผ่านลิ้น ได้แก่ คลาริเนท แซกโซโฟน โอโบ บาสซูน 3. เครื่องเป่าโลหะ (The Brass Instruments) เป่าผ่านริมฝีปากไปปะทะช่องที่เป่า ได้แก่ คอร์เน็ท ทรัมเป็ต เฟรนซ์ฮอร์น ทรอมโบน แบริโทน ยูโฟเนีม ทูบา ซูซาโฟน
4. ประเภทคีย์บอร์ด (The Keyboard Instruments) มีลิ่มนิ้วเรียงกันเป็นแผง ได้แก่ เปียโน ออร์แกน อิเล็กโทน แอ็คคอร์เดียน คีย์บอร์ดไฟฟ้า 5. เครื่องตี (The Percussion Instruments) แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ 5.1 เครื่องตีนำทำนอง (Molodic Percussion) ได้แก่ โซโลโฟน เบลไลลา ระฆังราว 5.2 เครื่องตีทำจังหวะ (Rhythmic Percussion) ได้แก่ กลอง บองโกส์ ทอมบา ฉิ่ง ฉาบ กรับ ลูกแซก กลองชุด ความไพเราะของเพลง มีส่วนประกอบ 2 ส่วนคือ เพลงขับร้อง กับเพลงบรรเลง เพลงบรรเลง เป็นเพลงที่ใช้เครื่องดนตรีล้วน ๆ เช่น เพลงโหมโรง เพลงหน้าพาทย์เพลงขับร้อง เป็นการร้องประกอบดนตรี คือ ร้องและมีดนตรีรับ เช่น เพลงเถา เพลงตับเพลงที่เราได้รับฟังกันอยู่ในปัจจุบันมี 2 กลุ่ม คือ เพลงไทย และ เพลงไทยสากล
นาฏศิลป์ • นาฏศิลป์ไทยเป็นการแสดงท่าทาง โดยการร่ายรำ ซึ่งตามปกติจะใช้ดนตรีและการขับร้องประกอบอยู่ด้วย เช่น ระบำ รำฟ้อน เซิ้ง ละครโขน • 1. ระบำ การแสดงท่าทางรำพร้อมกันเป็นหมู่ เป็นชุด ไม่มีการดำเนินเรื่อง เช่น ระบำไก่ ระบำเทพบันเทิง ระบำศรีวิชัย ระบำดอกบัว • 2. รำ เป็นการแสดงท่าทางด้วยวงแขน มือที่อ่อนช้อยสวยงาม เป็นการแสดงคนเดียวหรือหมู่ เช่น รำศรีนวล รำแม่บท รำโคม • 3. ฟ้อน เป็นการรำแบบพื้นเมืองของภาคเหนือ ด้วยลีล่าที่ค่อนข้างจะเชื่องช้า แต่งกายแบบพื้นเมือง เช่น ฟ้อนเล็บ ฟ้อนเทียน ฟ้อนเงี้ยว
4. เซิ้ง ศิลปะการร่ายรำแบบพื้นเมืองภาคอีสาน ใช้จังหวะเร็ว สนุกสนาน ได้แก่ เซิ้งสวิง เซิ้งกระติบ เซิ้งบั้งไป (นำขบวนแห่บั้งไฟ) • 5. ละคร เป็นศิลปการแสดงที่ผูกเป็นเรื่องราวเป็นตอน ๆ ตามลำดับ ประกอบด้วย บทร้อง รำ ทำท่าทาง บทเจรจา ใช้ดนตรีประกอบการแสดง มีการจัดฉากให้สอดคล้องกับเรื่องราว ได้แก่ 5.1 ละครชาตรี เป็นต้นแบบของละครรำ ใช้ผู้แสดง 3 คน มีวงปี่พาทย์บรรเลง 5.2 ละครนอก เป็นกระบวนการร้องรำที่ค่อนข้างจะรวดเร็ว เรื่องตลกขบขัน มีวงปี่พาทย์บรรเลง เดิมผู้ชายแสดง ปัจจุบันผู้แสดงเป็นชาย-หญิง 5.3 ละครใน มุ่งเน้นศิลปะการร่ายรำเป็นสำคัญ ยึดระเบียบประเพณี ใช้เพลงไพเราะ ไม่นิยมตลกขบขัน ใช้ผู้หญิงแสดงล้วน
5.4 ละครดึกดำบรรพ์ เป็นละครที่ผู้แสดงร้องเอง รำเอง เจรจาเอง มีการแต่งกาย มีฉากประกอบตามเนื้อเรื่อง มีวงดนตรี วงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์ 5.5 ละครพันทาง เป็นละครแบบผสม ทำเอาศิลปการแสดง ท่าทางของชาติอื่นมาผสมกับศิลปะของไทย แต่งกายตามเนื้อเรื่อง แบ่งการแสดงออกเป็นชุด 5.6 ละครร้อง ใช้การร้องเป็นหลัก ดำเนินเรื่อง ไม่มีรำ ใช้ท่าทางประกอบการแสดง 5.7 ละครพูด เป็นละครสมัยใหม่ ใช้การพูดดำเนินเรื่องแทน การร้อง
6. โขน เป็นศิลปการแสดงของไทย รูปแบบหนึ่ง มีทั้งการรำ การเต้น ออกท่าทางเข้ากับดนตรี ผู้แสดงสมมุติเป็นตัวยักษ์ ตัวลิง เทวดา ตัวพระ ตัวนาง โดยสวมหน้า เรียกกันว่า “หัวโขน”ผู้แสดงไม่ต้องร้อง จะมีผู้พากย์และร้อง ซึ่งเรียกว่า “ตีบท” เรื่องที่นำมาแสดง คือ เรื่องรามเกียรติ์ โขนมี 5 ชนิด คือ โขนกลางแปลง โขนโรงนอก (โขนนั่งราว) โขนโรงใน โขนหน้าจอ โขนฉาก
นาฏยศัพท์ • นาฏยศัพท์ เกี่ยวกับการใช้มือ วง เป็นการตั้งแขนคล้ายครึ่งวงกลม ตั้งมือขึ้น นิ้วทั้งสี่เรียงชิดติดกันหลบหัวแม่มือเล็กน้อยแล้วหันฝ่ามือออกนอกตัวหักข้อมือเข้าหาลำตัว ตั้งวงมี 4 ชนิด คือ วงบน วงกลาง วงล่าง วงหน้า จีบ เป็นการจรดนิ้วมือเข้าหากัน นิ้วหัวแม่มือกับข้อสุดท้ายของปลายนิ้วนิ้วชี้ นิ้วอื่น ๆ กรีดคล้ายพัด การจีบมี 5 ลักษณะ คือ จีบหงาย จีบคว่ำ จีบปรกข้าง จีบปรกหน้า เดินมือ เป็นการเคลื่อนมือทั้งสองข้างสลับกันในท่ารำ จะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับจังหวะนาฏยศัพท์ เกี่ยวกับการใช้เท้า กระดกเท้า เป็นการยกเท้าข้างใดข้างหนึ่งไปข้างหลัง ให้น่องชิดโคนขาแล้วหักข้อเท้า ก้าวเท้า เป็นการก้าวเท้าไปข้างหน้า และก้าวเท้าไปข้างหลัง โดยเอาส้นเท้าแตะลง ก้าวข้าง เป็นการก้าวเท้าออกไปทางด้านข้าง ด้วยเท้าข้างใดข้างหนึ่ง เปิดส้นเท้าหลังด้วย จรดเท้า ใช้จมูกเท้าแตะพื้น วางส้น จรดส้นเท้าข้างใดข้างหนึ่ง กระทุ้งเท้ายกเท้าข้างใดข้างหนึ่งให้สูงขึ้นเล็กน้อย แล้วใช้จมูกเท้ากระทุ้งลงที่พื้น
การรำวง • รำวง เป็นศิลปะการเล่นพื้นเมือง โดยผู้รำจะต้องยืนรำเป็นวงกลม อาจยืนอยู่กับที่ หรือเดินรำเรียง กันไป ดนตรีที่นิยมใช้ คือ โทน บทร้องส่วนใหญ่เป็นบท หยอกเย้า ชมโฉม รำพันรัก บทจากกันเพลงรำวง ได้แก่ “ยวนยาเหล ยวนยาเหล หัวใจว้าเหว่ ไม่รู้จะเห่ไปหาใคร” • รำวงมาตรฐาน เป็นการเล่นที่ประยุกต์มาจากรำวงพื้นเมืองหรือรำโทน ซึ่งกรมศิลปากรเป็นผู้จัดระเบียบของการรำเพื่อให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย เพลงต่าง ๆที่ใช้ในการรำจะมีความสัมพันธ์ท่ารำ ได้แก่ - เพลงงามแสงเดือน ท่ารำสอดสร้อยมาลา - เพลงชาวไทย ท่ารำชักแป้งผัดหน้า - เพลงรำมาซิมารำ ท่ารำ รำส่าย
- เพลงคืนเดือนหงาย ท่ารำสอดสร้อยมาลาแปลง - เพลงดวงจันทร์วันเพ็ญ ท่ารำแขกเต้าเข้ารัง และผาลาเพียง ไหล่ - เพลงดอกไม้ของชาติ ท่ารำยั่ว - เพลงหญิงไทยใจงาม พรหมสี่หน้า และยูงฟ้อนหาง - เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า ช้างประสานงา และจันทร์ทรงกรด แปลง - เพลงยอดชายใจหาญ (หญิง) ชะนีรายไม้ (ชาย) จ่อเพลิง กาฬ
การแสดงเพลงพื้นบ้าน • การแสดงเพลงพื้นบ้าน หรือเพลงพื้นเมือง การแสดงหรือการละเล่นของในแต่ละท้องถิ่น จะแฝงเอาไว้ด้วยศิลปะ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี และจิตใจของคนแต่ละท้องถิ่น • ประเภทของการแสดงท้องถิ่น 1. เพลงพื้นบ้าน เป็นเพลงที่ชาวบ้านคิดคำร้องและท่าทางในการแสดงตามวิถีชีวิตในท้องถิ่นนั้น ๆ ได้แก่ เพลงเรือ เพลงฉ่อย เพลงพวงมาลัย เพลงอีแซว ลำตัด เพลงเทพทอง เพลงโคราช เพลงบอก เพลงแคน เพลงหมอลำ ฯลฯ 2. รำพื้นเมือง คือ ระบำ รำ ฟ้อนที่กำเนิดมาจากถิ่นต่าง ๆ เช่น ฟ้อนเทียน ฟ้อนเล็บ ฟ้อนภูไท รำวง รำกลองยาว รำศรีนวล
การแสดงพื้นบ้านภาคต่างๆการแสดงพื้นบ้านภาคต่างๆ • 1. เพลงพื้นบ้านภาคกลาง เพลงพวงมาลัย เพลงเหย่ย เพลงฉ่อย ฯลฯ นิยมเล่นกันในเทศกาล ตรุษ สงกรานต์ สารทไทย การแต่งกายผู้แสดงจะนุ่งโจงกระเบน ใส่เสื้อสีลายดอก • 2. การแสดงพื้นเมืองภาคเหนือ ได้แก่ ฟ้อนเล็บ ฟ้อนเทียน ด้วยท่วงท่าลีลากรีดกราย นุ่งผ้าสิ้น ห่มสไบ เกล้าผมมวยทรงสูง สวมเล็บยาวทั้ง 4 นิ้ว • 3. การแสดงพื้นเมืองภาคอีสาน ได้แก่ เซิ้งบั้งไฟ หมอลำ เซิ้งสวิง เซิ้งกระติบ การแสดงไม่มีแบบแผน เป็นรำ ทำท่าทางที่สนุกสนาน นำขบวนแห่บั้งไฟ การแต่งกายนุ่งผ้าสิ้น เสื้อแขนกระบอก ชายนุ่งกางเกงขาก๊วย เสื้อคอกลม ผ้าขาวม้าคาดพุง • 4. การแสดงพื้นเมืองภาคใต้ ได้แก่ โนรา หนังตะลุง เพลงบอก การแสดงโนรา แต่งกายนุ่งผ้าสนับเพลา มีสังวาล ทับทรวง ปั้นเหน่ง ผ้าห้อยหน้า จีบหางหงส์ กำไลต้นแขน ปลายแขนส่วนหนังตะลุง ใช้คนเป็นผู้เชิดตัวหนังที่ทำด้วยหนังวัว หนังควายขูดจนบาง แกะสลัก ระบายสีสวยงาม มีทั้งตัวพระ ตัวนาง ฤษี ตัวตลก ปราสาทราชวัง ฯลฯ เครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบในการแสดงหนังตะลุง ได้แก่ ทับ 2 ลูก ฆ้องคู่ ปี่ ซอ กลองตุ๊ก ฉิ่ง และกรับ ปัจจุบันมีการประยุกต์ใช้เครื่องดนตรีสากลด้วย
แหล่งอ้างอิง • ชำเลือง มณีวงษ์, ศิลปะ (2) ดนตรี นาฏศิลป์ “เรียนรู้หลักการพื้นฐาน” [ออนไลน์], เข้าถึงเมื่อ 4 กันยายน 2550. เข้าถึงได้จาก http://gotoknow.org/blog/manee01/103371