1 / 43

ไข้เลือดออก

ไข้เลือดออก. พญ . รัตนา กาสุริย์ 10 สิงหาคม 2555. ไข้เดงกี. “ Probable case” คือผู้ป่วยที่มีอาการไข้เกิดขึ้นอย่างกะทันหันร่วมกับอาการอย่างน้อย2 ข้อ ในกลุ่มอาการต่อไปนี้ ปวดศีรษะ ปวดกระบอกตา ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดข้อ/ปวดกระดูก ผื่น

cera
Download Presentation

ไข้เลือดออก

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. ไข้เลือดออก พญ. รัตนา กาสุริย์ 10 สิงหาคม 2555

  2. ไข้เดงกี “Probable case”คือผู้ป่วยที่มีอาการไข้เกิดขึ้นอย่างกะทันหันร่วมกับอาการอย่างน้อย2 ข้อ ในกลุ่มอาการต่อไปนี้ • ปวดศีรษะ • ปวดกระบอกตา • ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ • ปวดข้อ/ปวดกระดูก • ผื่น • อาการเลือดออก (ที่พบบ่อย คือ positive touniquet test,มีจุดเลือดออกที่ผิวหนัง • petechiae,เลือดกำเดา) • ตรวจ CBC พบเม็ดเลือดขาวต่ำ

  3. และมี HI antibody 1,280 หรือ positive IgM / IgG ELISA test ใน convalescent serum • หรือ พบในพื้นที่และเวลาเดียวกับผู้ป่วยที่มีการตรวจยืนยันการติดเชื้อเดงกี “Confirmed case”คือ ผู้ป่วยที่มีผลการตรวจแยกเชื้อไวรัสและ/หรือ การตรวจหาแอนติบอดียืนยันการติดเชื้อเดงกี

  4. ไข้เลือดออกเดงกี (DHF) ผู้ป่วยที่มีอาการตามเกณฑ์การวินิจฉัยทางคลินิกข้อ 1 และ 2 ร่วมกับมีการเปลี่ยนแปลงทางห้องปฏิบัติการตามเกณฑ์การวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการทั้ง 2 ข้อ คือ 1.ไข้เกิดแบบเฉียบพลันรุนแรงและสูงลอย 2-7 วัน 2. อาการเลือดออก อย่างน้อยมี positive touniquet test ร่วมกับอาการเลือดออกอื่นๆ 3. เกล็ดเลือด100,000เซล/ลบ.มม. หรือ platelet smear < 3 /oil field)

  5. 4. เลือดข้นขึ้น ดูจากมีการเพิ่มขึ้นของ Hct เท่ากับหรือมากกว่า 20% เมื่อเทียบกับ Hct เดิม หรือมีหลักฐานการรั่วของพลาสมา เช่น มี pleural effusion และ ascites หรือมีระดับโปรตีน / อัลบูมินในเลือดต่ำ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องบันทึกผลการตรวจ touniquet test และการตรวจร่างกายว่ามี pleural effusion/ascites เพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้องร้อยละ 96

  6. ไข้เลือดออกเดงกีช็อก(dengue shock syndrome - DSS) ผู้ป่วยไข้เลือดออกเดงกี (มีอาการทางคลินิกร่วมกับการเปลี่ยนแปลงทางห้องปฏิบัติการดังกล่าวข้างต้น) ที่มีอาการช็อก คือมีอาการอย่างน้อยหนึ่งอย่างดังต่อไปนี้ • มีชีพจรเบาเร็ว • มีการเปลี่ยนแปลงในระดับความดันโลหิต โดยตรวจพบมี pulse pressureแคบ20 มม.ปรอท (โดยไม่มี hypotention) เช่น 100/80,90/70 มม.ปรอท หรือมีhypotention (ตามเกณฑ์อายุ) • poor capillary refill> 2วินาที • มือ/เท้าเย็นชื้น กระสับกระส่าย

  7. ความรุนแรงของไข้เลือดออกเดงกีความรุนแรงของไข้เลือดออกเดงกี แบ่งได้เป็น 4 ระดับ (grade) คือ • Grade I ผู้ป่วยไม่ช็อก มีแต่ positive touniquettest และหรือ easy bruising • Grade II ผู้ป่วยไม่ช็อก แต่มีเลือดออก เช่น มีจุดเลือดออกตามตัว มีเลือดกำเดา หรืออาเจียน • Grade III ผู้ป่วยช็อก โดยมีชีพจรเบาเร็ว pulse pressure แคบ หรือความดันโลหิตต่ำ หรือมีตัวเย็น เหงื่อออก กระสับกระส่าย • Grade IV ผู้ป่วยที่ช็อกรุนแรง วัดความดันโลหิต และ/หรือจับ ชีพจรไม่ได้

  8. การทำ touniquettest การทำ touniquettest จะช่วยในการวินิจฉัยโรคไข้เลือดออกเดงกีในระยะแรกเป็นอย่างดี ต้องทำในผู้ป่วยทุกรายที่สงสัยการติดเชื้อเดงกี วิธีทำคือวัดความดันโลหิตด้วยเครื่องวัดโดยใช้ขนาด cuff พอเหมาะกับขนาดต้นแขนส่วนบนของผู้ป่วย ครอบคลุมประมาณ 2ใน3 ของต้นแขน บีบความดันไว้ที่กึ่งกลางระหว่าง systolic และ diastolic pressureรัดค้างไว้ประมาณ 5 นาที หลังจากนั้นคลายความดัน รอ 1 นาทีหลังคลายความดันจึงอ่านผลการทดสอบ

  9. การทำ touniquettest ถ้าตรวจพบจุดเลือดออกเท่ากับหรือมากกว่า 10 จุดต่อตารางนิ้ว ถือว่าให้ผลบวก ให้บันทึกผลเป็นจำนวนจุดต่อตารางนิ้ว ในรายที่เป็นผลบวกจะช่วยในการวินิจฉัยแยกการติดเชื้อเดงกีจากการติดเชื้ออื่นๆ กรณีตรวจพบน้อยกว่า 10 จุดต่อตารางนิ้ว ให้ถือว่าเป็นผลลบแต่ควรบันทึกผลเป็นจำนวนจุดต่อตารางนิ้ว เพื่อประโยชน์ในการติดตามผลกรณีตรวจซ้ำในวันต่อมา

  10. คำแนะนำอาการที่เป็นสัญญาณอันตรายแก่ผู้ปกครองคำแนะนำอาการที่เป็นสัญญาณอันตรายแก่ผู้ปกครอง • ระยะวิกฤติ/ช็อกของไข้เลือดออกจะตรงกับวันที่ไข้ลง หรือไข้ต่ำลงกว่าเดิม และระหว่างที่ผู้ป่วยมีอาการช็อก จะมีความรู้สึกสติดี สามารถพูดจาโต้ตอบได้ จะดูเหมือนผู้ป่วยที่มีแต่ความอ่อนเพลียเท่านั้น ให้รีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลทันทีเมื่อมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ • มีอาการเลวลงเมื่อไข้ลง • เลือดออกผิดปกติ เช่น มีเลือดกำเดาไหล อาเจียนเป็นเลือด เลือดออกตามไรฟัน ฯ • อาเจียนมาก/ปวดท้องมาก • กระหายน้ำตลอดเวลา

  11. คำแนะนำอาการที่เป็นสัญญาณอันตรายแก่ผู้ปกครองคำแนะนำอาการที่เป็นสัญญาณอันตรายแก่ผู้ปกครอง • ซึม ไม่ดื่มน้ำ • มีอาการช็อก คือ • มือเท้าเย็น • กระสับกระส่ายร้องกวนมากในเด็กเล็ก • ตัวเย็น เหงื่อออก ตัวลาย • ปัสสาวะน้อยลง หรือไม่ปัสสาวะ 4-6 ชม. • ความประพฤติเปลี่ยนแปลง เช่น พูดไม่รู้เรื่อง เพ้อ เอะอะโวยวาย

  12. . ข้อบ่งชี้ในการรับผู้ป่วยไว้ในโรงพยาบาล • อ่อนเพลียมาก รับประทานอาหารและดื่มน้ำไม่ได้ หรืออาเจียนมาก • มีเลือดออก • มี WBC ≤ 5,000 เซล/ลบ.มม + มี lymphocytosis + มี platelet≤ 100,000 เซล/ลบ.มม. และผู้ป่วยมีอาการอ่อนเพลีย รับประทานอาหารไม่ค่อยได้ มีอาเจียนมาก (ผู้ป่วยบางรายที่มี WBC มากกว่า 5,000 เล็กน้อย และมี Platelet สูงกว่า 100,000เล็กน้อย ควรได้รับการพิจารณารับไว้สังเกตอาการเช่นกัน) • มี platelet≤ 100,000 เซล/ลบ.มม. และ/หรือ Hct เพิ่มขึ้นจากเดิม 10 – 20% • ไข้ลงและอาการเลวลง หรืออาการไม่ดีขึ้น • อาเจียนมาก หรือปวดท้องมาก • มีอาการช็อกหรือ impending shock

  13. ข้อบ่งชี้ในการรับผู้ป่วยไว้ในโรงพยาบาลข้อบ่งชี้ในการรับผู้ป่วยไว้ในโรงพยาบาล • ไข้ลงและชีพจรเร็วผิดปกติ • capillary refill > 2 วินาที • ตัวเย็นชื้น เหงื่อออก ตัวลาย กระสับกระส่าย • pulse pressure ≤ 20 mmHg. โดยไม่มี hypotension เช่น 100/80, 90/70 มม.ปรอท • hypotension • ปัสสาวะน้อยลง หรือไม่ปัสสาวะเป็นเวลานาน 4-6 ชม. • มีอาการเปลี่ยนแปลงของการรู้สติเช่น ซึม หรือเอะอะโวยวายหรือพูดจาหยาบคาย (ต้องนึกถึงผู้ป่วยน่าจะมีอาการทางสมองร่วมด้วย) • ผู้ปกครองกังวลมาก หรือไม่สามารถติดตามดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด หรือบ้าน อยู่ไกล

  14. หลักการสำคัญในการดูแลผู้ป่วยไข้เลือดออกหลักการสำคัญในการดูแลผู้ป่วยไข้เลือดออก • ผู้ป่วยอ้วนให้ใช้ ideal body weightในการคำนวณปริมาณน้ำ • สูตรคำนวณ อายุ < 7 ปี = 2y+8 อายุ > 7 ปี = 7y-5 หรือ 3y 2 ( y คือ อายุเป็นปี) • ผู้ป่วยผู้ใหญ่ (อายุ > 15 ปี) ให้คำนวณน้ำหนักที่ 50 ก.ก.ทุกราย

  15. ค่าเฉลี่ย Hct ในคนไทย อายุ < 1 ปี = 30 -35% อายุ > 1-10 ปี = 35 -40% อายุ > 10 ปี = 40-45% • ค่าปกติ ของ vital sign ในแต่ละอายุ PR RR • อายุ < 2 เดือน <160 <60 • 2 เดือน-2 ปี <140 <50 • > 2 ปี <120 <40

  16. การพยาบาลผู้ป่วยไข้เดงกี/ไข้เลือดออกเดงกีการพยาบาลผู้ป่วยไข้เดงกี/ไข้เลือดออกเดงกี • การบันทึกสัญญาณชีพ intake/output ต้องถูกต้องสม่ำเสมอตามความจำเป็น ในระยะต่างๆของโรค • การรายงานแพทย์ในกรณีเร่งด่วน (ทันที) และในกรณีปกติ (ภายใน 1-8 ชม.) • การให้ IV fluid ตามชนิด อัตรา และปริมาณในแผนการรักษาอย่างเคร่งครัด • การประสานงานในการขอเลือด/ส่วนประกอบของเลือด การส่งต่อผู้ป่วย • การเตรียมยา อุปกรณ์ที่จำเป็นในกรณีฉุกเฉิน หรือมีภาวะแทรกซ้อน • การสื่อสารระหว่างผู้ป่วย/ญาติ กับทีมแพทย์ผู้รักษา • การให้การรักษาประคับประคองด้านจิตใจ และให้ความรู้สึกมั่นใจแก่ผู้ป่วย/ญาติ

  17. ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูง ต้องให้การดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษและต้องรายงานแพทย์ทันทีที่รับไว้ในโรงพยาบาล • ผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกนาน (วัดความดันและ/หรือจับชีพจรไม่ได้) • ผู้ป่วยเด็กอายุน้อยกว่า 1 ปี • ผู้ป่วยที่มีภาวะอ้วน • ผู้ป่วยที่มีอาการทางสมอง • ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวมาก่อน เช่น ธาลัสซีเมีย โรคหัวใจ โรคไต ฯลฯ • ผู้ป่วยที่มีเลือดออก • ผู้ป่วยที่รับส่งต่อมาจากโรงพยาบาลอื่น

  18. การพยาบาลในระยะของโรคการพยาบาลในระยะของโรค 1. ระยะไข้ • อาการในระยะไข้ที่ต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด ดังนี้ 1. ผู้ป่วยที่มีประวัติเคยชักมาก่อน 2. ผู้ป่วยที่มีอาการคลื่นไส้อาเจียนมาก รับประทานอาหารหรือดื่มน้ำไม่ได้เลย โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่อ้วนๆ 3. ผู้ป่วยที่มีประวัติเลือดออก เช่น เลือดกำเดาไหล อาเจียนเป็นเลือดหรือเป็นสีดำ เป็นต้น 4. ผู้ป่วยที่แสดงอาการบ่งบอกถึงความไม่สุขสบาย หรือญาติมีความวิตกกังวลมาก

  19. 2. ระยะวิกฤติ/ช็อก • ในระยะวิกฤติ โดยทั่วไปจะต้องติดตามตัวชี้วัดดังต่อไปนี้ ตลอด 24-48 ชั่วโมง 1. อาการทางคลินิก 2. สัญญาณชีพ ได้แก่ อุณหภูมิ ชีพจร หายใจและความดันโลหิต 3. hematocrit 4. urine out put

  20. **ในระยะวิกฤติต้องติดตามดูแลประเด็นต่อไปนี้อย่างใกล้ชิด**ในระยะวิกฤติต้องติดตามดูแลประเด็นต่อไปนี้อย่างใกล้ชิด • เฝ้าระวังการนำของช็อกอย่างใกล้ชิด และรายงานแพทย์ทราบทันที • วัดสัญญาณชีพทุก 1-2 ชั่วโมง หรือถี่กว่านั้นถ้าผู้ป่วยมีอาการไม่คงที่ • ตรวจเช็คให้มีการเจาะ Hct ทุก 4-6 ชั่วโมง หรือถี่กว่านั้นตามแผนการรักษา • ตรวจสอบชนิด อัตราความเร็ว และปริมาณของสารน้ำที่ผู้ป่วยได้รับให้เป็นไปตามแผนการรักษาอย่างเคร่งครัด • บันทึกปริมาณ intake/out put อย่างน้อยทุก 8 ชั่วโมง หรือถี่กว่านั้น ตามความจำเป็น • ประสานการจัดเตรียมเลือด และอุปกรณ์เครื่องใช้ที่จำเป็นสำหรับผู้ป่วย และให้การดูแลรักษาเป็นพิเศษในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง หรือไม่รู้สึกตัว

  21. 3. ระยะฟื้นตัว • ข้อบ่งชี้ที่เข้าสู่ระยะนี้ มีดังนี้ • อาการทั่วไปดีขึ้น • สัญญาณชีพคงที่ ชีพจรเต้นช้า pulse pressure กว้าง • Hct. ลดลงจนปกติ • ปัสสาวะออกมากกว่า 1-2 มล/กก/ชม. • มี convalescence rash หรือ มีอาการคันบริเวณขา แขน โดยเฉพาะบริเวณฝ่ามือและฝ่าเท้า ในระยะฟื้นตัวต้องดูประเด็นต่อไปนี้อย่างใกล้ชิด • อาการทางคลินิกหรือการเปลี่ยนแปลงที่แสดงว่าผู้ป่วยน่าจะสู่ระยะฟื้นตัว • การ off IV Fluid ทันทีที่มั่นใจว่าผู้ป่วยพ้นระยะวิกฤติแล้ว • การเฝ้าระวังของภาวะน้ำเกิน เพื่อรายงานแพทย์เพื่อให้การรักษาที่ถูกต้องและรวดเร็ว

  22. ข้อแนะนำก่อนให้ผู้ป่วยกลับบ้านข้อแนะนำก่อนให้ผู้ป่วยกลับบ้าน • หลีกลี่ยงการกระทบกระแทกอย่างรุนแรงเป็นเวลา 3-5 วัน หลังจากออกจากโรงพยาบาลเนื่องจากผู้ป่วยบางรายยังมีภาวะเกล็ดเลือดต่ำกว่าปกติ • ถ้าผู้ป่วยมีอาการปกติ ให้ไปโรงเรียนได้เนื่องจากพ้นระยะติดต่อแล้ว • ถ้ามีคนในบ้านมีไข้สูง ให้พามาตรวจอาการเนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อไวรัสเดงกีเช่นเดียวกับผู้ป่วย • แนะนำให้กำจัดแหล่งเพาะพันธ์ยุงลาย ทั้งที่บ้าน ที่ทำงาน โรงเรียน และที่ชุมชน

  23. . แนวทางการส่งต่อผู้ป่วยที่สงสัยเป็นไข้เลือดออกเดงกีที่โรงพยาบาลชุมชน ผู้ป่วยไข้เลือดออกเดงกีลักษณะดังต่อไปนี้ควรจะส่งต่อไปโรงพยาบาลที่มีศักยภาพสูงกว่า 1. ผู้ป่วยอายุน้อยกว่า 1 ปี 2. ผู้ป่วยที่มี underlying disease เช่น G-6-PD deficiency, Thalassemia, heart disease 3. ผู้ป่วย grade IV ที่ทีภาวะช็อกรุนแรง วัดความดัน/จับชีพจรไม่ได้ เนื่องจากผู้ที่มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนซึ่งการรักษายุ่งยาก และกว่าอาการของภาวะแทรกซ้อนจะปรากฏให้เห็นมักเป็นเวลา 6-12 ชม.ต่อมา โดยในระยะแรกจะดูผู้ป่วยมีอาการดี การส่งต่อผู้ป่วยในขณะที่มีอาการเลวลงอย่างชัดเจนจะทำให้การรักษายุ่งยากและซับซ้อนมากขึ้นทำให้พยากรณ์โรคของผู้ป่วยไม่ดี โดยทั่วไปโรงพยาบาลชุมชนไม่มีการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่พร้อม และ/หรือไม่มีกำลังเจ้าหน้าที่เพียงพอในการให้การรักษาผู้ป่วยหนัก

  24. 4.มีอาการเลือดออกมาก หรือคาดว่าอาจจะต้องการเลือดทดแทน (ไม่มี blood bank) 5. ผู้ป่วยที่มีอาการแสดงที่ผิดปกติ (unusual manifestation) เช่น มีอาการชัก มีการเปลี่ยนแปลงของการรู้สติ เอะอะโวยวาย สับสน ใช้คำพูดไม่สุภาพ ซึมมาก หรือไม่รู้สึกตัว 6. ผู้ป่วยช็อกgrade IIIที่ 6.1 แก้ไขด้วย 5% D/NSS(หรือ 5%DLRหรือ 5%DAR) ปริมาณ 10-20 ซีซี/กก./ชม. เป็นเวลา 1- 2 ชม.ดูดีขึ้น แต่ไม่สามารถ rateให้ต่ำกว่า 7-10 ซีซี/ กก./ชม. ได้ในระยะ 3-4 ชม. ต่อมา (กรณีไม่มี colloidal solution)

  25. 6.2 แก้ไขด้วย 5% D/NSS(หรือ 5%DLRหรือ 5%DAR) ปริมาณ 10-20 ซีซี/กก./ชม. เป็นเวลา 1-2 ชม. แล้วยังไม่ดีขึ้น Hctยังสูงขึ้นกว่าเดิมอีก และให้ colloidal solutionเช่น dextran-40หรือ พลาสมา ปริมาณ 10 ซีซี/กก./ชม.ไปแล้ว แต่ยังไม่ดีขึ้นชัดเจน หรือดีขึ้นแล้วแต่กลับมีอาการช็อกใหม่อีกครั้ง 6.3 ผู้ป่วยที่มีอาการบวม แน่นท้อง แน่นหน้าอก (เนื่องจากมี massive ascitesและ pleural effusion) หอบ หายใจเร็วและหายใจไม่สะดวก (อาจฟังได้rhonchi/wheezing/crepitationที่ปอด) 7. เมื่อให้การรักษาได้ไม่สะดวก/ญาติมีความกังวลใจ/เจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอ

  26. **หมายเหตุ • การ refer ทุกครั้งควรมีการติดต่อโรงพยาบาลที่มีศักยภาพสูงกว่าก่อน เช่น โรงพยาบาลทั่วไป หรือโรงพยาบาลศูนย์ เพื่อปรึกษาแผนการรักษา/ส่งต่อ • การเขียนใบ refer ต้องมีประวัติผู้ป่วย เวลาที่ admit, เวลาที่ช็อก, แผ่นบันทึก Vital signs, serial Hct และปริมาณ intake/output ของผู้ป่วย • ก่อนการ refer ผู้ป่วยควรมี stable vital signs และ rate ของ IV fluid ระหว่างเดินทาง ไม่ควรเกิน 5 ซีซี/กก/ชม. • case refer ทุก case ให้เจาะ Dengue serotype titer ก่อนทุกครั้ง

  27. การรักษาเบื้องต้นที่สถานีอนามัยการรักษาเบื้องต้นที่สถานีอนามัย 1. เช็ดตัวอย่างนุ่มนวล ด้วยน้ำอุ่นหรือน้ำธรรมดา ถ้ามีไข้สูงเกิน 38.5 C 2. ให้ยาลดไข้พาราเซตตามอล เฉพาะเมื่อไข้สูงเกิน 39 C 2.1 อายุต่ำกว่า 6 เดือนให้ 1 ซีซี อายุมากกว่า 6 เดือน – 1 ปี ให้ ½ ช้อนชา 2.2 อายุมากกว่า 1 – 5 ปี ให้ 1 ช้อนชา 2.3 อายุมากกว่า 5 ปี ให้ 1 ½ - 2 ช้อนชา หรือครึ่งเม็ด 2.4 ถ้าไข้ไม่ลงหลังให้ยาดลดไข้ ให้เช็ดตัว ห้ามให้ยาลดไข้ถี่กว่า 4 ชั่วโมง ห้ามให้ยาลดไข้ชนิดอื่น เช่น แอสไพริน ยาซอง ไพรานา โนวันยิล หรือ NSAID โดยเด็ดขาด เพราะอาจจะทำให้มีเลือดออกมาก , มีอาการทางสมองหรือตับวายได้

  28. 3. ให้ดื่มน้ำเกลือแร่ หรือน้ำผลไม้ และแนะนำให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารอ่อน ย่อยง่าย หลีกเลี่ยงอาหารหรือน้ำดื่ม สีดำ แดง น้ำตาล 4. แนะนำผู้ปกครองและเน้นว่าวันวิกฤติ/วันอันตรายของโรค คือวันที่ไข้ลง หรือ ไข้ต่ำลงและให้สังเกตุว่าถ้ามีอาการดังต่อไปนี้ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาล - ปวดท้องมาก - อาเจียนมาก - กระสับกระส่าย เอะอะโวยวาย - ซึมมาก - ไม่รับประทานอาหาร หรือดื่มน้ำ หรือบางรายกระหายน้ำมาก - เลือดออก - อาการเลวลง เมื่อไข้ลง - ผิวหนังเย็นชื้น เหงื่อออก - ปัสสาวะน้อย หรือไม่ปัสสาวะ 4 – 6 ชั่วโมง

  29. 5. ถ้ามีภาวะช็อกให้สารน้ำ 5% D/NSS หรือ 5% DAR หรือ 5% DLR iv 60ซีซี/ชม.หรือ 15 หยดใหญ่/นาที ในเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี และ rate 120 ซีซี/ชม. (30 หยดใหญ่/นาที) ในเด็กอายุมากกว่า 5 ปี แล้วรีบส่งต่อผู้ป่วยไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทันที 6. ถ้ามีภาวะช็อกรุนแรง คือวัดความดันโลหิต หรือจับชีพจรไม่ได้ ให้สารน้ำ 0.9% NSSrate free flow เป็นเวลา 5 – 15 นาที จนสารมารถวัดความดันหรือจับชีพจรได้ แล้วจึงลด rate ลงตามที่กล่าวข้างต้น แล้วรีบส่งต่อผู้ป่วยไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทันที 7. ควรเจาะ Hct ถ้าสามารถทำได้ก่อนให้ IV fluid และก่อนส่งต่อผู้ป่วย เพื่อเป็นข้อมูลให้กับโรงพยาบาลที่ส่งต่อไป

  30. แนวทางการป้องกันควบคุมโรคไข้เลือดออกแนวทางการป้องกันควบคุมโรคไข้เลือดออก • ไข้เลือดออกเป็นโรคที่มีความสำคัญ โดยมีเป้าหมายลดอัตราป่วยไม่เกิน 50รายต่อประชากรแสนคน อัตราป่วยตายไม่เกินร้อยละ 0.13 ของผู้ป่วย • เนื่องจากอัตราป่วยโรคไข้เลือดออกสัมพันธ์กับฤดูกาลดังนั้นจึงได้มีการปรับยุทธศาสตร์ให้สัมพันธ์กับอัตราป่วยโดยแบ่งเป็น 3 ระยะ ระยะที่ 1 พฤศจิกายน-ธันวาคมเน้นลดอัตราให้ถึงBase Line ระยะที่ 2 มกราคม-เมษายนเน้นการป้องกันโรค ระยะที่ 3 พฤษภาคม-กันยายนเน้นควบคุมการระบาด

  31. การควบคุมโรค เมื่อพบผู้ป่วยในพื้นที่ให้ดำเนินการดังต่อไปนี้ 1.กรณีพบผู้ป่วย 1 รายในหมู่บ้าน 1.1.พ่นสารเคมีกำจัดยุงในหมู่บ้านที่พบผู้ป่วยและบ้านเรือนใกล้เคียงรัศมี 100 เมตร 2 ครั้งห่างกัน 1 สัปดาห์ 1.2.ทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงด้วยวิธีทางกายภาพชีวภาพและใส่ทรายเคลือบทีมีฟอสทั้งหมู่บ้าน 1.3.รณรงค์ให้สุขศึกษาแก่ประชาชน 1.4.สำรวจค่า BI ในหมู่บ้านทุกสัปดาห์โดยดำเนินการให้เป็นศูนย์ภายใน 4 สัปดาห์

  32. 2.กรณีพบผู้ป่วย 2 รายใน 1 สัปดาห์ในหมู่บ้านเดียวกัน 2.1.พ่นเคมีกำจัดยุงในบ้านที่พบผู้ป่วยและทั้งหมู่บ้าน 2 ครั้งห่างกัน 1 สัปดาห์ 2.2.ทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงด้วยวิธีทางกายภาพชีวภาพและใส่ทรายเคลือบทีมีฟอสทั้งหมู่บ้าน 2.3.รณรงค์ให้สุขศึกษาแก่ประชาชน 2.4.สำรวจค่า BI ในหมู่บ้านทุกสัปดาห์โดยดำเนินการให้เป็นศูนย์ภายใน 4 สัปดาห์

  33. ขอบคุณค่ะ

More Related