1 / 23

สงครามเย็น และ สงครามตัวแทน

สงครามเย็น และ สงครามตัวแทน. สงครามเย็นหมายถึง. เป็นสงครามที่มหาอำนาจทั้งสองทำการต่อสู้กัน โดยใช้เครื่องหมายทุกอย่าง ยกเว้นอาวุธ ปรมาณู

belva
Download Presentation

สงครามเย็น และ สงครามตัวแทน

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. สงครามเย็น และ สงครามตัวแทน

  2. สงครามเย็นหมายถึง • เป็นสงครามที่มหาอำนาจทั้งสองทำการต่อสู้กัน โดยใช้เครื่องหมายทุกอย่าง ยกเว้นอาวุธปรมาณู • หมายถึงความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกาและรัสเซีย โดยไม่ใช้อาวุธต่อสู้กันโดยตรง แต่ใช้วิธีการโฆษณาชวนเชื่อการแทรกซึมบ่อนทำลาย การประนาม การแข่งขันกันสร้างกำลังอาวุธ และแสวงหาอิทธิพลในประเทศเล็ก

  3. สาเหตุการเกิดของสงครามเย็นสาเหตุการเกิดของสงครามเย็น • สงครามเย็นมีสาเหตุมาจากความขัดแย้งทางด้านอุดมการณ์ทางการเมืองของประเทศมหาอำนาจทั้งสอง ที่ยึดถือเป็นแนวทางในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ และความขัดแย้งทางด้านผลประโยชน์และเขตอิทธิพล เพื่อครองความเป็นผู้นำของโลก โดยพยายามแสวงหาผลประโยชน์และเขตอิทธิพลในประเทศต่าง ๆ ทั้งนี้เป็นผลมาจากการที่ผู้ยิ่งใหญ่ • ผู้นำทางการเมืองของโลกในสมัยก่อน คือ อังกฤษ เยอรมัน ได้หมดอำนาจในภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

  4. ความเป็นมาของสงครามเย็นความเป็นมาของสงครามเย็น • เริ่มต้นตั้งแต่ ค.ศ. 1945 ถึง ค.ศ. 1989

  5. ค.ศ. 1945 • เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง โดยเยอรมันเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ต่อฝ่ายสหประชาชาติทำให้สหรัฐอเมริกาและรัสเซียขาดจุดมุ่งหมายที่จะดำเนินการร่วมกันอีกต่อไป ความขัดแย้งจึงเริ่มต้นขึ้นในปัญหาที่เกิดขึ้นภายหลังสงครามที่เกี่ยวกับอนาคตของประเทศในยุโรปตะวันออกและประเทศเยอรมัน • ประเทศทั้งสองได้เคยตกลงกันไว้ที่เมืองยัลต้า (Yalta)เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.1945 ว่า “……เมื่อสิ้นสงครามแล้ว จะมีการสถาปนาการปกครองระบบประชาธิปไตยในประเทศเหล่านั้น”

  6. ค.ศ. 1945 • แต่พอสิ้นสงคราม รัสเซียได้ใช้ความได้เปรียบของตนในฐานะที่มีกำลังกองทัพอยู่ในประเทศเหล่านั้น สถาปนาประชาธิปไตยตามแบบของตนขึ้นที่เรียกว่า “ประชาธิปไตยของประชาชน” • ฝ่ายสหรัฐอเมริกาจึงทำการคัดค้าน เพราะประชาธิปไตยตามความหมายของสหรัฐอเมริกา หมายถึง “เสรีประชาธิปไตยที่จะเปลี่ยนรัฐบาลได้โดยวิธีการเลือกตั้งที่เสรี” • ส่วนรัสเซียก็ยืนกรานไม่ยอมให้มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ • ส่วนที่เกี่ยวกับประเทศเยอรมันก็เช่นกันเพราะรัสเซียไม่ยอมปฏิบัติการตามการเรียกร้องของสหรัฐอเมริกาที่ให้มีการรวมเยอรมัน และสถาปนาระบอบเสรีประชาธิปไตยในประเทศนี้ตามที่ได้เคยตกลงกันไว้

  7. ค.ศ. 1946 • ความไม่พอใจระหว่างประเทศทั้งสองเพิ่มมากขึ้น เมื่อประธานาธิบดีทรูแมน(Harry S. Truman) ของสหรัฐอเมริกา ได้สนับสนุนสุนทรพจน์ของอดีตนายกรัฐมนตรีเชอร์ชิล(Sir. Winston Churchill) ซึ่งได้กล่าวในรัฐมิสซูรี เมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ.1946 ว่า “ม่านเหล็กได้ปิดกั้นและแบ่งทวีปยุโรปแล้ว ขอให้ประเทศพี่น้องที่พูดภาษาอังกฤษด้วยกัน ร่วมมือกันทำลายม่านเหล็ก(Iron Curtain).” • ส่วนปัญหาที่แสดงให้เห็นถึงการแข่งขันในการเป็นผู้นำของโลกแทนมหาอำนาจยุโรปก็คือ การที่สหรัฐอเมริกาสามารถบังคับให้รัสเซียถอนทหารออกจากอิหร่านได้สำเร็จในปี ค.ศ.1946

  8. ค.ศ. 1947 • อังกฤษได้ประกาศสละความรับผิดชอบในการช่วยเหลือกรีซ และตุรกี ให้พ้นจากการคุมคามของคอมมิวนิสต์ เพราะไม่มีกำลังพอที่จะปฏิบัติการได้ และร้องขอให้สหรัฐอเมริกาเข้าทำหน้าที่นี้แทน ประธานาธิบดีทรูแมนจึงตกลงเข้าช่วยเหลือและประกาศหลักการในการดำเนินนโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาให้โลกภายนอกทราบว่า “……จากนี้ไปสหรัฐอเมริกาจะเข้าช่วยเหลือรัฐบาลของประเทศที่รักเสรีทั้งหลายในโลกนี้ให้พ้นจากการคุกคามโดยชนกลุ่มน้อยในประเทศที่ได้รับการช่วยเหลือจากต่างประเทศ….” หลักการนี้เรียกกันว่า “หลักการทรูแมน” (Truman Doctrine)

  9. ค.ศ. 1947 • การประกาศแผนมาร์แชล (Marshall Plan) ชักชวนให้สหภาพโซเวียตและยุโรปตะวันออก เข้าร่วมได้หากต้องการ แต่สตาลินได้ใส่แรงกดดันอย่างรุนแรงต่อชาวยุโรปตะวันออกไม่ให้เข้าร่วม สตาลินมองว่าแผนมาร์แชลไม่เป็นความใจกว้างของชาวอเมริกัน

  10. ค.ศ. 1947 • ต่อมาในเดือนกันยายน ค.ศ. 1947 ผู้แทนของรัสเซียได้ประกาศต่อที่ประชุมพรรคคอมมิวนิสต์ทั่วโลกที่นครเบลเกรด ประเทศยูโกสลาเวียว่า “…..โลกได้แบ่งออกเป็นสองค่ายแล้วคือ ค่ายจักรวรรดินิยมอเมริกันผู้รุกราน กับค่ายโซเวียตผู้รักสันติ…และเรียกร้องให้คอมมิวนิสต์ทั่วโลก ช่วยสกัดกั้นและทำลายสหรัฐอมริกา….” ฉะนั้น จึงกล่าวได้ว่าถ้อยแถลงของผู้แทนรัสเซียนี้เป็นการประกาศ “สงคราม” กับสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการ

  11. ค.ศ. 1949 • ได้ร่วมก่อตั้งองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) และรัสเซียก็ได้ก่อตั้งองค์การสนธิสัญญาวอร์ซอ (Warsaw Treaty Organization) องค์การโคมีคอน (Council for MatualAsistance and Bomen)

  12. ค.ศ. 1960 • สงครามเย็นที่มีลักษณะเป็นทั้งการขัดแย้งทางอุดมการณ์และการแข่งขันเพื่อกำลังอำนาจของประเทศมหาอำนาจทั้งสอง ซึ่งต้องการที่จะเป็นผู้นำโลก ได้เริ่มเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะที่ลดความรุนแรง ตั้งแต่ปีค.ศ. 1960 เป็นต้นมา ทั้งนี้เนื่องจากได้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองระหว่างประเทศสำคัญ2 ประการคือ

  13. การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองระหว่างประเทศสำคัญการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองระหว่างประเทศสำคัญ • 1. การนำนโยบาย “การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ” (Peaceful Co-existence) ของประธานาธิบดี นิกิตา ครุสชอฟ (Nikita Khrushchev) ของรัสเซียมาใช้ เนื่องจากเกรงว่าอำนาจนิวเคลียร์ที่รัสเซียและสหรัฐอเมริกามีเท่าเทียมกัน • 2. ความแตกแยกในค่ายคอมมิวนิสต์ระหว่างรัสเซียกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเริ่มปรากฏตั้งแต่ปี ค.ศ. 1960 เป็นต้นมา

  14. ค.ศ. 1963 • ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1963 เป็นต้นมา สหรัฐอเมริกาและรัสเซียต่างใช้วิธีการทุกอย่างทั้งด้านการทหาร การเมือง และเศรษฐกิจ ในการแข่งขันกันสร้างความนิยม ความสนับสนุนและอิทธิพลในภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก โดยหลีกเลี่ยงการใช้อาวุธและการประจันหน้ากันโดยตรง

  15. ค.ศ. 1964 • จีนสามารถทดลองระเบิดปรมาณูสำเร็จและกลายเป็นประเทศมหาอำนาจนิวเคลียร์ในปี ค.ศ. 1964 • ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจีนกับประเทศรัสเซียได้เสื่อมถอยลงเนื่องจากความขัดแย้งทางด้านอุดมการณ์และการแข่งขันกันเป็นผู้นำในโลกคอมมิวนิสต์ ระหว่างจีนกับรัสเซีย

  16. ค.ศ. 1969 • เกิดการปะทะหน้ากันโดยตรงระหว่าง จีน กับ รัสเซีย มีผลทำให้ความเข้มแข็งของโลกคอมมิวนิสต์ลดน้อยลง และมีส่วนผลักดันให้จีนเปลี่ยนแปลงนโยบายต่างประเทศ ไปสู่การปรับความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกาในที่สุด

  17. ค.ศ. 1970 • ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1970 เป็นต้นมา ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมหาอำจานเริ่มคืนสู่สภาวะปกติ โดยใช้วิธีการหันมาเจรจาปรับความเข้าใจกัน ดำเนินนโยบายเกี่ยวกับที่เอื้อต่อผลประโยชน์ และความมั่นคงปลอดภัยของประเทศตน ระยะนี้จึงเรียกว่า “ระยะแห่งการเจรจา” (Era of Negotiation) หรือระยะ “การผ่อนคลายความตึงเครียด” (Détente) • โดยเริ่มจากสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน (Richard Nixon) ซึ่งเป็นผู้ปรับนโยบายจากการเผชิญหน้ากับรัสเซีย มาเป็นการลดความตึงเครียดในความสัมพันธ์ต่อกัน นอกจากนี้ยังได้เปิดการเจรจาโดยตรงกับสาธารณรัฐประชาชนจีนด้วย

  18. ค.ศ. 1970 • ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1970 เป็นต้นมา ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมหาอำจานเริ่มคืนสู่สภาวะปกติ โดยใช้วิธีการหันมาเจรจาปรับความเข้าใจกัน ดำเนินนโยบายเกี่ยวกับที่เอื้อต่อผลประโยชน์ และความมั่นคงปลอดภัยของประเทศตน ระยะนี้จึงเรียกว่า “ระยะแห่งการเจรจา” (Era of Negotiation) หรือระยะ “การผ่อนคลายความตึงเครียด” (Détente) • โดยเริ่มจากสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน (Richard Nixon) ซึ่งเป็นผู้ปรับนโยบายจากการเผชิญหน้ากับรัสเซีย มาเป็นการลดความตึงเครียดในความสัมพันธ์ต่อกัน นอกจากนี้ยังได้เปิดการเจรจาโดยตรงกับสาธารณรัฐประชาชนจีนด้วยทั้งนี้เพราะตระหนักว่าจีนได้กลายเป็นมหาอำนาจคิวเคลียร์อีกชาติหนึ่ง และกำลังจะมีบทบาทมากขึ้นในประเทศด้อยพัฒนา และประเทศที่เพิ่งเกิดใหม่ทั้งในทวีปเอเชีย อัฟริกา ลาตินอเมริกา และยุโรป ดังนั้น ในเดือนกรกฎาคม

  19. ค.ศ. 1971 • ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1971 สหรัฐอเมริกาได้ส่งนายเฮนรี่ คิสชินเจอร์ (Henry Kissenger) ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่ชาติ เดินทางไปปักกิ่งอย่างลับ ๆ เพื่อหาลู่ทางในการเจรจาปรับความสัมพันธ์กับจีน

  20. ค.ศ. 1972 • ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1972 ประธานาธิบดีนิกสันเยือนปักกิ่ง และได้ร่วมลงนามใน “แถลงการณ์เซี่ยงไฮ้” (Shanghai Joint Communiqué) กับอดีตนายกรัฐมนตรีโจว เอินไหล (Ahou Enlai) ซึ่งมีสาระที่สำคัญคือ สหรัอเมริกายอมรับว่า รัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นรัฐบาลอันชอบธรรมเพียงรัฐบาลเดียวและไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีน • สหรัฐอเมริกาและรัฐเซีย ได้พยายามที่จะปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างกันในลักษณะที่เป็นการผ่อนคลายความตึงเครียดระหว่างประเทศทั้งสอง ซึ่งจะเห็นได้จากการเปิดการเจรจาจำกัดอาวุธยุทธศาสตร์ ครั้งแรกที่กรุงเฮลซิงกิ ที่เรียกว่า SALT-1 (Strategic Arms Limitation Talks)

  21. ค.ศ. 1972 • ในปีเดียวกันนี้ประธานาธิบดีนิกสันก็ได้ไปเยือนรัสเซีย ส่วนเบรสเนฟเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ของรัสเซีย

  22. ค.ศ. 1973 • เบรสเนฟเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ของรัสเซีย ได้ไปเยือนสหรัฐอเมริกา

  23. ค.ศ. 1979 • ประเทศทั้งสองได้เจรจาร่วมลงนามในสนธิสัญญาจำกัดอาวุธยุทธศาสตร์ ฉบับที่ 2 (SALT-2) ที่เวียนนา ในวันที่ 18 มิถุนายน ค.ศ. 1979 ซึ่งมีผลทำให้รัสเซียมีความเท่าเทียมกับสหรัฐอเมริกา ทั้งทางการเมืองและทางแสนยานุภาพและทางการค้าด้วย

More Related