1 / 31

สาเหตุของความแปรปรวนในคุณภาพ

สาเหตุของความแปรปรวนในคุณภาพ. ความแตกต่างกันของเครื่องจักร ความแตกต่างกันของวัสดุ ความแตกต่างกันของคนงาน ความแตกต่างกันในวิธีทำงาน. การควบคุมกระบวนการเชิงสถิติ ( Statistical Process Control). ผังค่าเฉลี่ย (The Average Chart / X Chart) - ใช้ควบคุมค่าเฉลี่ยที่ได้จากการสุ่มตัวอย่าง

borna
Download Presentation

สาเหตุของความแปรปรวนในคุณภาพ

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. สาเหตุของความแปรปรวนในคุณภาพสาเหตุของความแปรปรวนในคุณภาพ • ความแตกต่างกันของเครื่องจักร • ความแตกต่างกันของวัสดุ • ความแตกต่างกันของคนงาน • ความแตกต่างกันในวิธีทำงาน

  2. การควบคุมกระบวนการเชิงสถิติ(Statistical Process Control) • ผังค่าเฉลี่ย (The Average Chart / X Chart) - ใช้ควบคุมค่าเฉลี่ยที่ได้จากการสุ่มตัวอย่าง • ผังค่าพิสัย (The Range Chart / R Chart) - ใช้ควบคุมความแตกต่างระหว่างค่าสูงสุดและค่าต่ำสุดที่ได้จากการสุ่มตัวอย่าง • ผังค่าสัดส่วน (P Chart) - ใช้ควบคุมสัดส่วนของเสียที่ได้จากการสุ่มตัวอย่าง

  3. X Chart Control Limits (หน้า 74) ใช้ควบคุมค่าเฉลี่ยที่ได้จากการสุ่มตัวอย่าง UCLX = X+A2( R ) LCLX = X -A2( R ) X = ค่าเฉลี่ยทั้งหมด (X)ของค่าเฉลี่ยที่ได้จากการสุ่มตัวอย่าง( x ) A2 = ค่าคงที่ A (3) R = ค่าเฉลี่ยของพิสัย ตัวอย่างหน้า 75

  4. R Chart ใช้ควบคุมความแตกต่างระหว่างค่าสูงสุดและค่าต่ำสุดจากการสุ่มตัวอย่าง UCLR =D4( R ) LCLR =D3( R ) D4 = ค่าคงที่ D ในการคำนวณค่า UCL(3) D3 = ค่าคงที่ D ในการคำนวณค่า LCL(3) R = ค่าเฉลี่ยของพิสัย ตัวอย่างหน้า 75- 76

  5. จำนวนของผลิตภัณฑ์ที่มีข้อบกพร่องจากการตรวจสอบจำนวนของผลิตภัณฑ์ที่มีข้อบกพร่องจากการตรวจสอบ จำนวนตัวอย่างทั้งหมดที่ทำการตรวจสอบ p = แผนภูมิควบคุมแบบ p ( p – chart ) ใช้ควบคุมสัดส่วนของเสียที่ได้จากการสุ่มตัวอย่าง UCLp = p + zp LCLp = p - zp Z =ตัวเลขส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของกระบวนการ p =ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของสัดส่วนของเสียจากการ  สุ่มตัวอย่าง

  6. p Chart Trial Control Limits z = 2 for 95.5% limits; z = 3 for 99.7% limits # Defective Items in Sample i Size of sample i

  7. แบบฝึกหัด (10 นาที ) • หน้า 87 ข้อ 3

  8. 2.ในการบรรจุข้าวมีการสุ่มตัวอย่างครั้งละ 10 ถุง พบว่าน้ำหนักเฉลี่ยของ ข้าวจากการสุ่มตัวอย่างทั้งหมดเท่ากับ 50 กก. พิสัยเฉลี่ยเท่ากับ 2 ขีด 1. หาช่วงควบคุมน้ำหนักของข้าว โดยวิธี average chart 2. หาช่วงควบคุมน้ำหนักของข้าว โดยวิธี range chart ถ้าสุ่มตัวอย่างครั้งละ 100 ถุง พบว่าสัดส่วนของเสียเฉลี่ยเท่ากับ 0.10 3. จงหาช่วงควบคุมของค่าสัดส่วน (กำหนดให้ z เท่ากับ 3) 10 นาทีคะ

  9. MJU. การจัดการ/ควบคุมคุณภาพ การควบคุมคุณภาพโดยแนวทาง Six Sigma • เน้นผลได้ที่เกิดขึ้น (Result Oriented) • เป็นแนวทางสำหรับการวัดและตั้งเป้าหมายเพื่อลดของเสียในการผลิตสินค้า/บริการ เพื่อให้เป็นไปตามความต้องการของลูกค้า • ทำให้เกิดการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องในทุกส่วนขององค์กร ทั้งในส่วนของต้นทุน คุณภาพ ความรวดเร็ว ฯลฯ และทำให้เกิดการประหยัดต้นทุนโดยรวม และทำให้เกิดความได้เปรียบในการแข่งขัน

  10. MJU. การจัดการ/ควบคุมคุณภาพ การควบคุมคุณภาพโดยแนวทาง Six Sigma • คำว่า “Sigma” เป็นระดับที่แสดงถึงส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) จากค่าเฉลี่ย (Mean) • ซึ่งผังควบคุมส่วนใหญ่จะกำหนดช่วงการควบคุมไว้ที่ ±3 S.D. (±3)โดยสามารถครอบคลุมการกระจายแบบปกติ (Normal Distribution) ได้ 99.74% ซึ่งทำให้เกิดของเสียได้ 66,803 ชิ้น ต่อ 1 ล้านชิ้น แต่ แนวทาง Six Sigma ได้ขยายช่วงการควบคุมออกเป็น ±6 S.D. (±6) ทำให้ของเสียลดลงเหลือ 3.4 ชิ้น ต่อ 1 ล้านชิ้น

  11. MJU. การจัดการ/ควบคุมคุณภาพ มาตรฐานด้านคุณภาพ • มาตรฐาน ISO 9000เป็นมาตรฐานสากลของระบบคุณภาพการผลิตสินค้า / บริการ • มาตรฐาน ISO 1400เป็นมาตรฐานการจัดการสิ่งแวดล้อม มุ่งเน้นให้องค์กรมีการพัฒนาและปรับปรุงสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง • มาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.) เป็นมาตรฐานที่มุ่งให้องค์กรสามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล โดยมีการพัฒนาคุณภาพและใช้ทรัพยากรอย่างประสิทธิภาพ ทำให้ลดค่าใช้จ่ายต่างๆ ลงไป

  12. MJU. การจัดการดำเนินงาน(Operations Management) ภาพรวมของการจัดการดำเนินงาน บทที่ 4 การจัดการโซ่อุปทาน (Supply Chain Management)

  13. MJU. โซ่อุปทาน การจัดการโซ่อุปทาน • การจัดการโซ่อุปทาน เป็นการจัดการเพื่อให้การผลิตและการส่งมอบสินค้า/บริการสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ โดยมีสารสนเทศเข้ามาช่วยดำเนินกิจกรรมต่างๆ ให้เป็นไปด้วยดี • ธุรกิจที่อยู่ในโซ่อุปทาน จะมีการดำเนินงานที่เกี่ยวเนื่องกันเป็นห่วงโซ่ต่อไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่ supplier (ผู้ผลิตคนแรก)จนถึงลูกค้าลำดับสุดท้าย โดยมีปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการจัดการและการประสานงานที่ดีระหว่างฝ่ายต่างๆ ที่อยู่ในโซ่อุปทานคือ สารสนเทศ

  14. โซ่อุปทาน สารสนเทศ ผู้ที่อยู่ในโซ่อุปทาน

  15. MJU. โซ่อุปทาน ส่วนประกอบของโซ่อุปทาน กิจกรรม – การพยากรณ์ความต้องการ สินค้า - การดำเนินคำสั่งซื้อ - การจัดซื้อจัดหา - การวางแผน และการ ควบคุมการผลิต - การขนส่ง - การจัดการสินค้าคงคลัง - การกระจายสินค้า - การจัดการเทคโนโลยี สารสนเทศ - การจัดการคุณภาพ - การให้บริการลูกค้า

  16. MJU. โซ่อุปทาน ส่วนประกอบของโซ่อุปทาน สถานที่ - สถานที่ผลิตสินค้า (โรงงาน) - สถานที่เก็บสินค้า (คลังสินค้า) - สถานที่กระจายสินค้า (ศูนย์บริการ ร้านค้าส่ง ร้านค้าปลีก) การขนส่ง - วัตถุดิบ จาก supplier โรงงาน ผู้บริโภค

  17. MJU. การจัดการดำเนินงาน(Operations Management) ภาพรวมของการจัดการดำเนินงาน บทที่ 5 การจัดการทรัพยากรมนุษย์และการวัดงาน

  18. MJU. การจัดการทรัยพากรมนุษย์ในการดำเนินงาน สิ่งสำคัญที่จะทำให้องค์กรสามารถแข่งขันได้ ประกอบด้วย...???...

  19. MJU. การจัดการทรัยพากรมนุษย์ในการดำเนินงาน วัตถุประสงค์ของการจัดการทรัพยากรมนุษย์คือ เพื่อให้พนักงานปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล

  20. MJU. การจัดการทรัยพากรมนุษย์ในการดำเนินงาน จัดคนให้ตรงกับ Job Specification ของงานนั้นๆ หลักการจัดการทรัพยากรมนุษย์ • การจัดคนให้เหมาะสมกับงาน • การกำหนดความรับผิดชอบในการทำงานของแต่ละคน / กลุ่มให้ชัดเจน • การฝึกอบรม เพื่อให้องค์กรมีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง และอยู่รอดได้ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม • การกำหนดมาตรฐานการปฏิบัติงาน เพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปตามเป้าหมายขององค์กร มาตรฐานงานควรมีการปรับปรุงเป็นระยะๆ โดยผู้บริหารควรเปิดโอกาสให้พนักงานมีส่วนร่วมในการกำหนดเป้าหมายขององค์กรด้วย

  21. MJU. การจัดการทรัยพากรมนุษย์ในการดำเนินงาน หลักการจัดการทรัพยากรมนุษย์ • การควบคุม เพื่อให้ผลงานที่เกิดขึ้นจริงเป็นไปตามที่กำหนดไว้ • การติดต่อสื่อสารและการมีส่วนร่วมของพนักงาน ควรมีการติดต่อแบบสองทางระหว่างผู้บริหารและพนักงาน และการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ทำให้มีการปรับปรุงการปฏิบัติงานด้วย • การใช้สิ่งจูงใจ เพื่อให้ปฏิบัติงานตามเป้าหมายที่กำหนด และเป็นสิ่งที่มีคุณค่าในความรู้สึกของผู้รับ

  22. MJU. พนักงานสามารถทำงานแทนพนักงานอื่นที่ขาดได้ทันที โดยไม่ทำให้เกิดการหยุดชะงักในการดำเนินการ การจัดการทรัยพากรมนุษย์ในการดำเนินงาน การออกแบบงาน (Job design) เป็นการระบุเนื้อหาของงานที่ต้องการให้บุคคลปฏิบัติ ตลอดจนทักษะการปฏิบัติ และผลที่ต้องการได้รับจากงานนั้น การออกแบบงานที่ดี ต้องให้เกิดความยืดหยุ่นในการปฏิบัติงานของพนักงาน และต้องทำให้เกิดการผลิตสินค้า/บริการที่มีคุณภาพ และพนักงานมีความพอใจในงาน วัตถุประสงค์ของการออกแบบงาน เพื่อปรับปรุงการเพิ่มผลผลิตของกิจการ เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน

  23. MJU. การจัดการทรัยพากรมนุษย์ในการดำเนินงาน พัฒนาการแนวคิดของการออกแบบงาน • การทำงานเฉพาะอย่าง (Job Specialization) ให้พนักงานทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่กำหนดไว้ และมีการทำซ้ำอยู่เสมอ • การขยายของเขตของงาน (Job Enlangement)ให้พนักงานทำงานหลายอย่างขึ้น แต่เป็นงานในระดับเดียวกัน เป็นการขยายงานตามแนวนอน เพื่อลดความเบื่อหน่ายจากการทำงานที่ซ้ำๆ กัน ทำให้มีความพอใจในการทำงานมากขึ้น • การเพิ่มคุณค่าของงาน (Job Enrichment)มีการมอบอำนาจในการตัดสินใจให้พนักงานเพิ่มขึ้น หรือให้มีการทำงานเป็นทีมที่มีการบริหารจัดการกันเอง (Self-managed teams) • การสับเปลี่ยนงาน (Job Rotation)ให้พนักงานทำงานได้หลากหลาย สมมุติฐาน : การทำงานซ้ำๆ จะช่วยให้เกิดการปรับปรุงคุณภาพและเพิ่มประสิทธิภาพของงาน เพราะช่วยเพิ่มพูนทักษะ ทำงานได้เร็วขึ้น ลดเวลาฝึกอบรม การ rotate ทำให้มีความยืดหยุ่นในการทำงานสูง แต่การ rotate จะมีประสิทธิผลได้เมื่อบุคลากรมีความสามารถและทักษะในการปฏิบัติงานที่ใกล้เคียงกันเท่านั้น ดังนั้น องค์กรต้องฝึกอบรมให้ทำงานได้หลายอย่าง และมีการจ่ายค่าตอบแทนตามความสามารถของแต่ละคน

  24. MJU. หน่วย การจัดการทรัยพากรมนุษย์ในการดำเนินงาน • เส้นโค้งการเรียนรู้ (Learning Curve)แสดงความสัมพันธ์ระหว่างจำนวนชั่วโมงที่ใช้ในการผลิตสินค้าต่อหน่วย และจำนวนหน่วยของสินค้าที่ผลิต โดยมีสมมุติฐานว่า “เมื่อมีการผลิตสินค้าเพิ่มขึ้น จะทำให้เวลาที่ใช้ในการผลิตสินค้าต่อหน่วยลดลง” เนื่องจากประสิทธิภาพในการผลิตเพิ่มขึ้น มีความชำนาญมากขึ้น ฯลฯ • วิธีการทางวิศวกรรม (Method Engineering)เป็นการวิเคราะห์กระบวนการต่างๆ เพื่อลดหรือกำจัดขั้นตอนการทำงานที่ไม่จำเป็นออกไป หรือเชื่อมขั้นตอนการทำงานๆ เข้าด้วยกัน เพื่อลดต้นทุนการผลิต ลดพลังงาน ลดเวลา ลดการใช้ส่วนประกอบที่ไม่จำเป็นลง • วิศวกรรมมนุษยศาสตร์ (Human Factor Engineering)ใช้หลักการทางวิศวกรรมมาวิเคราะห์ลักษณะการทำงานและสิ่งแวดล้อมในการทำงาน และทำการออกแบบสภาวะในการทำงานให้เข้ากับสภาพร่างกายของพนักงาน ชม.

  25. MJU. การจัดการทรัยพากรมนุษย์ในการดำเนินงาน มาตรฐานการปฏิบัติงาน (Work Standard) • เป็นการกำหนดเกณฑ์ที่ใช้ในการปฏิบัติงาน หรือเวลาที่ใช้ในการปฏิบัติงาน ประโยชน์ของมาตรฐานการปฏิบัติงาน • กำหนดต้นทุนและราคา เนื่องจากมาตรฐานการปฏิบัติงานจะสามารถบอกต้นทุนมาตรฐานที่จะนำไปกำหนดราคาสินค้าได้ • การจูงใจพนักงาน ให้มีการปรับปรุงการปฏิบัติงาน เช่น การให้ bonus แก่ผู้ที่มีผลงานสูงกว่ามาตรฐาน • การประเมินผลการปฏิบัติงานโดยเปรียบเทียบผลงานจริงกับมาตรฐาน • วางแผนกระบวนการผลิตสินค้าและบริการ

  26. MJU. การจัดการทรัยพากรมนุษย์ในการดำเนินงาน การวัดงาน (Work Measurement) • เป็นการวัดเวลาการทำงานของพนักงาน / เครื่องจักร เพื่อใช้ในการกำหนดมาตรฐานการปฏิบัติงาน วิธีการวัดงาน • การศึกษาเวลาการปฏิบัติงาน (Time Study) เป็นการวัดเวลาที่ใช้ในการปฏิบัติงานแต่ละงาน เพื่อกำหนดเวลามาตรฐาน เพื่อนำไปใช้ในการควบคุมการปฏิบัติงานของพนักงานและเครื่องจักร โดยใช้นาฬิกาจับเวลาการปฏิบัติงานในแต่ละงาน • การใช้ข้อมูลที่กำหนดไว้ล่วงหน้า (Predetermined Data) เป็นการกำหนดเวลามาตรฐานของการปฏิบัติงานนั้นๆ ล่วงหน้า มักใช้กับการผลิตสินค้าใหม่หรือองค์กรใหม่ • การสุ่มตัวอย่างงาน (Work Sampling) เป็นการสุ่มตัวอย่างทางสถิติ เพื่อหาเวลามาตรฐานที่ใช้ในการทำกิจกรรมต่างๆ

  27. MJU. การจัดการทรัยพากรมนุษย์ในการดำเนินงาน การใช้สิ่งจูงใจ (Incentives) • เป็นการให้เงินเดือน ค่าจ้าง ผลประโยชน์ต่างๆ เพื่อให้พนักงานมีขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานที่ดี สิ่งจูงใจมี 2 ประเภท คือ ด้านการเงิน และผลประโยชน์ต่างๆ 1. สิ่งจูงใจด้านการเงิน (Financial Incentives) • เป็นการจ่ายค่าตอบแทนโดยตรง สำหรับผลการปฏิบัติงานของพนักงานแต่ละคน / กลุ่ม เช่น การจ่ายค่าแรงรายชิ้น การแบ่งปันผลกำไร 1.1 การจ่ายค่าแรงรายชิ้น (Piece Rate Method) 1.2 การแบ่งปันผลกำไร (Profit Sharing)

  28. MJU. การจัดการทรัยพากรมนุษย์ในการดำเนินงาน 1.1 การจ่ายค่าแรงรายชิ้น (Piece Rate Method) 1.2 การแบ่งปันผลกำไร (Profit Sharing) • เป็นการจัดสรรกำไรส่วนหนึ่ง เพื่อตอบแทนให้แก่พนักงานตามความเหมาะสม เป็นวิธีที่ทำให้พนักงานรู้สึกว่าตนมีส่วนร่วมในการผลกำไรของกิจการ และพยายามที่จะทำงานเพื่อให้กิจการมีกำไรมากที่สุด เพื่อผลกำไรนั้นจะได้กลับมาแบ่งปันให้พนักงาน เช่น การให้โบนัส การให้หุ้น การให้เงินปันผล ฯลฯ 2. ผลประโยชน์อื่นๆ (Fringe Benefits) • ผลประโยชน์ หมายถึง สิทธิและผลประโยชน์ที่องค์กรตอบแทนให้แก่พนักงาน นอกเหนือจากเงินเดือนและค่าจ้างประจำ เช่น การประกัน การพักผ่อน การฝึกอบรม ฯลฯ

  29. MJU. การจัดการทรัยพากรมนุษย์ในการดำเนินงาน การประเมินผลการปฏิบัติงาน • วัตถุประสงค์ของการประเมินผลการปฏิบัติงาน • 1. เพื่อใช้ในการพิจารณาขึ้นเงินเดือน เลื่อนตำแหน่ง โยกย้าย ลดเงินเดือน ปลดออก ฯลฯ • 2. เพื่อให้พนักงานได้ข้อมูลย้อนกลับในการปฏิบัติงาน และข้อเสนอแนะในการปรับปรุงแก้ไขวิธีการ ทักษะ ทัศนคติ และพฤติกรรมในการทำงานของแต่ละคน วิธีการประเมินผลการปฏิบัติงาน • จัดลำดับพนักงาน (Ranking Method) • จำแนกกลุ่มพนักงาน (Classification Method) • มาตรการประเมิน (Rating Scale)

  30. MJU. การจัดการทรัยพากรมนุษย์ในการดำเนินงาน แนวโน้มการจัดการสมัยใหม่ • การคัดเลือกพนักงาน ให้พนักงานเก่าทำการคัดเลือกพนักงานใหม่ • ออกแบบงานเน้นการทำงานเป็นกลุ่ม แต่ละกลุ่มมีอำนาจหน้าที่ ความรับผิดชอบร่วมกันในกิจกรรมของกลุ่ม • จ่ายค่าตอบแทน ขึ้นอยู่กับความสามารถในการเรียนรู้งานชนิดต่างๆ ของพนักงานแต่ละคน • การออกแบบและวางผังโรงงาน พนักงานมีส่วนร่วมในการตัดสินใจร่วมกับฝ่ายบริหารทั้งในการออกแบบและวางผังโรงงาน เลือกเครื่องมือเครื่องจักรในการผลิต ทำให้ผู้บริหารมีข้อมูลในการตัดสินใจมากขึ้น และช่วยให้กลุ่มยอมรับการตัดสินใจของผู้บริหารมากขึ้น

  31. MJU. การจัดการทรัยพากรมนุษย์ในการดำเนินงาน แนวโน้มการจัดการสมัยใหม่ • การจัดการ ผังโรงงานมีลักษณะแบบราบ คือ การจัดลำดับชั้นของสายการบังคับฯ มีน้อยลง นาย ก. ห่อสินค้า A ได้ 500 ชิ้น และสินค้า B ได้ 200 ชิ้น โดยองค์กรมีมาตรฐานในการห่อสินค้า A = 60 ชิ้น/ชั่วโมง และห่อสินค้า B = 40 ชิ้น/ชั่วโมง มีค่าแรงชั่วโมงละ 6 บาท นาย ก มีรายได้ทั้งหมดเท่าใด (5 นาที) สินค้า A 60 ชิ้น 6 บาท 1 ชิ้น (6*1)/60 = 0.10 บาท ได้ค่าแรงรวม 500 ชิ้น*0.10 บาท = 50 บาท สินค้า B 40 ชิ้น 6 บาท 1 ชิ้น (6*1)/40 = 0.15 บาท ได้ค่าแรงรวม 200 ชิ้น*0.15 บาท =30 บาท รวมนาย ก.ได้ค่าแรง 50 + 30= 80 บาท

More Related