1 / 23

บทที่ 9 การเงินและสถาบันการเงิน ( Money and Financial Institution )

บทที่ 9 การเงินและสถาบันการเงิน ( Money and Financial Institution ). เงิน (Money) คือสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน และใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย. วิวัฒนาการของเงิน. Barter System : สิ่งของแลกกับสิ่งของ มี ข้อบกพร่อง ! ความต้องการไม่ตรงกัน การแบ่งสินค้าออกเป็นหน่วย

bert
Download Presentation

บทที่ 9 การเงินและสถาบันการเงิน ( Money and Financial Institution )

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. บทที่ 9การเงินและสถาบันการเงิน(Money and Financial Institution) • เงิน (Money)คือสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนและใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย วิวัฒนาการของเงิน • Barter System • : สิ่งของแลกกับสิ่งของมีข้อบกพร่อง ! • ความต้องการไม่ตรงกัน • การแบ่งสินค้าออกเป็นหน่วย • และการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนยุ่งยาก • ความไม่สะดวกในการพกพา • ขาดความคงทน • Money System • : ใช้เงินเป็นสื่อกลาง • สิ่งที่นำมาใช้เป็นเงินได้แก่ เปลือกหอย ใบชา โลหะ กระดาษ

  2. ลักษณะของเงินที่ดี • เป็นสิ่งที่สังคมยอมรับ (Generally Acceptable) • เป็นสิ่งที่มีค่าคงที่ (Stability of Value) • เป็นสิ่งที่หาได้ยาก (Scarcity) • เป็นสิ่งคงทนถาวร (Durability) • สะดวกต่อการเคลื่อนย้าย (Portability) • สามารถแบ่งออกเป็นหน่วยย่อยๆได้ (Divisibility)

  3. หน้าที่ของเงินในระบบเศรษฐกิจหน้าที่ของเงินในระบบเศรษฐกิจ • เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน (Medium of Exchange) • เป็นมาตรฐานในการวัดมูลค่า (Standard of Value) • เป็นสิ่งสะสมมูลค่า (Store of Value) • เป็นมาตรฐานในการชำระหนี้ได้ในอนาคต (Standard of Deferred Payments)

  4. ปริมาณเงิน (Money Supply : MS) • ปริมาณเงินตามความหมายแคบ (M1) เงินที่หมุนเวียนในมือประชาชนดังต่อไปนี้ • เหรียญกษาปณ์ผู้ผลิตคือกรมธนารักษ์กระทรวงการคลัง • ธนบัตรผู้ผลิตคือธนาคารกลางหรือธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) • เงินฝากกระแสรายวัน (เช็ค) ผลิตโดยธนาคารพาณิชย์

  5. ปริมาณเงิน (Money Supply : MS) • ปริมาณเงินตามความหมายกว้าง (M2) • M2 = M1 + Near Money • Near Moneyคือสิ่งคล้ายเงินสามารถเปลี่ยนเป็นเงินได้ง่ายในเวลาที่ต้องการเช่นเงินฝากประจำเงินฝากออมทรัพย์บัตรเครดิต • บัตรATM พันธบัตรรัฐบาลหุ้นกู้ และหลักทรัพย์ในความต้องการของตลาดอื่นๆ

  6. อัตราดอกเบี้ย (r) MS1 MS MS2 ปริมาณเงิน (M) M1 M M2 เส้นอุปทานของเงิน (MS) • ปริมาณเงิน ณ ขณะใดขณะหนึ่งจะคงที่ ไม่ว่าอัตราดอกเบี้ยจะสูงหรือต่ำ • การเปลี่ยนแปลงของปริมาณเงินเกิดจาก ธนาคารกลางและนโยบายการเงิน

  7. ความต้องการถือเงินหรืออุปสงค์ของเงิน(Demand for Money : Md) • ตามแนวคิดของ John Maynard Keynes หมายถึงปริมาณเงินที่ประชาชนต้องการถือไว้ในขณะใดขณะหนึ่งโดยมีวัตถุประสงค์ 3 ประการคือ • ความต้องการถือเงินเพื่อใช้จ่ายประจำวัน (transaction demand for money) • ความต้องการถือเงินเพื่อเหตุฉุกเฉิน (precautionary demand for money) • ความต้องการถือเงินเพื่อเก็งกำไร (speculation demand for money)

  8. อัตราดอกเบี้ย (r) Md1 Md Md2 ปริมาณเงิน (M) M1 M M2 ความต้องการถือเงินเพื่อใช้จ่ายประจำวัน (transaction demand for money) • ขึ้นอยู่กับรายได้และนิสัยการบริโภคไม่ยืดหยุ่นต่ออัตราดอกเบี้ย

  9. อัตราดอกเบี้ย (r) Md1 Md Md2 ปริมาณเงิน (M) M1 M M2 ความต้องการถือเงินเพื่อเหตุฉุกเฉิน(precautionary demand for money) • ขึ้นอยู่กับระดับรายได้ไม่ยืดหยุ่นต่ออัตราดอกเบี้ย

  10. อัตราดอกเบี้ย (r) ปริมาณเงิน (M) Md ความต้องการถือเงินเพื่อเก็งกำไร(speculation demand for money) • ขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ย ดอกเบี้ย (r) Md Md = f (1 / r)  Md = ความต้องการถือเงินเพื่อเก็งกำไร T r = อัตราดอกเบี้ย r1 r0 M1 Mo

  11. อัตราดอกเบี้ย (r) Ms r Md r1 Excess D for money ปริมาณเงิน (M) M ความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณเงินและความต้องการถือเงิน · จุดสมดุลของตลาดเงิน อุปทานของเงิน = อุปสงค์ของการถือเงิน เกิดอัตราดอกเบี้ยดุลยภาพ r Excess S of money r2 E • ณ r1 ราคาหลักทรัพย์สูง ราคาหลักทรัพย์ลดลง ขายหลักทรัพย์ r เพิ่มขึ้น ความต้องการถือเงินลดลงจนถึงจุดดุลยภาพ

  12. อัตราดอกเบี้ย (r) r Ms Ms1 Ms r2 Md Md Md1 r1 M M1 M M ปริมาณเงิน (M) การเปลี่ยนแปลงดุลยภาพ • เกิดเมื่ออุปสงค์ของเงิน หรือ อุปทานของเงินเปลี่ยนแปลง

  13. อิทธิพลของปริมาณเงินที่มีต่อระบบเศรษฐกิจBy John Maynard Keynes • ระบบเศรษฐกิจขยายตัว M r การลงทุน(I) การจ้างงาน การว่างงาน ผลผลิตและการบริโภค รายได้ประชาชาติ • อาจเกิดภาวะเงินเฟ้อ • M > ผลผลิต D > S P

  14. สมการการแลกเปลี่ยน (The Equation of Exchange) By Irving Fisher MV = PQ ค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้าและบริการ = รายรับของผู้ขาย โดย M (Money Supply) = ปริมาณเงิน V (Velocity of Circulation of Money) = อัตราการหมุนเวียนของเงิน (ในระยะสั้นจะคงที่) P (Price) = ระดับราคา Q (Quantity) = จำนวนสินค้าและบริการ (คงที่ในระยะสั้น) เกิดเงินเฟ้อ ! ถ้า M P

  15. เปรียบเทียบแนวคิดของ Keynes และ Fisher • สิ่งที่เหมือนกัน • การเพิ่มขึ้นของปริมาณเงินทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ • สิ่งที่แตกต่างกัน • Keynes อธิบายการเกิดเงินเฟ้อโดยผ่านอัตราดอกเบี้ย แต่ Fisher อธิบายโดยใช้สมการการแลกเปลี่ยน(ไม่เกี่ยวกับดอกเบี้ย) แสดงว่าแนวคิดนี้ให้ความสำคัญกับความต้องการถือเงินเพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเท่านั้น • แนวคิด Fisher ระดับราคาสินค้าที่เพิ่มจะมีสัดส่วนเท่ากับปริมาณเงิน แต่ตามแนวคิดของ Keynesไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป

  16. เงินสดสำรองส่วนเกิน (Excess Reserve) คือ เงินสดที่เหลือจากการสำรองตามกฏหมายซึ่งธนาคารพาณิชย์สามารนำไปให้กู้ยืมได้ซึ่งเงินสดสำรองส่วนเกินหรือเงินที่ให้บุคคลกู้ยืมนี้จะทำให้ปริมาณเงินฝากรวมขยายตัวเพิ่มขึ้นหรือเกิดการสร้างเงินฝากเกิดขึ้น

  17. การเปลี่ยนแปลงอัตราเงินสดสำรองตามกฎหมาย (Legal Reserve Ratio) • เงินสดสำรองตามกฎหมายคือ จำนวนเงินสดสำรองอย่างต่ำที่สุดที่ธนาคารกลางกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ต้องกันสำรองไว้โดยจะกำหนดว่าเป็นอัตราเท่าใด เช่น LR = 10% หมายความความว่า ถ้าเงินฝาก = 1,000 บาท ธนาคารพาณิชย์ต้องสำรอง = 100 บาท เงินที่ปล่อยกู้ได้ (Excess Reserve)= 900 บาท

  18. การสร้างเงินฝากของธนาคารพาณิชย์การสร้างเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ เงินฝากสูงสุดที่สร้างได้ = ER * 1/LR • สมมุติฐานในการคำนวณ • ธนาคารพาณิชย์ต้องกันเงินสำรองไว้ตามที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น • ธนาคารพาณิชย์ต้องเอาเงินสดสำรองส่วนเกินไปขยายสินเชื่อโดยให้กู้ยืมเพียงอย่างเดียว • การกู้ยืมทำโดยเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันโดยสมมุติว่าไม่มีการถอนเงินสดออกจากระบบธนาคาร

  19. การเปลี่ยนแปลงอัตรารับช่วงซื้อลดตั๋วเงิน (Rediscount Rate) ตั๋ว 100 BOT ตั๋ว 100 CB เงิน 95 เงิน 90 การรับช่วงซื้อลด ที่ Rediscount Rate 5 % การรับซื้อลด ที่ Discount Rate 10%

  20. สถาบันการเงินประเภทต่างๆสถาบันการเงินประเภทต่างๆ • ธนาคารกลาง (Central Bank) • ควบคุมปริมาณเงินที่หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมโดยดำเนินนโยบายการเงิน • ออกธนบัตรที่ใช้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ • รักษาทุนสำรองระหว่างประเทศเพื่อรักษาเสถียรภาพของเงิน • ควบคุมการปริวรรตเงินตราต่างประเทศ • จัดการหนี้สาธารณะ • เป็นธนาคารของธนาคารพาณิชย์ • เป็นธนาคารของรัฐบาล

  21. สถาบันการเงินประเภทต่างๆสถาบันการเงินประเภทต่างๆ • ธนาคารพาณิชย์ (Commercial Bank) • รับฝากเงิน (กระแสรายวัน,ฝากประจำ, ออมทรัพย์) • ให้กู้ยืม • โอนเงิน • ให้เช่าตู้นิรภัย • บริการอื่นๆ

  22. สถาบันการเงินประเภทต่างๆสถาบันการเงินประเภทต่างๆ • ธนาคารออมสิน • ธนาคารอาคารสงเคราะห์ • บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรม • แห่งประเทศไทย • ธนาคารเพื่อการเกษตร • และสหกรณ์การเกษตรหรือธ.ก.ส • บริษัทประกันชีวิตและบริษัทประกันภัย • บริษัทเงินทุน • บริษัทหลักทรัพย์ • สหกรณ์ออมทรัพย์ • สหกรณ์การเกษตร • กองทุนรวม • โรงรับจำนำ • ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

More Related