470 likes | 933 Views
ภูมิคุ้มกันของร่างกาย ( immunity ). ครูนุชนารถ เมืองกรุง โรงเรียนฟากกว๊านวิทยาคม อ. เมือง จ. พะเยา. จุดประสงค์การเรียนรู้. 1. บอกความหมายของระบบภูมิคุ้มกันได้ 2. อธิบายกลไกการสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายได้ 3. บอกโรคและอาการของโรคพร้อมทั้งวิธีป้องกัน จากความ ผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน.
E N D
ภูมิคุ้มกันของร่างกาย (immunity) ครูนุชนารถ เมืองกรุงโรงเรียนฟากกว๊านวิทยาคม อ. เมือง จ. พะเยา
จุดประสงค์การเรียนรู้จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. บอกความหมายของระบบภูมิคุ้มกันได้ 2. อธิบายกลไกการสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายได้ 3. บอกโรคและอาการของโรคพร้อมทั้งวิธีป้องกัน จากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน
ระบบภูมิคุ้มกัน(immunity system) ระบบภูมิคุ้มกัน (immune system หรือ immunity) หมายถึง ระบบของร่างกายที่มีกลไกการป้องกันและทำลายเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอม เชื้อโรคสามารถเข้าสู่ร่างกายได้หลายทางเช่น ทางผิวหนัง ทางลมหายใจ หรือโดยทางระบบทางเดินอาหาร
ประเภทของภูมิคุ้มกัน 1. ภูมิคุ้มกันโดยกำเนิด (Innate immunity)หมายถึง ภูมิคุ้มกันที่อยู่ในร่างกายหรือภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ2. ภูมิคุ้มกันที่ได้มาหรือภูมิคุ้มกันแบบจำเพาะ (Acquird immunity)หมายถึง ภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นภายหลังเพื่อต่อต้านเฉพาะโรค แบ่งเป็น 2.1 ภูมิคุ้มกันก่อเอง (Active immunization) 2.2 ภูมิคุ้มกันรับมา(Passive immunization)
ประเภทของภูมิคุ้มกัน 2.1 ภูมิคุ้มกันก่อเอง (Active immunization)หมายถึง ภูมิคุ้มกันที่เกิดจากการที่ร่างกายสร้างแอนติบอดี (Antibody) ขึ้นมาเอง ซึ่งกระตุ้นจาก วัคซีน ทอกซอยด์ (Toxoid) วัคซิน (Vaccine) คือการนำแอนติเจนซึ่งเป็นเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายเพื่อให้ร่างกายสร้างแอนติบอดีขึ้นมา การนำวัคซินเข้าสู่ร่างกายมีหลายวิธี เช่น การกิน การฉีด การปลูกฝี
วัคซินที่เด็กควรได้รับวัคซินที่เด็กควรได้รับ
วัคซินที่เด็กควรได้รับวัคซินที่เด็กควรได้รับ
วัคซินที่เด็กควรได้รับวัคซินที่เด็กควรได้รับ
ประเภทของวัคซิน 1. วัคซีนที่เป็นเชื้อโรคที่ทำให้อ่อนกำลัง เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะเป็นแอนติเจนที่กระตุ้นให้ร่างกายสร้างแอนติบอดีต่อเชื้อโรคนั้น เช่น วัณโรค โปลิโอ หัด หัดเยอรมัน และคางทูม 2. วัคซีนที่ได้จากจุลินทรีย์ที่ตายแล้ว เช่น ไอกรน ไทฟอยด์ และอหิวาตกโรค 3. วัคซีนที่ได้จากสารพิษของจุลินทรีย์ที่ทำให้หมดความเป็นพิษ เรียกว่า ทอกซอยด์ (Toxoid) เช่น คอตีบ บาดทะยัก
ประเภทของภูมิคุ้มกัน 2.2 ภูมิคุ้มกันรับมา(Passive immunization)หมายถึง ภูมิคุ้มกันที่ร่างกายได้รับแอนติบอดี (Antibody) จากภายนอกเข้ามา เช่น การฉีดเซรุ่ม การดื่มน้ำนมแม่ของทารก เซรุ่ม (Serum) คือ น้ำเลือดที่ประกอบด้วยแอนติบอดีซึ่งสามารถต้านทานพิษจากเชื้อโรคที่มีความจำเพาะต่อโรคได้ เช่น เซรุ่มแก้พิษงู เซรุ่มแก้พิษกระต่าย
ข้อดีข้อเสียของภูมิคุ้มกันข้อดีข้อเสียของภูมิคุ้มกัน
กลไกการสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกายกลไกการสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย ร่างกายที่มีกลไกการป้องกันและทำลายเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมได้แก่ ผิวหนัง เยื่อเมือกบุผิวต่างๆ เซลล์เม็ดเลือดขาว ระบบน้ำเหลือง
ผิวหนังและโครงสร้างของผิวหนังผิวหนังและโครงสร้างของผิวหนัง ภาพแสดง โครงสร้างของผิวหนัง ที่มา : http://www.myfirstbrain.com/student_view.aspx?ID=70013
หน้าที่ของผิวหนัง 1. ป้องกันร่างกายจากเชื้อโรคไม่ให้เข้าสู่ร่างกายบริเวณผิวหนังจะมีต่อมเหงื่อ มีการหลั่งกรดแลกติก ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย 2. ผิวหนังขจัดเชื้อจุลินทรีย์ ด้วยการหลุดลอกของผิวหนัง 3. ควบคุมอุณหภูมิของร่างกายให้คงที่ 4. เป็นที่กักเก็บน้ำและไขมัน 5. ป้องกันการสูญเสียน้ำ
เยื่อเมือกบุผิวต่างๆ ตา น้ำตามีเอนไซม์สามารถกำจัดแบคทีเรีย ช่องปาก ช่องจมูก มีสารที่เมือกเหนียวคอยดักแอนติเจน ท่อปัสสาวะและอวัยวะสืบพันธุ์ มีสภาพเป็นกรดอ่อน ทางเดินหายใจ มีเยื่อเมือกและซิเลีย (Cilia) พัดโบกเชื้อโรคระบบย่อยอาหาร ในระบบย่อยอาหารจะมีกรดเกลือ (มีสมบัติความเป็นกรดสูง สามารถทำลายแบคทีเรียต่าง ๆ
เซลล์เม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดขาว (Leucocyteหรือ White blood corpuscle) มีรูปร่างและขนาดแตกต่างกัน ใหญ่กว่าเซลล์เม็ดเลือดแดงเกือบ 2 เท่า ไม่มีสี มีอายุสั้น 2 - 14 วัน มีหน้าที่โอบล้อมและจับกินเชื้อโรคแบบฟาโกไซโตซิส (phagocytosis) และสร้างแอนติบอดี (antibody)
แหล่งสร้างและแหล่งทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวแหล่งสร้างและแหล่งทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาว แหล่งสร้างเม็ดเลือดขาวไขกระดูกสีแดง (red bone marrow) ต่อมน้ำเหลือง ต่อมไทมัส และม้าม แหล่งทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวตับและม้าม ภาพแสดง เซลล์ไขกระดูกที่มา :http://www.vcharkarn.com
การจำแนกเซลล์เม็ดเลือดขาวการจำแนกเซลล์เม็ดเลือดขาว 1. เม็ดเลือดขาวที่ไม่มีกรานูล หรือ agranuleleucocyteเป็นพวกที่ไม่มีแกรนูลของไลโซโซมอยู่ในโตพลาสซึม พวกนี้ถูกสร้างจากอวัยวะน้ำเหลือง ได้แก่ ต่อมไทมัส ต่อมน้ำเหลือง ม้าม มีอายุประมาณ 100 - 300 วัน มีนิวเคลียส 1 พู แบ่งเป็น 2 ชนิด 1.1 เม็ดเลือดขาวชนิดโมโนไซต์ (monocyte) 1.2 เม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์ (lymphocyte)
การจำแนกเซลล์เม็ดเลือดขาวการจำแนกเซลล์เม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดขาวชนิดโมโนไซต์ (monocyte)ทำหน้าที่กำจัดสิ่งแปลกปลอมด้วยวิธีฟาโกไซโตซิส และสร้าง antibody นิวเคลียสมีรูปร่างเป็นรูปไต หรือรูปเกือกม้าจำนวน 1 พู ภาพแสดง เม็ดเลือดขาวชนิดโมโนไซต์ ที่มา : http://faculty.une.edu/com/abell/histo/histolab3a.htm
การจำแนกเซลล์เม็ดเลือดขาวการจำแนกเซลล์เม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์ (lymphocyte)ทำหน้าที่กำจัดสิ่งแปลกปลอมด้วยวิธีฟาโกไซโตซิส และสร้าง antibody ภาพแสดง เม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์ ที่มา : http://faculty.une.edu/com/abell/histo/histolab3a.htm
การจำแนกเซลล์เม็ดเลือดขาวการจำแนกเซลล์เม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์ (lymphocyte)แบ่งเป็น 2 ชนิดคือ - ลิมโฟไซต์ชนิด B (B - lymphocyte) หรือ B - cell มีคุณสมบัติในการสร้าง antibody จำเพาะและ memory cell - ลิมโฟไซต์ชนิด T (T - lymphocyte) หรือ T – cell ทำหน้าที่เป็นเซลล์ภูมิคุ้มกันที่กลืนกินหรือทำลายสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่เนื้อเยื่อของร่างกาย
การจำแนกเซลล์เม็ดเลือดขาวการจำแนกเซลล์เม็ดเลือดขาว 2. เม็ดเลือดขาวที่มีกรานูล หรือ granular leucocyteคือ พวกที่มีแกรนูลของไลโซโซมจำนวนมากพวกนี้จะสร้างมาจากไขกระดูก มีนิวเคลียส มีอายุประมาณ 2 - 3 วัน สามารถแยกเป็น 3 พวกย่อยๆ โดยการติดสี ดังนี้2.1 นิวโทรฟิล (neutrophil) 2.2 อีโอซิโนฟิล (eosinophilหรือ acidophil) 2.3 เบโซฟิล (basophil)
การจำแนกเซลล์เม็ดเลือดขาวการจำแนกเซลล์เม็ดเลือดขาว นิวโทรฟิล (neutrophil) เป็นพวกติดสีที่เป็นกลาง สร้างมาจากไขกระดูก มีมาก 60 - 70 % มีขนาดใหญ่ มีหลายพูทำหน้าที่ทำลายสิ่งแปลกปลอมโดยการหลั่งเอนไซม์ ภาพแสดง เม็ดเลือดขาวชนิดนิวโทรฟิล ที่มา : http://faculty.une.edu/com/abell/histo/histolab3a.htm
การจำแนกเซลล์เม็ดเลือดขาวการจำแนกเซลล์เม็ดเลือดขาว อีโอซิโนฟิล (eosinophilหรือ acidophil)เป็นพวกติดสีที่เป็นกรด มี 2 - 4 % ทำหน้าที่กำจัดสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้ามาในร่างกายโดยการกิน และทำลายสารที่เป็นพิษที่ทำให้เกิดการแพ้เช่น ฝุ่นละออง เกสรดอกไม้ ภาพแสดง เม็ดเลือดขาวชนิดอิโอโนฟิล ที่มา : http://faculty.une.edu/com/abell/histo/histolab3a.htm
การจำแนกเซลล์เม็ดเลือดขาวการจำแนกเซลล์เม็ดเลือดขาว เบโซฟิล (basophil)เป็นพวกติดสีที่เป็นด่าง มี 0.5 - 17 % ทำหน้าที่จับสิ่งแปลกปลอมโดยวิธีฟาโกไซโตซิส รูปยาว และมีแกรนูลอยู่จำนวนมาก ย้อมสีติดสีน้ำเงิน ภาพแสดง เม็ดเลือดขาวชนิดเบโซฟิล ที่มา : http://faculty.une.edu/com/abell/histo/histolab3a.htm
วิธีทำลายเชื้อโรคของเม็ดเลือดขาววิธีทำลายเชื้อโรคของเม็ดเลือดขาว 1. phagocytosisเป็นวิธีทำลายเชื้อโรคโดยการกินและย่อยสลายเชื้อโรค 2. immunization เม็ดเลือดขาวบางชนิดจะสร้างสารพวกโปรตีนที่มีคุณสมบัติต่อต้านสิ่งแปลกปลอมและเชื้อโรค - สารที่สร้างขึ้น เรียกว่า antibody - สิ่งแปลกปลอม เรียกว่า antigen
วิธีทำลายเชื้อโรคของเม็ดเลือดขาววิธีทำลายเชื้อโรคของเม็ดเลือดขาว ภาพแสดง Phagocytosisที่มา : http://www.myfirstbrain.com/thaidata/image.asp?ID=1503468
ระบบน้ำเหลือง (Lymphatic system) โครงสร้างของน้ำเหลืองประกอบด้วย1. น้ำเหลือง (Lmyph)2. ท่อน้ำเหลือง (Lymph vessel)3. อวัยวะน้ำเหลือง (Lymph organ)
ระบบน้ำเหลือง (Lymphatic system) ภาพแสดง ระบบน้ำเหลือง ที่มา : http://www.myfirstbrain.com/student_view.aspx?ID=69804
น้ำเหลือง(Lmyph) น้ำเหลือง(Lmyph) เป็นของเหลวที่อยู่ระหว่างเซลล์หรืออยู่รอบ ๆ เซลล์ ประกอบด้วย กลูโคส เอ็นไซม์ โปรตีน น้ำเหลืองเป็นตัวกลางในการนำสารต่างๆ เข้าสู่เซลล์ ท่อน้ำเหลือง มีอยู่ทั่วร่างกายที่ปลายสุดของท่อน้ำเหลืองปิดตัน แทรกอยู่ใกล้กับหลอดเลือดฝอย ท่อน้ำเหลือง และไหลไปตามท่อน้ำเหลืองซึ่งมีทิศทางไหลเข้าสู่หัวใจอย่างเดียว
ท่อน้ำเหลือง ต่อมน้ำเหลือง กล้ามเนื้อ ระบบท่อน้ำเหลือง ภาพแสดง ระบบท่อน้ำเหลือง ที่มา : http://www.vcharkarn.com/vcafe/84647
อวัยวะน้ำเหลือง (Lymph organ) อวัยวะน้ำเหลือง เป็นศูนย์กลางในการผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ใช้ในการต่อต้านเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอม ประกอบด้วย 1. ต่อมน้ำเหลือง (Lymph node) 2. ม้าม (Spleen) 3. ต่อมไทมัส(Thymus gland)
ต่อมน้ำเหลือง (Lymph node) ต่อมน้ำเหลือง (Lymph node)เป็นอวัยวะน้ำเหลืองที่มีขนาดเล็ก รวมกันเป็นกลุ่มบริเวณ ต่าง ๆ ต่อมน้ำเหลืองมีลักษณะคล้ายฟองน้ำ พบบริเวณรักแร้ โคนขา คอ (ทอนซิล) เป็นต้น ต่อมสร้างน้ำเหลืองเป็นแหล่งสร้างเม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์
ต่อมทอนซิล (Tonsil gland) ต่อมทอนซิล (Tonsil gland) มีอยู่ 3 คู่ ภาย ในต่อมทอนซิลมีลิมโฟไซต์ทำลายจุลินทรีย์ที่ผ่านมาไม่ให้เข้าสู่หลอดอาหารและกล่องเสียง ถ้าต่อมทอนซิลติด เชื้อจะมีอาการบวมขึ้น เรียกว่า ต่อมทอนซิลอักเสบ ภาพแสดง ต่อมทอนซิลบริเวณต่าง ๆ ที่มา : http://antranik.org/the-lymphatic-systemภาพแสดง ต่อมทอนซิลอักเสบ ที่มา : http://th.wikipedia.org/wiki
ม้าม (spleen) ม้าม (spleen)เป็นอวัยวะน้ำเหลืองที่ใหญ่ที่สุด ไม่มีท่อน้ำเหลืองยืดหดตัวได้ นุ่มมีสีม่วง อยู่ใกล้ ๆ กับกระเพาะอาหารใต้กระบังลมข้างซ้าย รูปร่างคล้ายเมล็ดถั่วภายในจะมีลิมโฟไซต์อยู่มากมาย หน้าที่ของม้าม1. ทำลายเม็ดเลือดแดงที่หมดอายุแล้ว2. สร้างเม็ดเลือดขาว พวกลิมโฟไซต์ และโมโนไซต์3. สร้างแอนติบอดี
ต่อมไทมัส (Thymus gland) ต่อมไทมัส (Thymus gland)เป็นต่อมที่มีขนาดใหญ่ตอนอายุน้อยเมื่ออายุมากจะเล็กลงและฝ่อลงในที่สุดทำหน้าที่สร้างเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์ T มีหน้าที่ต่อต้านเชื้อโรคและสารแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย รวมทั้งการต้านอวัยวะที่ปลูกถ่ายจากผู้อื่น
ต่อมไทมัสและม้าม ภาพแสดง ต่อมไทมัสและม้าม ที่มา : http://www3.ipst.ac.th
หมู่เลือดและการให้เลือด หมู่เลือดและการให้เลือด หมู่เลือดที่รู้จักกันดีมี 2 หมู่ คือหมู่เลือดในระบบ ABO และ หมู่เลือดในระบบ Rhการจำแนกหมู่เลือดจะอาศัยความแตกต่างด้านแอนติเจนและแอนติบอดี Antigen เป็นโปรตีนที่เกาะอยู่บนผิวของเม็ดเลือดแดง Antibody เป็นโปรตีนที่ล่องรอยอยู่ในน้ำเลือด
หมู่เลือดและการให้เลือด หมู่เลือดและการให้เลือด ตารางเปรียบเทียบแอนติเจนและแอนติบอดีของเลือดระบบ ABO
O หลักการให้เลือด B หลักการให้เลือดมีอยู่ว่า antigen ของผู้ให้ต้องไม่ตรงกับ Antibody ของผู้รับ เพราะถ้าให้เลือดกับผู้ป่วยผิดหมู่จะทำให้เกิดอันตรายกับผู้ป่วยได้ เนื่องจากการจับกลุ่มของเม็ดเลือดแดง ทำให้เม็ดเลือดแดงตกตะกอนซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ A AB
โรคภูมิแพ้ โรคภูมิแพ้ (Allergy or Hypersensitivity)หมายถึง ภาวะที่ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน หรือแอนติบอดีขึ้นมาต่อต้านแอนติเจนที่ไม่เป็นอันตรายในคนทั่วไป เช่น การแพ้ฝุ่นละออง การแพ้อาหารทะเล การแพ้ละอองเกสร การแพ้พิษแมลง หรือแพ้อาหารบางอย่าง
โรคที่ร่างกายสร้างภูมิต้านทานต่อต้านเนื้อเยื่อของตนเองโรคที่ร่างกายสร้างภูมิต้านทานต่อต้านเนื้อเยื่อของตนเอง โรคที่ร่างกายสร้างภูมิต้านทานต่อต้านเนื้อเยื่อของตนเอง (Autoimmune disease;SLE) หรือ โรคเอสแอลอี (Systemic Lupus Eythematous) เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และทำลายเนื้อเยื่อหรือเซลล์ของตนเองในระบบต่างๆ เช่น ระบบเลือด ระบบประสาท และระบบขับถ่ายเป็นต้น
โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง AIDS โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง(AIDS : Acquired Immune Deficiency Syndrome) ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อ HIV (Human Immunodificiency Virus) โดยไวรัสจะไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาว (T cell) ทำให้ร่างกายอ่อนแอ ซึ่งทำให้เกิดโรคต่างๆ ได้ง่าย เช่น วัณโรค ปอดบวม เยื่อหุ้มสมองอักเสบ โรคเริม โรคท้องเสีย เชื้อไวรัสHIV เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะแพร่กระจายไปตามไขกระดูก สมอง ปอด ไต ลูกตา เลือด น้ำนม น้ำตา น้ำลาย น้ำอสุจิ น้ำเมือกในช่องคลอด เป็นต้น
โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง AIDS การติดต่อของโรคเอดส์ 1. ทางเพศสัมพันธ์ 2. ทางการให้เลือด 3. ทางการใช้เข็มฉีดยา 4. ทางแม่ที่มีเชื้อโรคเอดส์สู่ลูกในครรภ์
เอกสารอ้างอิง บัญชา แสนทวีและคณะ. สิ่งมีชีวิตกับกระบวนการดำรงชีวิต ม.4-6 บริษัท สำนักพิมพ์วัฒนาพาณิช , 2551 หน้า 42-43 http://iamblueblood.exteen.com/20080821/entry-1 http://www.scimath.org/socialnetwork/groups/viewbulletin http://sheva.igetweb.com/index.php?mo=59&action=page&id=129699http://www.trueplookpanya.com/true/knowledge_detail.php?mul_content_id=2879พื้นหลัง PPT : มหาวิทยลัยธุรกิจบัณทิตย์
ผู้จัดทำ ครูนุชนารถ เมืองกรุงโรงเรียนฟากกว๊านวิทยาคม อ. เมือง จ. พะเยาสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา เขต 36oui608@hotmail.com