1 / 51

การใช้น้ำยาฆ่าเชื้อและน้ำยาทำลายเชื้อ ที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ

การใช้น้ำยาฆ่าเชื้อและน้ำยาทำลายเชื้อ ที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ. ภญ.เยาวภา ชัยเจริญวรรณ หมวดเภสัชสนเทศ ฝ่ายเภสัชกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่. การทำลายการติดเชื้อ.

andrew
Download Presentation

การใช้น้ำยาฆ่าเชื้อและน้ำยาทำลายเชื้อ ที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. การใช้น้ำยาฆ่าเชื้อและน้ำยาทำลายเชื้อที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพการใช้น้ำยาฆ่าเชื้อและน้ำยาทำลายเชื้อที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ ภญ.เยาวภา ชัยเจริญวรรณ หมวดเภสัชสนเทศ ฝ่ายเภสัชกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่

  2. การทำลายการติดเชื้อ • Sterilization (การทำให้ปราศจากเชื้อ) คือ การทำลายจุลชีพทุกชนิดรวมทั้งสปอร์ให้หมดสิ้นไป เช่น การต้มนึ่ง การอบแห้ง (hot air oven) • Disinfection (การทำลายการติดเชื้อ) คือ การลด หรือการกำจัดจุลชีพ ทั้งทำให้เกิดโรค และ ที่ไม่ทำให้เกิดโรค การทำลายการติดเชื้อ Disinfection Sterilization ต้ม นึ่ง อบแห้ง ความร้อน แสง Antiseptic Disinfectant

  3. น้ำยาฆ่าเชื้อและน้ำยาทำลายเชื้อน้ำยาฆ่าเชื้อและน้ำยาทำลายเชื้อ หมายถึง Antiseptics หรือ Disinfectants สารเคมีที่ใช้ทำลายหรือยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลชีพ  ไม่อันตรายต่อผิวหนังและเยื่อเมือกโดยตรง  ใช้กับผิวหนังของคน หรือภายนอกของสิ่งมีชีวิต สารเคมีที่ใช้ทำลายจุลชีพที่ทำให้เกิดโรค โดยไม่ทำลายสปอร์ของ bacteria  เกิดอันตรายต่อผิวหนังและเยื่อเมือกโดยตรง  ใช้กับพื้นผิวของสิ่งไม่มีชีวิต ทั้งนี้ สารเคมีชนิดหนึ่งอาจเป็นได้ทั้ง antiseptic และ disinfectant ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติและความเข้มข้น

  4. การใช้ยา antiseptic หรือ disinfectant จะได้ผลหรือไม่ ขึ้นอยู่กับ : • ความเข้มข้นของยา • ระยะเวลายาวนานที่ใช้ยา • อุณหภูมิของยาซึ่งจะทำให้ฤทธิ์ยาเพิ่มขึ้น • ความไวของแบคทีเรียต่อยา • จำนวนแบคทีเรียที่มี • คุณสมบัติของ media บริเวณที่มีเชื้อโรค เช่น เป็นโปรตีน กรด/ ด่าง อินทรียสาร

  5. วิธีปฏิบัติในการใช้ antiseptic และ disinfectant ทำความสะอาดเอาสิ่งสกปรกที่ปกคลุมเชื้อออก เพื่อไม่ให้มีผลต่อประสิทธิภาพของยา โดยใช้ detergent ล้างบริเวณนั้นด้วยแอลกอฮอล์ อีเทอร์ หรือ gasoline ขาว เพื่อเอาน้ำมันตามผิวหนังและสิ่งอื่นที่อาจป้องกันไม่ให้ยาสัมผัสกับแบคทีเรียโดยตรง

  6. คุณสมบัติของ Antiseptics และ Disinfectant ในอุดมคติ 1. มีฤทธิ์ทำลายจุลชีพได้ทุกชนิด 2. ออกฤทธิ์ได้รวดเร็วและมีฤทธิ์อยู่นาน 3. ละลายน้ำได้ง่ายและมีความคงตัวสูง 4. ฤทธิ์ไม่เสียไปเมื่อถูกกับสบู่ หรือ สารอินทรีย์ เช่น เลือด หนอง ฯลฯ 5. ไม่เป็นอันตรายต่อเนื้อเยื่อของร่างกาย และไม่ขัดขวางกลไกในการหายของแผล

  7. คุณสมบัติของ Antiseptics และ Disinfectant ในอุดมคติ (ต่อ) 6. ถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือดได้น้อย และไม่ก่อให้เกิดการแพ้ 7. สามารถแทรกซึมเข้าไปในสิ่งของที่ต้องการ ทำให้ปราศจากเชื้อได้ดี และไม่มีฤทธิ์กัดกร่อนต่อวัตถุที่ใช้ 8. ไม่มีสี และกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ 9. ราคาถูก

  8. ส่วนผสมของยาฆ่าเชื้อที่ถูกระบุว่าเป็น disinfectant ก็ต้องฆ่าเชื้อในสิ่งไม่มีชีวิตเท่านั้น เพราะมีฤทธิ์ระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อปกติ การทำลายไวรัสจึงหมายถึงทำลายไวรัสที่ปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมนอกร่างกายสัตว์เท่านั้น

  9. ความไวของเชื้อโรคต่อยาฆ่าเชื้อความไวของเชื้อโรคต่อยาฆ่าเชื้อ มาก น้อย ที่มา: Prince et al., 1991

  10. ชนิดของยาฆ่าเชื้อและยาล้างเชื้อ แบ่งตามโครงสร้างทางเคมี ได้แก่ • 1. Alcohols • 2. Aldehydes • 3. Halogens • 4. Heavy metals • 5. Oxidizing agents • Phenols • 7. Surface active agents • 8. Acids 9. Nitrofurazone 10. Ethylene oxide 11. Miscellaneous

  11. กลไกการออกฤทธิ์ของยาฆ่าเชื้อและยาล้างเชื้อกลไกการออกฤทธิ์ของยาฆ่าเชื้อและยาล้างเชื้อ ที่มา: Prince et al., 1991

  12. Alcohol Alcohol ที่ใช้มากมี 2 ชนิด คือ Ethanol และ Isopropanol กลไกการออกฤทธิ์ • โดยละลายไขมันที่อยู่ในเยื่อหุ้มเซลล์ และทำให้โปรตีนของจุลชีพตกตะกอน • ทำลายเชื้อแบคทีเรียทั้งกรัมบวกและกรัมลบ รวมทั้งเชื้อวัณโรค เชื้อรา และไวรัสบางชนิด โดยเฉพาะเชื้อที่มีโครงสร้างไขมันหุ้มอยู่ เนื่องจาก alcohol จะออกฤทธิ์ละลายไขมัน ทำให้เยื่อหุ้มเซลล์เปลี่ยนสภาพ (protein denaturant) แต่ไม่มีผลต่อสปอร์

  13. Ethanol • นิยมใช้มากที่สุด สามารถใช้ได้ที่ความเข้มข้น 60-95% • ความเข้มข้นที่ใช้คือ 70% (โดยน้ำหนัก) จะออกฤทธิ์ได้เร็วที่สุด สามารถฆ่าเชื้อได้ดีที่สุด มีผลต่อเชื้อทุกชนิด ยกเว้น สปอร์ ออกฤทธิ์ในเวลา 1-2 นาที • อาการไม่พึงประสงค์ • ทำให้ผิวแห้งและตกสะเก็ดเนื่องจากไขมันที่ผิวหนังถูกทำลาย และการที่โปรตีนถูกทำลายจะกลายเป็นอาหารของเชื้อได้ดี • ห้ามใช้กับแผลสดหรือแผลติดเชื้อที่เปิด เพราะทำให้ปวดแสบปวดร้อน

  14. Ethanol (ต่อ) ประโยชน์ • ใช้เป็นยาฆ่าเชื้อและยาล้างเชื้อ เช่น ทำความสะอาดที่ผิวหนัง ใช้แช่เครื่องมือภายในเวลา 5 นาที • ใช้ผสมกับ 20% formalin จะฆ่าสปอร์ได้ในเวลา 30 นาที • ไม่ใช้แช่เครื่องมือ เพราะทำให้เป็นสนิม แต่ถ้าเติม 0.2% โซเดียมไนไตรท์จะช่วยป้องกันไม่ให้โลหะเป็นสนิมได้ • ออกฤทธิ์ synergism เมื่อใช้ร่วมกับdisinfectant อื่น เช่น I, KI

  15. ALDEHYDE ที่ใช้ในปัจจุบัน คือ Formaldehyde และ Glutaraldehyde กลไกการออกฤทธิ์ • โดยทำให้โปรตีนตกตะกอนด้วยวิธี alkylation • ทำลายเชื้อแบคทีเรียทั้งกรัมบวกและกรัมลบ รวมทั้งเชื้อวัณโรค เชื้อรา ไวรัส และมีผลช้าๆ ต่อสปอร์และเชื้อชนิด acid fast

  16. GLUTARALDEHYDE • สารละลายนี้จะคงตัวในสภาวะที่เป็นกรด • การใช้ยาฆ่าเชื้อนี้แช่เครื่องมือจะไม่มีผลกัดกร่อนโลหะ ไม่ว่าจะอยู่ในสภาวะกรดหรือเบส • ใช้เป็น disinfectant และ sterilant เครื่องมือทางการแพทย์ เช่น อุปกรณ์ผ่าตัด และ เครื่องส่องตรวจภายใน (endoscopes) โดยมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อ bacteria virus และ spore ได้ดี

  17. HALOGENS Halogens ที่ใช้มาก คือ Iodine, chlorine และ อนุพันธ์ของสารทั้งสอง กลไกการออกฤทธิ์ • โดยการออกซิไดซ์ sulfhyhydryl (-SH) group ให้กลายเป็น S-S group ทำให้โปรตีนถูกทำลายและตกตะกอน

  18. IODINES • เมื่อละลายน้ำ จะปล่อยไอโอดีนอิสระ ทำลายเชื้อแบคทีเรียทั้งกรัมบวกและกรัมลบ รวมทั้งเชื้อวัณโรค เชื้อรา และไวรัส • ทิงเจอร์ไอโอดีน 2% ใช้ทาแผลสด หรือ สารละลายลูกอลไอโอดีน ใช้ล้างมดลูกในกรณีที่เป็นหนอง • ขนาด 1 : 20000 สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ภายใน 1 นาที และฆ่าสปอร์ได้ภายใน 15 นาที • อาการไม่พึงประสงค์และอาการพิษ • อาการระคายเคืองผิวหนัง ทำให้เป็นผื่นบวม แดง ปวดแสบปวดร้อน ไม่ควรใช้กับบาดแผลใหญ่ ไม่ควรใช้สำลีชุบทิงเจอร์ไอโอดีนปิดแผล เพราะทำให้เนื้อเยื่อบริเวณนั้นตาย

  19. IODOPHORES • เป็นสารประกอบเชิงซ้อนของไอโอดีนกับโมเลกุลที่เป็น carrier • ชนิดที่รู้จักกันดี คือ Povidone-Iodine (Betadine®, Isodine®) • ประกอบด้วย Iodine + Polyvinylpyrolidone ซึ่งเมื่อละลายน้ำจะปล่อยไอโอดีนอิสระออกมาอย่างช้าๆ • ที่ความเข้มข้น 10% มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อ • ไม่ระคายเคืองผิวหนัง และไม่เปื้อนเสื้อผ้า และไม่ค่อยทำให้เกิดการแพ้ • ออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อ bacteria ลดลงหากมีสาร organic matter ยกเว้นที่มีค่า pH ไม่เกิน 4 • ควรชำละล้างหนอกออกก่อนใช้น้ำยาฆ่าเชื้อนี้

  20. สารจำพวกคลอรีน • คลอรีนเป็นก๊าซ แต่มีพิษมาก จึงใช้ละลายน้ำทำให้เกิดกรดไฮโปรคลอรัส (HOCl) มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อ แบคทีเรีย โปรโตซัว และไวรัส รวมทั้งมีฤทธิ์กัดสีด้วย • ข้อเสียคือคลอรีนทำปฏิกริยากับสารอินทรีย์ได้เร็ว ทำให้สูญเสียฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อได้ง่าย

  21. SODIUM HYPOCHLORITE (NaOCl) • รู้จักทั่วไปใช้เป็นน้ำยาซักผ้าขาว “ไฮเตอร์” • สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรีย สปอร์ เชื้อรา โปรโตซัว และไวรัส โดยเฉพาะชนิดที่มีไขมันเป็นส่วนประกอบของเปลือกหุ้ม เช่น เชื้อไวรัสไข้หวัดนก • ออกฤทธิ์จากการเติมสารนี้ลงในน้ำธรรมดา เพื่อให้เกิดการแตกตัวออกเป็น hypochlorous acid (HOCl) [NaOCl + H2O  HOCl + NaOH] จากนั้นจะเกิด hydrochloric acid (HCl) และ Oxygen atom(o) ที่เป็น oxidator อย่างแรงและมีผลฆ่าเชื้อเหมือนคลอรีน • อาการเป็นพิษคือปวดแสบปวดร้อนบริเวณที่สัมผัส

  22. HEAVY METALS กลไกการออกฤทธิ์ • ทำให้โปรตีนของจุลชีพตกตะกอนและยับยั้งการทำงานของ sulfhydryl group • สามารถยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ของแบคทีเรีย และ ของเนื้อเยื่อ ใช้ในรูปเกลือ เช่น เกลือปรอท และเกลือเงิน

  23. เกลือปรอท • เกลืออนินทรีย์เป็นพิษมาก ที่ยังคงใช้อยู่คือ ammonium mercury ointment ซึ่งใช้เป็นยาฆ่าเชื้อแผลพุพอง • ส่วนเกลืออินทรีย์จะมีพิษน้อยกว่า เช่น Merthiolate®(thimerosal) ซึ่งมีขายในรูปทิงเจอร์เมอไธโอเลท ใช้ทำความสะอาดผิวหนังก่อนผ่าตัด และ ยาแดง(Mercurochrome) • ใช้ใส่แผลสด แต่ไม่ควรให้กับแผลไฟไหม้ และแผลเรื้อรัง และไม่ควรใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน • สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา

  24. เกลือเงิน • เกลืออนินทรีย์ที่ไม่ระคายเคืองต่อผิวหนังและยังคงใช้กันมากคือ silver nitrate • ที่ความเข้มข้น 0.1 % สามารถทำลายเชื้อเกือบทุกชนิด ส่วนน้ำยาเข้มข้น 1% ใช้หยอดตาทารกแรกเกิด เพื่อป้องกันการติดเชื้อหนองในที่เยื่อบุลูกตา นอกจากนี้ความเข้มข้น 0.5% ใช้ป้องกันการติดเชื้อของบาดแผลไฟลวก ชนิดเป็นแท่งใช้จี้แผลและกำจัดหูด • อาการพิษอาจเกิดจากแบคทีเรียในแผลเปลี่ยนจากเกลือ ไนไตรท์ ให้เป็นเกลือไนเตรด ทำให้เกิด methemoglobin เกิดเป็นสีเทาถาวร

  25. OXIDIZING AGENTS • ใช้เป็นยาฆ่าเชื้อ เหมาะกับจุลชีพ anaerobic หรือ facultative anaerobic microorganism • แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่คือ เป็นกลุ่มที่นิยมใช้อยู่ทั่วไป เช่น • ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ • ด่างทับทิม • ฟีนอล • ครีซอล • เมื่อสัมผัสกับสารประกอบอินทรีย์ (Organic tissue) จะเกิดปฏิกิริยา oxidizing ที่แรง กับ เอนไซม์ catalase ให้ปล่อย oxygen ออกมาได้แก่ peroxide (เช่น hydrogen peroxide, Peracetic acid, sodium perbarate และ benzoyl peroxide) • เมื่อเกิดปฏิกิริยา oxidizing แล้ว ไม่ปล่อย oxygen ออกมาเช่น halogen และ potassium permaganate ได้จากน้ำมันดินจากถ่านหินและไม้ ยาฆ่าเชื้อ

  26. HYDROGEN PEROXIDE (H2O2) • ที่ความเข้มข้น 3% เมื่อสัมผัสกับเอนไซม์ catalaseในเนื้อเยื่อและเลือด จะทำให้เกิดแตกตัวเป็นน้ำ และออกซิเจน • H2O2ทำลายแบคทีเรีย เนื่องจาก free radical จะมีผลต่อไขมันที่เยื่อหุ้มเซลล์และที่องค์ประกอบอื่นของเซลล์ • ใช้ล้างแผลที่เป็นแอ่งตื้น ทำให้เนื้อเยื่อที่ตายหลุดออกมาได้ ไม่เหมาะกับแผลที่เป็นโพรงลึกและไม่มีทางเปิดสู่ภายนอก

  27. HYDROGEN PEROXIDE (H2O2) • น้ำยานี้ไม่คงตัว H2O2จะเกิดปฏิกริยา oxidation ทำให้ ออกซิเจนถูกปล่อยออกมาช้าๆ มีผลให้ประสิทธิภาพลดลง จึงต้องเก็บในภาชนะปิดสนิท ป้องกันแสง อุณหภูมิ 15-30 C • ประสิทธิภาพในการออกฤทธิ์ยังคงมีอยู่ตราบเท่าที่มีออกซิเจนทำให้เกิดเป็นฟอง • ฤทธิ์จะเสื่อมอย่างรวดเร็วเมื่อมีสารอินทรีย์ หรือ ความร้อน

  28. POTASSIUM PERMANGANATE (KMnO4) • ออกฤทธิ์เป็น oxidizing agent เช่นกัน แต่ไม่ให้ก๊าซออกซิเจนฤทธิ์ antiseptic หมดอย่างรวดเร็วเมื่อสัมผัสกับเนื้อเยื่อ ซึ่งจะเห็นว่าน้ำยาเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล • ความเข้มข้นที่ใช้คือ 1: 10000 ฆ่าแบคทีเรียภายใน 1 ชม. • ความเข้มข้น 1: 5000 จะระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อ

  29. PHENOLS • เป็นยาฆ่าเชื้อชนิดแรกที่ใช้ในวงการแพทย์ • ที่ความเข้มข้น 1-2% สามารถทำลายเชื้อได้หลายชนิด สามารถซึมผ่านผิวหนังและเนื้อเยื่อได้ดี แต่ทำให้ผิวหนังระคายเคืองได้ง่าย • ปัจจุบันเลิกใช้เป็นยาฆ่าเชื้อ แต่ใช้ล้างเชื้อเท่านั้น • ที่ความเข้มข้น 1% ใช้เป็นยาล้างเชื้อ ทำความสะอาดเครื่องมือ เครื่องใช้ • ที่ความเข้มข้น 2% ใช้เช็ดถูพื้นโรงพยาบาล • ที่ความเข้มข้น 5% ใช้ทำลายเชื้อในสิ่งคัดหลั่งต่างๆ (นอกตัว) ของผู้ป่วย • ข้อดีคือ ออกฤทธิ์ทันที ไม่เสื่อมฤทธิ์เมื่อถูกอินทรียวัตถุ ข้อเสียคือกลิ่นแรง

  30. CRESOLS • ใช้เป็น disinfectant เท่านั้น • ออกฤทธิ์คล้าย Phenol แต่ดีกว่าและถูกกว่า มีกลิ่นแรงคล้ายกัน • เป็นส่วนผสมระหว่าง isomer ของอนุพันธ์ของ Phenol3 ชนิด ทำให้เพิ่มประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อ ในขณะที่ความเป็นพิษลดลง • ใช้ผสมกับสบู่ ได้สารละลายใหม่เรียก Lysolราคาถูก ใช้ฆ่าเชื้อได้หลายชนิด แต่ไม่ทำลายสปอร์ มักใช้ในโรงพยาบาล

  31. Biguanides เช่น CHLORHEXIDINE, CHLOROXYLENOL (Dettol) • คือ xylenol ที่มี Cl เป็นส่วนประกอบ เป็นยาฆ่าเชื้อที่ใช้อย่างแพร่หลายในโรงพยาบาล มีพิษน้อย • ออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียกรัมบวกมากกว่ากรัมลบ โดยเฉพาะ Staphylococcus aureus และไม่ค่อยมีผลต่อไวรัส หรือ สปอร์ • ออกฤทธิ์โดยไปมีผลต่อ cytoplasmic membrane รบกวนการทำงานของเยื่อหุ้มเซลล์ให้ผิดปกติไป (จึงไม่มีผลต่อสปอร์) • มีฤทธิ์มากขึ้นในสภาวะด่าง • ฤทธิ์ลดลงถ้ามี organic matter (หนอง, เลือด) และ anionic compound (รวมถึงสบู่ยาด้วย)

  32. DYES • ชนิดที่รู้จักกันดี คือ Acriflavin (ยาเหลือง) และ Gentian violet (ยาม่วง)

  33. ยาเหลือง (Acriflavin) • ออกฤทธิ์ยับยั้งเชื้อกรัมบวกที่ทำให้เกิดหนอง และจะมีฤทธิ์ลดลงเมื่อถูกเลือดและหนอง • เหมาะจะใช้ทาแผลเรื้อรัง • มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเชื้อรา ยีสต์ และ Dermatophytes เช่น เชื้อ Candida และมีฤทธิ์ต้านเชื้อกรัมบวก esp. Staphylococcus แต่ไม่มีผลต่อสปอร์ • ฤทธิ์ลดลงเมื่อมีน้ำเหลือง ยาม่วง (Gentian violet)

  34. Brilliant Green • เป็นผลึกสีทอง น้ำยาที่เป็นน้ำและเป็นด่างมีสีเขียว แต่เมื่อออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อแล้วจะเปลี่ยนเป็นกรดเกลือได้สีเหลืองแดง • มีฤทธิ์ต้านเชื้อกรัมบวก esp. Staphylococcus และเป็น bacteriostatic ต่อ E.coli • Brilliant Green + Gentian Violet ใช้เป็นยาป้าย หรือใช้ทาภายนอก ใช้ใส่แผลที่ติดเชื้อ หรือไฟไหม้

  35. SURFACE-ACTIVE AGENTS สารที่อยู่เป็นหนึ่งในกลุ่มนี้และรู้จักกันดีคือ detergent หรือ ผงซักฟอกมีคุณสมบัติคือ • ทำให้เปียก โดยลดความตึงผิว ทำให้เกิดการสัมผัสระหว่างน้ำยาและพื้นผิวสิ่งของ • ทำให้กระจาย • ทำให้แทรกซึม • ทำให้เป็นฟอง แต่มีบางชนิดไม่ทำให้เกิดฟองแต่ใช้เป็นตัวชำระล้าง โดยใช้ปลายหนึ่งซี่งเป็นไฮโดรคาร์บอนจับกับไขมัน และรวมตัวเป็นวงกลม อีปลายหนึ่งเกาะกับน้ำอยู่ด้านนอก ทำให้ดึงส่วนไขมันที่สกปรกออกไป

  36. SURFACE-ACTIVE AGENTS Anionic • สบู่ • เป็น emulsifier ที่ดี ทำให้เชื้อแบคทีเรียหลุดออกมาพร้อมกับไขมันและสิ่งสกปรก • Cationic (ดีกว่าAnionic) • Quaternaryammoniumcompound • ออกฤทธิ์ในสภาพเบส (ตรงข้ามกับ Anionic) มีผลฆ่าแบคทีเรีย esp. กรัมบวก Emulsify = การสลายไขมัน เป็นการแยกไขมันและน้ำเป็นอนุภาคขนาดเล็ก ซึ่งจะถูกแขวนลอยในสารละลาย

  37. Quaternary Ammonium compound • เป็น membrane active agents ออกฤทธิ์เปลี่ยนแปลงการซึมผ่านของเยื่อหุ้มเซลล์ชั้นนอก แบคทีเรียแกรมลบ และ cytoplasmic (inner) membrane ของ bacteria รวมถึง plasma membrane ของยีสต์ • เป็นยาฆ่าเชื้อที่มีกลิ่นหอม ทำให้น่าใช้ • ความเข้มข้น 0.1% มีฤทธิ์ลดแบคทีเรียที่ผิวหนังน้อยกว่า Ethanol 70% • เมื่อใช้กับบาดแผลจะอยู่ในลักษณะเป็นแผ่นบางๆ คลุมผิวหนังไว้ ในขณะที่ยังมีแบคทีเรียเหลืออยู่ และอาจก่อให้เกิดการระบาดได้ • การใช้ยานี้ต้องระวังในเรื่องประสิทธิภาพเกี่ยวกับแบคทีเรียกรัมลบ และฤทธิ์ของยาลดลงเมื่อรวมกับสบู่

  38. ACIDS กรดอนินทรีย์ • ออกฤทธิ์ในสภาพ pH กรด • กรดเกลือ กรดกำมะถัน • เป็นอันตรายต่อเนื้อเยื่อ • ใช้เป็น disinfectant เท่านั้น • กรดอินทรีย์ • ออกฤทธิ์ในสภาพ pH กรด • ละลายไขมันได้ สามารถซึมผ่านเข้าเซลล์แบคทีเรีย ทำให้เยื่อหุ้มเซลล์ขาด • ให้ผลดีกว่ากรดอนินทรีย์ • Acetic acid, Benzoic acid

  39. ACETIC ACID • ที่ความเข้มข้น 1% มีฤทธิ์ยับยั้งแบคทีเรีย ใช้ล้างแผล • ที่ความเข้มข้น 5% มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้หลายชนิด • ที่ความเข้มข้น 10-40% ใช้จี้หูดและตาปลา SALICYLIC ACID

  40. BORIC ACID • ยับยั้งการเจริญของเชื้อราและแบคทีเรียอย่างอ่อนๆ • ที่ความเข้มข้น 3% ใช้เป็นยาล้างตา • glycerine borax ใช้ป้ายแผลที่ปากและหยอดหู • Benzoic acid + Salicylic acid = Whitfield ointment ใช้รักษาโรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อรา BENZOIC ACID

  41. ประสิทธิภาพของการทำให้ปราศจากเชื้อประสิทธิภาพของการทำให้ปราศจากเชื้อ การทำความสะอาดเบื้องต้น ชนิดของยาที่ใช้ จุลชีพ ความเข้มข้น ระยะเวลา กรด เบส อุณหภูมิ คุณภาพ ชนิดและจำนวน Stage ของเชื้อโรค

  42. ความสามารถในการฆ่าเชื้อของน้ำยาฆ่าเชื้อความสามารถในการฆ่าเชื้อของน้ำยาฆ่าเชื้อ Low potency

  43. ความสามารถในการฆ่าเชื้อของน้ำยาฆ่าเชื้อความสามารถในการฆ่าเชื้อของน้ำยาฆ่าเชื้อ Intermediate potency

  44. ความสามารถในการฆ่าเชื้อของน้ำยาฆ่าเชื้อความสามารถในการฆ่าเชื้อของน้ำยาฆ่าเชื้อ High potency หมายเหตุ : G+, G- และ G-B หมายถึง แบคทีเรียกรัมบวก กรัมลบ และกรัมลบรูปแท่ง เช่นPseudomonas sp. และProteus sp. good, fair และ poor หมายถึง ความสามารถในการทำลายเชื้อได้ดี ปานกลาง และไม่ดี none หมายถึง ไม่สามารถทำลายเชื้อชนิดนั้นๆ ? หมายถึง ไม่ทราบข้อมูล

  45. ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมที่มีผลต่อการใช้ยาฆ่าเชื้อชนิดต่างๆปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมที่มีผลต่อการใช้ยาฆ่าเชื้อชนิดต่างๆ ที่มา : Quinn, 1991

  46. ตารางแสดง สารเคมีในกลุ่ม Low-level disinfectant ที่มีใช้ในโรงพยาบาล มหาราชนครเชียงใหม่

  47. ตารางแสดง สารเคมีในกลุ่ม Low-level disinfectant ที่มีใช้ในโรงพยาบาล มหาราชนครเชียงใหม่

  48. ตารางแสดง สารเคมีในกลุ่ม Intermediate-level disinfectant ที่มีใช้ในโรงพยาบาล มหาราชนครเชียงใหม่

  49. ตารางแสดง สารเคมีในกลุ่ม Intermediate-level disinfectant ที่มีใช้ในโรงพยาบาล มหาราชนครเชียงใหม่

  50. ตารางแสดง สารเคมีในกลุ่ม High-level disinfectantที่มีใช้ในโรงพยาบาล มหาราชนครเชียงใหม่

More Related