1.4k likes | 1.73k Views
Nutrition for Health promotion and Disease prevention. ปิยะรัตน์ โตสุโข วงศ์ ฐสิณัส ดิษยบุตร ภรณี เหล่าอิทธิ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. เนื้อหา. การสร้างเสริมสุขภาพ อาหารและการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ อาหารและสมอง อาหารและการจัดการความเครียดเพื่อสุขภาพ
E N D
Nutrition for Health promotion and Disease prevention ปิยะรัตน์ โตสุโขวงศ์ฐสิณัส ดิษยบุตรภรณี เหล่าอิทธิ คณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เนื้อหา • การสร้างเสริมสุขภาพ • อาหารและการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ • อาหารและสมอง • อาหารและการจัดการความเครียดเพื่อสุขภาพ • การสร้างเสริมสุขภาพเพื่อป้องกันโรคเรื้อรังและโรคมะเร็ง • นิวตริจีโนมิกส์ • รูปแบบของอาหารป้องกันโรคและอาหารประจำถิ่นที่สำคัญ
Health-Promoting Program เป็นที่ยอมรับว่าการสร้างเสริมความสามารถในการดูแลตนเองให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมปรับเปลี่ยนแบบแผนการดำเนินชีวิตได้แก่ -การรับประทานอาหารที่ได้สัดส่วนที่เน้นการบริโภคผักและผลไม้ -การออกกำลังกายให้พอดี -การผ่อนคลายความเครียด และการจัดกลุ่มให้ความช่วยเหลือ (group support) ให้คำปรึกษา (counseling) และการเสริมสร้างพลังอำนาจ (Empowerment) ด้วยกลวิธีต่างๆ จะทำให้อุบัติการณ์การเกิดโรคลดลง
Health promotion in coronary artery disease patients low-fat, whole foods, plant-based 440 coronary artery disease patients <10% of total calories from fat The lifestyle change program Decrease in Blood pressure Heart rate Body weight Total cholesterol (M) LDL (M) Triglyceride (M) % Calorie from fat Increase in HDL (M) Exercise capacity Exercise Stress management moderate exercise 3 hours/week stress management for 1 hour/day group support session twice/week Jenny K, Dean O. Am J Cardiol 2003;91:1316 –1322
Effects of lifestyle modification on oxidized LDL, reactive oxygen species production and endothelial cell viability in patients with coronary artery disease. SrimahachotaS,WunsuwanR,SiritantikornA,BoonlaC,ChaiwongkarjohnS,Tosukhowong P. ClinBiochem. 2010 Jul;43(10-11):858-62. Epub 2010 Apr 21.
การเสริมสร้างสุขภาพ (Health promotion, HP) • กระบวนการที่บุคคลสามารถควบคุมและดำเนินการสร้างเสริมสุขภาพให้กับตน ส่งผลให้สุขภาพของตนดีขึ้น • กระบวนการที่ทำให้เกิดความรู้การพัฒนาทักษะ สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมชีวิตและสิ่งแวดล้อมเพื่อสุขภาพที่ดี • สุขภาพดี หมายถึง ภาวะที่ประกอบด้วย ความสมบูรณ์ทางกายภาพ จิตใจ และสังคม ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ • การปฎิบัติตนให้มีสุขภาพดีให้ได้ ด้วยการดูแลตนเองให้ดีขึ้น เลือกอาหารหรือลดอาหารบางอย่าง ออกกำลังกายให้มากขึ้น เริ่มทีละนิดไปให้ถึงจุดมุ่งหมาย จัดการความเครียด การอยู่ในสังคมหรือชุมชนที่มีความพอเพียง การสร้างเสริมสุขภาพ จะครอบคลุมกับทุกคนทั้งบุคคลที่ปกติหรือผู้ป่วย ซึ่งมีหลักสำคัญ คือ สามารถควบคุมสุขภาพของตนเองได้ที่บ้าน มีคนป่วยมาโรงพยาบาลน้อยลง เน้นการเพิ่มพลังอำนาจให้ผู้ป่วยดูแลตนเอง(สร้างนำซ่อม) ให้หายจากโรค หรืออยู่กับโรคอย่างมีคุณภาพชีวิต ด้วยการดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดร่วมกับ health care teams ให้คำแนะนำ ให้ความรู้แก่ผู้ป่วยเพื่อให้สามารถมีแนวทางปฏิบัติต่อไปได้ที่บ้าน
กลยุทธ์และกิจกรรมหลักของการสร้างเสริมสุขภาพกลยุทธ์และกิจกรรมหลักของการสร้างเสริมสุขภาพ ระยะแรกให้ความรู้เพื่อให้เห็นประโยชน์ความสำคัญของการสร้างเสริมสุขภาพ มีกิจกรรมที่สามารถนำไปปฏิบัติจริงด้วยตนเองได้ สามารถสำรวจและปรับเปลี่ยนตนเอง นำหลักการไปถ่ายทอดต่อ 1. Health care – การดูแลสุขภาพ ป้องกันโรค แนวทางรักษาแบบองค์รวม กระทำอย่าง ต่อเนื่อง 2. Participation – เน้นการมีส่วนร่วมของบุคคลและผู้ป่วย ให้เข้าใจในการดูแลตน และ กรณีที่ต้องกลับไปพักฟื้นต่อ 3. Environment – เน้นให้สนใจสิ่งแวดล้อมที่มีผลต่อโรคเรื้อรัง ตระหนักและร่วมมือในการ ปรับสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสม เหนี่ยวนำให้เกิดภาวะเอื้อต่อการดูแลสุขภาพ 4. Community - จัดให้ความรู้เรื่องการสร้างเสริมสุขภาพในชุมชน 5. Lifestyle - เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เพื่อสุขภาวะแก่ทั้งคนปกติและผู้ป่วย ระยะที่สองสนับสนุนให้ฝึกปฏิบัติต่อเนื่อง ประเมินเป็นระยะๆ ไม่ให้กลับเข้าสู่วงจรเดิม จัดให้มีสถานที่หรือมีศูนย์สุขภาพ อย่างเหมาะสมและยั่งยืน
การแบ่งการป้องกันโรค และสร้างเสริมสุขภาพ
การแบ่งการป้องกันโรคและสร้างเสริมสุขภาพการแบ่งการป้องกันโรคและสร้างเสริมสุขภาพ 1. Primary Prevention (ป้องกันก่อนเป็นโรค) • ตระหนักในการดูแลตนเพื่อป้องกันหลีกเลี่ยงความเสี่ยงของการเกิดโรค • ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิต ทั้งการเลือกบริโภคอาหาร ออกกำลังกายและใช้พลังงานให้สมดุล • สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพดี (บ้าน ที่ทำงาน ชุมชน) • มีบริการให้คำปรึกษาและตรวจสอบทางการแพทย์ก่อนเป็นโรค • เช่น การแนะให้ออกกำลังกายสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงอาหารที่มี saturated fat ให้ < 7% เพื่อไม่ให้ค่าของ cholesterol, LDL ในเลือดสูง ป้องกันไม่ให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ • ประชาชนควรจะมี health education ทำให้มีนิสัยในการดูแลสุขภาพตนเอง สามารถพบความผิดปกติได้แต่เนิ่น
การแบ่งการป้องกันโรคและสร้างเสริมสุขภาพการแบ่งการป้องกันโรคและสร้างเสริมสุขภาพ 2. Secondary Prevention (เกิดโรคแล้ว แต่ทำให้ตรวจพบเร็วที่สุด นำไปสู่การรักษาเร็วที่สุด) • เป็นการเฝ้าระวังโรค (surveillance) ได้แก่ การดูแลสุขภาพเมื่อเกิดโรคแล้ว หลักการที่สำคัญ คือ การตรวจพบโดยเร็วที่สุด (early detection) และการรักษาอย่างทันท่วงที (prompt treatment) และป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นตามมา
การแบ่งการป้องกันโรคและสร้างเสริมสุขภาพการแบ่งการป้องกันโรคและสร้างเสริมสุขภาพ 3. การดูแลสุขภาพขั้นตติยภูมิ (การบำบัดบรรเทาโรคในระยะที่โรคทวีความรุนแรงจนเกิดภาวะแทรกซ้อนขึ้นแล้ว) • ได้แก่ การยับยั้ง รักษาและฟื้นฟู จุดประสงค์ของการดูแลในระยะนี้ เพื่อลดความพิการถาวรและภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายถึงชีวิต ช่วยให้ผู้ป่วยกลับมามีสภาวะใกล้เคียงกับคนปกติมากที่สุด • อาศัยผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขา มีกิจกรรมการสร้างเสริมสุขภาพให้ผู้ป่วยได้อย่างเหมาะสมกับโรคนั้นๆ เช่น การกำหนดอาหาร การออกกำลังกาย การบริหารจัดการความเครียด รวมถึงอาจจำเป็นต้องใช้ยาหรือการผ่าตัดเข้าช่วยตัวอย่างของการบำบัดและฟื้นฟู • เช่น ผู้ป่วยโรคโปลิโอใช้วิธีบริหารกล้ามเนื้อ หรือ ผู้ป่วยขาพิการใช้ขาเทียมหรือรถเข็น อื่นๆเช่น การหางานให้ทำ การจัดกิจกรรมเข้ากลุ่มเพื่อให้กำลังใจกัน
การออกกำลังกายและสารอาหารการออกกำลังกายและสารอาหาร
การออกกำลังกาย • มีหลายการศึกษาที่รายงานว่าในคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำหรือกลุ่มนักกีฬาจะมีการเปลี่ยนแปลงของเมแทบอไลท์ต่างๆ และฮอร์โมนที่ส่งผลดีต่อสุขภาพของร่างกาย • การออกกำลังกายและการเคลื่อนไหวของร่างกายต้องอาศัยกล้ามเนื้อหดตัวดึงกระดูกขาและแขนรวมทั้งระบบอื่นๆ ในหลายส่วนของร่างกาย โดยกล้ามเนื้อ ทำงานเปลี่ยนพลังงานเคมี(chemical energy)ต่างๆ ที่มีอยู่ในเซลล์ ที่สำคัญคือ ATP เปลี่ยนเป็นพลังงานกล(mechanical energy) สำหรับการทำงานให้เกิดกระบวนการการยืดหดตัวและการพักตัวของกล้ามเนื้อ (contraction/relaxation) ที่เส้นใยประสาทจะถ่ายทอดสัญญาณไปสู่เส้นใยกล้ามเนื้อทำให้มีการเคลื่อนตัวของของระบบ myosin thick filament/ actin thin filamentต้องการประจุแคลเซียมอิสระในซาร์โคพลาสซึมและความเข้มข้นของ Mg-ATPcomplexสมดุลของ Ca, Na สำหรับการออกกำลัง พลังงานที่ร่างกายต้องใช้ในการออกกำลังกาย หรือกิจกรรมต่างๆ ในแต่ละวัน มีความแตกต่างกันในแต่ละบุคคล ตามระดับความหนัก และช่วงระยะเวลาของการออกกำลังกาย
ผลของการออกกำลังกายต่อการทำงานของส่วนต่างๆ ของร่างกาย • เพิ่มกระบวนการเมแทบอลิซึม • เพิ่มอุณหภูมิร่างกาย • เพิ่มอัตราการทำงานของหัวใจ • กระตุ้นการทำงานของระบบประสาท • กระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อ • กระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อลาย (skeleton muscle) • เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบน้ำเหลือง • ลดความเครียด (stress) นอกจากนี้ การออกกำลังยังลดระดับไขมันในเลือด เพิ่มระดับไขมันที่ดี ลดระดับความดันโลหิต ลดการเต้นของหัวใจ ทำให้หัวใจทำงานน้อยลง อัตราการเกิดโรคหลอดเลือดสมองจะลดลงร้อยละ 30
ประโยชน์ของการออกกำลังกายประโยชน์ของการออกกำลังกาย • การออกกำลังกายแบบ หนัก-ปานกลาง ช่วยให้อายุขัยเพิ่มขึ้น และลดอุบัติการณ์การเสียชีวิตก่อนวัยอันควรลงร้อยลง 60 • ทำให้มีความสุข และรู้สึกสบายใจจากสารเอ็นดอร์ฟินที่หลั่งออกมาจากสมอง ช่วยให้คิดได้เร็วขึ้น ป้องกันโรคสมองเสื่อม ลดอัตราการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง • ร้อยละ 30 • ออกกำลังกายลักษณะการยืดเส้นยืดสาย การฝึกสมาธิ หรือลมปราณควบคู่กันไป เช่น การรำมวยจีน ฝึกโยคะ ซี่กง เป็นการบริหารข้อต่อ ทำให้มีเยื่อเมือกหล่อเลี้ยงข้อต่อป้องกันไม่ให้ข้อยึดติดกัน • เดินเร็ว 30 นาที หรือนานพอ ช่วยป้องกันไตรกลีเซอร์ไรด์และกลูโคสในเลือดสูง • เดินหลังอาหารอย่างน้อยที่สุด 10-15 นาที จะทำให้เมแทบอลิซึมเกิดขึ้นอย่างเหมาะสมและมีไขมันสะสมที่หน้าท้องลดลง ถ้านั่งหรือนอนดูทีวีหลังอาหารทันทีเกิดผลตรงกันข้าม
สารอาหารสำหรับคนปกติต้องการพลังงานจาก คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน เป็นสัดส่วน • 45-55% (3-5 g/kg/day) : 10-15% (0.8-1.0 g/kg/day) : 25-35% (0.5-1.5 g/kg/day) ตามลำดับ • ขณะที่นักกีฬาต้องการพลังงาน จากคาร์โบไฮเดรตเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยสัดส่วนพลังงานควรมาจาก คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน • 55-65% : 10-15% : 20-30% ตามลำดับ • ดังนั้นในคนที่ออกกำลังกายและนักกีฬา ซึ่งมี physical activity มากกว่าคนทั่วไป จึงต้องการปริมาณสารอาหารให้ เหมาะสมต่อชนิด ระยะเวลา และความหนักและเบาของกิจกรรม ในขณะออกกำลังกาย
การปรับพฤติกรรมและให้กำลังใจเพื่อเริ่มต้นการออกกำลังกายการปรับพฤติกรรมและให้กำลังใจเพื่อเริ่มต้นการออกกำลังกาย 1. จำกัดเวลา: จำกัดเวลาการดูทีวี เล่นเกมส์ หรือ ขณะดูทีวีอาจมีการออกกำลังกายร่วมด้วย 2. เพิ่มการเคลื่อนไหวของร่างกาย ทำกิจกรรมต่างๆให้มากขึ้น 3. เลือกกิจกรรมที่มีการออกแรงแบบปานกลาง: การเดิน การขี่จักรยาน เต้นแอโรบิก 2-3 ครั้ง/สัปดาห์ 4.เริ่มออกกำลังกายดีกว่าการอยู่นิ่งเฉย: อาจจะเริ่มต้นด้วยการเดิน วันละ 10 นาที 5. เพิ่มจำนวนการออกกำลังกาย ค่อยๆเพิ่มเวลาและจำนวนครั้ง ของการออกกำลังกายแบบ ค่อยๆเป็นค่อยๆไป
การปรับพฤติกรรมและให้กำลังใจเพื่อเริ่มต้นการออกกำลังกายการปรับพฤติกรรมและให้กำลังใจเพื่อเริ่มต้นการออกกำลังกาย 6. เลือกการออกกำลังกายแบบแอโรบิก: เช่นการเต้น แอโรบิก ออกกำลังกายในน้ำ การเดิน ต้องเดินติดต่อกันไปเรื่อยๆ อย่างน้อย 30 นาที เดินให้เร็ว ก้าวขายาวๆ แกว่งแขน และควรเดินให้ได้สัปดาห์ละ 6ครั้งหรือทุกวัน รายงานพบว่าการออกกำลังกายที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและกระดูก คือการเดินแบบช้าพอดีสลับแบบเร็วอย่างต่อเนื่อง เช่น เริ่มเดินให้มีจังหวะ แกว่งแขนมีน้ำหนักประมาณ ร้อยละ 50 ติดต่อกันไปเรื่อยๆ ประมาณ 3 นาทีหรือ 300 ก้าวให้ต่อเนื่องตามด้วยการเดินให้มีมีจังหวะ ก้าวขายาวๆ แกว่งแขนมีน้ำหนักเพิ่มประมาณ ร้อยละ 70 ติดต่อกันไปเรื่อยๆ 3 นาทีหรือ 300 ก้าว จากนั้นสลับเป็นเดินน้ำหนัก ร้อยละ 50 ติดต่อกันอีก3 นาที แล้วสลับเป็นเดินน้ำหนักร้อยละ 70 อีก3 นาที และร้อยละ 50 อีก3 นาที รวมเดิน 15 นาที สามารถออกกำลังกายแบบนี้อย่างต่อเนื่องในที่จำกัดได้ ถ้าทำทุกวัน 15-30 นาที -
การออกกำลังกายร่างกายต้องการพลังงานจากสารอาหารเป็นไปตามตามหลักการที่ว่า “ปริมาณของอาหารที่ได้รับในแต่ละวันเพื่อนำไปเผาผลาญเป็นพลังงานแก่ร่างกายต้องสมดุลกับการใช้พลังงานในแต่ละวัน • (daily energy expenditure)”
สารอาหารที่นำมาใช้เป็นแหล่งพลังงานหลักให้แก่กล้ามเนื้อมาจากคาร์โบไฮเดรตไขมันรวมและโปรตีน ดังนี้ 1.คาร์โบไฮเดรต ได้แก่ muscle glycogen และplasma glucoseเป็นแหล่งพลังงานหลักที่ถูกใช้มากขณะมีการออกกำลังกายที่ระดับปานกลางถึงที่ระดับความหนักสูงขึ้น 2.ไขมัน ได้แก่ plasma free fatty, muscle triglyceridesacids และ adipocytestriglycerides โดยการออกกำลังกายที่ใช้เวลานานแต่ใช้แรงไม่มาก (low-intensity prolonged exercise) พลังงานประมาณ 80% จะมาจากไขมัน อีก 20% จะมาจากคาร์โบไฮเดรต แหล่งพลังงานจะได้มาจาก plasma fatty acid oxidation และmuscle triacylglycerolsโดยจะมีการดึงแหล่งพลังงานจากในเลือด (plasma fatty acids) ไปใช้ก่อนเสมอ แล้วจึงตามด้วยการนำเอา fatty acids ที่เก็บสะสมในรูป triacylglycerolsใน muscle และ adipocytesมาใช้ มีเพียงส่วนน้อยที่นำมามาจาก plasma glucose 3.โปรตีน ได้แก่ amino acids เป็นเพียงแหล่งพลังงานเสริม การสลายกรดอะมิโนจะมีบทบาทสำคัญเมื่อคาร์โบไฮเดรต ที่สะสมเริ่มหมดลง ในช่วงท้ายๆของการออกกำลังกายที่ใช้ระยะเวลานาน
คาร์โบไฮเดรตกับการออกกำลังกายคาร์โบไฮเดรตกับการออกกำลังกาย
คาร์โบไฮเดรตกับการออกกำลังกายคาร์โบไฮเดรตกับการออกกำลังกาย • เพราะฉะนั้นควรรับประทานไฟเบอร์นับเป็นคาร์โบไฮเดรตประเภท Polysaccharide ที่ส่งผลดีต่อสุขภาพ ขณะที่คาร์โบไฮเดรตประเภทน้ำตาล ประเภท monosaccharide หรือ disaccharide ถ้ารับประทานมากๆ จะเพิ่มระดับของไตรกลีเซอไรด์ และ LDL อีกทั้งลดระดับ HDL ในพลาสมาเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะอ้วน เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอาหาร • ประเภทคาร์โบไฮเดรตที่ควรรับประทานควรจะเป็นน้ำตาลที่มาจากผลไม้จะดีที่สุดโดยเฉพาะผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานควรได้อาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตเหมาะสมก่อนออกกำลังกาย 1-3 ชั่วโมง อาจเป็น น้ำผลไม้ ที่มีน้ำตาลและเกลือแร่ เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะ hypoglycemia และ volume depletion • คาร์โบไฮเดรตเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญ • ในคนปกติที่ต้องการพลังงานวันละ 2,500 kcal จะต้องได้รับคาร์โบไฮเดรตวันละ 300-400 กรัม ในขณะที่ร่างกายมีการใช้แรงมากหรืออกกำลังกายจะต้องการคาร์โบไฮเดรตถึง 60% หรือมากกว่านั้น • แนะนำให้นักกีฬารับประทานคาร์โบไฮเดรตเพื่อเป็นพลังงานประมาณ • 6 -10 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน โดยขึ้นกับ ปริมาณพลังงานที่นักกีฬาคนนั้นใช้ต่อวัน • ประเภทของกีฬา เพศของนักกีฬาและสภาพแวดล้อม การได้รับคาร์โบไฮเดรตที่เพียงพอจะช่วยลดระดับของการสร้าง ketone bodies รักษาระดับของโปรตีนในร่างกาย โดยลดกระบวนการสร้าง กลูโคส จากกรดอะมิโน (gluconeogenesis)
ดัชนีน้ำตาล (Glycermixindex,GI) และการออกกำลังกาย
ดัชนีน้ำตาล (Glycermixindex,GI) และการออกกำลังกาย • ก่อนการออกกำลังกายต้องได้อาหารที่มี GI ต่ำกว่า 55 ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ • ถ้าก่อนการออกกำลังกายได้อาหารที่มี GIucoseสูงกว่า 70 ทำให้น้ำตาลในเลือด และ insulin ในเลือดสูงขึ้นเร็ว ถ้า insulin สูง จะส่งผลให้ยับยั้งการสลาย glycogen ในตับ ทำให้การส่ง Glucose เข้าสู่กระแสเลือดลดลง • ในขณะเดียวกันหลังการออกกำลังกายหรือหลังการแข่งขัน ถ้าได้รับอาหารที่มี GI สูง จะดีต่อนักกีฬา ทำให้ glycogen ในเลือดสูงขึ้น ทำให้การสะสม glycogen ในกล้ามเนื้อ และตับสูงขึ้น สามารถทดแทนส่วนที่ใช้ไปขณะออกกำลังกายได้
ไขมันกับการออกกำลังกายไขมันกับการออกกำลังกาย
ไขมันกับการออกกำลังกายไขมันกับการออกกำลังกาย • ประเภทของไขมัน 3 ประเภท ไขมันอิ่มตัว • 1. (saturated fatty acid): เมื่อมีการบริโภคมากๆจะเพิ่มระดับของ LDLในพลาสมา ซึ่งมีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดหัวใจ ปริมาณที่แนะนำให้บริโภคคือต่ำกว่า 10% ของพลังงานทั้งหมดที่ร่างกายควรได้รับ • 2. Monounsaturated fatty acid : เป็นกรดไขมันที่ดีต่อสุขภาพ ลดระดับของ LDL ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ กระตุ้นการทำงานของระบบการหลั่งน้ำดี • 3. Polyunsaturated fatty acid : พบได้ในน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันเมล็ดดอกทานตะวัน ซึ่งมีโอเมก้าที่สำคัญที่ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ นับเป็นกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่นน้ำมันตับปลาจะพบโอเมก้า-3 ซึ่งจะช่วยลดระดับของความดันโลหิต ไตรกลีเซอไรด์ • แนะนำให้นักกีฬารับประทานไขมันเพื่อเป็นพลังงานราว 20-30% ของอาหารทั้งหมด การบริโภคไขมันเป็นพลังงานน้อยกว่า 15% ของสัดส่วนสารอาหารทั้งหมดจะให้ผลเสียเพราะไขมันเมื่อเข้าสู่ร่างกายจะถูกนำไปสร้างเป็นไตรกลีเซอไรด์phospholipidและสเตอรอล ไขมันมีความสำคัญในการเป็นแหล่งพลังงาน ช่วยในการละลายวิตามินที่สามารถละลายได้ในไขมัน เช่น วิตามินเอ วิตามินอี วิตามินดี วิตามินเค กรดไขมันเป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์ eicosanoid ทำให้เกิดความรู้สึกอิ่ม เป็นสารตั้งต้นในการสร้าง adipose tissue แต่การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงมีเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะอ้วน มีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ มะเร็งอัณฑะ และมะเร็งลำไส้
โปรตีนกับการออกกำลังกายโปรตีนกับการออกกำลังกาย
โปรตีนกับการออกกำลังกายโปรตีนกับการออกกำลังกาย • การรับประทานโปรตีนที่มากเกินไปจะเพิ่มปริมาณของยูเรียที่เป็นของเสียที่กำจัดออกทางปัสสาวะ และไม่พบว่าการรับประทานโปรตีนที่มากเกินไป แม้ในขนาดที่มากกว่า 2 กรัมต่อนน.ตัว 1 กก.ต่อวัน จะสามารถเพิ่มสมรรถนะในการออกกำลังกาย หรือช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแต่อย่างใด แต่นักกีฬาหลายคนเชื่อว่าการรับประทานโปรตีนมากๆ นั้นจะช่วยชดเชยโปรตีนที่สูญเสียไปในระหว่างการออกกำลังกาย ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิด • นักกีฬาประเภทที่เล่นที่ใช้ระยะเวลาสั้นแต่เน้นความหนักสูง (resistance and strength-trained athletes) ตัวอย่างเช่น วิ่งนักยกน้ำหนัก หรือ นักเพาะกาย เป็นต้น แนะนำให้เพิ่มปริมาณโปรตีนในระดับที่สูงขึ้นอีกประมาณ 1.6 –1.7 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน
ปริมาณของโปรตีนที่ร่างกายต้องการขณะปกติและขณะออกกำลังกายปริมาณของโปรตีนที่ร่างกายต้องการขณะปกติและขณะออกกำลังกาย • โปรตีน (g)/น้ำหนักตัว (kg) • ขณะปกติไม่มีการออกกำลังกาย 0.8 • การฝึกฝนกล้ามเนื้อ 1.2-1.4 • การสร้างกล้ามเนื้อ 1.6-1.7 • ฝึกความอดทนของกล้ามเนื้อ 1.2-1.4 • การออกกำลังกายอย่างหนัก 1.4-1.7 • การออกกำลังกายที่ใช้แรงต้าน 1.4-1.8
การออกกำลังกายกับกรดอะมิโนโซ่กิ่ง (branch chain amino acid,BCAA) • มีรายงานพนว่าถ้ากล้ามเนื้อมี BCAA เป็นแหล่งพลังงาน ซึ่ง พบสูงในอาหาร (Soy protein17% Egg albumin 22% Whey protein 26%) มีผลดีคือ • ลดจำนวนโปรตีนที่จะถูกสลายตัวในระหว่างออกกำลังกาย • ช่วยซ่อมแซมเซลล์กล้ามเนื้อที่สึกหรอจากการออกกำลังกายที่รุนแรง ทำให้ • เซลล์กล้ามเนื้อมีขนาดไม่เล็กลง BCAA เป็นตัวกระตุ้นให้มีการหลั่งฮอร์โมน • เร่งการเจริญเติบโต (GH) ที่กระตุ้นกระบวนการสร้างโปรตีนและกล้ามเนื้อ • BCAA ยังเป็นแหล่งพลังงานของร่างกาย ทำให้ร่างกายออกกำลังกายได้มาก • ขึ้นและนานขึ้น ในทางตรงกันข้ามถ้ามี BCAA ต่ำทำให้เกิดการอ่อนล้า • BCAA จะช่วยเพิ่มการทำงานระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายได้ โดยเป็น • ส่วนประกอบหลักของสารภูมิคุ้มกัน
อาหาร และสมอง
อาหารและสมอง อาหารที่ช่วยให้สมองมีความจำดีนั้น นอกจากพิจารณาว่าเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพแล้ว ต้องเลือกบริโภคอาหารที่หลากหลายไม่ซ้ำซาก มีปริมาณคาร์โบไฮเดรตเพียงพอต่อความต้องการของสมอง เพราะมีงานวิจัยที่พบว่าการบริโภคอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำ หรือในกรณีที่ลดน้ำหนักจะส่งผลเสียต่อความจำ ดังนั้นการควบคุมระดับกลูโคสในเลือดให้คงที่มีความสำคัญต่อการทำงานของสมองและการมีชีวิตอยู่อย่างมีคุณภาพ นอกจากนี้ควรบริโภคผักผลไม้หลากสีซึ่งมีประโยชน์ในเรื่องชะลอการเสื่อมของสมอง และช่วยป้องกันไม่ให้สมองถูกทำลายจากอนุมูลอิสระ อาหารที่ช่วยบำรุงสมอง มีดังนี้
โอเมก้า-3 โคลีน วิตามินบี 1 แมงกานีส วิตามินบี 5 โฟเลท วิตามินบี 6 วิตามินบี 12
อาหารและสมอง • ต้องทำควบคู่ไปกับการรู้จักเลือกกินอาหารบำรุงสมองคือ • ไม่งดอาหารเช้า • รับประทานอาหารให้ตรงเวลา • หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ • มีทัศนคติเชิงบวก • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ • ฝึกการใช้สมอง(ความคิด) ด้วยกิจกรรมฝึกสมอง เช่น การเปลี่ยนบรรยากาศหรือตำแหน่งการว่างของสิ่งของต่าง ๆ ในห้อง การคิดเลข การเล่นเกม • สิ่งเหล่านี้จะช่วยบำรุงรักษาและชะลอการเสื่อมของสมองอย่างได้ผลดีกว่าการใช้อาหารบำรุงสมองเพียงอย่างเดียว
อาหารกับการจัดการความเครียดเพื่อสุขภาพอาหารกับการจัดการความเครียดเพื่อสุขภาพ
ความเครียด เป็นภัยที่คุกคามต่อภาวะความเจ็บป่วย และ พฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงตามมา เช่น การสูบบุหรี่ ดื่ม แอลกอฮอล์ รับประทานมากเกินไป ทำงานมากเกินไป เป็นต้น รวมทั้งเป็นปัจจัยเสี่ยงหนึ่งของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ จากภาวะเครียด ซึมเศร้า ความโกรธและก้าวร้าว บุคลิกภาพแบบเอ ความเหงา เป็นต้น (Price, 1982; Kozicz & Casey, 1999) ทั้งนี้การตอบสนองของจิตใจอารมณ์ ต่อภาวะสุขภาพทางกายมีความสัมพันธ์กันอย่างมาก ดังนั้นการควบคุมภาวะของจิตใจและอารมณ์ (stress management) ต่อสถานการณ์ต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตประจำวันได้จึงนับว่ามีความสำคัญ
อาหารกับการจัดการความเครียดเพื่อสุขภาพอาหารกับการจัดการความเครียดเพื่อสุขภาพ กระบวนการตอบสนองของร่างกายต่อภาวะเครียดนั้นประกอบด้วยระบบหลัก 2 ระบบด้วยกัน คือ • ระบบประสาทอัตโนมัติและต่อมหมวกไตชั้นใน • (sympathoadrenomedullary,SMA) กระตุ้นให้ต่อมหมวกไตชั้นในและบางส่วนของสมองเกิดการหลั่งฮอร์โมนepinephrine norepinephrine (cathecholamines) ซึ่งมีผลต่อระบบต่างๆเช่น • - ระบบหัวใจและหลอดเลือด • - กระบวนการเมแทบอลิซึม 2. ระบบต่อมใต้สมองและต่อมหมวกไตชั้นนอกหรือ hypothalamus-pituitary-adrenocortical(HPA) กระตุ้นให้ต่อมหมวกไตชั้นนอกสร้างและหลั่ง cortisol
แผนภาพแสดงถึงผลของความเครียดที่มีต่อร่างกายแผนภาพแสดงถึงผลของความเครียดที่มีต่อร่างกาย
แผนภาพแสดงถึงผลของ catecholaminesจากความเครียด สรุป catecholamine ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง ผ่านกลไกที่สำคัญ โดยทำให้เกิดการสร้างน้ำตาลในตับ (gluconeogenesis) เกิดการสลายไกลโคเจน (glycogenolysis) และทำให้ระดับโคเลสเตอรอลและกรดไขมัน (fatty acid ) ในกระแสเลือดเพิ่มขึ้นจากกระบวนการสลายไขมัน (lipolysis)
การผ่อนคลายความเครียดการผ่อนคลายความเครียด และการจัดการความเครียด
ในผลงานวิจัยของ Dr. Ornishและ กลุ่มวิจัยจากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ที่ใช้โปรแกรมการส่งเสริมดูแลตนเองโดยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิตอย่างเข้มข้นในผู้ป่วยหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งประกอบด้วย • การควบคุมอาหาร • การผ่อนคลายความเครียด (relaxation) • เทคนิคการสร้างจินตภาพ (Imaginary technique) • การออกกำลังกายแบบโยคะ • การจัดกลุ่มให้ความช่วยเหลือปรึกษาแก้ไขปัญหาสุขภาพ • การใช้ยา • พบว่า ระดับ total antioxidant state เพิ่มมากขึ้นทำให้ oxidative stress ลดลงในผู้ป่วยหลอดเลือดหัวใจ นั่นคือช่วยลดเหตุในการเกิด plaque ซึ่งเป็นผลดีต่อผู้ป่วยหลอดเลือดหัวใจ
การผ่อนคลายความเครียดและการจัดการความเครียดการผ่อนคลายความเครียดและการจัดการความเครียด • หลายการศึกษาพบว่า การผ่อนคลายกล้ามเนื้อเพื่อลดความเครียดและการทำสมาธิ สามารถลดระดับของ cortisolในน้ำลาย ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้วัดความเครียดและเพิ่มภูมิต้านทานได้ เช่น • ในการศึกษาโดยการวัดระดับ cortisolและ alpha-amylase ใน • น้ำลายโดยใช้วีดีโอการผ่าตัดกระจกตาเป็นตัวกระตุ้นภาวะเครียดพบว่า • ระดับของสารดังกล่าวเพิ่มขึ้นทั้งสองตัว โดยมี ระดับ alpha–amylase • เพิ่มมากขึ้นกว่าระดับ cortisol • การศึกษา ถึงระดับ cortisol ในน้ำลายกับภาระงานในบ้านและที่ทำงาน • ของแพทย์หญิงและชายตามลำดับ พบว่า ไม่ว่าจะเป็นภาวะเครียดจากภาระ • งานในบ้านหรือที่ทำงาน ต่างทำให้ระดับ cortisolในน้ำลายสูงขึ้นทั้งสิ้น
การกำจัดความเครียดโดยการผ่อนคลาย (relaxation) • Deep breathing exercise เป็นพื้นฐานในการผ่อนคลายวิธีอื่นๆ หายใจที่ถูกต้อง เหมาะสม มี O2ในเลือดเพียงพอ นำของเสียออกจากเลือด ลด Stress การมีออกซิเจนในเลือดน้อย อาจทำให้เกิดอาการ fatigue, mental confusion, anxiety, muscle tension ได้
การจัดการความเครียดโดยการผ่อนคลาย (Relaxation) (ต่อ) การผ่อนคลายความเครียดมีหลายรูปแบบได้แก่ Deep breathing exerciseการหายใจที่เหมาะสมและถูกต้องสามารถลด stress ลงได้ เพราะมีออกซิเจนในเลือดเพียงพอที่จะสามารถนำของเสียออกจากเลือดได้ การมีออกซิเจนในเลือดน้อย อาจทำให้เกิดอาการ fatigue, mental confusion, anxiety, muscle tension ได้ Progressive muscle relaxationการฝึกเกร็งและผ่อนคลายกล้ามเนื้อ คิดค้นขึ้นโดยนายแพทย์ Edmund Jacobson ในช่วงปี ค.ศ. 1930 เพื่อ ฝึกฝนการควบคุมการคลายกล้ามเนื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การผ่อนคลาย (Relaxation) (ต่อ) 3. การสร้างสมาธิ (Meditation) และการฝึกโยคะ การสร้างสมาธิ หรือการทำสมาธิ สามารถทำได้หลายวิธี เลือกสถานที่เงียบไม่มีเสียงรบกวน พยายามตัดปัญหาความคิดฟุ้งซ่าน โดยการให้ความสนใจจดจ่ออยู่ที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง เพียงการทำใจให้สงบเพื่อการผ่อนคลายเท่านั้น อาจใช้การกำหนดลมหายใจเข้าช่วย ควรนั่งปฎิบัติเป็นประจำวันละ 5-15 นาที หรือการฝึกโยคะด้วยตัวเองในท่าที่ชอบ เป็นต้น 4. การนวด ( Massage) การนวด เพื่อความผ่อนคลาย เป็นการบำบัดแบบโบราณ อาจมีการนำน้ำมันหอมระเหยมาใช้ร่วมด้วย (Aromatherapy) เช่น นวดแผนไทย นวดแบบสวีดิช การกดจุดบนฝ่าเท้า การกดจุดแบบญี่ปุ่น 5. Visualization และ Guide imaginary
การจินตนาการ และการสร้างจินตภาพ
เป็นการนึกภาพในสิ่งที่น่ารื่นรมย์ เป็นผลดีต่อบุคคลทั้งในด้านความคิด สรีระ และอารมณ์ความรู้สึก คิดถึงสิ่งที่เคยเกิดขึ้นและทำให้เรามีความสุขมาก่อน หรือจะเกิดขึ้นภายหน้าในทางที่ดี เพื่อให้รู้สึกถึงความทุกข์ทรมานและความท้อแท้ลดลง เช่น คิดถึงร่างกายที่มีพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงในขณะที่มีความเจ็บป่วย หรือกล้ามเนื้อที่ผ่อนคลายทั่วลำตัวในขณะที่มีความเครียด การศึกษาในประเทศไทยโดย ปริญญา สนิกะวาที ( 2540) พบว่า ผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านมที่สร้างจินตภาพสามารถลดความทุกข์ได้ทั้งทางกายและทางใจได้ชัดเจนกว่ากลุ่มที่ไม่ได้กระทำ เชื่อว่าสามารถลดความเครียดที่เกิดขึ้นภายใน ทำให้การทำงานในระบบต่างๆ ของร่างกายและฮอร์โมนกลับสู่สภาวะปกติ การต้องการใช้ออกซิเจนของสมองและหัวใจลดลง ทำให้อนุมูลอิสระที่เกิดจากการเผาผลาญพลังงานและออกซิเจนลดลง เพิ่มภูมิต้านทานระบบต่างๆของร่างกาย และในที่สุดก็เอาชนะโรคได้ นอกจากเทคนิคต่างๆ ยังรวมถึง การเข้ากลุ่มทำกิจกรรมร่วมกัน การจัดกลุ่มให้ความช่วยเหลือ (group support), การให้คำปรึกษา (counseling) เพื่อช่วยผู้ป่วยในการปรับเปลี่ยนและแก้ไขพฤติกรรมต่างๆ
ประโยชน์ของการผ่อนคลายความเครียดประโยชน์ของการผ่อนคลายความเครียด การฝึกยืดและเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ เป็นการฝึกซึ่งนอกจากจะเพิ่มความทนทานและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ เพิ่มความหนาแน่นของกระดูก ยังช่วยเพิ่มความไวของฮอร์โมนอินซูลิน ในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด 2. การรับประทานอาหารบางชนิดช่วยคลายเครียดและลดความอ่อนล้าลงได้ เช่น ในหลายการศึกษา พบว่า อาหารที่ประกอบด้วย probioticsซึ่งจัดเป็นแบคทีเรียที่มีประโยชน์ สามารถพบได้ในโยเกิร์ต นมเปรี้ยว หรือผลิตภัณฑ์จากนมที่หมัก สามารถลด oxidative stress ช่วยคลายเครียดและลดความอ่อนล้าลงได้ โดยเฉพาะสายพันธุ์ที่รู้จักกันดี คือ Lactobacillus spp. ซึ่งนอกจากจะลดความเครียดแล้ว ยังเพิ่มภูมิคุ้มกันโดยหลั่งสารบางชนิด เช่น lactate, acetate ทำให้มีสภาวะไม่เหมาะสมต่อการเจริญของแบคทีเรียก่อโรคอื่นๆ
อาหารคลายความเครียดและอาหารเพิ่มความเครียด อาหารคลายความเครียดและอาหารเพิ่มความเครียด