1 / 46

การวิเคราะห์อัตรากำลังพลของกองบัญชาการกองทัพไทย

การวิเคราะห์อัตรากำลังพลของกองบัญชาการกองทัพไทย. โดย รศ.ดร.สมบูรณ์ ศิ ริสรรหิรัญ และคณะ. การวางแผนลังคน : ความหมาย.

azura
Download Presentation

การวิเคราะห์อัตรากำลังพลของกองบัญชาการกองทัพไทย

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. การวิเคราะห์อัตรากำลังพลของกองบัญชาการกองทัพไทยการวิเคราะห์อัตรากำลังพลของกองบัญชาการกองทัพไทย โดย รศ.ดร.สมบูรณ์ ศิริสรรหิรัญ และคณะ

  2. การวางแผนลังคน : ความหมาย • การวางกลยุทธ์ด้านกำลังคนให้สอดคล้องกับทิศทางธุรกิจขององค์กร โดยการวิเคราะห์สภาพกำลังคนขององค์กรที่มีอยู่ในปัจจุบัน เปรียบเทียบกับความต้องการกำลังคนในอนาคตว่ามีส่วนต่างของความต้องการอย่างไร เพื่อที่จะพัฒนาหรือวางแผนดำเนินการให้องค์กรบรรลุภารกิจ เป้าหมาย และวัตถุประสงค์ที่วางไว้ • กระบวนการที่เป็นระบบในการกำหนดความต้องการทุนมนุษย์ เพื่อมาทำงานให้บรรลุเป้าหมายขององค์กร และดำเนินการพัฒนากลยุทธ์ต่างๆ เพื่อให้บรรลุความต้องการดังกล่าว

  3. การวางแผนลังคน : ความหมาย • “Having the right people with the right skills doing the right jobs at the right time” (www.dpc.wa.gov.au/psmd) • การดำเนินการอย่างเป็นระบบในการวิเคราะห์และพยากรณ์เกี่ยวกับอุปสงค์และอุปทานด้านกำลังคน เพื่อนำไปสู่การกำหนดกลวิธีที่จะให้ได้กำลังคนในจำนวนและสมรรถนะที่เหมาะสมมาปฏิบัติงานในเวลาที่ต้องการ โดยมีแผนการใช้และพัฒนากำลังคนเหล่านั้นอย่างมีประสิทธิภาพและต่อเนื่อง ทั้งนี้ เพื่อธำรงรักษากำลังคนที่เหมาะสมไว้กับองค์กรอย่างต่อเนื่อง (สำนักงาน ก.พ.)

  4. ความจำเป็นในการวางแผนกำลังคนความจำเป็นในการวางแผนกำลังคน บทบาทภาครัฐเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงทางด้านการเมือง/เศรษฐกิจ/สังคม การเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยี การเปลี่ยนโครงสร้างประชากร - ข้าราชการ เส้นทางก้าวหน้าของข้าราชการเปลี่ยนแปลง การจ้างกำลังคนภาครัฐมีรูปแบบหลากหลายมากขึ้น

  5. ประโยชน์ของการวางแผนกำลังคนประโยชน์ของการวางแผนกำลังคน สร้างความเชื่อมโยงระหว่างการจัดการทรัพยากรบุคคลและการวางแผนเชิงกลยุทธ์ของหน่วยงาน ช่วยให้หน่วยงานสามารถจัดจำนวน ประเภท และระดับทักษะของกำลังคนให้เหมาะสมกับงานใน ระยะเวลาที่เหมาะสม ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรได้สูงสุด (right people, right skills, right jobs, right time) ทำให้บรรลุเป้าหมายขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถรักษากำลังคนที่ดีไว้ในองค์กร ลดความเสี่ยงในการตัดสินใจที่ผิดพลาด ทำให้ไม่เกิดช่องว่างในการสรรหาบุคคลเข้าปฏิบัติหน้าที่ ทำให้มีการตรวจสอบสภาพกำลังคน และการวิเคราะห์ และวางยุทธศาสตร์กำลังคนได้ถูกต้อง

  6. Analysing Organisation Direction Environmental Factors Internal Labour External Labour • Strategic planning • Budget forecasts • New equipment • Inflows and outflows • Working practices • Workforce culture • Reward system -Social -Technical -Economic -Public Sector -Employment Demographic Data -Occupation -Salary etc. Trend Data -Staff Movement -Leave Usage -Salary Profile etc. -Replacement Staff -Contingent Workforce Assumptions Forecasting Demand Supply Scenario Building Evaluation Planning Human Resources Staff Development Finance/Budgets Logistical • Internal staff • movements • -Recruitment & • selection • -Working conditions • -Leave management -Training & Development -Promotion/transfer -Succession planning -Career planning -Budgets -Remuneration -Workplace/Ent. Agreements -Incentive & allowances -Technology upgrades -Accommodation -Fleet vehicles Implementation Strategic, Process & Operational Changes Feedback Workforce Planning Model ประเทศออสเตรเลีย

  7. กระบวนการวางแผนกำลังคนกระบวนการวางแผนกำลังคน

  8. ขั้นที่1 กำหนดทิศทางเชิงกลยุทธ์ของกองทัพไทย 1.1 ทบทวนและวิเคราะห์บทบาทภารกิจ รวมทั้งทิศทางของหน่วยงานในอนาคต ประเด็นที่ควรพิจารณา • ทบทวนภารกิจและยุทธศาสตร์ของหน่วยงาน และแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงใน 3-5 ปีข้างหน้า • วิเคราะห์ยุทธศาสตร์ของหน่วยงานและประเด็นด้านกำลังคน • วิเคราะห์แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงซึ่งอาจกระทบต่อกำลังคน • คาดการณ์ว่าหน่วยงานจะได้รับผลกระทบจากงบประมาณด้านกำลังคนหรือไม่ อย่างไร • การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีจะกระทบต่อวิธีการทำงานของข้าราชการหรือไม่ • การเปลี่ยนแปลงกฎหมายจะกระทบต่อภารกิจของหน่วยงานหรือไม่ อย่างไร

  9. การวิเคราะห์ภารกิจตามทิศทางและเป้าหมายขององค์การการวิเคราะห์ภารกิจตามทิศทางและเป้าหมายขององค์การ แผนกลยุทธ์ ของกองบัญชา การกรองทัพไทย จัดลำดับความสำคัญ ของงาน ทบทวนบทบาทภารกิจ ประเมินความคุ้มค่าของ ภารกิจ ให้โอกาสหน่วยงานอื่น รับช่วงบริการ โอกาสในการปรับปรุง กระบวนการทำงาน

  10. สภาพกำลังคน ของ ส่วนราชการ สภาพกำลังคน ของ ส่วนราชการ บทบาทหน้าที่ และภารกิจของ ส่วนราชการ บทบาทหน้าที่ และภารกิจของ ส่วนราชการ 1. ทบทวนภารกิจว่าจำเป็นต้องปฏิบัติอยู่หรือไม่ ยุบเลิก/ถ่ายโอน เกลี่ยอัตรากำลังไปงานที่จำเป็น จำเป็น ไม่จำเป็น 2. เป็นงานที่ต้องดำเนินการเองทั้งหมดหรือไม่ ให้จ้างเหมา หรือ ร่วมกับภาคเอกชน ใช่ ไม่ใช่ 3. ให้ชะลองานไว้ก่อนได้หรือไม่ เกลี่ยอัตรากำลัง ไปให้ภารกิจที่จำเป็นกว่า ไม่ได้ ได้ 4. ทบทวนการจัดโครงสร้าง / กระบวนงาน การจัดกำลังคนตามประเภทภารกิจหลัก รอง และสนับสนุน ปรับโครงสร้าง/ระบบงาน/ลดขั้นตอน /เทคนิคการบริหารจัดการ/ใช้เทคโนโลยี เหมาะสม ไม่เหมาะสม 5. วิเคราะห์ความต้องการอัตรากำลังเพิ่ม เกลี่ยอัตรากำลังไปให้ภารกิจอื่น ที่มีความจำเป็น ขาด เกิน 6. ขอเกลี่ยอัตรากำลังจากหน่วยงานอื่น การตรวจสอบทบทวนบทบาทภารกิจ

  11. ขั้นที่1 กำหนดทิศทางเชิงกลยุทธ์ของกองทัพไทย 1.2 กำหนดขอบเขตของแผนกำลังคน (Determine Scope) ประเด็นที่ควรพิจารณา • พิจารณาขอบเขตของแผนกำลังคน ว่าจะครอบคลุมทั้งหมด หรือเฉพาะบางกลุ่ม โดย • เน้นเฉพาะกำลังคนที่จำเป็นสำหรับการขับเคลื่อนภารกิจ (Mission Critical Occupation) • เน้นเฉพาะกำลังคนที่ยากแก่การดึงดูดและรักษาไว้ (Attract and Retain) • เน้นเฉพาะกำลังคนที่จำเป็นในบางยุทธศาสตร์ • หน่วยงานต้องใช้คนเท่าใด และต้องมีทักษะ/สมรรถนะแบบใดเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามพันธกิจและยุทธศาสตร์ • หน่วยงานจะมีแนวทางในการ สรรหา พัฒนาและรักษาไว้ ซึ่งคนที่มีทักษะ/สมรรถนะดังกล่าวอย่างไร

  12. ขั้นที่2 การวิเคราะห์เพื่อกำหนดกลยุทธ์กำลังคน

  13. ข้อมูลที่จำเป็นในการวิเคราะห์กำลังคนข้อมูลที่จำเป็นในการวิเคราะห์กำลังคน • ข้อมูลกำลังคนในหน่วยงาน (Employee Profiles) • ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับประสิทธิภาพกำลังคน (Productivities Index) • ข้อมูลเกี่ยวกับความต้องการกำลังคน และกำลังคนที่มีทั้งเชิงปริมาณ (จำนวน) และคุณภาพ Manpower demand and supply • Head count • Skill and Competencies required • ข้อมูลเกี่ยวกับการประมาณการความต้องการกำลังคน Manpower forecast • Future demand • Future supply– Internal / External

  14. ขั้นที่2 การวิเคราะห์เพื่อกำหนดกลยุทธ์กำลังคน 2.1 การวิเคราะห์อุปสงค์กำลังคน เป็นการวิเคราะห์และคาดการณ์หรือพยากรณ์กำลังคนที่ต้องการในอนาคต 1-4 ปี โดยให้ความสำคัญต่อแผนยุทธศาสตร์ และการออกแบบกลไกและวิธีการทำงานขององค์กร เพื่อให้ได้กำลังคนที่เหมาะสมสอดคล้องตามภารกิจ พันธกิจและวัตถุประสงค์ขององค์กร การเปลี่ยนแปลง สภาพแวดล้อม ภายนอก กำลังคนที่ต้องการ ในอนาคต แผนกลยุทธ์ ของหน่วยงาน แผนงาน / โครงการ ที่จะต้องดำเนินการ ในอนาคต • จำนวน • ประเภท • ความรู้ ทักษะ • และสมรรถนะที่ต้องการ สภาพแวดล้อม ภายใน

  15. ประเด็นที่ควรพิจารณาในการวิเคราะห์อุปสงค์กำลังคนประเด็นที่ควรพิจารณาในการวิเคราะห์อุปสงค์กำลังคน • การวิเคราะห์ปัจจัยที่กระทบต่อความต้องการกำลังคนของหน่วยงาน (ภายใน/ภายนอก) 1. คุณลักษณะเชิงประชากร (Demographic Change)ร • ระบุการเปลี่ยนแปลงคุณลักษณะเชิงประชากรที่สำคัญ ที่จะส่งผลกระทบต่อความต้องการกำลังคนของหน่วยงาน เช่น โครงสร้างอายุประชากร เป็นต้น 2. ความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยี • พิจารณาว่าจะนำเทคโนโลยีมาใช้ในการให้/ขยายบริการ/ปรับปรุงการทำงานได้อย่างไร • ระบุตำแหน่งงานที่จะได้รับผลกระทบจากการนำเทคโนโลยีมาใช้ • ระบุว่าการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีจะกระทบต่อจำนวนคนและทักษะที่จำเป็นในการปฏิบัติงาน 3. สภาวะเศรษฐกิจ • แนวโน้มสภาวะเศรษฐกิจจะส่งผลต่อการบริหารงานและการส่งมอบบริการของหน่วยงานอย่างไร 4. แนวโน้มตลาดแรงงาน และการจ้างงาน • ข้อมูลเกี่ยวกับผู้สำเร็จการศึกษา • รูปแบบการจ้างงานอื่นๆ

  16. ข้อคำถามประกอบการวิเคราะห์อุปสงค์กำลังคนข้อคำถามประกอบการวิเคราะห์อุปสงค์กำลังคน • จำเป็นต้องเปลี่ยนวิธีการทำงานหรือไม่ • ต้องมีภารกิจ แผนงาน โครงการ เพิ่มหรือลด • กำลังคนในปัจจุบันมีทักษะที่จำเป็นสำหรับงานในอนาคตหรือไม่ • ภาระงาน (Workload) จะเปลี่ยนแปลงหรือไม่ • ต้องใช้คนเพิ่มหรือควรลดคนในภารกิจใด

  17. ขั้นที่2 การวิเคราะห์เพื่อกำหนดกลยุทธ์กำลังคน (ต่อ) 2.2 การวิเคราะห์อุปทานกำลังคนเป็นการวิเคราะห์และคาดการณ์สภาพการณ์หรือสถานภาพของปัญหาเกี่ยวกับการบริหารและการพัฒนากำลังคนที่องค์กรมีอยู่ในปัจจุบัน ตลอดจนแนวโน้มของปัญหาอันอาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งอาจจะส่งผลต่อสมรรถนะและจำนวนของกำลังคนในองค์กร โดยให้ความสำคัญกับปัจจัยภายในคือ จำนวน ระดับ สายงานและสมรรถนะของกำลังคน ที่มีอยู่ปัจจุบัน อัตราการบรรจุใหม่ อัตราการสูญเสียกำลังคน การคาดการณ์การเกษียณอายุในประเภทต่าง ๆ ของกำลังคนและปัจจัยภายนอก เช่น จำนวนผู้สำเร็จการศึกษาสาขาต่าง ๆ ในแต่ละปี รวมทั้งความคาดหวังของประชาชนต่อการจัดบริการของหน่วยงานราชการ

  18. การวิเคราะห์อุปทานกำลังคนการวิเคราะห์อุปทานกำลังคน • วิเคราะห์ภายนอก • นโยบายรัฐบาล • แผนพัฒนาฯ • สภาพเศรษฐกิจ • สภาพผู้รับบริการ • ฯลฯ ข้อมูล กำลังคน • วิเคราะห์ภายใน • จำนวนคน/ตำแหน่ง • ประเภทสายงาน/ตำแหน่ง • - อายุคน/อายุงาน • เพศ/วุฒิการศึกษา • สมรรถนะกำลังคน • การโอน/ย้าย/เลื่อน • -การสูญเสีย • -การสรรหาและเลือกสรร อุปทาน ข้อมูลความ เคลื่อนไหว

  19. ประเด็นที่ควรพิจารณาในการวิเคราะห์อุปทานกำลังคนประเด็นที่ควรพิจารณาในการวิเคราะห์อุปทานกำลังคน • ระบุกำลังคนที่หน่วยงานมีอยู่ (Determine the Internal Supply Factors) • ระบุคุณลักษณะเชิงประชากรของกำลังคน เช่น อายุ อายุงาน เพศ การศึกษา เป็นต้น • ระบุความรู้ ทักษะ สมรรถนะของกำลังคน โดยอาจเปรียบเทียบกลุ่ม ที่มีผลงานโดดเด่น ผลงานปกติ และยังต้องปรับปรุง • ระบุประเด็นด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล ที่กระทบต่อกำลังคนใน หน่วยงาน • ระบุว่ากำลังคนกลุ่มใดที่มีแนวโน้มที่จะเกิดปัญหา ทั้งในปัจจุบัน และ อนาคต • ระบุกำลังคนที่จะมีในอนาคต(Determine Future Supply Factors) • ทบทวนข้อมูลเกี่ยวกับอัตราการลาออก การรักษาไว้ การเลื่อน การลา เป็นต้น • วิเคราะห์ว่าการสูญเสียอัตรากำลังกระทบต่อการทำงานเพียงใด • ทบทวนรูปแบบของการเกษียณอายุ • ระบุแนวโน้มความต้องการกำลังคนในอนาคต หากไม่มีการบรรจุคนใหม่ • นำข้อมูลจาก Exit Interview มาพิจารณา (หากมี) • พิจารณาว่ามาตรการกำหนดขนาดกำลังคน กระทบต่อหน่วยงานอย่างไร • สิ่งท้าทายที่จะกระทบต่อการสรรหาและรักษาไว้ซึ่งกำลังคนที่มีทักษะและสมรรถนะที่จำเป็นสำหรับหน่วยงาน

  20. ขั้นที่2 การวิเคราะห์เพื่อกำหนดกลยุทธ์กำลังคน (ต่อ) 2.3 การวิเคราะห์ส่วนต่างของกำลังคน เป็นกระบวนการวิเคราะห์เปรียบเทียบกำลังคนที่คาดว่าจะต้องการในอนาคตกับกำลังคนที่มีอยู่ ณ ปัจจุบัน ซึ่งต้องวิเคราะห์ทั้งด้านลักษณะโครงสร้างของกำลังคน จำนวน และความรู้-ความสามารถของกำลังคน ผลการวิเคราะห์จะทำให้องค์กรสามารถกำหนดยุทธศาสตร์ที่เหมาะสมในเรื่องต่าง ๆ เพื่อแก้ปัญหาและพัฒนากำลังคนให้มีขีดความสามารถในการปฏิบัติงานให้บรรลุเป้าหมาย ประเด็นที่ควรพิจารณา • ทักษะหรือสมรรถนะใหม่ที่หน่วยงานต้องการสำหรับการบรรลุพันธกิจในอนาคต • ปัจจุบันกำลังคนในหน่วยงานมีทักษะและสมรรถนะที่จำเป็นสำหรับอนาคตแล้วหรือยัง • งานไหนหรือกำลังคนกลุ่มไหนที่อาจจะไม่จำเป็นอีกต่อไป ส่วนขาด - กำลังคนในอนาคตจะไม่เพียงพอต่อความต้องการ - ต้องวางแผนสรรหาและพัฒนา ส่วนเกิน - ทราบว่ากำลังคนส่วนไหนที่จะไม่เป็นที่ต้องการในอนาคต - ต้องหามาตรการจัดการกับกำลังคนส่วนเกิน เช่น Re-Deployment

  21. ขั้นที่2 การวิเคราะห์เพื่อกำหนดกลยุทธ์กำลังคน (ต่อ) 2.4 การพัฒนายุทธศาสตร์เพื่อแก้ปัญหาเกี่ยวกับกำลังคนและการจัดทำแผนปฏิบัติการด้านกำลังคน เป็นการวิเคราะห์ภาพรวมทั้งหมดของกำลังคน ตั้งแต่การวิเคราะห์อุปสงค์อุปทาน และการวิเคราะห์ส่วนต่างของกำลังคน เพื่อนำไปกำหนดยุทธศาสตร์ที่เหมาะสมต่อองค์กร ซึ่งจะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาต่างๆ ด้านการบริหารกำลังคนในหน่วยงาน เช่น การแก้ปัญหากำลังคนที่ขาดหรือเกินในบางงานหรือบางภารกิจ แผนการเกลี่ยอัตรากำลัง แผนการสรรหาบุคลากร แผนการพัฒนาบุคลากร แผนการสืบทอดตำแหน่งของบุคลากร แผนการรักษาไว้ซึ่งบุคคลที่มีความสามารถสูง แผนสร้างความก้าวหน้าในสายอาชีพ เป็นต้น • กลยุทธ์ที่เกี่ยวข้อง • การทบทวนระบบงานและตำแหน่ง การเงินและค่าตอบแทน • การพัฒนาบุคลากร การสรรหา/คัดเลือก • การรักษาบุคลากร การเกลี่ยและ Redeploy • การจัดการความรู้ การวางแผนสร้างความต่อเนื่อง (succession Plan)

  22. ขั้นที่ 3 การนำแผนกลยุทธ์กำลังคนไปปฏิบัติ ประเด็นที่ต้องพิจารณา • ผู้บริหารสนับสนุน • มีงบประมาณและทรัพยากรเพียงพอ • มีผู้รับผิดชอบชัดเจน • มีกรอบระยะเวลาการดำเนินงานที่ชัดเจน • มีดัชนีชี้วัดผลการดำเนินการ • การสื่อสาร

  23. ขั้นที่ 4 การติดตามประเมินผลและทบทวนแผนกลยุทธ์ด้านกำลังคน ประเด็นที่ต้องพิจารณา • ทบทวนผลการดำเนินงาน • ประเมินว่าแผนไหนใช้ได้/ใช้ไม่ได้ • ปรับแผน • นำประเด็นใหม่มาพิจารณา

  24. การประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อวางแผนกำลังคนในภาพรวมการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อวางแผนกำลังคนในภาพรวม

  25. การวิเคราะห์งาน JOB ANALYSIS

  26. การวิเคราะห์งาน : ความหมาย คือกระบวนการในการจัดรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ ลักษณะงาน  หน้าที่ความรับผิดชอบ  ลักษณะเฉพาะของบุคคลที่เหมาะสมกับงาน ความรู้  ความสามารถ ทักษะ องค์ประกอบอื่นๆ

  27. การกำหนดวัตถุประสงค์ในการใช้ข้อมูล การเลือกงานที่จะทำการวิเคราะห์ การกำหนดประเภทและขอบเขตของข้อมูล การกำหนดความรับผิดชอบในการดำเนินกิจกรรม การเตรียมการ ศึกษาและเก็บรวบรวมข้อมูลของงานอย่างละเอียด ตลอดจนความรู้ ความสามารถ ทักษะเพื่อทำงานนั้นๆ โดยใช้แบบสอบถามหรือสัมภาษณ์ การเก็บรวบรวมข้อมูลจากการวิเคราะห์งาน What + Why ทบทวนทำความเข้าใจข้อมูลพื้นฐานที่มี เช่น ผังองค์กร คุณลักษณะของชั้นตำแหน่งงาน รายละเอียดลักษณะงาน การศึกษาข้อมูลขั้นพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง Job description การออกแบบเครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล ออกแบบเพื่อเก็บข้อมูลเกี่ยวกับหน้าที่ ความรับผิดชอบ ลักษณะงานที่ปฏิบัติ มาตรฐานการปฏิบัติงาน ได้แก่ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ Job specification ขั้นตอนในการวิเคราะห์งาน นำข้อมูลที่ได้มาจัดระเบียบ เรียบเรียงเป็นแบบหน้าที่/แบบบรรยายลักษณะงาน” นำผลการวิเคราะห์มาจัดทำรายละเอียดคุณสมบัติที่ต้องการ

  28. การกำหนดหน้าที่งาน JOB DESCRIPTION คือ เอกสารที่แสดงรายละเอียดเกี่ยวกับงาน ประกอบด้วยข้อเท็จจริงที่เห็นได้ชัด (Objectivesfacts) ที่อธิบายให้ทราบว่า งานนั้นคืออะไร มีหน้าที่งานเฉพาะอย่างไร ความรับผิดชอบอะไรบ้าง

  29. วัตถุประสงค์ในการจัดทำแบบกำหนดหน้าที่งาน เพื่อการสร้างข้อตกลงอย่างเป็นทางการระหว่างผู้บริหารขององค์การ และผู้ใต้บังคับบัญชาที่จะกำหนดขอบเขตของ  เนื้อหางาน  รายละเอียดในการปฏิบัติงานในตำแหน่งนั้นๆ  กำหนดคุณสมบัติของผู้ปฏิบัติงาน (JobSpecification) - ความรู้ - ความสามารถ - ประสบการณ์ - ทักษะ - คุณลักษณะ/พฤติกรรม

  30. แบบบรรยายลักษณะงาน ตำแหน่ง………………..ตำแหน่งเลขที่................... สำนัก/กอง…………..กรม…………………. หน้าที่ความรับผิดชอบ ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะ.............................................................................................. .................................................................................................................................. .................................................................................................................................. .................................................................................................................................. โดยมีหน้าที่ความรับผิดชอบ ดังนี้ 1. .............................................................................................................. ................................................................................................................................. 2. ................................................................................................................. ............................................................................................................... 3. ................................................................................................................. ................................................................................................................................. 4. .............................................................................................................. ................................................................................................................................. 5. ปฏิบัติงานอื่น เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ของหน่วยงาน หรือตามที่ได้รับมอบหมาย

  31. เทคนิคการวิเคราะห์เพื่อจัดทำแผนอัตรากำลังเทคนิคการวิเคราะห์เพื่อจัดทำแผนอัตรากำลัง • วิเคราะห์จากงานที่ปฏิบัติทั้งในปัจจุบันและอนาคต 1.1 วิเคราะห์ตัวงานจากกิจกรรมที่ปฏิบัติ • Job analysis ศึกษาเนื้อแท้ของงาน ความยากและความซับซ้อน • Job description ศึกษาคำอธิบายรายละเอียดของงาน 1.2 ความยาก ง่าย ปริมาณงานเทียบกับจำนวนกำลังคน 1.3 เป้าหมายความรับผิดชอบหลักของหน่วยงานที่วัดได้ เพื่อวิเคราะห์ปริมาณงาน 1.4 ทักษะของผู้ปฏิบัติงานในปัจจุบันก่อนที่จะเพิ่มปริมาณคน 1.5 พิจารณาสัดส่วนบุคลากรระดับบริหารต่อบุคลากรทั่วไป • งานทุกงานต้องสนับสนุนให้องค์กรบรรลุภารกิจและวัตถุประสงค์ขององค์กร • พันธกิจ ยุทธศาสตร์ การจัดโครงสร้างขององค์กร งาน

  32. เทคนิคการวิเคราะห์เพื่อจัดทำแผนอัตรากำลัง (ต่อ) • วิเคราะห์จากประสิทธิภาพการใช้กำลังพลในอดีตเปรียบเทียบกับประสิทธิภาพการใช้กำลังพลกับองค์กรประเภทเดียวกัน 2.1 วิเคราะห์เปรียบเทียบผลลัพธ์ที่ได้กับกำลังพลที่ใช้ปฏิบัติงาน 2.2 พิจารณาย้อนหลัง 3-5 ปี 2.3 พิจารณาทั้งในระดับองค์กรและหน่วยงาน • เปรียบเทียบประสิทธิภาพการใช้กำลังพลกับองค์กรประเภทเดียวกัน 3.1 องค์กรใกล้เคียงกัน ขนาดพอๆกัน มีกำลังพลเท่าไหร่ 3.2 งานลักษณะเดียวกันใช้กำลังพลเท่าไหร่ 3.3 ดูทั้งองค์กรภายในประเทศหรือประเทศคู่แข่ง 3.4 ใช้ข้อมูล Benchmarking กับ Best Practice

  33. ขั้นตอนการวิเคราะห์เพื่อกำหนดอัตรากำลังขั้นตอนการวิเคราะห์เพื่อกำหนดอัตรากำลัง ขั้นที่ 1 ศึกษา/ทบทวนภารกิจ ( MISSION ) ขององค์การและหน่วยงาน • ศึกษายุทธศาสตร์ โครงสร้างและการแบ่งส่วนงาน • เอกสารกำหนดหน้าที่ของหน่วยงาน/ คำบรรยายลักษณะงาน • สัมภาษณ์หัวหน้างาน / ผู้ปฏิบัติงาน • เทคนิค 5W 1H

  34. ขั้นตอนการวิเคราะห์เพื่อกำหนดอัตรากำลัง (ต่อ) ขั้นที่ 2 แจกแจง/รวบรวมงาน (TASK) หรือกิจกรรมหลักของหน่วยงาน • แจกแจงงาน/กิจกรรม ที่หน่วยงานต้องทำตามภารกิจหรือยุทธศาสตร์ซึ่งควรเป็นกิจกรรมที่ก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มต่อองค์การ • อาจแบ่งเป็นภารกิจหลัก ภารกิจรอง ภารกิจสนับสนุน ภารกิจที่ทำร่วมกับหน่วยงานอื่น หรืองานโครงการ • กำหนดหน่วยนับของงานหรือกิจกรรมที่ต้องดำเนินการข้างต้น

  35. ขั้นตอนการวิเคราะห์เพื่อกำหนดอัตรากำลัง (ต่อ) ขั้นที่ 3 ศึกษา /รวบรวม วิเคราะห์ปริมาณงาน ( Workload )ของแต่ละ ภารกิจหรือกระบวนงานหลักที่ต้องทำ • แผนงานขององค์การ / หน่วยงาน • สถิติที่ผ่านมา 1 - 3 ปี และหาค่าเฉลี่ย

  36. ขั้นตอนการวิเคราะห์เพื่อกำหนดอัตรากำลัง (ต่อ) ขั้นที่ 4 คำนวณอัตรากำลังแต่ละภารกิจ • เดลฟายเทคนิค (DelphiTechnique) • เป็นเทคนิคในการวิเคราะห์อัตรากำลัง โดยอาศัยดุลยพินิจของผู้บริหาร (ManagementJudgement) หรืออาศัยความรู้และประสบการณ์ของผู้ชำนาญการ ซึ่งเคยทำงานเกี่ยวข้องกับงานในหน่วยงานที่ทำการวิเคราะห์นั้น ทั้งนี้โดยอาศัยรากฐานข้อเท็จจริงที่อ้างอิงได้ ข้อดี ข้อเสีย • อาจผิดพลาดได้ ถ้าผู้ใช้มีวิจารณ ญาณและประสบการณ์ไม่เพียงพอ • อาจไม่ได้รับการยอมรับหรือถูกโต้แย้ง • ทำให้รู้สึกว่าการทำงานไม่เป็นระบบ • สะดวก รวดเร็ว • ใช้ค่าใช้จ่ายน้อย • คำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆที่กว้างขวางกว่าวิธีการอื่น ๆ

  37. ขั้นตอนการวิเคราะห์เพื่อกำหนดอัตรากำลัง (ต่อ) ขั้นที่ 4 คำนวณอัตรากำลังแต่ละภารกิจ (ต่อ) • วิธีเปรียบเทียบอัตราส่วน (Ratio) • อัตราส่วนประสิทธิภาพ (Output - InputRatio) กำลังคนที่ต้องการ = ปริมาณงานที่ต้องทำตามแผนงาน / อัตราส่วนประสิทธิภาพ • อัตราส่วนผู้ใต้บังคับบัญชากับผู้บังคับบัญชา อัตรากำลังผู้บังคับบัญชา = จำนวนผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหมด / อัตราส่วนผู้ใต้บังคับบัญชากับผู้บังคับบัญชา • อัตราส่วนกำลังคนในงานที่เกี่ยวข้องกัน จำนวนพนักงานผู้ให้บริการ= จำนวนผู้ใช้บริการ/ อัตราส่วนของผู้ใช้บริการ ต่อ ผู้ให้บริการ • อัตราส่วนอัตรากำลังหลักกับอัตรากำลังเสริม อัตรากำลังเสริม = จำนวนอัตรากำลังหลักที่คำนวณได้/ อัตราส่วนอัตรากำลังหลักต่ออัตราเสริม

  38. ข้อควรคำนึงในการใช้เทคนิคอัตราส่วนประสิทธิภาพข้อควรคำนึงในการใช้เทคนิคอัตราส่วนประสิทธิภาพ • อัตราส่วนประสิทธิภาพ ไม่ใช่มาตรฐานการปฏิบัติงาน เพราะไม่ได้มาจากการวัดงาน (WorkMeasurement) • อัตราส่วนประสิทธิภาพ มักจะเกิดจากการศึกษาแนวโน้มของอัตราส่วนในอดีต หรือเกิดจากการเปรียบเทียบอัตราส่วนของหน่วยงานอื่น ๆ ประกอบกับดุลยพินิจของผู้บริหาร จึงอาจไม่ได้คำนึงถึงปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการทำงานของพนักงานโดยตรง • ควรมีการทบทวนอัตราส่วนประสิทธิภาพอยู่เสมอ ๆ โดยเฉพาะเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับการทำงาน เช่น เปลี่ยนแปลงขั้นตอนในการทำงาน • อัตราส่วนประสิทธิภาพเป็นปริมาณผลงานที่คาดว่าจะได้ อาจไม่ใช่ปริมาณผลงานที่สมควรจะได้

  39. ข้อควรคำนึงในการใช้เทคนิคอัตราส่วนผู้ใต้บังคับบัญชากับผู้บังคับบัญชาข้อควรคำนึงในการใช้เทคนิคอัตราส่วนผู้ใต้บังคับบัญชากับผู้บังคับบัญชา • อัตราส่วนผู้ใต้บังคับบัญชา ผู้บังคับบัญชา จะกำหนดโดยผู้บริหารหรือผู้ชำนาญการโดยอาศัยประสบการณ์หรือเปรียบเทียบอัตราส่วนของหน่วยงานอื่นที่มีหน้าที่รับผิดชอบคล้ายคลึงกัน • ในกรณีที่จะนำอัตราส่วนผู้บังคับบัญชา กับผู้ใต้บังคับบัญชา ของหน่วยงานอื่นที่มีอยู่แล้วมาใช้เป็นแนวทางในการวิเคราะห์อัตรากำลังของหน่วยงานใหม่นี้จะต้องพิจารณาทบทวนอย่างรอบคอบว่าอัตราส่วนที่กำหนดไว้เดิมมีความเหมาะสมดีแล้วหรือไม่ ถ้ามีปัจจัยที่แตกต่างกัน ก็ควรที่จะกำหนดอัตราส่วนใหม่ที่เหมาะสมกับลักษณะงานของหน่วยงานที่ทำการวิเคราะห์

  40. ขั้นตอนการวิเคราะห์เพื่อกำหนดอัตรากำลัง (ต่อ) ขั้นที่ 4 คำนวณอัตรากำลังแต่ละภารกิจ (ต่อ) • การใช้เทคนิคการวัดงาน (WorkMeasurementTechnique) • เป็นวิธีการวิเคราะห์อัตรากำลัง โดยการศึกษาจากขั้นตอนการไหลของงาน (WORKFLOW) และมีการวัดเวลาที่ใช้ในการทำงานแต่ละขั้นตอนที่เรียกว่า TimeandMotionStudyแล้วนำผลที่ได้จากการวัดงานไปกำหนดเวลามาตรฐานในการทำงานเพื่อนำไปใช้ในการคำนวณอัตรากำลังที่เหมาะสมกับปริมาณงานของหน่วยงานต่อไป • เป้นการวัดเวลาการทำงานในแต่ละขั้นตอน หรือ วัดเวลาทำงานโดยรวมของประเภทงานนั้นๆ เพื่อให้ทราบถึงเวลารวมที่ใช้ในการทำงาน 1 ชิ้นหรือ 1 เรื่อง ว่าใช้เวลาเท่าใด

  41. การคำนวนจำนวนอัตรากำลังจากสถิติปริมาณงาน (Work Load) จำนวนตำแหน่ง = ปริมาณงานทั้งหมด x เวลามาตรฐานต่องาน 1 ชิ้น เวลาทำงานมาตรฐานต่อคนต่อปี เวลาทำงานมาตรฐานต่อคนต่อปี = 230 วัน = 1,380 ชั่วโมง

  42. ตัวอย่าง สำนักงานที่ดินแห่งหนึ่ง มีขั้นตอนในกระบวนการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม 5 ขั้นตอนด้วยกัน โดยแต่ละขั้นตอน ใช้เวลาทำงานต่อราย ดังนี้ • รับคำขอใช้เวลา 15 นาที • สอบสวนตรวจสอบหลักฐานใช้เวลา 30 นาที • รับเงินค่าธรรมเนียม ใช้เวลา 15 นาที • จดทะเบียน ใช้เวลา 15 นาที • ค้นหา เก็บเรื่อง และลงทะเบียนใช้เวลา 10 นาที หากสำนักงานที่ดินดังกล่าวมีงานจดทะเบียน 1 ปี ปีละ 7,200 ราย จะต้องใช้ เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานกี่คน (ตำแหน่ง)

  43. วิธีคำนวณ

  44. วิธีคำนวณ

  45. Workforce Forecasting Model • Action Plans • Recruitment • Decruitment • Development • Reassignment Inventory • Retirement • Transferals • Resignations • High • Potential • Career • Development Corporate Plan

More Related