1 / 61

บทที่ 1

บทที่ 1. ระบบตัวเลข (Number System).

Download Presentation

บทที่ 1

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. บทที่ 1 ระบบตัวเลข (Number System)

  2. ระบบเลขที่มนุษย์เราต้องเกี่ยวข้องรู้จักกันมากที่สุด คือเลข 0,1,2,3,4,5,6,7,8,9 รวม 10 ตัว ตัวเลขทั้ง 10 ตัวนี้ ใช้เครื่องมือหลักในการนับจำนวนทั้งหลายตามความต้องการ ดังนั้นฐานของระบบตัวเลขตัวชุดนี้จึงถูกกำหนดเป็น เลขฐานสิบ เพราะมันมีสัญญาลักษณ์ที่ใช้แทนค่าตัวเลขจำนวนต่างๆ10 แบบไม่ซ้ำ

  3. กัน แต่ละแบบมีเพียง 1 ตำแหน่ง ค่าของตัวเลขที่มีค่ามากกว่า 9 ขึ้นไปก็จะเป็นจำนวนตัวเลขที่เกิดจากการนำตัวเลข 10 ตัว ดังกล่าว เรียงประกอบกันขึ้น เช่น สองร้อยแปดสิบเก้าจะเขียนแทนด้วยตัวเลข 289 เป็นต้น

  4. ค่าของตัวเลขทุกจำนวนที่เขียนขึ้นมานั้น เขียนขึ้นมาในรูปแบบย่อทั้งสิ้น วิธีการเขียนที่ถูกต้องจะต้องมีค่าของฐานกำกับไว้ด้วยกัน (3184)10 หรือ 318410 แต่อย่างไรก็ตามการเขียนแบบนี้ยังคงเป็นแบบย่ออยู่นั่นเอง เพราะถ้าจะแสดงกันอย่างเต็มที่แล้วจะต้องเขียนเป็น 3x103+1x102+8x101+4x100 ที่หมายถึงว่าตัวเลข

  5. จำนวนนี้เป็นเลขฐานสิบ เพราะมีเลข 10 คูณอยู่กับค่าสัมประสิทธิ์ทุกตัว กำลังของเลขสิบเป็นตัวบอกถึงตำแหน่งของสัมประสิทธิ์ ต่อไปถ้าต้องการแสดงค่าของตัวเลข 3184 ในเลขฐาน เก้าก็เขียนได้ว่า (3184)9 หรือ 31849 ซึ่งย่อมาจาก 3x93+1x92+8x91+4x90ค่าของตัวเลขนี้จะตรงกับค่าของตัวเลขในฐานสิบ คือ (2344)10

  6. ความก้าวหน้าในเทคโนโลยีในปัจจุบันได้ถูกพัฒนาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เครื่องคำนวณสมองกลหรือคอมพิวเตอร์ก็ถูกพัฒนาขึ้น หลักการการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ก็อาศัยหลักการไหลหยุดของสัญญาณไฟฟ้าในช่วงจังหวะเวลาต่างๆกัน ซึ่งเหมือนกับปิดเปิดสวิทต์นั่นเอง การทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ในแต่ละส่วน

  7. จึงเป็นแบบ 2 จังหวะอยู่ตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้ค่าของตัวเลขฐานสอง จึงแทรกเข้ามามีบทบาท เพราะมันมีค่าเท่า กับ 0 กับ 1 ซึ่งสมมูลย์กับค่าปิดเปิดของสวิทซ์ นอกเหนือจากเลขฐานสองแล้วก็ยังมีเลขฐานแปด และเลขฐานสิบหกอีกด้วย เพราะสะดวกต่อการนำไปใช้ในการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์

  8. 1.2 ระบบตัวเลข ตัวเลขแต่ละระบบจะมีจำนวนตัวเลขที่ใช้เหมือนกับชื่อของระบบตัวเลขนั้นมีฐาน Base ของจำนวนตัวเลขชื่อของมันด้วย เช่น ระบบเลขฐานสอง ประกอบด้วยตัวเลข 2 ตัว คือ 0 และ 1ระบบเลขฐานแปด ประกอบด้วยตัวเลขจำนวน 8 ตัว คือ 0,1,2,3,4,5,6 และ 7

  9. ระบบเลขฐานสิบ ประกอบด้วยเลขจำนวน 10 ตัว คือ 0,1,2,3,4,5,6 ,7,8 และ 9 ระบบเลขฐานสิบหก ประกอบด้วยเลขจำนวน 16 ตัว คือ 0,1,2,3,4,5,6 ,7,8,9,A,B,C,D,Eและ F (เมื่อ A = 10, B=11, C=12, D=13, E=14, F=15)

  10. 1.3 การเปลี่ยนฐานของระบบตัวเลข การใช้เลขฐานต่างๆร่วมกันตั้งแต่สองฐานขึ้นไป ย่อมมีความสับสนเกี่ยวกับค่าของมัน เช่น 11010102มีค่าเท่าใดเลขฐานสิบหรือ 3758 มีค่าเท่าใดในเลขฐานสอง เป็นต้น ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีการเปลี่ยนฐานของค่าตัวเลขเหล่านั้นให้ไปอยู่ในฐานเดียวกัน

  11. การแปลงเลขจากฐานหนึ่งไปยังอีกฐานหนึ่ง ในระบบคอมพิวเตอร์จะเกี่ยวข้องกับเฉพาะเลขฐานสอง เลขฐานแปด และเลขฐานสิบหก ดังนั้นสิ่งที่ควรศึกษาต่อไปคือ

  12. - การแปลงเลขฐานสิบ ให้เป็นเลขฐานสอง เลขฐานแปด และเลขฐานสิบหก - การแปลงเลขฐานสอง เลขฐานแปด และเลขฐานสิบหก ให้เป็นเลขฐานสิบ - การแปลงเลขฐานสอง ให้เป็นเลขฐานแปด และเลขฐานสิบหก - การแปลงเลขฐานแปด และเลขฐานสิบหก ให้เป็นเลขฐานสอง - การแปลงเลขฐานสิบหก ให้เป็นเลขฐานแปด - การแปลงเลขฐานแปด เป็นเลขฐานสิบหก

  13. 1.4 การแปลงเลขฐานสิบ ให้เป็นเลขฐานสอง เลขฐานแปด และเลขฐานสิบหก การแปลงเลขฐานสิบที่เป็นจำนวนเต็มให้เป็นเลขฐานสอง เลขฐานแปด และเลขฐานสิบหก มีหลักการง่าย และคล้ายคลึงซึ่งมีวิธีการคือ ใช้นำเลขฐานสิบหารด้วยฐานของเลขที่จะต้องการแปลงโดยหารไปเรื่อยๆจนหารต่อไปอีกไม่ได้ เช่น

  14. - ถ้าต้องการเอาแปลงเลขฐานสิบให้เป็นเลขฐานสอง ก็ให้เอา 2 หารเลขฐานสิบนั้นๆ - ถ้าต้องการแปลงเลขฐานสิบให้เป็นเลขฐานแปด ก็ให้เอา 8 หารเลขฐานสิบนั้นๆ - ถ้าต้องการแปลงเลขฐานสิบให้เป็นเลขฐานสิบหก ก็ให้เอา 16 หารเลขฐานสิบนั้นๆ

  15. ส่วนการแปลงเลขฐานสิบที่เป็นทศนิยมให้เป็นเลขฐานอื่นๆ ทำได้โดยการคูณจำนวนศนิยมของเลขฐานสิบนั้น ด้วยฐานของเลขที่ต้องการแปลงหลายๆครั้งตามจำนวนทศนิยมที่ต้องการ เช่น

  16. - ถ้าต้องแปลงทศนิยมของเลขฐานสิบให้เป็นเลขฐานสอง ก็ให้เอา 2 คูณทศนิยมของเลขฐานสิบนั้นๆ - ถ้าต้องการแปลงทศนิยมของเลขฐานสิบให้เป็นเลขฐานแปด ก็ให้เอา 8 คูณทศนิยมของเลขฐานสิบนั้นๆ - ถ้าต้องการแปลงทศนิยมขอเลขฐานสิบให้เป็นเลขฐานสิบหก ก็ให้เอา 16 คูณทศนิยมของเลขฐานสิบนั้นๆ

  17. ตัวอย่างที่ 1.1 จงแปลง (35)10ให้เป็นเลขฐานสอง วิธีทำ 2 35 2 17 เศษ 1 LSD 2 8 เศษ 1 2 4 เศษ 0 2 2 เศษ 0 2 1 เศษ 0 MSD 0 เศษ 1 นั่นคือ (35) 10 = (100011)2

  18. ตัวอย่างที่ 1.2จงแปลง (0.6875)10ให้เป็นเลขฐานสอง วิธีทำ 0.6875 0.3750 0.7500 0.5000 x x x x 2 2 2 2 1.3750 0.7500 1.5000 1.0000 นั่นคือ (0.6875)10 = (0.1011)2

  19. 1.5 การแปลงเลขฐานสอง เลขฐานแปด และเลขฐานสิบหกเป็นเลขฐานสิบ การแปลงเลขฐานสอง เลขฐานแปด และเลขฐานสิบหกเป็นเลขฐานสิบ ทำได้โดยการนำเลขแต่ละตำแหน่งของเลขฐานนั้นๆคูณด้วยน้ำหนัก ของเลขฐานนั้นๆ แล้วนำมฟารวมกันทั้งหมดก็จะได้คำตอบที่ต้องการ ขอให้ศึกษาตัวอย่างต่อไปนี้

  20. ตัวอย่างที่ 1.10จงแปลง (110110)2 ให้เป็นเลขฐานสิบ วิธีทำ (110110)2 = 1 x 25 +1 x 24 + 0 x 23 + 1 x 22 + 1 x 21 +0 x 20 = 32 + 16 +0+4+2+0 = (54)10 อธิบาย หลักหน่วยคือ 0 มีน้ำหนักเป็น 20 หลักสิบคือ 1 มีน้ำหนักเป็น21 หลักร้อยคือ 1 มีน้ำหนักเป็น 22 หลักพันคือ 0 มีน้ำหนักเป็น 22 เป็นต้น

  21. 1.6 การแปลงเลขฐานสองเป็นเลขฐานแปด และการแปลงเลขฐานแปดเป็นเลขฐานสอง การแปลงเลขฐานสองเป็นเลขฐานแปดทำได้โดยการแปลงเลขฐานสองให้เป็นเลขฐานสิบก่อนจากนั้นก็แปลงเลขฐานสิบที่ได้เป็นเลขฐานแปด จะได้คำตอบตามต้องการ ในทำนองเดียวกันแปลงเลขฐานแปดให้เป็นเลขฐานสองทำได้โดย

  22. การแปลงเลขฐานแปดให้เป็นฐานสิบก่อน แล้วนำเลขฐานสิบได้แปลงเป็นเลขฐานสองต่อไป แต่วิธีดังกล่าวเป็นวิธียุ่งยาก วิธีการแปลงแบบงายจะใช้วิธีแทนเลขฐานแปดหนึ่งหลักด้วยเลขฐานสองจำนวน 3 Bits ดังแสดงตาราง

  23. จากตาราง จะเห็นได้ว่าเลขฐานแปดหนึ่งหลักสามารถแทนได้ด้วยเลขฐานสองจำนวน 3 Bits ดังนั้นการแปลงเลขฐานสองให้เป็นเลขฐานแปด หรือการแปลงเลขฐานแปดให้เป็นเลขฐานสอง จึงทำได้โดยการแทนค่าต่างๆตามตารางหากต้องการแปลงเลขฐานสองให้เป็นเลขฐานแปดก็แบ่งเลขฐานสองเป็นชุดละ 3 Bits โดยนับมาจากทางขวามาซ้าย ถ้าชุดสุดท้ายมีไม่ถึงก็ให้เติม 0 ลงไป แต่ถ้าเป็นเลขทศนิยม การแบ่งเลขฐานสองเป็นชุดนับจากซ้ายไปทางขวา

  24. ตัวอย่างที่ 1.19 จงแปลง (110111010)2ให้เป็นเลขฐานแปด วิธีทำ ให้พิจารณาจากตาราง 110 = 6 111 = 7 010 = 2 (110111010)2 = (110 111 010)2 = (672)8

  25. 1.7 การแปลงเลขฐานสองเป็นเลขฐานสิบหก และการแปลงเลขฐานสิบหกเป็นเลขฐานสอง ทำได้โดยการแปลงเป็นเลขฐานสิบก่อนตามที่ได้กล่าวมาแล้ว ส่วนวิธีที่ง่ายก็คล้ายๆกับการแปลงเลขฐานสองเป็นเลขฐานแปดหรือการแปลงเลขฐานเป็นเลขฐานสอง หากต้องการแปลงเลขฐานสองให้เป็นเลขฐานสิบหก

  26. ก็ให้แบ่งเลขฐานสองเป็นชุดละ 4 bit โดยนับจากทางขวามาทางซ้าย ถ้าชุดสุดท้ายมีไม่ถึง4 bit ก็ให้เติมศูนย์ลงไป แต่ถ้าเป็นเลขทศนิยม การแบ่งเลขฐานสองเป็นชุดให้นับจากทางซ้าย ไปทางขวาเมื่อ ก็ทำได้โดยการแทนค่าเลขฐานสิบหกแต่ละหลักด้วยเลขฐานสองตามตาราง เช่นเดียวกัน

  27. ความสัมพันธ์ระหว่างเลขฐานสิบหกกับเลขฐานสองความสัมพันธ์ระหว่างเลขฐานสิบหกกับเลขฐานสอง

  28. ตัวอย่าง จงแปลง (100100111100)2 วิธีทำ พิจารณาจากตาราง 1.3จะได้ 1001 = 9 0111 =3 1100 = C นั่นคือ ( 100100111100)2 = (1001 0011 1100)2 = (93C)16

  29. 1.8 การแปลงเลขฐานแปดเป็นเลขฐานสิบหก และแปลงเลขฐาน สิบหก เป็นเลขฐานแปด การแปลงเลขฐานแปดเป็นเลขฐานสิบหก และการแปลงเลขฐานสิบหกเป็นเลขฐานแปด มีวิธีการคือให้แปลงเป็นเลขฐานสองก่อน แล้วจึงไปยังเลขฐานที่ต้องการอีกครั้ง ขอให้ศึกษาในกรณีนี้ ตัวอย่างที่ 1.27 จงแปลง (3721)8 ให้เป็นเลขฐานสิบหก วิธีทำ (3721)8 = (011 111 010 001)2 = (0111 1101 0001)2 = (7D 1)16

  30. ตัวอย่างจงแปลงเลข   (261)8     เป็นเลขฐานสิบหก                      (261)8     =       010      110     001                                     =       010110001                                     =         1011     0001                                       =               B           1                                      =       B1                          (261)8   =       (B1)16  

  31. ตัวอย่างจงแปลงเลข   (535)8   เป็นเลขฐานสิบหก               (535)8     =             5           3         5                             =         101       011     101                             =         101011101                             =         0001   0101    1101              (535)8     =     (15D)16      

  32. 1.9 การแปลงเลขฐานต่างๆ โดยวิธีลัด หากแปลงให้อยู่ในรูปของตัวเลขฐานสองแล้ว ก็จะทำง่ายต่อการเปลี่ยนแปลงในเลขฐานอื่นๆ ต่อไป เช่น ถ้าต้องการแปลงเลขฐานสิบให้เป็นฐานสิบหก ก็ให้แปลงเลขฐานสิบนั้นให้เป็นเลขฐานสองก่อน แล้วจึงแปลงต่อให้เป็นเลขฐานสิบหก หรือต้องการแปลงเลขฐานสิบนั้นให้เป็นเลขฐานสองก่อน

  33. แล้วจึงแปลงเลขฐานสิบหกนั้นให้เป็นเลขฐานสองก่อน แล้วจึงแปลงเป็นเลขฐานสิบ เป็นต้น ข้อสำคัญคือการแปลงเลขฐานสิบให้เป็นเลขฐานสอง และการแปลงเลขฐานสองให้เป็นเลขฐานสิบจะมีวิธีการทำอย่างง่ายๆและมีความถูกต้องได้อย่างไร ไม่ยากขอให้พิจารณาน้ำหนักของเลขฐานสองนี้

  34. (ก)........211 210 29 28 27 26 25 24 23 22 21 20 2 -1 2-2 2-3 2-4 ... (ข)..... 2048 1024 512 256 128 64 32 16 8 4 2 1 0.5 0.25 0.125 0.0625 ตัวเลข 2 บรรทัดข้างบนนี้ คือน้ำหนักของฐานสอง เลขยกกำลังเต็มบวกคือเลขจำนวนเต็มและเลขยกกำลังเต็มลบคือทศนิยม ในการแปลงเลขฐานสิบเป็นฐานสอง หรือการแปลงเลขฐานสองให้เป็นเลขฐานสิบ ให้พิจารณาจากเลข 2 บรรทัดข้างบนดังนี้

  35. ตัวอย่าง (756.5625)10 = (?)2 วิธีทำ ในขั้นต้นให้ถามตนเองว่า ตัวเลขที่บรรทัด (ข) มีตัวเลขอะไรบ้างที่บวกกันแล้วได้ผลลัพธ์เป็น756.5625 คำตอบคือ 512+128+64+32+16+4+0.5+0.0625 = 456.5625 จากนั้น ให้ใส่เลข 1 และเลข 0ตามตำแหน่งน้ำหนักของตัวเลขบรรทัด (ข) คือ ....2048 1024 512 256 128 64 32 16 8 4 2 1 0.5 0.25 0.125 0.0625… 1 0 1 1 1 1 0 1 0 0 1 0 0 1 นั่นคือ (756.5625)10 = (1011110100.1001)2

  36. ตัวอย่าง (1101111001.1101)2= ( ? )10 วิธีทำ ให้ใส่ฐานสองตามน้ำหนักของมันเทียบกับบรรทัด (ข) แล้วให้นำตัวเลขที่บรรทัด (ข) ซึ่งตรงกับเลข 1มาบวกกัน ก็จะได้คำตอบที่ต้องการดังนี้ ....2048 1024 512 256 128 64 32 16 8 4 2 1 0.5 0.25 0.125 0.0625… 1 0 0 1 1 1 0 0 0 0 1 0 0 1 นั่นคือ (1101111001.1101)2= ( 512+256+64+32+16+8+1+0.5+0.25+0.0625)10 = (889.8125)10 เมื่อสามารถแปลงเลขฐานสิบให้เป็นเลขฐานสอง และแปลงเลขฐานสองให้เป็นเลขฐานสิบ ด้วยวิธีง่ายๆดังกล่าวนี้ ก็สามารถแปลงให้เป็นเลขฐานอื่นๆต่อไปได้ง่าย

  37. 1.10 การบวกเลขฐานต่างๆ การบวกเลขฐานต่างๆจะมีวิธีการบวกเกือบทั้งหมด เพื่อความเข้าใจในวิธีการบวกเลข จึงขออธิบายวิธีบวกเลขฐานสิบที่ถูกต้อง ดังตัวอย่างต่อไปนี้ จงบวก (7536)10 เข้ากับ (3527)10

  38. จากตัวอย่างข้างต้น อธิบายการบวกเป็นขั้นตอนได้ดังนี้. ตัวที่ 1 (นับจากทางขวาสุด) 6 + 7 = 13 ผลลัพธ์ที่ได้ = 13 เราเอา 10 ไปลบออก (การที่เอา 10 ไปลบออกเนื่อง จากเป็นเลขฐานสิบ) จะได้ 13 - 10 = 3 เราจึงใส่ 3 แล้วทดไป 1 ตัวที่ 2 3 + 2 = 5 รวมกับตัวทดอีก 1 จึงเท่ากับ 6 เนื่องจาก 6 เป็นตัวเลขที่ไม่ถึง 10 ก็ไม่ต้องเอา 10 ไปลบแต่อย่างใด เราจึงใส่ 6 ลงไป และไม่มีตัวทด ตัวที่ 3 5 + 5 = 10 ผลลัพธ์ที่ได้ = 10 เราก็เอา 10 ไปลบออก จะได้ 10 -10 = 0 เราจึงใส่ 0 แล้วทดไป 1

  39. ตัวที่ 4 7 + 3 = 10 รวมกับตัวทดอีก 1 จึงเท่ากับ 11 เราก็เอา 10 ไปลบออก จะได้ 11 -10 = 1 เราจึงใส่ 1 แล้วทดไป 1 ที่ได้ไม่มีตัวบวกอีกแล้วก็ใส่ 1 ต่อลงไปข้างหน้า ก็จะได้ผลลัพธ์ตามต้องการ

  40. จงบวก (1011)2เข้ากับ (1001)2 จากตัวอย่างข้างต้น อธิบายการบวกเป็นขั้นตอนได้ดังนี้. ตัวที่ 1 (นับจากทางขวาสุด) 1 + 1 = 2 ผลลัพธ์ที่ได้ = 2 เราเอา 2 ไปลบออก (การที่เอา 2 ไปลบออกเนื่องจากเป็นเลขฐานสอง) จะได้ 2 - 2 = 0 แล้วทดไป 1 ตัวที่ 2 1 + 0 = 1 รวมกับตัวทดอีก 1 จึงเท่ากับ 2 ผลลัพธ์ที่ได้ = 2 เราก็เอา 2 ไปลบออก จะได้ 2 - 2 = 0 เราจึงใส่ 0 แล้วทดไป 1

  41. ตัวที่ 3 0 + 0 = 0 รวมกับตัวทดอีก 1 จึงเท่ากับ 1 เนื่องจาก 1 เป็นตัวเลขที่ไม่ถึง 2 ก็ไม่ต้องเอา 2 ไปลบออกแต่อย่างใด เราจึงใส่ 1 ลงไป และไม่มีตัวทด ตัวที่ 4 1 + 1 = 2 ผลลัพธ์ที่ได้ = 2 เราก็เอา 2 ไปลบออก จะได้ 2 - 2 = 0 เราจึงใส่ 0 แล้วทดไป 1 ตัวทด 1 ที่ได้ไม่มีตัวบวกอีกแล้ว เราก็ก็ใส่ 1 ลงไปข้างหน้า ก็จะได้ผลลัพธ์ตามต้องการ

  42. การบวกเลขฐานแปด และเลขฐานสิบหก ก็มีวิธีการเช่นเดียวกันกับที่กล่าวมาแล้ว กล่าวคือ ถ้าเป็นการบวกเลขฐานแปด ผลบวกของแต่ละตัวที่ได้ ถ้ามีค่าตั้งแต่ 8 ขึ้นไป ก็ให้เอา 8 ไปลบลบออกเหลือเท่าไรก็ให้ใส่ค่านั้นลงไปแล้วทดไป 1 ส่วนการบวกเลขฐานสิบหกก็เช่นเดียวกันคือ ผลบวกของแต่ละตัวที่ได้ ถ้ามีค่าตั้งแต่ 16 ขึ้นไป ก็ให้เอา 16 ไปลบออก เหลือเท่าไรก็ให้ใส่ค่านั้นลงไปแล้วทดไป 1

  43. ตัวอย่าง (1101)2 + (1011)2 = (……..)2 วิธีทำ 1101 + 1011 ตอบ (11000) 2 อธิบาย 1. 1+1  = (2) 10 = (10) 2 ใส่ 0 ทดไป 1 2. 0+1+1(ตัวทด) = (2) 10 = (10) 2 ใส่ 0 ทดไป 1 3. 1+0+1(ตัวทด) = (2) 10 = (10) 2 ใส่ 0 ทดไป 1 4. 1+1+1(ตัวทด) = (3) 10 = (11) 2 ใส่ 11

  44. 1.11 การลบเลขฐานต่างๆ การลบเลขไม่ว่าจะเป็นเลขฐานอะไรก็แล้วแต่ มีหลักการเหมือนกันหมด หลักการสำคัญที่ควรรู้มีดังนี้ กรณีตัวตั้งมากกว่าหรือเท่ากับตัวลบ ก็ให้ลบกันตามปกติ เช่น (8) 10 - (2) 10 = (6) 10 , (1) 2 - (0) 2 = (1) 2 , (7) 8 - (5) 8 = (2) 8 , (A) 16 - (6) 16 = (4) 16 เป็นต้น

  45. กรณีตัวตั้งน้อยกว่าตัวลบ การลบกันก็ต้องมีตัวยืม โดยการยืมตัวถัดไป การยืมแต่ละครั้งมีหลักเกณฑ์คือ ให้ยืมตัวหน้ามา 1 ตัว ที่ให้ยืมไปมีค่าลดลงไป 1 ค่า 1 ที่ยืมมานั้น จะมีค่าเท่ากับค่าของฐานเลขนั้น (เช่น เลขฐานสิบ 1 ที่ยืมมาจะมีค่าเท่ากับ 10 เลขฐานสอง ค่า 1 ที่ยืมมาจะมีค่าเท่ากับ 2 เลขฐานแปด ค่า 1 ที่ยืมมามีค่าเท่ากับ 8 เลขฐานสิบหก ค่า 1 ที่ยืมมาจะมีค่าเท่ากับ 16 เป็นต้น) ให้นำไปบวกกับตัวยืม ได้เท่าไรก็นำตัวลบมาลบออก ก็จะได้ผลลัพธ์ที่ตามต้องการ

  46. ตัวอย่าง จงทำให้เป็นผลสำเร็จ ก(1010)2 – (111)2 (ข) (10010001)2 - (1101110)2 ค(6253)8 – (4736)8 (ง) (5364)8 – (3756)8 จ(77AE)16 - (5BOF)16 (ฉ) (FA87)16 - (CB6A)16 วิธีทำ (ก) (1010)2 (ข) (10010001)2 (111)2(1101110)2 (0011)2(00100011)2

  47. จากตัวอย่าง อธิบายขั้นตอนได้ดังนี้ ตัวที่ 1 (หลักหน่วย) 0-1 ลบกันไม่ได้ ต้องยืมตัวถัดไปคือหลักสิบมา 1 ตัวที่ถูกยืมมีค่าลดลงไป1 เหลือ 0 ตัวที่ยืมมา 1 มีค่าเท่ากับฐานเลขคือ 2 ทำให้ได้ 2-1= ผลลัพธ์คือ 1 ตัวที่ 2 (หลักสิบ) ถูกยืมไปแล้ว 1 คงมีค่าเป็น 0 ทำให้ 0 -1 ไม่ได้ ต้องยืมตัวถัดไปคือหลักร้อยมีค่าเป็น 0 จึงต้องทำให้หลักร้อยเป็น 0 และหลักร้อยที่ยืมหลักพันมา 1 มีค่า เป็น 2 และหลักร้อยให้หลักสิบยืมไป 1 หลักร้อยจึงมีค่าเป็น 1 หลักสิบยืมหลักร้อยมา 1 ซึ่งมีค่าเป็น 2 ดังนั้น 2-1 =1ผลลัพธ์คือ 1 ตัวที่ 3 (หลักร้อย๗ คงมีค่าเป็น 1 และ 1 -1 = 0 ผลลัพธ์คือ 0 ตัวที่ 4 (หลักพัน) คงมีค่าเป็น 0 และ0 0 - 0 = 0 ผลลัพธ์คือ 0 (ค)(6253)8 – (ง) (5364)8 (4736)8 – (3756)8 (1315)8(1406)8

  48. จากตัวอย่างจงอธิบายการลบดังต่อไปนี้จากตัวอย่างจงอธิบายการลบดังต่อไปนี้ ตัวที่ 1 หลักหน่วย3-6 ไม่ได้ ต้องยืมตัวถัดไปหลักสิบมา 1 ตัวที่ถูกยืมมีค่าลดลง 1 เหลือ 4 ตัวที่ยืมมา1 มีค่าเท่ากับฐานคือ 8 ทำให้หลักร้อยมีค่าเป็น 8+3 = 11 ดังนั้น 11 – 6 = 5 ผลลัพธ์ คือ 5 ตัวที่ 2 หลักสิบ ถูกยืมไปแล้ว 1 คงมีค่าเป็น 4 ทำให้ 4-3 = 1 ผลลัพธ์คือ 1 ตัวที่ 3 หลักร้อย 2-7 ลบกันไม่ได้ต้องยืมตัวถัดไปคือหลักพัน มา 1 ตัวที่ถูกยืมมีค่าลดลง 1 เหลือ 5 ตัวที่ยืมมามีค่าเท่ากับฐานเลขคือ 8 ทำให้หลักร้อยมีค่าเป็น 8+2 =10 ดังนั้น 10-7=3ผลลัพธ์คือ 3 ตัวที่ 4 หลักพัน คงมีค่าเป็น 5 และ 5-4 = 1 ผลลัพธ์ คือ 1

More Related