310 likes | 749 Views
บทที่ 3: สายสัญญาณ และสื่อไร้สาย. 3.1 สายสัญญาณ (Wire) Coaxial Cable, Twisted Pair, Fiber Optics 3.2 สื่อไร้สาย (Wireless) Wireless. วัตถุประสงค์. เพื่อให้นักศึกษาสามารถ (1) บอกได้ว่าในระบบเครือข่ายมีการใช้สายสัญญาณอะไรบ้าง (2) เปรียบเทียบความแตกต่างของสายสัญญาณแต่ละประเภทได้
E N D
บทที่ 3: สายสัญญาณ และสื่อไร้สาย • 3.1 สายสัญญาณ (Wire) • Coaxial Cable, Twisted Pair, Fiber Optics • 3.2 สื่อไร้สาย (Wireless) • Wireless
วัตถุประสงค์ เพื่อให้นักศึกษาสามารถ • (1) บอกได้ว่าในระบบเครือข่ายมีการใช้สายสัญญาณอะไรบ้าง • (2) เปรียบเทียบความแตกต่างของสายสัญญาณแต่ละประเภทได้ • (3) บอกความสามารถในการรับส่งข้อมูลของสายสัญญาณ แต่ละประเภทได้
3.1 สายสัญญาณ (Wire) • 3.1.1 สายโคแอ็กเชียล (Coaxial Cable) • สายโคแอ็กเชียลแบบบาง (Thin Coaxial cable) • สายโคแอ็กเชียลแบบหนา (Thick Coaxial cable) • 3.1.2 สายคู่บิดเกลียว (Twisted Pairs) • สายคู่บิดเกลียวหุ้มฉนวน (STP : Shielded Twisted Pairs) • สายคู่บิดเกลียวไม่หุ้มฉนวน (UTP : Unshielded Twisted Pairs) • มาตรฐานสายคู่บิดเกลียว • หัวเชื่อมต่อสายคู่บิดเกลียว • 3.1.3 สายใยแก้วนำแสง (Fiber Optics) • สายใยแก้วนำแสงแบบมัลติโหมด (MMF : Multimode Fiber Optic) • สายใยแก้วนำแสงแบบซิงเกิลโหมด (SMF : Single Mode FIber Optic)
3.1.1 สายโคแอ็กเชียล (Coaxial Cable) • สาย Coaxial เริ่มมีใช้ในอเมริกาในปี 1946 เพื่อรับส่งสัญญาณอนาล็อก ต่อมาในปี 1962 จึงใช้รับส่งสัญญาณดิจิตอล • เป็นสายที่นิยมใน Network ยุคแรกๆ ที่ผ่านมา ปัจจุบันนิยมสาย UTP, Fiber Optic • โครงสร้าง : แกนกลาง เป็นสายทองแดง ห่อหุ้มด้วยฉนวน ชั้นต่อไปเป็นตัวนำไฟฟ้า เป็นใยโลหะถักเป็นตาข่าย ชั้นนอกสุดท้ายหุ้มด้วยฉนวนและวัสดุป้องกันสายสัญญาณ
3.1.1 สายโคแอ็กเชียล (Coaxial Cable) สายโคแอ็กเชียลแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ • สายโคแอ็กเชียลแบบบาง (Thin Coaxial cable) • 0.64 cm. • สายโคแอ็กเชียลแบบหนา (Thick Coaxial cable) • 1.27cm.
สายโคแอ็กเชียลแบบบาง (Thin Coaxial cable) • 0.64 cm. • ขนาดเล็ก มีความยืดหยุ่นสูง • นำสัญญาณได้ไกล 186 m. • ใช้เชื่อมต่อ Computer โดยใช้มาตรฐาน Ethernet
สายโคแอ็กเชียลแบบบาง (Thin Coaxial cable) หัวต่อสาย Coaxial ข้อต่อ BNT-T Thin Coaxial Cable (10Base2) • ตามมาตรฐาน Ethernet • ใช้ Topology แบบ BUS • Bandwidth 10 Mbps • เชื่อมต่อ Computer ต่อๆ กัน โดยใช้หัวต่อสาย, ข้อต่อ BNT, Terminator ปิดปลายสาย โดยไม่ต้องใช้ Hub
สายโคแอ็กเชียลแบบบาง (Thin Coaxial cable)
สายโคแอ็กเชียลแบบหนา (Thick Coaxial cable) • 1.27cm. ใหญ่และแข็งแรงกว่า • ส่งข้อมูลได้ไกล 500m. • Network ระยะแรกใช้เป็น Backbone แต่ปัจจุบันใช้ Fiber cable Thick Coaxial Cable (10Base5)
3.1.2 สายคู่บิดเกลียว (Twisted Pairs) • เดิมเป็นสายสัญญาณในระบบโทรศัพท์ • พัฒนาเทคโนโลยี Ethernet ให้มีคู่สัญญาณเพิ่มเป็น 4 คู่ และบิดสายแต่ละคู่ ให้เป็นเกลียวด้วยระยะที่เหมาะสม จะทำให้สัญญาณจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่รบกวนซึ่งกันและกันลดน้อยลง • โครงสร้าง : แกนกลางเป็นทองแดงแต่ละคู่บิดเกลียว หุ้มด้วยฉนวน
3.1.2 สายคู่บิดเกลียว (Twisted Pairs) • สายคู่บิดเกลียวที่ใช้กับเครือข่ายท้องถิ่น แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ • สายคู่บิดเกลียวหุ้มฉนวน (STP : Shielded Twisted Pairs) • สายคู่บิดเกลียวไม่หุ้มฉนวน (UTP : Unshielded Twisted Pairs)
สายคู่บิดเกลียวหุ้มฉนวน (STP : Shielded Twisted Pairs) • สายคู่บิดเกลียวหุ้มฉนวน มีส่วนที่เพิ่มขึ้น คือ ชั้นฉนวน เพื่อป้องกันสัญญาณรบกวน เช่น คลื่นวิทยุจากภายนอก ชั้นฉนวนอาจเป็นแผ่นโลหะ หรือใยโลหะถักเป็นตาข่าย ห่อหุ้มสายคู่บิดเกลียวทั้งหมด
สายคู่บิดเกลียวไม่หุ้มฉนวน (UTP : Unshielded Twisted Pairs) • นิยมเรียกกันโดยทั่วไปว่า สายยูทีพี (UTP) • ไม่มีส่วนที่เป็นชั้นฉนวน เพื่อป้องกันสัญญาณรบกวนจากภายนอก ทำให้มีราคาถูกกว่าแบบหุ้มฉนวน • ปัจจุบันนิยมใช้ในLAN ตามมาตรฐาน IEEE 802.3 • ความยาวสายควรจะไม่เกิน 100 เมตร • Bandwidth 10 หรือ 100 หรือ 1000 Mbps ขึ้นกับชนิดของสาย • ใช้ Topology แบบ Star
มาตรฐานสายคู่บิดเกลียวมาตรฐานสายคู่บิดเกลียว • สมาคม EIA และสมาคม TIA : Telecommunication Industries ร่วมกันกำหนดมาตรฐาน EIA/TIA 568 ที่ใช้ในการผลิตสายคู่บิดเกลียว แต่ละประเภทจะเรียกว่า Category N โดย N คือ หมายเลขที่บอกประเภท • สถาบัน ISO ได้กำหนดมาตรฐานสายคู่บิดเกลียวเช่นกัน แต่เรียก Class A-F
มาตรฐานสายคู่บิดเกลียวมาตรฐานสายคู่บิดเกลียว EIA/TIA 568 ISO Category Class มาตรฐานที่กำหนด 1 A สายโทรศัพท์สาย 2 คู่ สัญญาณเพียง 1 คู่ และไม่สามารถส่งข้อมูลดิจิตอล 2 B สายคู่บิดเกลียว 4 คู่ส่งข้อมูลดิจิตอลBandwidth 4 MHz 4 Mbps 3 C สายคู่บิดเกลียว 4 คู่ส่งข้อมูล 16 Mbps 4 สายคู่บิดเกลียว 4 คู่ ส่งข้อมูลได้ 20 Mbps 5 D สาย 4 คู่ แต่ส่งสัญญาณเพียง 2 คู่ส่งข้อมูลได้ 100 Mbps 5e (Enhanced) พัฒนาสาย Cat 5 ให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น ส่งสัญญาณโดยใช้สายทั้ง 4 คู่ ส่งข้อมูลได้ถึง 1000 Mbps 6 E รองรับแบนด์วิธได้ถึง 250 MHz 7 F รองรับแบนด์วิธได้ถึง 600 MHz และกำลังอยู่ระหว่างการวิจัย
หัวเชื่อมต่อสายคู่บิดเกลียวหัวเชื่อมต่อสายคู่บิดเกลียว • ที่ปลายสาย UTP ใช้หัวเชื่อมต่อแบบ RJ-45 คล้ายหัวเชื่อมต่อโทรศัพท์ RJ-11 แต่ RJ-45 มีขนาดใหญ่กว่า
3.1.3 สายใยแก้วนำแสง (Fiber Optics)
3.1.3 สายใยแก้วนำแสง (Fiber Optics) • สายสัญญาณที่ใช้โลหะเป็นตัวนำสัญญาณ (Coaxial / UTP) คือ • ปัญหาสัญญาณรบกวนจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า มอเตอร์ไฟฟ้า บัสหลาสที่ใช้กับหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ หรือสนามแม่เหล็กจากฟ้าผ่า ตู้เย็น • สายอีกประเภทที่ไม่ได้ใช้โลหะเป็นตัวนำ คือ สายใยแก้วนำแสง • ใช้สัญญาณแสง โดยการแปลงสัญญาณข้อมูลให้เป็นสัญญาณแสง ไม่ถูกรบกวนจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้าต่างๆ • ส่งสัญญาณได้ไกล การสูญเสียของสัญญาณน้อย สามารถส่งข้อมูลได้ด้วยอัตราข้อมูล (Bandwidth) ที่สูงกว่าสายแบบโลหะ • มักจะติดตั้งภายนอกอาคาร หรือใช้เดินสายระยะไกล • การติดตั้งมักใช้สายเส้นเดียว โดยไม่ต่อ โดยตรงจากโรงงานผู้ผลิต • ปัญหาของสายใยแก้วนำแสงคือ ค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าสายที่ใช้โลหะ • ราคาสาย • ค่าอุปกรณ์ที่ใช้กับสายใยแก้วนำแสง
3.1.3 สายใยแก้วนำแสง (Fiber Optics) • โครงสร้าง : • แกนกลาง (Core) ทำจากแก้ว พลาสติก หรือโพลิเมอร์ • หุ้มด้วยส่วนห่อหุ้ม (Cladding) • แล้วถูกหุ้มด้วยส่วนป้องกัน (Coating) อีกชั้นหนึ่ง • โดยแต่ละส่วนจะทำด้วยวัสดุที่มีค่าดัชนีหักเหของแสงต่างกัน ทั้งนี้เพราะต้องคำนึงถึงหลักการหักเหและสะท้อนกลับหมดของแสง ส่วนที่เหลือจะเป็นส่วนที่ช่วยในการติดตั้งสายสัญญาณให้ง่ายขึ้น เช่น Strengthening Fiber เป็นส่วนที่ป้องกันไม่ให้สายขาด เมื่อมีการดึงสายในขณะที่ติดตั้งสายสัญญาณ
ประเภทของสายใยแก้วนำแสงประเภทของสายใยแก้วนำแสง • สายใยแก้วนำแสง มีการแบ่งออกตามลักษณะของลำแสงที่ใช้ส่งข้อมูล 2 แบบ คือ • แบบซิงเกิลโหมด (Single mode) : เป็นสายที่ส่งข้อมูลแสงเพียงลำแสงเดียว • แบบมัลติโหมด (Multi mode) : ส่งข้อมูลแสงจำนวนหลายลำแสง • สายใยแก้วนำแสงหนึ่งเส้นประกอบด้วยใยแก้วนำแสงหลายเส้น แต่ละเส้นจะเรียกว่า คอร์ (Core) • แต่ละคอร์ จะส่งข้อมูลทิศทางเดียว เมื่อต้องการส่งข้อมูลไป และกลับ จึงใช้สายใยแก้วนำแสง 1 คู่ • สายใยแก้วนำแสงจะมีตั้งแต่ 4, 8, 12 คอร์
สายใยแก้วนำแสงแบบมัลติโหมด (MMF : Multimode Fiber Optic) • ส่วนที่เป็นแกน มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 62.5 ไมครอน (1 micron = 10-6 m = mm) และส่วนที่เป็นแคลดมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 125 ไมครอน • ชื่อที่ใช้เรียก จึงเป็น 62.5/125 MMF • ขนาดอื่นที่เป็นที่นิยมรองลงมาคือ 50/125 MMF
สายใยแก้วนำแสงแบบซิงเกิลโหมด (SMF : Single Mode FIber Optic) • มีแกนกลางเล็กกว่าสายใยแก้วนำแสงแบบมัลติโหมด โดยมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 8-10 ไมครอน และส่วนที่เป็นแคลนประมาณ 125 ไมครอน สายแบบนี้จะส่งสัญญาณแสงเพียงลำแสงเดียว ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า ซิงเกิลโหมด (Singlemode)
4.2 สื่อไร้สาย (Wireless) • นอกจากการใช้สายสัญญาณเป็นสื่อกลางนำสัญญาณแล้ว อากาศก็เป็นสื่อนำสัญญาณได้เช่นกัน โดยจะเรียกว่า เครือข่ายแบบไร้สาย (Wireless) • ข้อมูลจะแปลงให้เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และส่งไปพร้อมกับแถบความถี่ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Spectrum) • คลื่นความถี่ที่ใช้ใน Wireless LAN คือ 2.4 GHz และ 5 GHz
แถบคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแถบคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า • แถบคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเริ่มต้นที่ความถี่ศูนย์เฮิร์ตซ์ (Hz) ไปจนถึง 10ยกกำลัง24 Hz • ความถี่เสียง ~0-10 kHz การได้ยินเสียงของคน ~3-4 kHz • คลื่นวิทยุ (Radio Frequency) และเครื่องไมโครเวฟ ~500 kHZ-300 GHz • สูงกว่านี้ แสงอินฟราเรด (Inrared), แสงที่ตามองเห็น (Visible Light) แสงอัลตราไวโอเลต (Ultraviolet), แสงเอกซเรย์ (X-ray) และแสงเกมมา (grammarays)
แถบคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแถบคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า • เครือข่ายสื่อไร้สาย โดยมาตรฐาน IEEE • IEEE802.11b โดยใช้ความถี่ 2.4-2.485 GHz ส่งสัญญาณข้อมูลได้ 11 Mbps • มาตรฐานใหม่ IEEE802.11g ความถี่เดิม 2.4-2.485 GHz ส่งสัญญาณข้อมูลได้ถึง 54 Mbps ตัวอย่างโฆษณา