1 / 52

ตรรกศาสตร์และการให้เหตุผล โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ระ วีวรรณ วุฒิประสิทธิ์

ตรรกศาสตร์และการให้เหตุผล โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ระ วีวรรณ วุฒิประสิทธิ์. ตรรกศาสตร์และการให้เหตุผล.

arlene
Download Presentation

ตรรกศาสตร์และการให้เหตุผล โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ระ วีวรรณ วุฒิประสิทธิ์

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. ตรรกศาสตร์และการให้เหตุผลตรรกศาสตร์และการให้เหตุผล โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ระวีวรรณ วุฒิประสิทธิ์

  2. ตรรกศาสตร์และการให้เหตุผลตรรกศาสตร์และการให้เหตุผล ตรรกศาสตร์จัดเป็นวิชาที่ว่าด้วยกฎเกณฑ์ของการใช้เหตุใช้ผลซึ่งพัฒนามาตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ โดยที่ตรรกศาสตร์นั้นหมายถึงวิชาที่ว่าด้วยความรู้ที่เกี่ยวกับการตรึกตรองและการคิดซึ่งตรงกับภาษาอังกฤษคำว่าlogic จากรากศัพท์ภาษากรีกว่าlogosที่แปลว่าคำพูด โดยที่ดั้งเดิมนั้นการศึกษาเรื่องความเป็นเหตุเป็นผลและการให้เหตุผลยังไม่เป็นระบบมากนักจนกระทั่งมาถึงสมัยของอริสโตเติ้ลที่ได้ทำการศึกษา และพัฒนาตรรกศาสตร์ให้มีความเป็นระบบมากขึ้นจนตรรกศาสตร์ได้ชื่อว่าเป็นวิชาพื้นฐานที่สำคัญในการศึกษาวิชาการในแขนงอื่น ๆ อีกเป็นจำนวนมากไม่ว่าจะเป็น คณิตศาสตร์วิทยาศาสตร์กฎหมายและปรัชญาเป็นต้น นอกจากนั้นตรรกศาสตร์ยังเป็นปัจจัยสำคัญ ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสมอีกด้วย

  3. จากการที่ตรรกศาสตร์มีบทบาทที่สำคัญในการทำให้เราหาข้อสรุปต่าง ๆ ที่เกิดประโยชน์เป็นอย่างมากและเพื่อให้ผู้ศึกษาได้มีความรู้เบื้องต้นสำหรับการศึกษาเรื่องของตรรกศาสตร์ผู้ศึกษาจำเป็นจะต้องเข้าใจถึงลักษณะของประโยคของตรรกศาสตร์ เพื่อให้สามารถจำแนก ค่าความจริงของประโยคการสร้างประโยคการวิเคราะห์หาค่าความจริงรวมทั้งหาความสมเหตุสมผลในรูปแบบต่าง ๆ ได้จากประโยคทางตรรกศาสตร์ที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้คือ ประพจน์และประโยคเปิด

  4. ประพจน์และประโยคเปิด นิยาม : ประพจน์คือประโยคบอกเล่าหรือประโยคปฏิเสธที่มีค่าความจริงที่เป็นจริงหรือเป็นเท็จได้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น จริง เท็จ จริง เท็จ เท็จ จริง จริง

  5. นิยาม : ประโยคเปิดคือประโยคบอกเล่าหรือประโยคปฏิเสธที่มีตัวแปรหรือตัวไม่รู้ค่าอยู่ในประโยคและยังไม่สามารถระบุค่าความจริงของประโยคได้ว่าเป็นจริงหรือเป็นเท็จ เขา เขา x y q

  6. จากนิยามของคำว่าประพจน์และประโยคเปิดจึงมีวิธีการพิจารณาว่าประโยคใดจะเป็นประพจน์ ประโยคใดเป็นประโยคเปิดหรือประโยคใดไม่เป็นทั้งประพจน์และประโยคเปิดโดยอาศัยเกณฑ์จากนิยามนั่นเอง “ประโยคเปิดเป็นประโยคบอกเล่าหรือประโยคปฏิเสธที่ไม่สามารถสรุปได้ว่าค่าความจริงเป็นจริงหรือเป็นเท็จเนื่องจากมีตัวแปรหรือตัวที่ไม่รู้ค่าอยู่ในประโยคนั้นแต่สามารถเปลี่ยนประโยคเปิดให้เป็นประพจน์ได้ด้วยการบอกค่าตัวแปรหรือตัวที่เราไม่รู้ค่าประโยคเปิดนั้นก็จะเป็นประพจน์ได้เพราะสามารถบอกค่าความจริงของประโยคนั้นได้ว่าเป็นจริงหรือเท็จ” ข้อสังเกต ประโยคบอกเล่าหรือประโยคปฏิเสธบางประโยค ที่แม้จะมี ตัวแปรอยู่ในประโยคแต่ถ้าสามารถระบุค่าความจริงได้ว่าจริงหรือเท็จ ก็ถือว่าเป็นประพจน์ เช่น “y = x2เป็นสมการของกราฟพาราโบลา”

  7. จากตัวอย่างประโยคที่เป็นประโยคเปิดที่กล่าวมาข้างต้นเปลี่ยนให้เป็นประพจน์ได้ดังนี้ จากตัวอย่างประโยคที่เป็นประโยคเปิดที่กล่าวมาข้างต้นเปลี่ยนให้เป็นประพจน์ได้ดังนี้ ข้อ 1) และข้อ 2) ทำให้เป็นประพจน์ได้ด้วยการบอกชื่อว่า “เขา” เป็นใครซึ่งเมื่อบอกแล้วก็จะได้ประโยคที่เป็นประพจน์ที่สามารถบอกได้ว่า เป็นจริงหรือเท็จ ข้อ 3) บอกค่า x เช่นให้ค่า x = 4 จะได้ประพจน์ 4+5 = 12 ที่มีค่าความ จริงที่เป็นเท็จ ข้อ 4) บอกค่า y เช่นให้ค่า y คือ จำนวนนับจะได้ประพจน์ y  0เมื่อ y เป็นจำนวนนับที่มีค่าความจริงที่เป็นจริง ข้อ 5) บอกค่า q เช่นให้ค่า q = 4 จะได้ประพจน์ p + 2q = 10 เมื่อ p = 3 , q = 4 ที่มีค่าความจริงเป็นเท็จ

  8. ประพจน์คือประโยคบอกเล่าหรือปฏิเสธที่บอกค่าความจริงได้ว่าจริงหรือเท็จเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้นฉะนั้นประโยคใดที่ไม่ใช่ประโยคบอกเล่าหรือปฏิเสธจึงไม่ใช่ประพจน์เช่นประโยคที่อยู่ในรูปของประโยคคำถามคำสั่งคำขอร้อง คำอ้อนวอนคำอุทานข้อห้ามข้อปฏิบัติข้อความที่แสดงความต้องการ อยากได้หรือปรารถนา สุภาษิตคำพังเพยจะไม่ใช่ประพจน์ทั้งสิ้นเพราะไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นจริงหรือเท็จดังประโยคต่อไปนี้ 1) ขอจงทรงพระเจริญ 2) โปรดใช้สะพานลอย 3) อย่าเดินลัดสนาม 4) โปรดรักษาความสะอาด 5) อย่ามาสาย 6) จงคิดดีปฏิบัติดี 7) คุณพระช่วย ! จริงหรือ 8) ฉันอยากถูกสลากออมสินรางวัลที่1 9) ตั้งใจเรียนนะ 10) น้ำมันขึ้นราคาเป็นเท่าไรแล้ว 11) น้ำนิ่งไหลลึก

  9. ประเภทของประพจน์ ประพจน์แบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือประพจน์เชิงเดี่ยวและประพจน์เชิงประกอบ ประพจน์เชิงเดี่ยว (simple proposition)เป็นประพจน์ที่มีประธานและกริยาอย่างละเพียงตัวเดียวเช่น 1) นกมีปีก 2) ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก 3) Z เป็นพยัญชนะตัวสุดท้ายในภาษาอังกฤษ 4) นายก้องเกียรติเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี

  10. ประพจน์เชิงประกอบ (compound proposition) เป็นประพจน์ที่เกิดจากการนำประพจน์เชิงเดี่ยวมาเชื่อมกันด้วยตัวเชื่อมต่าง ๆ เพื่อให้เกิดประพจน์ใหม่ที่มีความหมายต่อเนื่องกันหรือมีความหมายแตกต่างกันไปเช่น 1) ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกและตกทางทิศตะวันตก 2) สมชายจะไปดูภาพยนตร์หรือไปเล่นกีฬา

  11. การเชื่อมประพจน์ การเชื่อมประพจน์เป็นการนำเอาตัวเชื่อม (conncetive) ทางตรรกศาสตร์มาเชื่อมกับประพจน์เชิงเดี่ยวตั้งแต่ 2 ประพจน์ขึ้นไปด้วยตัวเชื่อมต่อไปนี้      ค่าความจริงของประพจน์ใด ๆ จะเป็นจริงหรือเท็จอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น โดยต่อไปนี้จะใช้อักษร T แทนค่าที่เป็นจริงอักษร F แทนค่าที่เป็นเท็จและอักษร p , q , r , … แทนประพจน์

  12. ประพจน์ที่เชื่อมด้วยตัวเชื่อม“และ” (conjunctionstatement) เป็นประพจน์เชิงประกอบที่ได้มาจากการเชื่อมประพจน์เชิงเดี่ยวด้วยตัวเชื่อม “และ” ใช้สัญลักษณ์ p  q (อ่านว่า p และ q หรือ p and q) ตัวอย่างให้ p แทนธงชาติไทยมี 3 สี q แทนสีแดงของธงชาติ หมายถึงชาติ ดังนั้น p  qแทนธงชาติไทยมี 3 สีและสีแดงของธงชาติหมายถึงชาติ ค่าความจริงของประพจน์ p  qเป็นจริงเพียงกรณีเดียวเท่านั้นคือเมื่อประพจน์ p และประพจน์ q เป็นจริงทั้งคู่นอกนั้นค่าความจริงของ p  qจะเป็นเท็จหมดหรือกล่าวได้ว่าค่าความจริงของประพจน์ p  qจะเป็นเท็จ เมื่อค่าความจริงของประพจน์ p หรือประพจน์ q ตัวใดตัวหนึ่งอย่างน้อยหนึ่งตัวเป็นเท็จผลลัพธ์ของการเชื่อม p  qก็จะเป็นเท็จดังตารางต่อไปนี้ • เช่น 2 และ 32 = 9 ..........…......เป็น • 7 เป็นเลขคี่และ 7  1 ...…...……..เป็น • 32 = 6 และ 1 + 1 = 2 ...................เป็น • 23 = 6 และ 3  2 ...........…......เป็น T T F F F F F F

  13. ประพจน์ที่เชื่อมด้วยตัวเชื่อม“หรือ” (disjunction statement) เป็นประพจน์เชิงประกอบที่ได้มาจากการเชื่อมประพจน์เชิงเดี่ยว “หรือ” ใช้สัญลักษณ์ p q (อ่านว่า p หรือ q หรือ p or q ) ตัวอย่างให้ p แทน 23 = 6 q แทน 32 = 9 ดังนั้น p  q แทน 23 = 6 หรือ 32 = 9

  14. ค่าความจริงของประพจน์ p  qเป็นเท็จเพียงกรณีเดียวเท่านั้น คือ เมื่อประพจน์ p เป็นเท็จและประพจน์ q เป็นเท็จ หรือกล่าวได้ว่าค่าความจริงของประพจน์เชิงเดี่ยวที่เชื่อมด้วย หรือ เป็นเท็จหมดทุกประพจน์จะได้ผลของการเชื่อมเป็นเท็จ แต่ถ้าค่าความจริงของประพจน์ p หรือ q ตัวใดตัวหนึ่งอย่างน้อยหนึ่งตัวเป็นจริงผลลัพธ์ของ p  qก็จะเป็นจริงดังตารางต่อไปนี้ เช่น 2 3 หรือ 32 = 9……….……………....เป็น 3 5 หรือ 3 เป็นเลขคู่……..………........เป็น 23= 6 หรือ 3 เป็นเลขคี่……………..……เป็น 33 = 6 หรือ 3 เป็นเลขคู่…….………........ เป็น T T T T T T F F

  15. ค่าความจริงของประพจน์ p  qเป็นเท็จเพียงกรณีเดียวเท่านั้นคือเมื่อประพจน์ p (ตัวหน้า-หรือตัวเหตุ ) เป็นจริงประพจน์ q (ตัวหลังหรือตัวผล) เป็นเท็จ นอกจากกรณี p  qที่ p เป็นจริง q เป็นเท็จที่ให้ผลเป็นเท็จแล้ว นอกนั้นจะให้ผล p  qที่เป็นจริงทั้งหมดคือ p และ q เป็นจริงทั้งคู่ p และ q เป็นเท็จทั้งคู่ และ p เป็นเท็จ q เป็นจริงดังตารางต่อไปนี้ เช่น ถ้า 42 = 16 แล้ว 4 เป็นเลขคู่………..…....เป็น ถ้า 1 แล้ว 1+2 = 4 …………….… ..เป็น ถ้า 23 = 9 แล้ว 9 เป็นเลขคี่ ………..….....เป็น ถ้า 33 = 9 แล้ว 3 เป็นเลขคู่ …...……..….เป็น T T F T F T T T

  16. ประโยคในรูปเงื่อนไขนี้จะพบมากในเรื่องของความเป็นเหตุเป็นผลซึ่งสามารถเขียนเป็นข้อความในรูปแบบต่าง ๆ กันได้ดังตัวอย่างต่อไปนี้ p q 1. ถ้าฝนตกหนักแล้วน้ำจะท่วม p q 2. ฝนตกหนักน้ำจึงท่วม p q 3. น้ำจะท่วมถ้าฝนตกหนัก p q 4. น้ำท่วมเพราะฝนตกหนัก ถ้าให้ p แทนฝนตกหนัก q แทนน้ำจะท่วม ข้อความทั้ง 4 ข้อข้างต้นนั้นมีความหมายเหมือนกันและทุกข้อนั้นเขียนในรูปสัญลักษณ์ได้เป็น p q เหมือนกันทั้ง 4 ข้อ (p เป็นเหตุ และ q เป็นผล)

  17. ประพจน์ที่เชื่อมด้วยตัวเชื่อม “…ก็ต่อเมื่อ…” (biconditional statement) เป็นประพจน์เชิงประกอบที่ได้มาจากการเชื่อมประพจน์เชิงเดี่ยวด้วยตัวเชื่อม “…ก็ต่อเมื่อ…” ใช้สัญลักษณ์ p  q (อ่านว่า p ก็ต่อเมื่อ q หรือ p if and only if q) ตัวอย่าง ถ้าp แทน 23 = 8 q แทน 32= 9 ดังนั้น p  qแทน 23= 8 ก็ต่อเมื่อ 32 = 9

  18. ค่าความจริงของประพจน์ p  qเป็นจริงเมื่อทั้ง p และ q มีค่าความจริงที่เหมือนกันคือ p , q เป็นจริงทั้งคู่เหมือนกันหรือ p , q เป็นเท็จทั้งคู่เหมือนกันจะได้ผลลัพธ์ของ p  qเป็นจริงแต่ถ้า p , q มีค่าความจริงต่างกันหรือตรงกันข้ามกันจะได้ผลลัพธ์ของp  qเป็นเท็จ ดังตารางต่อไปนี้ T เช่น 23 = 8 ก็ต่อเมื่อ 2 + 2 = 4 ……….เป็น 32 = 9 ก็ต่อเมื่อ 3 เป็นเลขคู่ ….…..เป็น 32 = 6 ก็ต่อเมื่อ 1 + 1 = 2 ………...เป็น 23 = 6 ก็ต่อเมื่อ 2  3 ………........เป็น T F F F F T T

  19. ประพจน์ที่เชื่อมด้วยตัวเชื่อม นิเสธ (ไม่ , ไม่ใช่, not ,negation) คือ ประพจน์รูปนิเสธหรือรูปปฏิเสธ (denial) ของประโยคเดิมดังนั้นถ้า p เป็นประพจน์จะได้สัญลักษณ์ pแทนนิเสธของประพจน์ p ( pอ่านว่านิเสธของ p หรือไม่ใช่ p หรือ not p) ซึ่งค่าของ  pจะมีค่าตรงข้ามกับ p นั่นเอง ตัวอย่าง ถ้า p แทน 32 = 9 เป็น T ดังนั้น  pแทน32 9 เป็น F ค่าความจริงของประพจน์ pเป็นดังตารางต่อไปนี้ ถ้า p แทนเป็นจำนวนเต็ม เป็นF ดังนั้น  pแทน ไม่เป็นจำนวนเต็ม เป็น T F T

  20. สรุปค่าความจริงของประพจน์ที่เชื่อมด้วยตัวเชื่อม , , , ,  T T T T F F F T F F F T F T T F T F F F T T T T

  21. การวิเคราะห์หาค่าความจริงของประพจน์การวิเคราะห์หาค่าความจริงของประพจน์ ตัวอย่างที่1จงหาค่าความจริงของประพจน์ “ถ้า เป็นจำนวนนับแล้ว 62 = 36 และ 6 เป็นเลขคี่” วิธีทำให้ p คือเป็นจำนวนนับ .………เป็น F q คือ 62 = 36 …….…เป็น T r คือ 6 เป็นเลขคี่ .........เป็น F เปลี่ยนข้อความของประพจน์ให้อยู่ในรูปของสัญลักษณ์ p  (q r) แล้วหาค่าความจริงของประพจน์ได้ค่าความจริงเป็นจริงดังนี้ p  ( q r ) FT F F T แสดงว่าค่าความจริงของประพจน์ “ถ้า เป็นจำนวนนับแล้ว 62 = 36 และ 6 เป็นเลขคี่ ” มีค่าความจริงเป็นจริง

  22. ตัวอย่างที่ 2กำหนด p , q , r , s เป็นประพจน์โดยที่ q และ r ต่างมีค่าความจริงที่เป็นเท็จจงหาค่าความจริงของประพจน์ต่อไปนี้ 1) (ps) q r 2 ) (q p) (r s) วิธีทำ 1)  ( p s) q  r T T T T 2 ) (q p) (r s) FF T F F

  23. ตัวอย่างที่ 3ถ้าประพจน์ p q มีค่าความจริงเป็นเท็จและ q  r มีค่าความจริง เป็นจริงจงหาค่าความจริงของประพจน์ p ( q r )  r วิธีทำจาก1. p  q มีค่าความจริงเป็น F แสดงว่า p เป็น T และ q เป็น F 2. q r เป็น T เมื่อ q เป็น F จาก 1.จะได้ r เป็น T จากโจทย์จะได้ p เป็น F q เป็น F r เป็น T นำค่าความจริงที่ได้ไปแทนค่าใน ประพจน์ได้ดังนี้ วิธีหาค่าความจริง p,q,r [p ( q r ) ]  r T T T F F p  q TF F F T T q r

  24. ข้อสังเกตเกี่ยวกับค่าความจริงของตัวเชื่อม, , ,  1. p q จะเป็นเท็จถ้าประพจน์ตัวใดตัวหนึ่งเป็นเท็จ เช่น p q p q F F F F 2. p q จะเป็นจริงถ้าประพจน์ตัวใดตัวหนึ่งเป็นจริง เช่น p q p q T T T T 3. p q จะเป็นจริงถ้าประพจน์ตัวหน้า (p) เป็นเท็จ p q จะเป็นจริงถ้าประพจน์ตัวหลัง (q) เป็นจริง เช่น p q p  q F T T T 4. p q จะเป็นจริงถ้าประพจน์ทั้งคู่มีค่าความจริงเหมือนกัน เช่น p q p q T T T F T F

  25. กรณีที่เราไม่ทราบค่าความจริงที่แน่นอนของประพจน์เชิงเดี่ยวเลยเราจะพิจารณาหาค่าความจริงของทุกกรณีที่เป็นไปได้โดยการวิเคราะห์ด้วยตารางค่าความจริง (truth table analysis ) ในแต่ละกรณีเพื่อใช้ศึกษาและตรวจสอบในโอกาสต่าง ๆดังตัวอย่าง ตัวอย่างที่ 4 จงวิเคราะห์หาค่าความจริงของประพจน์ ( p  q ) p วิธีทำเนื่องจากประพจน์ ( p q ) p ประกอบด้วยประพจน์เชิงเดี่ยวที่แตกต่างกันอยู่ 2 ประพจน์คือ p กับ q แต่ละประพจน์มีค่าความจริงเป็นไปได้ 2 กรณี ( คือ T หรือ F ) ดังนั้นเมื่อพิจารณาพร้อมกันทั้ง 2 ประพจน์จะเกิดกรณีที่เป็นไปได้ 2 x2 = 4 กรณีคือ TT , TF , FT , FF เมื่อนำทั้ง 4 กรณีมาพิจารณาหาค่าความจริงจะได้ดังตารางต่อไปนี้ ( p q ) p TTFF TTTF TFTF TTFF T T T หรือแสดงได้ดังนี้ T F T F T

  26. ประโยคสัจนิรันดร์ และประโยคขัดแย้ง ประโยคสัจนิรันดร์( tautology ) คือประโยคที่มีค่าความจริงจากตารางค่าความจริงเป็นจริงทุกกรณีไม่ว่าประโยคที่เป็นประพจน์เชิงเดี่ยวจะมีค่าความจริงเป็น T หรือ F ก็ตาม เช่น ( p q ) p แสดงได้ดังนี้( p q ) p TTFF TFFF TFTF T TTFF T T T ค่าความจริงของประพจน์ ( p q ) p เป็นจริง ( T ) ทุกกรณีดังนั้นประพจน์ ( p q ) p จึงเรียกว่าเป็นสัจนิรันดร์

  27. ประโยคขัดแย้ง( contradiction )คือประโยคที่มีค่าความจริงจากตารางค่าความจริงเป็นเท็จทุกกรณี ไม่ว่าประโยคที่เป็นประพจน์เชิงเดี่ยวจะมีค่าความจริงเป็น T หรือ F ก็ตามเช่น( p q ) p แสดงได้ดังนี้ ( p  q )   p TTFF TFFF TFTF F FFTT F F F ค่าความจริงของประพจน์ ( p  q ) p เป็นเท็จ (F) ทุกกรณี ดังนั้นประพจน์ ( pq) p จึงเรียกว่าเป็นประโยคขัดแย้ง

  28. ประโยคที่สมมูลกัน ( equivalent sentences ) คือการที่ประโยค 2 ประโยคที่เป็นประพจน์มีค่าความจริงจากตารางค่าความจริงที่เหมือนกันทุกกรณีกรณีต่อกรณีดังนั้นเมื่อเชื่อมประพจน์ 2 ประพจน์ด้วยแล้วได้ผลลัพธ์ของจากตารางเป็นสัจนิรันดร์ก็แสดงว่าประพจน์หรือประโยคทั้ง 2 นั้นสมมูลกัน (ใช้สัญลักษณ์) โดยที่ประพจน์ทั้งสองนั้นจะมีความหมายเหมือนกัน และประโยคที่สมมูลกัน สามารถใช้แทนที่กันได้ ดังตัวอย่างต่อไปนี้ ตัวอย่างประโยคที่สมมูลกันเป็นดังนี้ T T T F F F T T T T T T จากตารางข้างต้นพบว่า p q และ p q และ q  p ต่างก็มีค่าความจริงเหมือนกันทุกกรณี แสดงว่า p q  p q  q p

  29. ตัวอย่างประพจน์ที่สมมูลกันตัวอย่างประพจน์ที่สมมูลกัน  ( p q )   p  q  ( p q )   p  q  ( p q )  p  q  ( p  q )  p q p q   q  p s t  t  s   p q  q p  ถ้าฝนตกแล้วกบร้อง  ถ้ากบไม่ร้องแสดงว่าฝนไม่ตก ถ้าแดงขยันแล้วแดงจะสอบได้  ถ้าแดงสอบตกแสดงว่าแดงไม่ขยัน ถ้าอั้มไม่ทำการบ้าน อั้มจะทำข้อสอบไม่ได้  ถ้าอั้มทำข้อสอบได้แสดงว่า อั้มทำการบ้าน

  30. การให้เหตุผล การให้เหตุผลแบบนิรนัยและแบบอุปนัย การให้เหตุผลแบบนิรนัย ( deductive ) เป็นการให้เหตุผลทางคณิตศาสตร์โดยนำข้อความที่กำหนดให้ซึ่งต้องยอมรับว่าเป็นจริงทั้งหมดหรือยอมรับว่าเป็นจริงโดยไม่ต้องพิสูจน์มาเป็นข้ออ้าง และสนับสนุนเพื่อสรุปเป็นผลข้อความที่เป็นข้ออ้างนี้เรียกว่าเหตุ ( premise ) และข้อความที่สรุปเรียกว่า ผลหรือผลลัพธ์ ( conclusion ) ซึ่งถ้าพบว่าเหตุที่กำหนดนั้นบังคับให้เกิดผลสรุปได้ตามหลักตรรกศาสตร์ก็แสดงว่าการให้เหตุผลดังกล่าวสมเหตุสมผล ( valid ) แต่ถ้าพบว่าเหตุที่กำหนดนั้นบังคับให้เกิดผลสรุปไม่ได้ตามหลักตรรกศาสตร์แสดงว่าการให้เหตุผลดังกล่าวไม่สมเหตุสมผล ( invalid ) ดังตัวอย่าง เหตุ: 1. สุนัขทุกตัวต้องหายใจ 2.ดุ๊กเป็นสุนัข ผล:ดุ๊กต้องหายใจ จะเห็นว่าจากเหตุ 1 และเหตุ 2 บังคับให้เกิดผลได้จริงดังนั้นการให้เหตุผลหรือการอ้างเหตุผลของตัวอย่างนี้จึงสมเหตุสมผล ( valid )

  31. เหตุ: 1. แมวทุกตัวต้องหายใจ 2. สำลีหายใจได้ ผล: สำลีเป็นแมว จะเห็นว่าจากเหตุ 2 สำลีหายใจได้แต่จากเหตุ 1 ระบุว่าแมวทุกตัวต้องหายใจหมายความว่าแมวทุกตัวเป็นสิ่งที่หายใจได้หรือสิ่งที่เป็นแมวต้องหายใจได้แต่สิ่งที่หายใจได้อาจมีหลายสิ่งไม่จำเป็นต้องเป็นแมวการที่สำลีหายใจได้ก็ไม่สามารถระบุได้ว่าสำลีต้องเป็นแมวเสมอไปอาจเป็นสิ่งอื่นที่ไม่ใช่แมวแต่หายใจได้ก็อาจเป็นได้ ดังนั้นเหตุ 1 และเหตุ 2 บังคับให้เกิดผลสรุปไม่ได้เสมอไปแสดงว่าการให้เหตุผลของตัวอย่างนี้ไม่สมเหตุสมผล ( invalid ) การให้เหตุผลแบบนิรนัยเป็นการให้เหตุผลที่คำนึงถึงความสมเหตุสมผลของผลสรุปที่เกิดจากเหตุที่กำหนดให้เป็นสำคัญโดยไม่ได้คำนึงว่าผลสรุปนั้นจะเป็นจริงในโลกปัจจุบันหรือไม่

  32. การให้เหตุผลแบบอุปนัย (inductive ) เป็นการให้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ โดยอาศัยข้อสังเกตหรือผลการทดลองจากหลาย ๆ ตัวอย่างมาสรุปเป็นข้อตกลงหรือสรุปซึ่งจะเห็นว่าการนำเอาข้อสังเกตหรือผลการทดลองจากบางหน่วยมาสนับสนุนให้ได้ข้อตกลงหรือสรุปซึ่งสรุปความถึงทุกหน่วยในบางกรณีอาจไม่สมเหตุสมผล เพราะอาจเป็นการสรุปเกินสิ่งที่กำหนดให้ซึ่งหมายความว่าการให้เหตุผลแบบอุปนัย จะต้องมีกฎของความสมเหตุสมผลเป็นการเฉพาะของตนเองนั่นคือจะต้องมีข้อสังเกต หรือผลการทดลองหรือมีประสบการณ์ที่มากพอที่จะทำให้เชื่อได้แต่อย่างไรก็ตามในบางกรณีก็ยังไม่สามารถแน่ใจในผลสรุปได้เต็มที่ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าการให้เหตุผลแบบอุปนัยเป็นเพียงการคาดการณ์หรือเป็นความน่าจะเป็นด้วยเหตุนี้ผลสรุปที่ได้จากการให้เหตุผลแบบอุปนัยจึงอาจไม่ถูกต้องทุกครั้งก็ได้ ตัวอย่าง การให้เหตุผลแบบอุปนัยเช่นเราพบว่ามีปลาจำนวนมากที่ออกลูกเป็นไข่เราจึงสรุปว่า “ ปลาทุกชนิดต้องออกลูกเป็นไข่ ” ซึ่งกรณีนี้ถือว่าไม่สมเหตุสมผลเพราะข้อสังเกตหรือตัวอย่างที่พบยังไม่มากพอที่จะสรุปเพราะโดยข้อเท็จจริงแล้วยังมีปลาบางชนิดที่ออกลูกเป็นตัว

  33. การให้เหตุผลแบบอุปนัยนิยมใช้ในการศึกษาค้นคว้าคุณสมบัติต่าง ๆ ทางด้านวิทยาศาสตร์เช่นข้อสรุปที่ว่า สารสกัดจากขมิ้นเป็นสมุนไพรที่สามารถใช้เป็นส่วนประกอบของเครื่องสำอางค์ที่ทำให้ผิวพรรณดีซึ่งข้อสรุปดังกล่าวได้มาจากการทำการทดลองซ้ำ ๆ กันหลาย ๆ ครั้งแล้วได้ผลการทดลองที่ตรงกันหรือถ้าเป็นในทางคณิตศาสตร์จะใช้การให้เหตุผลแบบอุปนัยในการสร้างสัจพจน์เช่นเมื่อเราทดลองลากเส้นตรงให้ตัดกันเราก็พบว่าเส้นตรงสองเส้นจะตัดกันเพียงจุด ๆ เดียวเท่านั้นไม่ว่าจะลากกี่ครั้งก็ตาม การตรวจสอบความสมเหตุสมผลแบบนิรนัย การตรวจสอบความสมเหตุสมผลแบบนิรนัยมีหลายวิธีซึ่งในที่นี้จะกล่าวถึง 3 วิธีดังนี้ - การตรวจสอบโดยใช้ตารางค่าความจริง - การตรวจสอบโดยใช้แผนภาพ - การตรวจสอบโดยใช้กฎการอ้างอิงหรือพิสูจน์

  34. การตรวจสอบทั้ง 3 วิธีมีวิธีการต่าง ๆ ดังนี้ 1. การตรวจสอบความสมเหตุสมผลโดยใช้ตารางค่าความจริง การตรวจสอบการสมเหตุสมผลโดยใช้ตารางค่าความจริงเป็นการตรวจสอบการให้เหตุผล โดยนำเอาเหตุและผลมาจัดให้อยู่ในรูปของประพจน์ ( p1 p2  p3  _ _ _ pn ) q เมื่อ p1 , p2 , _ _ _ , pnเป็นเหตุและ q เป็นผลถ้าได้ผลลัพธ์ของ จากตารางค่าความจริงเป็นสัจนิรันดร์หรือผลของ  เป็นจริงทุกกรณี ก็แสดงว่าสมเหตุสมผล แต่ถ้าผลลัพธ์จากตารางไม่เป็นสัจนิรันดร์ก็แสดงว่าไม่สมเหตุสมผลดังตัวอย่าง จากโจทย์ เหตุ: 1. ถ้าสมสุขไปเที่ยวต่างจังหวัดแล้วสมสุขไม่สบาย 2. สมสุขไม่สบาย ผล: สมสุขไปเที่ยวต่างจังหวัด

  35. วิธีทำ 1. เปลี่ยนเหตุและผลให้อยู่ในรูปของสัญลักษณ์ดังนี้ ให้ p แทนสมสุขไปเที่ยวต่างจังหวัด q แทนสมสุขไม่สบาย เหตุ: 1. p q 2. q ผล: p 2. นำเหตุและผลในรูปของสัญลักษณ์มาตรวจสอบว่าเป็นสัจนิรันดร์หรือไม่โดยนำเหตุทุกข้อมาเชื่อมกันด้วย ( และ ) แล้วใส่วงเล็บใหญ่ทั้งหมดแล้ว implies ผลได้ ประพจน์สำหรับตรวจสอบเป็น [ ( p q ) q ]  p นำไปสร้างตารางค่าความจริง 3. หาค่าความจริงของประพจน์ [ ( p q ) q ] p ดังนี้ [ ( p q ) q ] p TTFF TFTT TFTF TFTF TFTF TTFT TTFF 4. การพิจารณาผลลัพธ์ที่ได้จากตารางค่าความจริงถ้าได้ผลเป็นสัจนิรันดร์แสดงว่าเหตุผลที่โจทย์ให้มานั้นสมเหตุสมผลแต่ถ้าไม่เป็นสัจนิรันดร์ก็ไม่สมเหตุสมผล ดังนั้นเหตุผลจากโจทย์ข้อนี้จึงไม่สมเหตุสมผลเพราะค่าความจริงที่ได้จากตารางไม่เป็นสัจนิรันดร์

  36. ตัวอย่างที่ 5จงตรวจสอบความสมเหตุสมผลด้วยการใช้ตารางค่าความจริง เหตุ: 1. p q 2.  p ผล: q วิธีทำ[ ( p q )  p ] q TTFF TTTF TFTF FFTF FFTT T TFTF T T T ประพจน์[ ( p  q )  p ] q เป็นสัจนิรันดร์แสดงว่า สมเหตุสมผล

  37. การตรวจสอบความสมเหตุสมผลโดยใช้แผนภาพการตรวจสอบความสมเหตุสมผลโดยใช้แผนภาพ การตรวจสอบความสมเหตุสมผลโดยใช้แผนภาพใช้รูปปิด เช่น รูปวงกลมวงรีหรือ รูปเหลี่ยมต่าง ๆแทนข้อความหรือประโยคหรือสัญลักษณ์ที่ทำหน้าที่เป็นประธานและภาคแสดงในแต่ละประโยคที่เป็นเหตุและผลจากนั้นจึงเขียนรูปปิดเหล่านั้นตามความสัมพันธ์ของเหตุที่กำหนดให้แล้วจึงพิจารณาความสมเหตุสมผลจากแผนภาพที่เขียนนั้น การใช้แผนภาพสำหรับการตรวจสอบความสมเหตุสมผลมีวิธีการดังนี้ 1. เปลี่ยนประพจน์ส่วนที่เป็นเหตุนั้นให้อยู่ในรูปของแผนภาพ 2. แสดงความสัมพันธ์ของเหตุแต่ละข้อซึ่งอาจเกิดได้รูปแบบเดียวหรือหลายรูปแบบก็ได้ 3. นำส่วนที่เป็นผลมาวิเคราะห์หาความสมเหตุสมผลโดยพิจารณาจากความสอดคล้องกันระหว่างเหตุกับผลของแผนภาพ 3.1 ถ้าผลไม่สอดคล้องกับแผนภาพรวมอย่างน้อย 1 รูปแบบสรุปได้ว่าการให้เหตุผลนั้นไม่สมเหตุสมผล • 3.2 ถ้าผลสอดคล้องกับแผนภาพรวมทุกรูปแบบก็สรุปได้ว่าการให้เหตุผลนั้นสมเหตุสมผล

  38. ตัวอย่างที่ 6 จงตรวจสอบความสมเหตุสมผลของการให้เหตุผลโดยใช้แผนภาพ เหตุ : 1. นกทุกตัวเป็นสัตว์ปีก 2. สัตว์ปีกทุกตัวหายใจได้ ผล : นกทุกตัวหายใจได้ วิธีทำ จากเหตุ 1เขียนแผนภาพได้ดังนี้ สัตว์ปีก นก จากเหตุ 1 และ 2เขียนแผนภาพได้แบบเดียวดังนี้ หายใจได้ สัตว์ปีก นก จากแผนภาพพบว่าวงของนกทุกตัวอยู่ในวงของการหายใจได้แสดงให้เห็นว่านกทุกตัวหายใจได้ ซึ่งสอดคล้องกับผลดังนั้นการให้เหตุผลกรณีนี้จึงสมเหตุสมผล

  39. ตัวอย่างที่ 7จงตรวจสอบความสมเหตุสมผลโดยใช้แผนภาพ เหตุ: 1. ครูทุกคนได้รับเงินเดือนน้อย 2. มนัสได้รับเงินเดือนน้อย ผล: มนัสเป็นครู วิธีทำ จากเหตุ 1เขียนแผนภาพได้ดังนี้ เงินเดือนน้อย ครู

  40. จากเหตุ 1 และ 2เขียนแผนภาพได้หลายแบบดังนี้ให้แทนมนัสได้รับเงินเดือนน้อย แบบ 1 แบบ 2 เงินเดือนน้อย เงินเดือนน้อย ครู ครู แบบ 4 แบบ 3 เงินเดือนน้อย เงินเดือนน้อย ครู ครู จากแผนภาพจะเห็นว่าแบบที่ 1 แบบที่ 3 และแบบที่ 4 ไม่สอดคล้องกับผลที่ว่ามนัสเป็นครูดังนั้นการให้เหตุผลข้อนี้จึงไม่สมเหตุสมผล

  41. ตัวอย่างที่ 8 จงตรวจสอบความสมเหตุสมผลโดยใช้แผนภาพ เหตุ: 1. นักกีฬาบางคนเป็นนักศึกษาเรียนดี 2. นักศึกษาโปรแกรมวิชาบัญชีทุกคนเรียนดี ผล: นักกีฬาบางคนเป็นนักศึกษาโปรแกรมวิชาบัญชี วิธีทำ จากเหตุ 1 เรียนดี นักกีฬา นำเหตุข้อ 1 และ 2 มาเขียนแผนภาพโดยให้แทนนักศึกษาโปรแกรมวิชาบัญชีทุกคนเรียนดี นักกีฬา เรียนดี นักกีฬา เรียนดี นักกีฬา เรียนดี แบบ 1 แบบ 2 แบบ 3 จะเห็นได้ว่าแผนภาพแบบ 1 ไม่สอดคล้องกับผลที่ว่านักกีฬาบางคนเป็นนักศึกษา โปรแกรมวิชาบัญชีดังนั้นการให้เหตุผลนี้จึงไม่สมเหตุสมผล

  42. ตัวอย่างที่ 9จงตรวจสอบความสมเหตุสมผลโดยใช้แผนภาพ เหตุ: 1. สัตว์ปีกมี 2 ขา 2. แมลงมี 6 ขา 3. ไมค์ไม่เป็นทั้งสัตว์ปีกและแมลง ผล :ไมค์ไม่มีขา จากเหตุ 1 2 ขา สัตว์ปีก จากเหตุ 1 และ 2 6 ขา แมลง 2 ขา สัตว์ปีก จากเหตุ 1 , 2 และ 3ให้แทนไมค์ไม่เป็นทั้งสัตว์ปีกและแมลง

  43. แบบ 1 แบบ 2 2 ขา 2 ขา 6 ขา สัตว์ปีก แมลง 6 ขา สัตว์ปีก แมลง แบบที่ 4 แบบ 3 2 ขา 2 ขา 6 ขา 6 ขา สัตว์ปีก สัตว์ปีก แมลง แมลง จากแผนภาพแบบ 1 , 2 , 3 และ 4 แสดงว่าไมค์สามารถอยู่ได้ทุกที่ยกเว้นในวงสัตว์ปีกและแมลงเท่านั้นที่ไมค์อยู่ไม่ได้ไมค์จึงอาจมี 2 ขาหรือ 4 ขาหรือกี่ขาก็ได้จึงไม่สอดคล้องกับผลที่ว่าไมค์ไม่มีขาดังนั้นการให้เหตุผลนี้ จึงไม่สมเหตุสมผล

  44. การตรวจสอบความสมเหตุสมผลโดยใช้กฎการอ้างอิงการตรวจสอบความสมเหตุสมผลโดยใช้กฎการอ้างอิง การตรวจสอบความสมเหตุสมผลโดยใช้กฎการอ้างอิงเป็นการตรวจสอบโดยใช้การอ้างจากประโยคที่เป็นเหตุ โดยที่เหตุทุกข้อ คือสิ่งที่กำหนดให้ซึ่งต้องเป็นจริงเสมอและจะต้องพิสูจน์ให้เห็นจริงว่าผลเป็นจริงด้วยหรือไม่โดยใช้กฎพื้นฐานสำหรับอ้างอิงมาประกอบการพิสูจน์ถ้าพิสูจน์แล้วพบว่า ผลเป็นจริงเพียงอย่างเดียวก็แสดงว่า สมเหตุสมผลแต่ถ้าพบว่าผลเป็นเท็จ หรือเป็นได้ทั้งจริงและเท็จก็แสดงว่า ไม่สมเหตุสมผล

  45. กฎพื้นฐานสำหรับการอ้างอิงความสมเหตุสมผลที่สำคัญ (ปิยรัตน์จาตุรันตบุตร ,2547) • Simplification2) Addition • เหตุ : p  q เหตุ : p • ผล : p ผล : p  q 3) Modus Ponens : Direct Reasoning 4) Modus Tollens:Indirect Reasoning เหตุ : 1. p  q เหตุ : 1. p q 2. p 2.  q ผล : q ผล :  p 5) Hypothetical Syllogism6 ) Disjunctive Syllogism เหตุ : 1. p  qเหตุ : 1. p q 2. q r 2. p ผล : p r ผล : q 7) Conjunction เหตุ : 1. p 2. q ผล : p  q

  46. F T F ตัวอย่าง เหตุ 1) ~p ~q 2) q ผล p  T T ผล คือ p เป็นจริง แสดงว่าสมเหตุสมผล T F T ตัวอย่าง เหตุ 1) p ~q 2) ~p ผล ~q  T T ผล คือ ~q เป็นจริง แสดงว่าสมเหตุสมผล

  47. T,F T T ตัวอย่าง เหตุ 1) p ~q 2) ~ q ผล p  T สรุปการสรุปว่าสมเหตุสมผลเป็นไปได้เพียงกรณีเดียว คือ เมื่อผลเป็นจริง (T) T,F แต่ถ้าผลเป็นเท็จ (F) หรือผลเป็นได้ทั้งจริงและเท็จ(T,F) แสดงว่า ไม่สมเหตุสมผล ผล ได้ทั้งจริงและเท็จแสดงว่าไม่สมเหตุสมผล F T T ตัวอย่าง เหตุ 1) p ~q 2) ~ p ผล q  T F ผล ผลเป็นเท็จแสดงว่าไม่สมเหตุสมผล

  48. ตัวอย่างที่ 10 ตรวจสอบการให้เหตุผลต่อไปนี้โดยอาศัยกฎการอ้างอิง เหตุ : 1. (p q) (r  s) 2. (r  s) 3. p s ผล :s พิสูจน์ :1) (p q) (r s) จากเหตุ 1 2) (r  s)จากเหตุ 2 3) (p q) จากเหตุ 1,2และ Modus Tollens 4) p  qจาก 3 5) p จาก 4 และ Simplification 6) p s จากเหตุ 3 7) s จาก 6 และ Disjunctive Syllogism พิสูจน์ได้ว่าผล s เป็นจริงดังนั้นการให้เหตุผลนี้จึงสมเหตุสมผล

  49. ตัวอย่างที่ 11จงตรวจสอบการให้เหตุผลต่อไปนี้โดยอาศัยกฎการอ้างอิง เหตุ : 1. p  q 2. p  r 3. q ผล :r F T F T T T T T พิสูจน์ :1) p q จากเหตุ 1 2) q จากเหตุ 3 3) p จาก 1 , 2 และ Modus Tollens 4) p  rจากเหตุ 2 5) r จาก 3 , 4 และ Modus Ponens พิสูจน์ได้ว่าผล r เป็นจริงดังนั้นการให้เหตุผลจึงสมเหตุสมผล

  50. สรุป ประพจน์คือประโยคบอกเล่าหรือปฏิเสธที่มีค่าความจริงเป็นจริงหรือเท็จเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งส่วนประโยคหรือข้อความอื่น ๆที่เป็นคำถามคำสั่งคำขอร้องคำอ้อนวอน คำอุทานจะไม่ใช่ประพจน์ ส่วนประโยคเปิดคือประโยคบอกเล่าหรือปฏิเสธที่มีตัวแปรหรือตัวไม่รู้ค่าอยู่ในประโยคทำให้สรุปไม่ได้ว่าประโยคนั้นเป็นจริงหรือเท็จแต่ถ้าระบุตัวแปรหรือตัวไม่รู้ค่าประโยคเปิดนั้นก็จะเปลี่ยนเป็นประพจน์ ประพจน์มี 2 ประเภทคือประพจน์เชิงเดี่ยวและประพจน์เชิงประกอบประพจน์เชิงเดี่ยวเป็นประพจน์ที่มีประธานและกริยาอย่างละตัวเดียวส่วนประพจน์เชิงประกอบเป็นประพจน์ที่เกิดจากการนำตัวเชื่อมและ , หรือ  ,ถ้า…แล้ว…  ,…ก็ต่อเมื่อ…  , นิเสธมาเชื่อมกับประพจน์เชิงเดี่ยวตั้งแต่ 2 ประพจน์ขึ้นไป

More Related