1 / 44

ระบบเครือข่าย

ระบบเครือข่าย. Network System. ระบบเครือข่าย. ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการสื่อสารโทรคมนาคม ทำให้มนุษย์สามารถติดต่อสื่อสารถึงกันได้อย่างทั่วถึง แม้ว่าจะอยู่ห่างไกลกัน

asabi
Download Presentation

ระบบเครือข่าย

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. ระบบเครือข่าย Network System

  2. ระบบเครือข่าย ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการสื่อสารโทรคมนาคม ทำให้มนุษย์สามารถติดต่อสื่อสารถึงกันได้อย่างทั่วถึง แม้ว่าจะอยู่ห่างไกลกัน • การสื่อสาร หมายถึง การติดต่อระหว่างมนุษย์ เพื่อนำเสนอ หรือแลกเปลี่ยนข่าวสาร ระหว่างผู้ส่งสาร กับผู้รับสาร โดยอาศัยสื่อกลางในการติดต่อสื่อสาร • การสื่อสารข้อมูล หมายถึง การส่งหรือแลกเปลี่ยนข้อมูล และสารสนเทศ จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง โดยผ่านช่องทางการสื่อสาร ข้อมูลที่ส่งไม่รวมเสียงพูด • โทรคมนาคม หมายถึง การติดต่อสื่อสารระหว่างกันในระยะทางไกล ๆ โดยอาศัยช่องทางการสื่อสาร ส่งได้ทั้งข้อมูลและเสียงพูด • ระบบเครือข่าย หมายถึง การเชื่อมโยงและติดต่อสื่อสารระหว่างแหล่งต้นทางกับปลายทางผ่านทางอุปกรณ์สื่อสาร ปัจจุบันเครื่องคอมพิวเตอร์มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ในขณะที่ราคาถูกลง สามารถนำมาใช้ในการเชื่อมโยงและติดต่อระหว่างกันเป็นระบบเครือข่ายให้สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและการทำงานร่วมกันได้

  3. สถาปัตยกรรมเครือข่าย (Network Architecture) • สถาปัตยกรรมเครือข่าย ประกอบด้วยแบบจำลอง 4 แบบ ได้แก่ • บัส (Bus Network) • สตาร์ (Star Network) • ริง (Ring Network) • ลูกผสม (Hybrid Network)

  4. สถาปัตยกรรมเครือข่าย (ต่อ) • ระบบเครือข่ายแบบบัส (Bus Network) • เป็นการเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ในพื้นที่เดียวกันโดยใช้สัญญาณต่อเชื่อม เรียกว่า “บัส” สำหรับใช้เป็นทางเดินของข้อมูลร่วมกันระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยสัญญาณจะถูกกระจายไปตลอดทั้งเส้นทาง • ข้อดี • ใช้สายส่งข้อมูลร่วมกัน การรับ-ส่งข้อมูลเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง • โครงสร้างง่ายมีความน่าเชื่อถือ เนื่องจากใช้สายส่งข้อมูลเพียงเส้นเดียว • เพิ่มจุดบริการใหม่ได้ง่าย เนื่องจากจะใช้สายส่งข้อมูลที่มีอยู่แล้ว • ข้อเสีย • หาข้อผิดพลาดได้ยาก ไม่มีศูนย์กลางควบคุมอยู่ที่จุดใดจุดหนึ่ง • ถ้าเกิดการเสียหาย เครือข่ายไม่สามารถทำงานได้ • เกิดการชนกันของข้อมูล

  5. Bus Network

  6. สถาปัตยกรรมเครือข่าย (ต่อ) • ระบบเครือข่ายแบบสตาร์ (Star Network) • เป็นการเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์เข้าสู่จุดศูนย์กลางควบคุมการสื่อสาร โดยใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่า “ฮับ” หรือ “สวิตซ์” นิยมเรียกการทำงานในลักษณะนี้ว่า “โฮสต์คอมพิวเตอร์” • ข้อดี • ง่ายในการติดตั้งหรือจัดการระบบ เนื่องจากมีโฮสต์คอมพิวเตอร์อยู่ที่จุดเดียว • ถ้าเกิดการเสียหายของจุดใช้งานในเครือข่าย จะไม่ส่งผลกระทบกับการทำงานของจุดอื่น ๆ • การควบคุมการส่งข้อมูลทำได้ง่าย ระหว่างโฮสต์กับอุปกรณ์ต่าง ๆ • ข้อเสีย • เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มในการติดตั้งและบำรุงรักษา • การเพิ่มจุดใหม่อาจทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น อาจต้องใช้อุปกรณ์ช่วยทวนสัญญาณ (Repeater) • ถ้าโฮสต์คอมพิวเตอร์เสีย ก็ไม่สามารถใช้งานเครือข่ายได้

  7. Star Network

  8. สถาปัตยกรรมเครือข่าย (ต่อ) • ระบบเครือข่ายแบบริง (Ring Network) • เป็นการเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ในลักษณะวงแหวน มีการรับส่งข้อมูลในทิศทางเดียวกันผ่านอุปกรณ์สื่อสารที่เรียกว่า “โทเค็น (Token)” • ถ้าเครื่องใดต้องการที่จะส่งข้อมูล ก็จะจับโทเค็นแล้วใส่ข้อมูลลงไป แล้วจะปล่อยออกมาวิ่งวนรอบผ่านเครื่องอื่น ๆ จนพบเครื่องที่เป็นเป้าหมาย • ข้อดี • ความยาวของในการใช้สายส่งข้อมูลมีขนาดพอดีทำให้การรับส่งข้อมูลมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น • เหมาะสำหรับใช้เคเบิลใยแก้วนำแสง เนื่องจากจะช่วยให้ส่งข้อมูลได้ด้วยความเร็วสูง • ข้อเสีย • ถ้าจุดใดในเครือข่ายเสียหาย ก็ไม่สามารถใช้งานเครือข่ายได้ • การตรวจสอบข้อผิดพลาดต้องตรวจสอบระหว่างจุดกับจุดถัดไป • ยากต่อการเพิ่มจุดใช้งานใหม่ • การส่งข้อมูลต้องมั่นใจว่าสายส่งข้อมูลว่าง

  9. Ring Network

  10. สถาปัตยกรรมเครือข่าย (ต่อ) • ระบบเครือข่ายแบบลูกผสม (Hybrid/Mesh Network) • เป็นการเชื่อมต่อระบบเครือข่ายในลักษณะการผสมผสานที่มีจำนวนมากกว่า 1 แบบเข้าด้วยกัน

  11. การประยุกต์ใช้ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์การประยุกต์ใช้ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ • แบบจำลองทั้ง 4 แบบ สามารถนำไปประยุกต์ใช้เป็นระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในรูปแบบต่าง ๆ ได้ดังนี้ • เครือข่ายระยะใกล้ (Local Area Network : LAN) • เครือข่ายบริเวณปานกลาง (Metropolitan Area Network : MAN) • เครือข่ายบริเวณกว้าง (Wide Area Network : WAN) • เครือข่ายแบบไร้สาย (Wireless Network) • เครือข่ายอินเทอร์เน็ต (Internet)

  12. เครือข่ายระยะใกล้ (Local Area Network : LAN) • เป็นการเชื่อมต่อในระยะทางใกล้ ๆ ทีมีพื้นที่จำกัด ส่วนใหญ่นิยมใช้ภายในอาคาร เช่น สำนักงาน ห้องเรียน • รองรับเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ไม่จำกัดจำนวน และสามารถเชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกันได้ โดยผ่านสายส่งข้อมูลชนิดต่าง ๆ • ช่วยในการจัดสรรทรัพยากรต่าง ๆ เพื่อใช้งานร่วมกัน เช่น ไฟล์ข้อมูล ฐานข้อมูล เครื่องพิมพ์ • ทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพสูงมากขึ้น และประหยัดค่าใช้จ่ายในการลงทุน

  13. LAN

  14. เครือข่ายบริเวณปานกลาง (Metropolitan Area Network : MAN) • เป็นการเชื่อมต่อในระยะทางที่ไม่ห่างไกลมากนัก แต่ยังคงอยู่ในพื้นที่บริเวณเดียวกัน • ส่วนใหญ่มักนิยมใช้กันในหน่วยงานที่มีสาขาที่อยู่ต่างสถานที่กัน เช่น ธนาคารสำนักงานใหญ่กับสาขาย่อย ระบบเคเบิลทีวี การรับส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายดาวเทียม

  15. MAN

  16. เครือข่ายบริเวณกว้าง (Wide Area Network : WAN) • เป็นการเชื่อมต่อในระยะทางที่ห่างไกลกันมาก ๆ ขึ้นอยู่กับจำนวนที่เชื่อมต่อของระบบเครือข่าย LAN ตั้งแต่ 2 วงขึ้นไป ทำให้เกิดการขยายวงกว้างออกไปในระดับจังหวัด ประเทศ หรือทวีป

  17. เครือข่ายแบบไร้สาย (Wireless Network) • เป็นเทคโนโลยีเพื่อใช้แก้ปัญหาข้อจำกัดในการติดตั้งและการเดินสายส่งข้อมูล เหมาะสำหรับใช้งานภายในสำนักงาน และมีพื้นที่บริเวณโล่งกว้าง • การรับส่งข้อมูลจะส่งผ่านอุปกรณ์ควบคุมย่านความถี่ เรียกว่า “Wireless Router” สำหรับใช้จัดการเพื่อรับส่งสัญญาณข้อมูลระหว่างกันให้เป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่มีการรบกวนหรือการชนกันของข้อมูล • ไม่ต้องใช้สายส่งข้อมูล • เกิดความคล่องตัวในการเคลื่อนย้าย และสะดวกในการเชื่อมต่อเพื่อใช้งาน

  18. Wireless Network

  19. เครือข่ายอินเทอร์เน็ต (Internet) • เป็นระบบเครือข่ายขนาดใหญ่อย่างไร้ขอบเขต • เกิดจากการเชื่อมต่อเครือข่ายชนิดต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ทำให้สามารถแลกเปลี่ยนข่าวสารและทำงานร่วมกันได้อย่างทั่วถึง • โดยใช้โปรโตคอลเป็นสื่อกลางในการติดต่อสื่อสารระหว่างกันเหมือนเส้นใยแมงมุม หรือเรียกว่า “World Wide Web : WWW”

  20. Internet

  21. เทคโนโลยีด้านอินเทอร์เน็ต (Internet Technology) • ประวัติความเป็นมาของอินเทอร์เน็ต • อินเทอร์เน็ต มาจากคำว่า “International Network” • คือ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อถึงกันทั่วโลก หรืออาจเรียกว่า เครือข่ายของเครือข่าย (Network of networks) ซึ่งหมายถึง เครือข่ายรวมของเครือข่ายระดับต่าง ๆ ทั้งหมดรวมตัวกันเป็นระบบเครือข่ายขนาดใหญ่ • อินเทอร์เน็ตมีต้นกำเนิดมาจากเครือข่าย ARPAnet(Advance Research Projects Agency Network) ของกระทรวงกลาโหม สหรัฐอเมริกา

  22. ปัญหาที่สำคัญบนอินเทอร์เน็ตปัญหาที่สำคัญบนอินเทอร์เน็ต ที่มา: รายงานผลการสำรวจกลุ่มผู้ใช้อินเทอร์เน็ตของประเทศไทย ประจำปี 2553 (Internet User Profile of Thailand 2010), สำนักงานเลขานุการคณะกรรมการเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งชาติ, ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ

  23. เทคโนโลยีด้านอินเทอร์เน็ต (Internet Technology) (ต่อ) • การประยุกต์ใช้งานอินเตอร์เน็ต (Internet Application Area) • Intranet • เป็นระบบเครือข่ายสารสนเทศเฉพาะกิจหรือส่วนบุคคล ที่ได้นำเทคโนโลยีด้านอินเทอร์เน็ตมาประยุกต์ใช้ในการติดต่อสื่อสาร • ใช้ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและทำงานร่วมกันเฉพาะภายในองค์กรหรือหน่วยงานเท่านั้น • เครื่องลูกข่ายจะรับส่งข้อมูลโดยตรงกับเซิร์ฟเวอร์ เฉพาะที่อยู่ภายในระบบเครือข่ายของตนเท่านั้น • เครื่องคอมพิวเตอร์ที่อยู่นอกเครือข่ายไม่สามารถเข้ามาเรียกใช้สารสนเทศที่อยู่ภายในเครือข่าย เนื่องจากเครือข่ายได้มีการติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยที่ เรียกว่า “ไฟล์วอลล์ (Firewall)” สำหรับตรวจสอบผู้ที่มาเข้าสู่ระบบ

  24. เทคโนโลยีด้านอินเทอร์เน็ต (Internet Technology) (ต่อ) • การประยุกต์ใช้งานอินเตอร์เน็ต (Internet Application Area) (ต่อ) • Intranet

  25. เทคโนโลยีด้านอินเทอร์เน็ต (Internet Technology) (ต่อ) • การประยุกต์ใช้งานอินเตอร์เน็ต (Internet Application Area) (ต่อ) • Extranet • เป็นเครือข่ายสารสนเทศที่เกิดจากการผนวกรวมโดยการเชื่อมต่อเครือข่ายอินทราเน็ต ตั้งแต่ 2 วงขึ้นไปเข้าด้วยกัน • เพื่อใช้ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและทำงานร่วมกัน ทั้งภายในและภายนอกองค์กรได้กว้างไกลมากยิ่งขึ้น

  26. เทคโนโลยีด้านอินเตอร์เน็ต (Internet Technology) (ต่อ) • โปรโตคอล (Protocols) • ระเบียบวิธีการในการติดต่อสื่อสาร จะครอบคลุมตั้งแต่ขั้นตอนการติดต่อสื่อสาร กฎ ระเบียบ และข้อกำหนดต่าง ๆ รวมไปถึงมาตรฐานที่ใช้เพื่อให้สามารถส่งผ่านข้อมูลไปยังปลายทางได้อย่างถูกต้อง • มาตรฐานโปรโตคอล • การติดต่อสื่อสารบนระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ต้องมีการกำหนดมาตรฐานเพื่อให้สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างกันได้ และไม่เกิดปัญหาความเข้ากันไม่ได้ของระบบที่ต่างผลิตภัณฑ์กัน • หน่วยงานกำหนดมาตรฐานการสื่อสารสากล (International Standard Organization : ISO) มีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดแนวทางปฏิบัติให้แก่ผู้ผลิตอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ได้ใช้เป็นบรรทัดฐานเดียวกัน ให้สามารถใช้งานร่วมกันได้แม่ต่างผลิตภัณฑ์กัน ที่เรียกว่า “มาตรฐานการสื่อสารคอมพิวเตอร์ระบบเปิด (OSI : Open System Interconnection)

  27. เทคโนโลยีด้านอินเตอร์เน็ต (Internet Technology) (ต่อ) • โปรโตคอล (Protocols) (ต่อ) • หลักการทำงานของโปรโตคอล • มาตรฐานคอมพิวเตอร์ระบบเปิด ได้แบ่งระดับการติดต่อสื่อสารออกเป็น 7 ระดับชั้น หรือเรียกว่า “แบบจำลองมาตรฐาน OSI 7 Layer” • การจัดการข้อมูลในแต่ละลำดับชั้น ขึ้นอยู่กับบทบาทและหน้าที่ตามที่ได้กำหนดไว้ในแต่ละระดับขั้น

  28. OSI 7 Layer ติดต่อกับผู้ใช้ โดยรับคำสั่งและแปลผลไปยังชั้นถัดไป เข้ารหัสและแปลงข้อมูลให้อยู่ในรูป EBCDIC, Binary และอื่น ๆ ควบคุมจังหวะการรับส่งข้อมูลให้เป็นระเบียบเรียบร้อย เชื่อมต่อ แยกส่วนและตรวจสอบความถูกต้องของชุดข้อมูลทั้งหมด เลือกเส้นทางที่เหมาะสม เพื่อลำเลียงชุดข้อมูลไปยังปลายทางตามที่ระบุไว้ ส่งชุดข้อมูลไปยังปลายทางที่ได้กำหนดไว้ ตรวจสอบและแก้ไขในระดับฮาร์ดแวร์ ส่งสัญญาณชุดข้อมูลผ่านทางสายการสื่อสารบนระบบเครือข่ายไปยังปลายทาง

  29. เทคโนโลยีด้านอินเตอร์เน็ต (Internet Technology) (ต่อ) • อินเตอร์เน็ตโปรโตคอลและชื่อโดเมน • การเชื่อมต่อระบบเครือข่ายอื่น ๆ เข้าด้วยกัน จำเป็นต้องมีการกำหนดหมายเลขหรือชื่อของเครือข่าย เพื่อให้สามารถอ้างถึงเครื่องคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายได้อย่างถูกต้อง • TCP/IP (Transmission Control Protocol / Internet Protocol) • เป็นกลุ่มของโปรโตคอลหลายชนิด ถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายบนระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตและอินทราเน็ต

  30. เทคโนโลยีด้านอินเตอร์เน็ต (Internet Technology) (ต่อ) • อินเตอร์เน็ตโปรโตคอลและชื่อโดเมน (ต่อ) • IP Address (Internet Protocol Address) • เป็นหลายเลขประจำเครื่องที่กำหนดเฉพาะเครื่องแต่ละเครื่องที่ไม่ซ้ำกัน • เพื่อให้ส่งข้อมูลจากต้นทางไปยังปลายทางได้ถูกต้อง • ระบบชื่อโดเมน (DNS : Domain Name System) • เป็นชื่อเฉพาะสำหรับอ้างถึงตำแหน่งในการติดต่อบนอินเทอร์เน็ต • มักใช้ชื่อโดเมน แทนตัวเลขที่เป็น IP Address • มีการกำหนดและควบคุมโดยหน่วยงานที่ให้บริการชื่อโดเมนบนระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต หรือเรียกโดยทั่วไปว่า “ISP (Internet Service Provider)”

  31. การให้บริการบนอินเตอร์เน็ตพื้นฐานการให้บริการบนอินเตอร์เน็ตพื้นฐาน • Electronic Mail : E-Mail • หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ เป็นจดหมายที่ส่งผ่านกันทางเครือข่ายคอมพิวเตอร์ • สามารถติดต่อกับบุคคลได้รวดเร็ว จัดเก็บข้อความ และตอบกลับส่งต่อเป็นทอด ๆ ได้ • ประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาได้มากกว่าวิธีการส่งด้วยจดหมายหรือโทรศัพท์ • File Transfer Protocol : FTP • เป็นโปรแกรมสำหรับใช้โอนย้ายข้อมูลระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วยกัน • ประกอบด้วยเครื่องแม่ข่ายทำหน้าที่เป็น FTP Server และเครื่องลูกข่ายทำหน้าที่เป็น FTP Client • ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดไฟล์หรือไดเร็คทอรีไปใช้งานได้เรียกว่า “Download” • ผู้ใช้สามารถนำไฟล์ไปเก็บที่ FTP Server ได้ เรียกว่า “Upload”

  32. การให้บริการบนอินเตอร์เน็ตพื้นฐาน (ต่อ) • Telnet • เป็นการขอเข้าไปใช้บริการในระบบผ่านทางเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นในเครือข่ายเดียวกัน โดยไม่ต้องไปนั่งอยู่ที่หน้าจอของเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นโดยตรง • ซึ่งต้องได้รับการยินยอมจากเจ้าของเครื่องเป้าหมายด้วย • Gopher • เป็นโปรแกรมที่ใช้สำหรับเปิดค้นหาข้อมูลและขอใช้บริการด้วยระบบเมนู และเป็นจุดศูนย์รวมในการเรียกใช้บริการต่าง ๆ ที่มีอยู่ในอินเทอร์เน็ต • ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้เนื่องจากไม่ต้องพิมพ์คำสั่ง และไม่จำเป็นต้องจดจำชื่อโฮสต์ที่ต้องการติดต่อ เพราะสามารถเลือกได้จากเมนู Gopher ได้เลย • Archie • เป็นระบบค้นหาแหล่งที่อยู่ของแฟ้มข้อมูล โดยใช้ซอฟต์แวร์ Gopher ค้นว่าแฟ้มข้อมูลที่สนใจอยู่ที่โฮสต์ใด

  33. การให้บริการบนอินเตอร์เน็ตพื้นฐาน (ต่อ) • Internet Telephony • หรือเรียกว่า “VoIP (Voice over IP)”เป็นเทคโนโลยีที่ให้ผู้ใช้สามารถโทรศัพท์ผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้ ซึ่งต้องมีอุปกรณ์สนับสนุนการใช้งาน เช่น ซอฟต์แวร์ควบคุมการสนทนา ไมโครโฟน ลำโพง • การทำงานจะแปลงเสียงพูดเป็นสัญญาณดิจิตอลผ่านอินเทอร์เน็ตไปสู่ปลายทาง แล้วแสดงผลผ่านลำโพงปลายทาง ทำให้การทำงานคล้ายกับการใช้งานโทรศัพท์ เช่น 009 • Chat Room • หรือห้องสนทนา เป็นการสื่อสารแบบเรียลไทม์ และสนทนากันด้วยการพิมพ์ข้อความเหมือนกัน ผู้ร่วมสนทนาทั้งหมดจะเห็นข้อความเกือบพร้อมกัน ซึ่งเหมือนกับการร่วมสนทนาอยู่ในห้องเดียวกัน เช่นโปรแกรม mIRC, Pirch

  34. การให้บริการบนอินเตอร์เน็ตพื้นฐาน (ต่อ) • Instant Messaging : IM • เป็นการสื่อสารผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตแบบเรียลไทม์ (Real Time) โดยการพิมพ์โต้ตอบกัน และอาจส่งไฟล์ถึงกันได้ทั้งไฟล์รูปภาพ วิดีโอ ข้อความ เสียง เช่น โปรแกรม MSN Messenger, QQ, ICQ • Newsgroup • หรือเรียกว่า “กระทู้สนทนา” ผู้ใช้ส่วนใหญ่จะนำมาใช้ในการอภิปรายกลุ่มหรือตั้งกระทู้ • ผู้ร่วมอภิปรายจะได้รับข้อความและส่งผ่านข้อความต่าง ๆ คล้ายกับห้องสนทนา • การแสดงผลไม่ได้เป็นแบบเรียลไทม์เหมือนห้องสนทนา • USErsNETwork : USENET • เป็นการรวมตัวกันของกลุ่มสนทนาและอภิปรายในหัวข้อต่าง ๆ ผ่านทางระบบกระดานข่าวอิเล็กทรอนิกส์ • ซึ่งจะมีการแลกเปลี่ยนข่าวสารและความคิดเห็นตามหัวข้อที่ตนสนใจเท่านั้น

  35. การพัฒนาเว็บแอปพลิเคชั่นการพัฒนาเว็บแอปพลิเคชั่น Web Application Development

  36. Web Programming • เป็นการเขียนโปรแกรมเพื่อกำหนดคำสั่งในการทำงานให้กับ web application • ต้องใช้เทคนิคการเขียนโปรแกรมด้วยการผสมผสานภาษาโปรแกรมมิ่งต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ภาษาโปรแกรมมิ่งที่นิยมใช้งาน มีดังนี้ • HyperText Markup Language : HTML • เป็นภาษามาตรฐานที่กำหนดโดยองค์กร W3C(World Wide Web Consortium) สำหรับใช้ในการสร้างเว็บเพจ

  37. Web Programming (ต่อ) • eXtensible Markup Language : XML • เป็นภาษามาตรฐานที่ใช้สร้างเว็บเพจเช่นเดียวกับ HTML • ผู้ใช้สร้าง tag คำสั่งขึ้นใช้งานเองได้ • โครงสร้างข้อมูลเป็นมาตรฐานไม่ขึ้นอยู่กับ Platform ใด • มีส่วนที่ใช้อธิบายข้อมูลในเอกสาร XML เรียกว่า “DTD (Document Type Definition)” ทำให้สามารถส่งไฟล์ XML ไปประมวลผลกับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ทุกชนิดได้ • eXtensibleHyperText Markup Language :XHTML • เป็นภาษามาตรฐานใหม่ที่เกิดจากการนำความสามารถของ HTML และ XML มารวมกัน • จะใช้พื้นฐานโครงสร้างไวยากรณ์ของ XML แต่ใช้รูปแบบ tag คำสั่งของ HTML เพื่อสร้างความเป็นกลางของข้อมูลให้ดียิ่งขึ้น

  38. Web Programming (ต่อ) • Wireless Markup Language : WML • เป็นภาษาที่ใช้สร้างเว็บเพจเพื่อนำไปแสดงผลบนเว็บบราวเซอร์ขนาดเล็กที่เรียกว่า “Microbrowser” ซึ่งเป็นเว็บบราวเซอร์ที่นิยมใช้ในอุปกรณ์สื่อสารไร้สายต่าง ๆ • ต้องอาศัยการติดต่อสื่อสารผ่านโปรโตคอลมาตรฐานที่ชื่อว่า WAP (Wireless Application Protocol) • Common Gateway Interface : CGI • เป็นวิธีการมาตรฐานที่ช่วยให้เซิร์ฟเวอร์สามารถโต้ตอบกับผู้ใช้ได้ • สำหรับภาษาโปรแกรมมิ่งที่นิยมใช้เขียน CGI ได้แก่ Perl, C/C++, TCL, Python, Shell Script

  39. Web Programming (ต่อ) • Script Languages • เป็นเทคนิคที่นำมาใช้สร้างเว็บร่วมกับภาษา HTML เพื่อให้เว็บมีคุณสมบัติแบบ Dynamic โดยการนำมาทำงานร่วมกับภาษา HTML ได้แก่ • Client-Side Script • เป็นภาษาที่ใช้จัดการกับไฟล์ต่าง ๆ บนเครื่อง client โดยสคริปต์เหล่านี้จะถูกประมวลผลบนเว็บบราวเซอร์ของเครื่อง client ก่อนที่จะนำมาแสดงผลลัพธ์ออกทางจอภาพของเครื่อง client ได้แก่ JavaScript, VBScript

  40. Web Programming (ต่อ) • Script Languages (ต่อ) • Server-Side Script • เป็นภาษาที่ใช้จัดการกับไฟล์ต่าง ๆ บนเซิร์ฟเวอร์ โดยสคริปต์ประเภทนี้จะถูกประมวลผลบนเว็บเซิร์ฟเวอร์จนเสร็จสิ้นก่อนที่จะส่งผลลัพธ์ในรูปของ HTML Stream ผ่านโปรโตคอล HTTP บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตกลับไปแสดงผลที่เว็บบราวเซอร์ของเครื่อง Client ได้แก่ ASP, PHP, JSP

More Related