1 / 21

บทที่ 4

บทที่ 4. การกระจายตัวของยา (Drug Distribution). การกระจายตัวของยา หมายถึง การที่ยาเคลื่อนที่ จากเลือด ผ่านเนื้อเยื่อไปยังอวัยวะต่างๆ ของ ร่างกายและไปยัง บริเวณที่ยาออกฤทธิ์ ซึ่งส่วนที่เกี่ยวข้องกับการกระจายของยา คือ น้ำเลือด ผนังเส้นเลือดฝอย และเยื่อบุของอวัยวะ.

belden
Download Presentation

บทที่ 4

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. บทที่ 4 การกระจายตัวของยา (Drug Distribution) การออกฤทธิ์ของยา

  2. การกระจายตัวของยา • หมายถึง การที่ยาเคลื่อนที่จากเลือดผ่านเนื้อเยื่อไปยังอวัยวะต่างๆ ของร่างกายและไปยัง บริเวณที่ยาออกฤทธิ์ซึ่งส่วนที่เกี่ยวข้องกับการกระจายของยา คือ น้ำเลือด ผนังเส้นเลือดฝอยและเยื่อบุของอวัยวะ ปกติ “เลือด” ไม่ใช่บริเวณที่ยาออกฤทธิ์ แต่เป็นส่วนลำเลียงยาไปยังอวัยวะเป้าหมาย

  3. เมื่อยาถูกดูดซึมแล้วจะแบ่งออกเป็น 3 ส่วน • 1. ส่วนที่เข้ารวมกับโปรตีนในเลือด (albumin) แบบชั่วคราว(reversible) เรียกว่า Bound drugทำให้โมเลกุลใหญ่ขึ้น จึงไม่สามารถผ่านผนังเส้นเลือดได้และยาส่วนนี้จะอยู่ในร่างกายได้นานกว่าปกติ • 2. ส่วนที่ไม่จับกับโปรตีนแต่ละลายอยู่ในน้ำเลือด เรียกว่า Free drugเป็นยาอิสระและเป็นส่วนที่ออกฤทธิ์ในการรักษา • 3. ส่วนสุดท้ายจะจับตัวกับเนื้อเยื่อของอวัยวะบางชนิด การออกฤทธิ์ของยา

  4. รูปที่ 3-5 แสดงถึงชนิดและสัดส่วนของพลาสมาโปรตีนชนิดต่างๆ และตัวอย่างยาที่จับกับพลาสมาโปรตีนแต่ละชนิด การออกฤทธิ์ของยา

  5. ยาที่มีค่า protein-binding ability สูง แสดงว่าละลายได้ดีในส่วน lipidของ plasma ส่วนค่าต่ำแสดงว่าละลายในส่วนน้ำ และลำเลียงไปในส่วน aqueous phase ของ plasma • free drug เป็นยาส่วนเล็กน้อยเท่านั้นที่ไปออกฤทธิ์ที่อวัยวะเป้าหมาย ยาพวกนี้ ออกจากกระแสเลือดได้เร็ว และขึ้นอยู่กับ concentration gradient คือจากความเข้มข้นสูงไปยังความเข้มข้นต่ำ • ยาส่วนใหญ่ที่เหลือยังคงอยู่ใน interstitial fluid, plasma, fatty tissue, non target organs การออกฤทธิ์ของยา

  6. รูปที่ 3-6 แสดงถึง อิทธิพลของสิ่งต่างๆ ต่อระดับยาในเลือดและ/ หรือฤทธิ์ของยา การออกฤทธิ์ของยา

  7. Dosage consideration • เมื่อยาจะออกฤทธิ์ โมเลกุลของยาที่เป็น free drug ต้องทำปฎิกริยากับตัวที่อวัยวะเป้าหมาย ซึ่งหากเข้ากันได้พอดี จะทำให้เกิด biological effect ได้ผลในการออกฤทธิ์ • เนื่องจาก 80% ของเซลเป็นของเหลวดังนั้นยาในรูปของแข็งจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงให้อยู่ในรูปของเหลวก่อนที่จะมีการดูดซึม และจะต้องมีขนาดยาที่สามารถกระจายไปทั่วร่างกาย และถึงระดับที่พอเพียงที่จะมาจับกับ receptor เพื่อทำให้เกิดฤทธิ์ การออกฤทธิ์ของยา

  8. ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการกระจายยา 1. Concentration gradient 2. สภาพร่างกาย 3. Barrier 4. ปริมาณเลือดที่ไหลไปยังอวัยวะ การออกฤทธิ์ของยา

  9. 1. Concentration gradient • ร่างกายสัตว์เป็น biological system ทำให้ยากระจาย จากบริเวณที่ให้ยาไป ยังส่วนต่างๆไม่เท่ากันทั่วร่างกาย เนื่องจากมีขบวนการหลายหลาก เช่น ขบวนการของเอ็นซัยม์ และ barrier ต่าง ๆ • ความแตกต่างของความเข้มข้นยาในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายทำให้เกิด concentration gradient โดยที่โมเลกุลของยามีแนวโน้มเคลื่อนที่จากความเข้มข้นสูงไปยังความเข้มข้นต่ำ การออกฤทธิ์ของยา

  10. 2. สภาพร่างกาย • สัตว์อ่อนแอขาดอาหารจะทำให้โปรตีน ในเลือดต่ำ เมื่อยาถูกดูดซึมเข้าไปในเลือด ก็จะรวมกับโปรตีนในเลือดซึ่งมีอยู่ น้อยกว่าระดับปกติ ทำให้เหลือยาในรูป free drug มากเกินไป เปรียบเหมือนกับ การได้รับยาในขนาดที่สูงกว่าปกติ ทำให้มีโอกาสแพ้ยาได้ง่ายขึ้น การออกฤทธิ์ของยา

  11. 2. สภาพร่างกาย (ต่อ) • สัตว์ที่อ้วนหรือถ้าขาดอาหารไม่สมดุลและมีไขมันมาก ไขมันจะเก็บยาไว้ได้มาก ทำให้ต้องเพิ่มขนาดยาขึ้นเพื่อให้ออกฤทธิ์ได้ตามปกติ แต่ต่อมายาในไขมันอาจจะออกมาในกระแสเลือดอีก • กรณีบวมน้ำ จะมียาเข้าไปอยู่ในน้ำระหว่างเซลมาก ทำให้ต้องเพิ่มขนาดยา กรณีขาดน้ำซึ่งมีการสูญเสียน้ำในเซลและน้ำระหว่างเซล ทำให้มียาในเลือด สูงเกินไป การออกฤทธิ์ของยา

  12. 3. Barrier 3.1. Blood-brain barrier (BBB) • ยาเคลื่อนที่ไปยังระบบประสาทส่วนกลางได้ 2 ทาง คือ • 1. ทางหลอดเลือดฝอย • 2. ทางน้ำหล่อเลี้ยงสมองส่วนไขสันหลัง (cerebrospinal fluid) การออกฤทธิ์ของยา

  13. 3. Barrier 3.1. Blood-brain barrier (BBB) (ต่อ) • เป็นโครงสร้างทางกายภาพของเส้นเลือดฝอย (capillaries) ที่ไปเลี้ยงเนื้อเยื่อสมอง ซึ่งต่างจากเส้นเลือดฝอยที่อวัยวะอื่น ๆ คือ • 1. มีลักษณะเป็น tight junction ไม่มีช่องเปิดเหมือนกับ peripheral capillaries • 2. มีจำนวน mitochondria มากเพื่อใช้ในการสร้าง ATP สำหรับขบวนการ active transport system • 3. รอบ ๆ brain capillaries มี cells ชนิดหนึ่งเรียก astrocyte ซึ่งจะมี ส่วน astrocyte foot process มี sheath ที่หนาประมาณ 300-500 0 A ไม่มีรูที่มองเห็นได้มาหุ้มรอบ brain capillaries ทำให้มีผลควบคุม brain capillary permeability

  14. 3.1. Blood-brain barrier (BBB) (ต่อ) • โดยปกติอาหารแทรกผ่าน BBB ได้แต่สิ่งแปลกปลอม (เช่นยา) ผ่านเข้ายาก • เนื่องจากไม่มีช่องว่างระหว่างเซลที่พอจะให้โมเลกุลแทรกผ่านได้ ยาจะต้องมีความสามารถซึมผ่านเซลประสาทได้โดยตรง ซึ่งยานั้นจะต้องโมเลกุลยาขนาดเล็กมาก หรือมีคุณสมบัติที่ละลายในไขมันได้ดีและอยู่ในสภาพ non-ionized form การออกฤทธิ์ของยา รูปที่ 3-7 แสดงผนังเส้นเลือดฝอย

  15. ภาพแสดงการกระจายตัวของยาเข้าสู่ระบบประสาทส่วนกลางที่ตำแหน่งแตกต่างกันภาพแสดงการกระจายตัวของยาเข้าสู่ระบบประสาทส่วนกลางที่ตำแหน่งแตกต่างกัน การออกฤทธิ์ของยา

  16. 3.1. Blood-brain barrier (BBB) (ต่อ) • การทำงานของ BBB จะเสียไปถ้าสมองได้รับกระทบกระเทือนเช่นได้รับบาดเจ็บทางสมอง หรือเกิดการติดเชื้อที่สมองทำให้เยื่อหุ้มสมองอักเสบ การออกฤทธิ์ของยา

  17. 3.2 Placental barrier • เป็น barrier ที่ไม่แน่นหนาเท่ากับที่สมอง เนื่องจากมีโครงสร้างกายภาพของ capillaries เหมือนอวัยวะอื่น ๆ แต่ที่รกนี้จะมีเนื้อเยื่อ ของส่วนแม่และลูกมาประสานกันทำให้มีเซลหลายชั้นมากขึ้นและเป็นผลทำให้มีการดูดซึมของยาได้น้อยลง • ยาที่จะดูดซึมผ่านรกได้ จะต้องมีโมเลกุลไม่ใหญ่เกิน ไป (<600 A) หรือมีคุณสมบัติที่ละลายในไขมันได้ดีและอยู่ในสภาพ non-ionized form • มียาหลายชนิดที่สามารถผ่านไปสู่รก และมีผลเสียต่อลูกได้ เช่น ยาสลบ ยาสเตียรอยด์ แอลกอฮอล์ เป็นต้น การออกฤทธิ์ของยา

  18. 4. ปริมาณเลือดที่ไหลไปยังอวัยวะ ส่วนของร่างกายที่มีปริมาณเลือดไปเลี้ยงสูง เช่น หัวใจ ปอด ตับ ไต ได้รับยาในปริมาณสูงกว่าและระดับสมดุลได้เร็วกว่าอวัยวะที่มีเลือดไปเลี้ยงน้อย เช่น กล้ามเนื้อ ไขมัน แต่การกักเก็บยาในเนื้อเยื่อนั้นก็ขึ้นกับปัจจัยอื่นด้วย การออกฤทธิ์ของยา

  19. การสะสมของยาในร่างกายการสะสมของยาในร่างกาย • ยาไม่กระจายอย่างสม่ำเสมอในทุกอวัยวะ แต่จะมีการสะสมในบางอวัยวะ เช่น 1. เนื้อเยื่อไขมัน • ยาพวก lipid-soluble ที่อยู่ในกระแสเลือด ผ่านเข้าไปในเนื้อเยื่อไขมันได้อย่างง่าย โดยไขมันจะทำหน้าที่เป็นแหล่งเก็บยาทำให้เหลือปริมาณยาfree drug ในเลือดไม่ถึงระดับที่ต้องการ ซึ่งจะต้องให้ยาเพิ่ม แต่ถ้าให้ยามากเกินไปอาจจะเป็นอันตรายจากการที่มียาซึมออกจากไขมัน(Redistribution) การออกฤทธิ์ของยา

  20. การสะสมของยาในร่างกาย(ต่อ)การสะสมของยาในร่างกาย(ต่อ) 2. ตา • ยาหลายชนิดมีความจำเพาะที่จะจับกับสารสีในretina ในตา อาจทำให้เกิดการเป็นพิษต่อตาได้ 3. ไต • เนื่องจากไตเป็นอวัยวะที่มีเลือดมาเลี้ยงมาก และยังมีโปรตีนชื่อ metallothionein ทำให้สามารถจับกับโลหะและเป็นที่สะสมของยาบางชนิดได้ เช่น ยาต้านจุลชีพในกลุ่ม Aminoglycosides การออกฤทธิ์ของยา

  21. 4. ปอด • เป็นอวัยวะที่รับเลือดมากที่สุดในร่างกาย ยาที่มีการสะสมที่ปอดคือยาที่มีคุณสมบัติเป็นเบส 5. กระดูก • ยาที่สะสมที่กระดูกคือยาที่สามารถสร้างสารประกอบกับส่วนประกอบของกระดูกได้ เช่น Tetracycline และ โลหะหนักเป็นต้น การออกฤทธิ์ของยา

More Related