941 likes | 3.18k Views
สงครามเย็น และ สงครามตัวแทน. สงครามเย็นหมายถึง. เป็นสงครามที่มหาอำนาจทั้งสองทำการต่อสู้กัน โดยใช้เครื่องหมายทุกอย่าง ยกเว้นอาวุธ ปรมาณู
E N D
สงครามเย็น และ สงครามตัวแทน
สงครามเย็นหมายถึง • เป็นสงครามที่มหาอำนาจทั้งสองทำการต่อสู้กัน โดยใช้เครื่องหมายทุกอย่าง ยกเว้นอาวุธปรมาณู • หมายถึงความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกาและรัสเซีย โดยไม่ใช้อาวุธต่อสู้กันโดยตรง แต่ใช้วิธีการโฆษณาชวนเชื่อการแทรกซึมบ่อนทำลาย การประนาม การแข่งขันกันสร้างกำลังอาวุธ และแสวงหาอิทธิพลในประเทศเล็ก
สาเหตุการเกิดของสงครามเย็นสาเหตุการเกิดของสงครามเย็น • สงครามเย็นมีสาเหตุมาจากความขัดแย้งทางด้านอุดมการณ์ทางการเมืองของประเทศมหาอำนาจทั้งสอง ที่ยึดถือเป็นแนวทางในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ และความขัดแย้งทางด้านผลประโยชน์และเขตอิทธิพล เพื่อครองความเป็นผู้นำของโลก โดยพยายามแสวงหาผลประโยชน์และเขตอิทธิพลในประเทศต่าง ๆ ทั้งนี้เป็นผลมาจากการที่ผู้ยิ่งใหญ่ • ผู้นำทางการเมืองของโลกในสมัยก่อน คือ อังกฤษ เยอรมัน ได้หมดอำนาจในภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
ความเป็นมาของสงครามเย็นความเป็นมาของสงครามเย็น • เริ่มต้นตั้งแต่ ค.ศ. 1945 ถึง ค.ศ. 1989
ค.ศ. 1945 • เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง โดยเยอรมันเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ต่อฝ่ายสหประชาชาติทำให้สหรัฐอเมริกาและรัสเซียขาดจุดมุ่งหมายที่จะดำเนินการร่วมกันอีกต่อไป ความขัดแย้งจึงเริ่มต้นขึ้นในปัญหาที่เกิดขึ้นภายหลังสงครามที่เกี่ยวกับอนาคตของประเทศในยุโรปตะวันออกและประเทศเยอรมัน • ประเทศทั้งสองได้เคยตกลงกันไว้ที่เมืองยัลต้า (Yalta)เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.1945 ว่า “……เมื่อสิ้นสงครามแล้ว จะมีการสถาปนาการปกครองระบบประชาธิปไตยในประเทศเหล่านั้น”
ค.ศ. 1945 • แต่พอสิ้นสงคราม รัสเซียได้ใช้ความได้เปรียบของตนในฐานะที่มีกำลังกองทัพอยู่ในประเทศเหล่านั้น สถาปนาประชาธิปไตยตามแบบของตนขึ้นที่เรียกว่า “ประชาธิปไตยของประชาชน” • ฝ่ายสหรัฐอเมริกาจึงทำการคัดค้าน เพราะประชาธิปไตยตามความหมายของสหรัฐอเมริกา หมายถึง “เสรีประชาธิปไตยที่จะเปลี่ยนรัฐบาลได้โดยวิธีการเลือกตั้งที่เสรี” • ส่วนรัสเซียก็ยืนกรานไม่ยอมให้มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ • ส่วนที่เกี่ยวกับประเทศเยอรมันก็เช่นกันเพราะรัสเซียไม่ยอมปฏิบัติการตามการเรียกร้องของสหรัฐอเมริกาที่ให้มีการรวมเยอรมัน และสถาปนาระบอบเสรีประชาธิปไตยในประเทศนี้ตามที่ได้เคยตกลงกันไว้
ค.ศ. 1946 • ความไม่พอใจระหว่างประเทศทั้งสองเพิ่มมากขึ้น เมื่อประธานาธิบดีทรูแมน(Harry S. Truman) ของสหรัฐอเมริกา ได้สนับสนุนสุนทรพจน์ของอดีตนายกรัฐมนตรีเชอร์ชิล(Sir. Winston Churchill) ซึ่งได้กล่าวในรัฐมิสซูรี เมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ.1946 ว่า “ม่านเหล็กได้ปิดกั้นและแบ่งทวีปยุโรปแล้ว ขอให้ประเทศพี่น้องที่พูดภาษาอังกฤษด้วยกัน ร่วมมือกันทำลายม่านเหล็ก(Iron Curtain).” • ส่วนปัญหาที่แสดงให้เห็นถึงการแข่งขันในการเป็นผู้นำของโลกแทนมหาอำนาจยุโรปก็คือ การที่สหรัฐอเมริกาสามารถบังคับให้รัสเซียถอนทหารออกจากอิหร่านได้สำเร็จในปี ค.ศ.1946
ค.ศ. 1947 • อังกฤษได้ประกาศสละความรับผิดชอบในการช่วยเหลือกรีซ และตุรกี ให้พ้นจากการคุมคามของคอมมิวนิสต์ เพราะไม่มีกำลังพอที่จะปฏิบัติการได้ และร้องขอให้สหรัฐอเมริกาเข้าทำหน้าที่นี้แทน ประธานาธิบดีทรูแมนจึงตกลงเข้าช่วยเหลือและประกาศหลักการในการดำเนินนโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาให้โลกภายนอกทราบว่า “……จากนี้ไปสหรัฐอเมริกาจะเข้าช่วยเหลือรัฐบาลของประเทศที่รักเสรีทั้งหลายในโลกนี้ให้พ้นจากการคุกคามโดยชนกลุ่มน้อยในประเทศที่ได้รับการช่วยเหลือจากต่างประเทศ….” หลักการนี้เรียกกันว่า “หลักการทรูแมน” (Truman Doctrine)
ค.ศ. 1947 • การประกาศแผนมาร์แชล (Marshall Plan) ชักชวนให้สหภาพโซเวียตและยุโรปตะวันออก เข้าร่วมได้หากต้องการ แต่สตาลินได้ใส่แรงกดดันอย่างรุนแรงต่อชาวยุโรปตะวันออกไม่ให้เข้าร่วม สตาลินมองว่าแผนมาร์แชลไม่เป็นความใจกว้างของชาวอเมริกัน
ค.ศ. 1947 • ต่อมาในเดือนกันยายน ค.ศ. 1947 ผู้แทนของรัสเซียได้ประกาศต่อที่ประชุมพรรคคอมมิวนิสต์ทั่วโลกที่นครเบลเกรด ประเทศยูโกสลาเวียว่า “…..โลกได้แบ่งออกเป็นสองค่ายแล้วคือ ค่ายจักรวรรดินิยมอเมริกันผู้รุกราน กับค่ายโซเวียตผู้รักสันติ…และเรียกร้องให้คอมมิวนิสต์ทั่วโลก ช่วยสกัดกั้นและทำลายสหรัฐอมริกา….” ฉะนั้น จึงกล่าวได้ว่าถ้อยแถลงของผู้แทนรัสเซียนี้เป็นการประกาศ “สงคราม” กับสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการ
ค.ศ. 1949 • ได้ร่วมก่อตั้งองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) และรัสเซียก็ได้ก่อตั้งองค์การสนธิสัญญาวอร์ซอ (Warsaw Treaty Organization) องค์การโคมีคอน (Council for MatualAsistance and Bomen)
ค.ศ. 1960 • สงครามเย็นที่มีลักษณะเป็นทั้งการขัดแย้งทางอุดมการณ์และการแข่งขันเพื่อกำลังอำนาจของประเทศมหาอำนาจทั้งสอง ซึ่งต้องการที่จะเป็นผู้นำโลก ได้เริ่มเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะที่ลดความรุนแรง ตั้งแต่ปีค.ศ. 1960 เป็นต้นมา ทั้งนี้เนื่องจากได้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองระหว่างประเทศสำคัญ2 ประการคือ
การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองระหว่างประเทศสำคัญการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองระหว่างประเทศสำคัญ • 1. การนำนโยบาย “การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ” (Peaceful Co-existence) ของประธานาธิบดี นิกิตา ครุสชอฟ (Nikita Khrushchev) ของรัสเซียมาใช้ เนื่องจากเกรงว่าอำนาจนิวเคลียร์ที่รัสเซียและสหรัฐอเมริกามีเท่าเทียมกัน • 2. ความแตกแยกในค่ายคอมมิวนิสต์ระหว่างรัสเซียกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเริ่มปรากฏตั้งแต่ปี ค.ศ. 1960 เป็นต้นมา
ค.ศ. 1963 • ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1963 เป็นต้นมา สหรัฐอเมริกาและรัสเซียต่างใช้วิธีการทุกอย่างทั้งด้านการทหาร การเมือง และเศรษฐกิจ ในการแข่งขันกันสร้างความนิยม ความสนับสนุนและอิทธิพลในภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก โดยหลีกเลี่ยงการใช้อาวุธและการประจันหน้ากันโดยตรง
ค.ศ. 1964 • จีนสามารถทดลองระเบิดปรมาณูสำเร็จและกลายเป็นประเทศมหาอำนาจนิวเคลียร์ในปี ค.ศ. 1964 • ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจีนกับประเทศรัสเซียได้เสื่อมถอยลงเนื่องจากความขัดแย้งทางด้านอุดมการณ์และการแข่งขันกันเป็นผู้นำในโลกคอมมิวนิสต์ ระหว่างจีนกับรัสเซีย
ค.ศ. 1969 • เกิดการปะทะหน้ากันโดยตรงระหว่าง จีน กับ รัสเซีย มีผลทำให้ความเข้มแข็งของโลกคอมมิวนิสต์ลดน้อยลง และมีส่วนผลักดันให้จีนเปลี่ยนแปลงนโยบายต่างประเทศ ไปสู่การปรับความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกาในที่สุด
ค.ศ. 1970 • ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1970 เป็นต้นมา ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมหาอำจานเริ่มคืนสู่สภาวะปกติ โดยใช้วิธีการหันมาเจรจาปรับความเข้าใจกัน ดำเนินนโยบายเกี่ยวกับที่เอื้อต่อผลประโยชน์ และความมั่นคงปลอดภัยของประเทศตน ระยะนี้จึงเรียกว่า “ระยะแห่งการเจรจา” (Era of Negotiation) หรือระยะ “การผ่อนคลายความตึงเครียด” (Détente) • โดยเริ่มจากสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน (Richard Nixon) ซึ่งเป็นผู้ปรับนโยบายจากการเผชิญหน้ากับรัสเซีย มาเป็นการลดความตึงเครียดในความสัมพันธ์ต่อกัน นอกจากนี้ยังได้เปิดการเจรจาโดยตรงกับสาธารณรัฐประชาชนจีนด้วย
ค.ศ. 1970 • ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1970 เป็นต้นมา ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมหาอำจานเริ่มคืนสู่สภาวะปกติ โดยใช้วิธีการหันมาเจรจาปรับความเข้าใจกัน ดำเนินนโยบายเกี่ยวกับที่เอื้อต่อผลประโยชน์ และความมั่นคงปลอดภัยของประเทศตน ระยะนี้จึงเรียกว่า “ระยะแห่งการเจรจา” (Era of Negotiation) หรือระยะ “การผ่อนคลายความตึงเครียด” (Détente) • โดยเริ่มจากสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน (Richard Nixon) ซึ่งเป็นผู้ปรับนโยบายจากการเผชิญหน้ากับรัสเซีย มาเป็นการลดความตึงเครียดในความสัมพันธ์ต่อกัน นอกจากนี้ยังได้เปิดการเจรจาโดยตรงกับสาธารณรัฐประชาชนจีนด้วยทั้งนี้เพราะตระหนักว่าจีนได้กลายเป็นมหาอำนาจคิวเคลียร์อีกชาติหนึ่ง และกำลังจะมีบทบาทมากขึ้นในประเทศด้อยพัฒนา และประเทศที่เพิ่งเกิดใหม่ทั้งในทวีปเอเชีย อัฟริกา ลาตินอเมริกา และยุโรป ดังนั้น ในเดือนกรกฎาคม
ค.ศ. 1971 • ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1971 สหรัฐอเมริกาได้ส่งนายเฮนรี่ คิสชินเจอร์ (Henry Kissenger) ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่ชาติ เดินทางไปปักกิ่งอย่างลับ ๆ เพื่อหาลู่ทางในการเจรจาปรับความสัมพันธ์กับจีน
ค.ศ. 1972 • ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1972 ประธานาธิบดีนิกสันเยือนปักกิ่ง และได้ร่วมลงนามใน “แถลงการณ์เซี่ยงไฮ้” (Shanghai Joint Communiqué) กับอดีตนายกรัฐมนตรีโจว เอินไหล (Ahou Enlai) ซึ่งมีสาระที่สำคัญคือ สหรัอเมริกายอมรับว่า รัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นรัฐบาลอันชอบธรรมเพียงรัฐบาลเดียวและไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีน • สหรัฐอเมริกาและรัฐเซีย ได้พยายามที่จะปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างกันในลักษณะที่เป็นการผ่อนคลายความตึงเครียดระหว่างประเทศทั้งสอง ซึ่งจะเห็นได้จากการเปิดการเจรจาจำกัดอาวุธยุทธศาสตร์ ครั้งแรกที่กรุงเฮลซิงกิ ที่เรียกว่า SALT-1 (Strategic Arms Limitation Talks)
ค.ศ. 1972 • ในปีเดียวกันนี้ประธานาธิบดีนิกสันก็ได้ไปเยือนรัสเซีย ส่วนเบรสเนฟเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ของรัสเซีย
ค.ศ. 1973 • เบรสเนฟเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ของรัสเซีย ได้ไปเยือนสหรัฐอเมริกา
ค.ศ. 1979 • ประเทศทั้งสองได้เจรจาร่วมลงนามในสนธิสัญญาจำกัดอาวุธยุทธศาสตร์ ฉบับที่ 2 (SALT-2) ที่เวียนนา ในวันที่ 18 มิถุนายน ค.ศ. 1979 ซึ่งมีผลทำให้รัสเซียมีความเท่าเทียมกับสหรัฐอเมริกา ทั้งทางการเมืองและทางแสนยานุภาพและทางการค้าด้วย