1 / 88

บทที่ 3

รายวิชาเศรษฐศาสตร์แรงงาน. บทที่ 3. อุปสงค์แรงงาน (Demand for Labor). โดย อ.มานิตย์ ผิวขาว สายวิชาเศรษฐศาสตร์ วิทยาเขตหนองคาย มหาวิทยาลัยขอนแก่น. หัวข้อ. ความหมายของอุปสงค์แรงงาน อุปสงค์แรงงานในระยะสั้น อุปสงค์แรงงานในระยะยาว สาเหตุการเปลี่ยนแปลงอุปสงค์แรงงาน

bikita
Download Presentation

บทที่ 3

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. รายวิชาเศรษฐศาสตร์แรงงานรายวิชาเศรษฐศาสตร์แรงงาน บทที่ 3 อุปสงค์แรงงาน (Demand for Labor) โดย อ.มานิตย์ ผิวขาว สายวิชาเศรษฐศาสตร์ วิทยาเขตหนองคาย มหาวิทยาลัยขอนแก่น

  2. หัวข้อ • ความหมายของอุปสงค์แรงงาน • อุปสงค์แรงงานในระยะสั้น • อุปสงค์แรงงานในระยะยาว • สาเหตุการเปลี่ยนแปลงอุปสงค์แรงงาน • ความยืดหยุ่นของอุปสงค์แรงงานต่อการเปลี่ยนแปลงค่าจ้าง • ปัจจัยกำหนดความยืดหยุ่นของอุปสงค์แรงงาน • ตัวอย่างผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

  3. ความหมายของอุปสงค์แรงงานความหมายของอุปสงค์แรงงาน

  4. ความหมาย -อุปสงค์แรงงาน หมายถึง ความต้องการแรงงานในฐานะปัจจัยการผลิตที่นายจ้างหรือผู้ผลิตต้องการว่าจ้าง เมื่อมีตำแหน่งงานว่างหรือเมื่อมีการลงทุนใหม่หรือลงทุนขยายงานเพิ่มเติม ณ ระดับอัตราค่าจ้างต่างๆที่นายจ้างหรือผู้ผลิตสามารถจะว่าจ้างได้ -อุปสงค์แรงงานเป็นอุปสงค์สืบเนื่อง (Derived demand)หมายความว่า การเกิดขึ้นและการเปลี่ยนแปลงของอุปสงค์แรงงานเป็นผลสืบเนื่องมาจากเหตุการณ์อื่นๆ ที่มีความสัมพันธ์กับแรงงาน เช่น เมื่อความต้องการสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น ในขณะที่ราคาสินค้านั้นไม่เปลี่ยนแปลง ผู้ผลิตย่อมเล็งเห็นผลกำไรที่จะเกิดขึ้น ผู้ผลิตก็จะผลิตสินค้ามากขึ้น ทำให้มีความต้องการแรงงานเพื่อมาผลิตสินค้าเพิ่มขึ้นด้วย อุปสงค์ต่อแรงงานมีความแตกต่างจากอุปสงค์สินค้าอย่างไรบ้าง?

  5. -อุปสงค์แรงงานเป็นอุปสงค์ร่วม(Joint demand) หมายความว่า การเกิดขึ้นและการเปลี่ยนแปลงของอุปสงค์แรงงานเป็นไปพร้อมกับการเกิดขึ้นและเปลี่ยนไปของอุปสงค์ในปัจจัยการผลิตอื่นๆ เช่น เมื่อผู้ผลิตต้องการเครื่องจักรมากขึ้นในการผลิต จึงมีความต้องการแรงงานที่ควบคุมและซ่อมเครื่องจักรเพิ่มขึ้นด้วยเหมือนกัน • สมมติฐานการวิเคราะห์ 1) ราคาของแรงงานคือค่าจ้าง 2)เมื่อมีตำแหน่งงานว่างนายจ้างจะรับคนงานจากตลาดภายนอกเข้ามาเท่านั้น 3) คนงานมีความสามารถและประสิทธิภาพเท่ากัน 4) นายจ้างมีข้อมูลพร้อมเกี่ยวกับตลาดแรงงาน 5) จุดหมายหน่วยธุรกิจคือกำไรสูงสุด

  6. สมมติฐานการวิเคราะห์(ต่อ)สมมติฐานการวิเคราะห์(ต่อ) 6) หน่วยธุรกิจแต่ละแห่งมีขนาดเล็กมาจนไม่มีอิทธิพลต่ออัตราค่าจ้างตลาด 7)คนงานแต่ละคนไม่มีอิทธิพลเหนือค่าจ้าง ต้องเสนอขายแรงงานตามอัตราค่าจ้างตลาด เส้นอุปทานแรงงานจะขนานกับแกนนอน 8)การผลิตใช้ปัจจัยการผลิตหลายอย่างร่วมกัน

  7. กำหนดให้ -MP (Marginal Product) คือ ผลผลิตเพิ่มจากการใช้ปัจจัยแรงงานเพิ่มขึ้น 1 หน่วย ดังนั้น ถ้าจ้างแรงงานเพิ่ม 1 คน จะได้ผลผลิตเพิ่ม MP หน่วย -MC (Marginal Cost) คือ ต้นทุนเพิ่มจากการผลิตสินค้าเพิ่มขึ้น 1 หน่วย ดังนั้น ถ้าผลิตสินค้าเพิ่มขึ้น 1 หน่วย จะต้องเสียต้นทุนเพิ่มขึ้น MC หน่วย -MR (Marginal Revenue) คือ รายได้ที่ได้รับเพิ่มขึ้นจากการขายสินค้าเพิ่มข้น 1 หน่วย ดังนั้น ถ้าขายสินค้าเพิ่มขึ้น 1 หน่วยจะได้รับรายรับเพิ่มขึ้น MR บาท และในตลาดแข่งขันสมบูรณ์ MR = P -W (wage) คือ ค่าจ้างที่นายจ้างจ่ายให้แรงงาน 1คน ดังนั้น ถ้าจ้างแรงงาน 1 คนจะเสียค่าจ้าง W บาท

  8. ความสัมพันธ์ของตัวแปรตามข้อกำหนดความสัมพันธ์ของตัวแปรตามข้อกำหนด -ถ้านายจ้างต้องการผลผลิต MP หน่วย ใช้แรงงาน 1 คน ถ้าต้องการผลผลิต 1 หน่วย ใช้แรงงาน (1/MP) คน -ถ้านายจ้างจ้างแรงงาน 1 คน เสียค่าจ้าง W บาท ถ้าใช้แรงงาน 1/MP คน จะเสียค่าจ้าง W x (1/MP) = (W/MP) -สรุป ถ้าต้องการผลผลิตเพิ่มขึ้น 1 หน่วย ต้องเสียต้นทุนเพิ่มขึ้น (W/MP) บาท นั่นคือ (W/MP) = MC -เงื่อนไขกำไรสูงสุดตลาดผูกขาด MC= MR ดังนั้น นายจ้างจ้าง ณ จุด (W/MP) = MR หรือ W = MP x MR = MRP (Marginal Revenue Product) -ตลาดแข่งขันสมบูรณ์ MR = P ดังนั้น W = MP x P = VMP (Value of Marginal Product)

  9. -นายจ้างจะเปรียบเทียบระหว่างมูลค่าเพิ่มของแรงงาน 1 คนที่เขาจ้างเพิ่มขึ้น(ที่สามารถผลิตสินค้าให้นายจ้าง)(VMPL ) กับ ค่าจ้างที่จ่ายให้แรงงานที่จ้างเพิ่มขึ้นนั้น (W) โดยนายจ้างจะจ้างแรงงานเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตราบใดที่ VMPL > W และจะจ้างเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่ง VMP = W ซึ่งจะทำให้นายจ้างได้รับกำไรสูงสุด และในตลาดไม่แข่งขัน MRPL > W และจะจ้างเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่ง MRPL = W

  10. การคำนวณผลิตภาพของแรงงานการคำนวณผลิตภาพของแรงงาน • การคำนวณอย่างหยาบ ผลิตภาพแรงงาน เท่ากับ ผลผลิต หารด้วยผู้มีงานทำ • ในการศึกษาหาผลิตภาพของแรงานได้ทำการวิเคราะห์จากแบบจำลองสมการการผลิตแบบ Cobb-Douglas ที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างมูลค่าของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศเบื้องต้นแท้จริงกับปัจจัยการผลิตซึ่งในที่นี้ได้แก่ปัจจัยทุนที่แท้จริงปัจจัยแรงงานฝีมือและปัจจัยแรงงานไร้ฝีมือหลังจากนั้นก็นำค่าความยืดหยุ่นของผลผลิต(หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศเบื้องต้นแท้จริง)ต่อปัจจัยแรงงานไร้ฝีมือที่ได้จากการประมาณการสมการมาคำนวณหาผลิตภาพของแรงงานไร้ฝีมือผลการประมาณการเป็นดังนี้ Y = ( a1 Ls + a2 Ks )1/s Then, MPL = a1 (Y/L)1-s and MPK = a2 (Y/K)1-s.

  11. การคำนวณอย่างหยาบ

  12. ผลิตภาพแยกรายสาขา

  13. ผลิตภาพแยกรายสาขา

  14. การเปลี่ยนแปลงผลิตภาพแยกรายสาขาการเปลี่ยนแปลงผลิตภาพแยกรายสาขา

  15. สมการการผลิตแบบ Cobb-Douglas • logRGDP= -3.815250+0.292628logRK+1.177353logSKILL–0.266657logUNSKILL (-6.844524)**(13.07113)** (19.27796)** (-15.92862)** = 0.9984 D.W. = 1.465 = 0.9982 F-statistic = 5063.309 S.E.E. = 0.01547 Prob(F-statistic) = 0.00000 ** = มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับนัยสำคัญ 0.01 หรือที่ระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 99 เมื่อ -ผลผลิตรวมของประเทศหรือผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศเบื้องต้นแท้จริง(RGDP) -ปัจจัยทุนแท้จริง(การสะสมทุนเบื้องต้นแท้จริง:RK) -ปัจจัยแรงงานฝีมือ(SKILL) และ -ปัจจัยแรงงานไร้ฝีมือ(UNSKILL)

  16. “เกณฑ์การกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำและผลกระทบต่อการจ้างงานและค่าจ้างในภาคอุตสาหกรรม”“เกณฑ์การกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำและผลกระทบต่อการจ้างงานและค่าจ้างในภาคอุตสาหกรรม” • สุวรรณาตุลยวศินพงศ์ (2543) • การศึกษาผลกระทบต่อการจ้างงานของแรงงาน 6 กลุ่ม ได้แก่ แรงงานเพศชาย-หญิงกลุ่มอายุ 15-19 ปี อายุ 20-24 ปี และอายุ 25 ปีขึ้น ใช้แบบจำลองที่มีตัวแปรตามคือจำนวนผู้มีงานทำของกลุ่มแรงงานตามเพศ-วัยต่างๆข้างต้น ตัวแปรอิสระได้แก่ ผลิตภัณฑ์มวลรวมแท้จริง อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ และจำนวนประชากรในกลุ่มเพศ-วัยต่าง ๆ ทั้ง 6 กลุ่ม • ผลการศึกษาพบว่า การปรับค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มขึ้นร้อยละ 1 จะส่งผลให้การจ้างงานในแรงงานกลุ่มวัยรุ่นชายและหญิงลดลงโดย กลุ่มแรงงานชายอายุ 15-19 ปีลดลงร้อยละ 0.2924 กลุ่มแรงงานชายอายุ 20-24 ปีลดลงร้อยละ 0.1457 และกลุ่มแรงงานหญิงอายุ 15-19 ปีลดลงร้อยละ 0.2226 สาเหตุที่แรงงานวัยรุ่นได้รับผลกระทบจากการปรับค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเพราะแรงงานกลุ่มนี้มีทักษะหรือประสบการณ์น้อยกว่าแรงงานกลุ่มผู้ใหญ่จึงเป็นกลุ่มที่มีโอกาสว่างงานสูงกว่า

  17. สำหรับการศึกษาผลกระทบของค่าจ้างขั้นต่ำต่อค่าจ้างเฉลี่ยของแรงงานในภาคอุตสาหกรรมโดยการจำแนกแรงงานออกเป็น 10 กลุ่ม (decile group) ใช้แบบจำลองพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างอัตราการเปลี่ยนแปลงของตัวแปรตามคือค่าจ้างเฉลี่ยของแรงงานในภาคอุตสาหกรรม 10 กลุ่มกับอัตราการเปลี่ยนแปลงของตัวแปรอิสระได้แก่ผลิตภัณฑ์มวลรวมค่าจ้างขั้นต่ำและระดับการศึกษาของแรงงาน • ผลการศึกษาพบว่าการปรับค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มขึ้นมีผลกระทบต่อระดับค่าจ้างของแรงงานกลุ่มกลาง ๆ เท่านั้นแต่แรงงานกลุ่มล่าง ๆ อย่างแรงงานกลุ่มที่ 1 ซึ่งมีค่าจ้างต่ำ ไม่ได้รับอานิสงค์จากการปรับค่าจ้างขั้นต่ำเลยผลการศึกษาผลกระทบของค่าจ้างขั้นต่ำทั้งต่อการจ้างงานและระดับค่าจ้างเฉลี่ยของแรงงานสะท้อนว่าผู้ไม่ได้รับผลบวกจากการปรับค่าจ้างขั้นต่ำกลับเป็นแรงงานกลุ่มวัยรุ่นและแรงงานที่มีรายได้กลุ่มล่างๆซึ่งเป็นกลุ่มแรงงานที่กฎหมายจะคุ้มครองนั่นเอง

  18. ผู้มีงานทำรวม จำแนกเป็นรายไตรมาส หน่วย : ล้านคน

  19. ผู้มีงานทำ จำแนกตาม เพศ หน่วย : ล้านคน

  20. สัดส่วน ผู้มีงานทำ จำแนกตาม เพศ หน่วย : ร้อยละ

  21. ผู้มีงานทำ จำแนกตาม อายุ หน่วย : ล้านคน

  22. สัดส่วน ผู้มีงานทำ จำแนกตามอายุ หน่วย : ร้อยละ

  23. ผู้มีงานทำ จำแนกตามการศึกษา หน่วย : ล้านคน

  24. สัดส่วน ผู้มีงานทำ จำแนกตามการศึกษา หน่วย : ร้อยละ

  25. สัดส่วน ผู้มีงานทำ จำแนกเพศ(หญิง/ชาย/รวม) และระบบแรงงาน(ใน/นอก) หน่วย : ร้อยละ

  26. จำนวนหน่วยธุรกิจและลูกจ้างจำนวนหน่วยธุรกิจและลูกจ้าง หน่วย : พันแห่ง/คน

  27. อุปสงค์แรงงานในระยะสั้นอุปสงค์แรงงานในระยะสั้น

  28. Shot run (SR) , Long run (LR) and Very long run (VLR)

  29. ที่มาแนวคิด • Isoquant • Expansion path • TP MP AP • VTP VMP VAP

  30. อุปสงค์ระยะสั้นของหน่วยผลิตอุปสงค์ระยะสั้นของหน่วยผลิต Expansion path ทุน E1 E2 E3 E4 Q4 Q3 Q2 Q1 L1 L3 L2 L4 ปริมาณแรงงาน 0

  31. อุปสงค์ระยะสั้นของหน่วยผลิตอุปสงค์ระยะสั้นของหน่วยผลิต ผลผลิต TP 350 300 200 100 AP MP L1=20 L3=40 L2=30 L4=50 ปริมาณแรงงาน 0

  32. อุปสงค์ระยะสั้นของหน่วยผลิตอุปสงค์ระยะสั้นของหน่วยผลิต ณ W2=6 จ้างงาน L3 W2=6=VMPมูลค่าผลผลิตเฉลี่ย OL3eW1จ่ายค่าจ้างรวม OL3fW2กำไร W2feW1 อัตราค่าจ้าง a W3 c h W0 W4 e S1 b W1=7 d g W2=6 S2 f VAP VMP L1 L3 L0 L2 L4 ปริมาณแรงงาน 0 ณ W3จ้างงาน L0 W3=VMP มูลค่าผลผลิตเฉลี่ย OL0bW1จ่ายค่าจ้างรวม OL0aW3ขาดทุน W3abW1ฉะนั้น การจ้างงานจะเกิด ณ L1 เป็นต้นไป

  33. อุปสงค์ระยะสั้นของหน่วยผลิตอุปสงค์ระยะสั้นของหน่วยผลิต อัตราค่าจ้าง c W0 d W1 DL ปริมาณแรงงาน L2 0 L1

  34. ความสัมพันธ์ของตัวแปรตามข้อกำหนดความสัมพันธ์ของตัวแปรตามข้อกำหนด -ถ้านายจ้างต้องการผลผลิต MP หน่วย ใช้แรงงาน 1 คน ถ้าต้องการผลผลิต 1 หน่วย ใช้แรงงาน (1/MP) คน -ถ้านายจ้างจ้างแรงงาน 1 คน เสียค่าจ้าง W บาท ถ้าใช้แรงงาน 1/MP คน จะเสียค่าจ้าง W x (1/MP) = (W/MP) -สรุป ถ้าต้องการผลผลิตเพิ่มขึ้น 1 หน่วย ต้องเสียต้นทุนเพิ่มขึ้น (W/MP) บาท นั่นคือ (W/MP) = MC -เงื่อนไขกำไรสูงสุดตลาดผูกขาด MC= MR ดังนั้น นายจ้างจ้าง ณ จุด (W/MP) = MR หรือ W = MP x MR = MRP (Marginal Revenue Product) -ตลาดแข่งขันสมบูรณ์ MR = P ดังนั้น W = MP x P = VMP (Value of Marginal Product)

  35. -นายจ้างจะเปรียบเทียบระหว่างมูลค่าเพิ่มของแรงงาน 1 คนที่เขาจ้างเพิ่มขึ้น(ที่สามารถผลิตสินค้าให้นายจ้าง)(VMPL ) กับ ค่าจ้างที่จ่ายให้แรงงานที่จ้างเพิ่มขึ้นนั้น (W) โดยนายจ้างจะจ้างแรงงานเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตราบใดที่ VMPL > W และจะจ้างเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่ง VMP = W ซึ่งจะทำให้นายจ้างได้รับกำไรสูงสุด และในตลาดไม่แข่งขัน MRPL > W และจะจ้างเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่ง MRPL = W

  36. อุปสงค์แรงงานในระยะยาวอุปสงค์แรงงานในระยะยาว

  37. แนวคิด -ระยะยาวเป็นระยะที่ปัจจัยการผลิตทุกชนิดเป็นปัจจัยผันแปร -การเปลี่ยนแปลงของค่าจ้างทำให้การจ้างงานเปลี่ยน การลงทุนเปลี่ยนแปลง เช่น อัตราค่าจ้างลดลง ทำให้การจ้างงานเพิ่มขึ้น และลดการลงทุน โดยใช้แรงงานคนแทนแรงงานเครื่องจักร(หรือทุน) ซึ่งจะกระทบต่อมูลค่าของผลผลิต เส้น VMP เลื่อนไปทางซ้ายมือ เรียก ผลทางด้านการทดแทน(substitution effect) -ผลจากการที่ค่าจ้างลดลง ทำให้การจ้างงานเพิ่มขึ้น อาจทำให้มีการเพิ่มการลงทุนก็ได้ อันจะทำให้เส้น VMP เลื่อนไปทางขวามือ เรียก ผลทางด้านของผลผลิต(scale effect) W Nd N K MPL VMPL(ผลด้านทดแทน)Nd N K MPL VMPL (ผลด้านผลผลิต)

  38. อัตราค่าจ้าง a W0 c b W1 VMP0 VMP1 DL SR LR L0 L1 L2 0 อุปสงค์แรงงานในระยะยาวของหน่วยธุรกิจ -อัตราค่าจ้าง OW0การจ้างงาน OL0เส้น VMP0ที่จุด a-อัตราค่าจ้างลดลง OW1ระยะสั้นการจ้างงานเพิ่มOL1ระยะยาวมีเวลานานพอที่จะเอาแรงงานแทนเครื่องจักร เมื่อขยายการผลิตเพิ่มขึ้นจากที่ต้นทุนค่าจ้างลดลง เส้นVMP เลื่อนเป็น VMP1การจ้างงาน L2ที่จุด c (VMP เพิ่มขึ้นเพราะMPLเพิ่มขึ้น )-เชื่อมจุด a และ cได้เส้นอุปสงค์แรงงานระยะยาว DLที่มีความยืดหยุ่นมากกว่าระยะสั้น ปริมาณแรงงาน

  39. อัตราค่าจ้าง a W0 b W1 VMP0 VMP1 DL L1 0 L0 อุปสงค์แรงงานของหน่วยธุรกิจที่มีการผูกขาดระยะยาว ในกรณีที่ผลทางด้านผลผลิต(scale effect)มากกว่าผลทางด้านทดแทน(substitution effect) -อัตราค่าจ้าง OW0การจ้างงาน OL0เส้น VMP0ที่จุด a-อัตราค่าจ้างลดลง OW1การจ้างงานเพิ่มOL1และมีการเพิ่มการลงทุน การใช้ปัจจัยทุนเพิ่มขึ้นด้วย เส้น VMP1ที่จุด b (VMP เพิ่มขึ้นเพราะMPLเพิ่มขึ้น )-เชื่อมจุด a และ b ได้เส้นอุปสงค์แรงงานระยะยาว DLที่มีความยืดหยุ่นมากกว่าระยะสั้น ปริมาณแรงงาน

  40. อัตราค่าจ้าง a W0 b W1 VMP0 VMP1 DL L0 L1 0 ในกรณีที่ผลทางด้านทดแทน (substitution effect) มากกว่าผลทางด้านผลผลิต (scale effect) -อัตราค่าจ้าง OW0การจ้างงาน OL0เส้น VMP0ที่จุด a-อัตราค่าจ้างลดลง OW1การจ้างงานเพิ่มOL1เส้น VMP1ที่จุด b (VMPลดลงเพราะMPL ลดลงเนื่องจากใช้แรงงานเพิ่มขึ้นแต่การใช้ทุนไม่เพิ่มด้วย)-เชื่อมจุด a และ b ได้เส้นอุปสงค์แรงงานระยะยาว DLที่มีความยืดหยุ่นน้อยกว่าระยะสั้น ปริมาณแรงงาน

  41. อุปสงค์แรงงานในอุตสาหกรรมอุปสงค์แรงงานในอุตสาหกรรม -อัตราค่าจ้าง OW0การจ้างงาน OL0-อัตราค่าจ้างลดลง OW1การจ้างงานแต่ละรายรวมกันเพิ่มL0L4แต่ทั้งอุตสาหกรรมเพิ่มเพียง L0L3 เพราะค่าจ้างลดลง จ้างงานเพิ่ม ผลผลิตทั้งอุตสาหกรรมเพิ่ม ปริมาณเพิ่มมาก ราคาลด VMPL ลดลง(VMPL =MPL xP ) การจ้างงานจึงเพิ่มไม่มาก-กรณีอัตราค่าจ้างเพิ่มสูงขึ้นจะเป็นตรงข้าม อัตราค่าจ้าง W2 d e a W0 b c W1 DLของหน่วยธุรกิจในอุตสาหกรรมรวมกัน DIอุตสาหกรรม L1 L2 L0 L3 L4 ปริมาณแรงงาน 0

  42. สาเหตุการเปลี่ยนแปลงอุปสงค์แรงงานสาเหตุการเปลี่ยนแปลงอุปสงค์แรงงาน

  43. 1) การเปลี่ยนแปลงของอุปสงค์ผลผลิต Product Demand DG DL • 2) การเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิตและวิธีการผลิต ( การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี -เทคโนโลยีที่ใช้ทดแทนกัน หุ่นยนต์แทนแรงงานคน DL -เทคโนโลยีที่ใช้ประกอบกัน จักรเย็บกับแรงงานคน DL 3)การเปลี่ยนแปลงราคาปัจจัยการผลิตอื่น ๆ -PK (R ) K ทดแทนกัน DL ประกอบกัน DL -PL(หรือW)สหภาพแรงงาน DLนอกสหภาพ

  44. 4) การเปลี่ยนแปลงผลิตภาพแรงงาน -MPL DL • 5) จำนวนนายจ้าง (Number of Employers) -จำนวนนายจ้าง DL ค่าจ้าง W0 DL1 DL0 0 ปริมาณแรงงาน L0 L1

  45. การประมาณการความสัมพันธ์ระหว่างจำนวนการจ้างงานกับค่าจ้างเฉลี่ยการประมาณการความสัมพันธ์ระหว่างจำนวนการจ้างงานกับค่าจ้างเฉลี่ย Dependent Variable: EMP Method: Least Squares Date: 12/06/07 Time: 08:32 Sample(adjusted): 1998:1 2006:2 Included observations: 32 Excluded observations: 2 after adjusting endpoints Variable Coefficient Std. Error t-Statistic Prob. C 6914.571 2554.226 2.707110 0.0111 AW 4.505055 0.440604 10.22473 0.0000 R-squared 0.777026 Mean dependent var 32973.07 Adjusted R-squared 0.769594 S.D. dependent var 2001.059 S.E. of regression 960.5210 Akaike info criterion 16.63329 Sum squared resid 27678015 Schwarz criterion 16.72490 Log likelihood -264.1326 F-statistic 104.5451 Durbin-Watson stat 1.642829 Prob(F-statistic) 0.000000 Emp จำนวนการจ้างงาน(พันคน)AW ค่าจ้างเฉลี่ย(บาทต่อเดือน)

  46. การประมาณการความสัมพันธ์ระหว่างค่าจ้างเฉลี่ยกับจำนวนการจ้างงานการประมาณการความสัมพันธ์ระหว่างค่าจ้างเฉลี่ยกับจำนวนการจ้างงาน Dependent Variable: AW Method: Least Squares Date: 12/06/07 Time: 08:35 Sample(adjusted): 1998:1 2006:2 Included observations: 32 Excluded observations: 2 after adjusting endpoints Variable Coefficient Std. Error t-Statistic Prob. C 97.12443 557.2071 0.174306 0.8628 EMP 0.172479 0.016869 10.22473 0.0000 R-squared 0.777026 Mean dependent var 5784.281 Adjusted R-squared 0.769594 S.D. dependent var 391.5416 S.E. of regression 187.9424 Akaike info criterion 13.37061 Sum squared resid 1059670. Schwarz criterion 13.46222 Log likelihood -211.9297 F-statistic 104.5451 Durbin-Watson stat 1.477160 Prob(F-statistic) 0.000000 AWค่าจ้างเฉลี่ย(บาทต่อเดือน)Emp จำนวนการจ้างงาน(พันคน)

  47. การประมาณการความสัมพันธ์ระหว่างจำนวนการจ้างงานกับค่าจ้างเฉลี่ยและGDPการประมาณการความสัมพันธ์ระหว่างจำนวนการจ้างงานกับค่าจ้างเฉลี่ยและGDP Dependent Variable: EMP Method: Least Squares Date: 12/06/07 Time: 08:43 Sample(adjusted): 1998:1 2006:2 Included observations: 32 Excluded observations: 2 after adjusting endpoints Variable Coefficient Std. Error t-Statistic Prob. C 5723.571 2800.254 2.043947 0.0505 WM 4.072709 0.935607 4.353012 0.0002 WF -0.749962 0.915790 -0.818924 0.4197 GDP 0.007327 0.002751 2.663597 0.0127 R-squared 0.845362 Mean dependent var 32973.07 Adjusted R-squared 0.828793 S.D. dependent var 2001.059 S.E. of regression 827.9814 Akaike info criterion 16.39233 Sum squared resid 19195489 Schwarz criterion 16.57554 Log likelihood -258.2772 F-statistic 51.02251 Durbin-Watson stat 1.975001 Prob(F-statistic) 0.000000 Emp จำนวนการจ้างงาน(พันคน)WM ค่าจ้างเฉลี่ยชาย(บาทต่อเดือน)WF ค่าจ้างเฉลี่ยหญิง(บาทต่อเดือน)GDP(ล้านบาท)

  48. การประมาณการความสัมพันธ์ระหว่างGDPกับจำนวนผู้มีงานทำการประมาณการความสัมพันธ์ระหว่างGDPกับจำนวนผู้มีงานทำ Dependent Variable: EMP Method: Least Squares Date: 12/06/07 Time: 08:15 Sample(adjusted): 1998:1 2006:2 Included observations: 34 after adjusting endpoints Variable Coefficient Std. Error t-Statistic Prob. C 18831.16 1592.505 11.82487 0.0000 GDP 0.016969 0.001923 8.825258 0.0000 R-squared 0.708787 Mean dependent var 32775.01 Adjusted R-squared 0.699687 S.D. dependent var 2119.836 S.E. of regression 1161.689 Akaike info criterion 17.01016 Sum squared resid 43184659 Schwarz criterion 17.09995 Log likelihood -287.1727 F-statistic 77.88517 Durbin-Watson stat 1.831719 Prob(F-statistic) 0.000000 Emp ผู้มีงานทำ(พันคน)GDP (ล้านบาท)

More Related