370 likes | 843 Views
การเงิน การธนาคาร และนโยบายการเงิน. Finance and Banking Financial Policy. การแลกเปลี่ยน ( Exchange ). ในสมัยก่อนการแลกเปลี่ยนทำในลักษณะของการแลกสินค้าต่อสินค้า เช่น ผัก 3 กระบุง กับไก่ 1 ตัว หรือ ไก่ 10 ตัว แลกหมู 1 ตัว หรือ แร่ X 1 กก. กับ แร่ Y 2 กก.
E N D
การเงิน การธนาคาร และนโยบายการเงิน Finance and Banking Financial Policy
การแลกเปลี่ยน ( Exchange ) • ในสมัยก่อนการแลกเปลี่ยนทำในลักษณะของการแลกสินค้าต่อสินค้า เช่น ผัก 3 กระบุง กับไก่ 1 ตัว หรือ ไก่ 10 ตัว แลกหมู 1 ตัว หรือ แร่ X 1 กก. กับ แร่ Y 2 กก. • ปัญหาที่เกิดคือ หน่วยในการแลกสินค้าและบริการ เช่น ไก่ 1 ตัว จะแลก แร่ X ได้เท่าไร หรือ หมู 3 ตัวแลกผักได้กี่กระบุง เป็นต้น • นอกจากนี้อัตราส่วนที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนก็จะมีเท่ากับ Cn , 2 • ปัญหาที่ตามมาอีกคือ ความต้องการไม่ตรงกัน คือ คนที่มีแร่ X อาจไม่ต้องการหมู หรือคนที่มีหมูอาจไม่ต้องการแลกกับผัก • จากเหตุผลนี้จึงเกิด ตลาด และ เงิน เพื่อเป็นสถานที่แลกเปลี่ยนและเป็นสื่อกลาง
การใช้เงินแลกเปลี่ยนทำให้อัตราแลกเปลี่ยนมีค่าน้อยลง เหลือเท่ากับ n คือทุกสินค้าเทียบกับหน่วยเงิน เช่น ผัก 1 กระบุง เท่ากับ เงิน 4 หน่วย หรือ ไก่ 1 ตัว เท่ากับเงิน 12 หน่วย และหมู 1 ตัว เท่ากับเงิน 120 หน่วย เป็นต้น เงิน ( Money ) คือ สิ่งใดไก็ได้ อาจเป็นก้อนหิน แร่ธาตุ ที่สังคมยอมรับโดยทั่วไปขณะใดขณะหนึ่งในแต่ละเขตหรือพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งเพื่อเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ โดยใช้ชำระค่าสินค้าและบริการทั้งยังใช้เพื่อการชำระหนี้ในอนาคต
ประเภทของเงิน • เงินที่เป็นสิ่งของหรือสินค้า ( Commodity Money ) เช่น ขนสัตว์ หนังสัตว์ ใบชา ยาสูบ • เงินเหรียญที่มีค่าโดยตัวมันเองแบบเต็มตัว ( Full Bodied Coins ) เช่น แร่เงิน ทอง • เงินเหรียญที่มีค่าแบบไม่เต็มตัว ( Token Money ) เช่น โลหะที่มีมูลค่าเท่ากับ 1 บาท แต่เนื้อโลหะนั้นมีต้นทุนไม่ถึง 1 บาท • เงินกระดาษ ( Paper Money ) • เงินฝากกระแสรายวัน ( Demanded Deposit )
คุณสมบัติที่พึงประสงค์ของเงิน ( กายภาพ ) • ต้องมีความคงทนถาวร เพื่อรองรับกับการเปลี่ยนมือ • แบ่งแยกเป็นหน่วยย่อยๆได้ • สามารถพกพาได้สะดวก ไม่เป็นที่สะดุดตา • สามารถระบุค่าอย่างชัดเจน ปัจจุบัน เหรียญ ออกโดย กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง ธนบัตร ออกโดย ธนาคารแห่งประเทศไทย เงินฝากกระแสรายวัน โดย ธนาคารพาณิชย์
หน้าที่ของเงิน • เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน ( Medium of Exchange ) • เป็นมาตรฐานในการวัดค่า ( Standard of Value ) • เป็นมาตรฐานในการชำระหนี้ภายหน้า ( Standard of Deferred Payment ) • เป็นเครื่องเก็บรักษามูลค่า ( Store of Value )
ปริมาณเงิน ( Money Supply ) • ปริมาณเงิน คือ จำนวนเงินที่คิดเป็นมูลค่า ที่อยู่ในระบบเศรษฐกิจ สามารถแบ่งความหมายได้ในหลายระดับ โดยนิยามดังนี้ • ปริมาณเงินตามความหมายแคบ ( M1 ) หมายถึงปริมาณของทรัพย์สินทางการเงินที่ใช้ในการแลกเปลี่ยน คือ ธนบัตร เหรียญในมือประชาชน ( ไม่รวมธนาคารพาณิชย์ ) และเงินฝากรายวัน ( เงินฝากเผื่อเรียก ) ของภาคเอกชน ( ไม่รวมที่เงินที่อยู่ในมือของธนาคารกลางและกระทรวงการคลัง )
ปริมาณเงินตามความหมายกว้าง ( M2 ) หมายถึง ปริมาณเงินตามความหมายแคบ ( M1 ) และสินทรัพย์ทางการเงินที่ให้ผลตอบแทนเป็นเงินโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย นั่นคือ เงินฝากประจำและเงินฝากออมทรัพย์ของภาคเอกชน ( รวมรัฐวิสาหกิจ )ที่ฝากไว้ที่ธนาคารพาณิชย์ ที่นับรวมเพราะเบิกมาใช้เมื่อไรก็ได้ • ปริมาณเงินตามความหมายกว้างมาก ( M3 ) หมายถึง ปริมาณเงินตามความหมายกว้าง ( M2 ) รวมกับตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัทเงินทุนที่ถือโดยภาคเอกชน • เงินฝากออมทรัพย์ เงินฝากประจำ ตั๋วสัญญาใช้เงิน ต่างกันอย่างไร ???
Money Supply • M1 = Money / Coins + Demanded Deposit • M2 = M1 + Fixed Deposit + Saving Deposit • M2a = M2 + P/N Note • M3 = Money / Coins + Demanded Deposit + Fixed Deposit + Saving Deposit + P/N Note
เงินฝากออมทรัพย์ เงินฝากประจำ ตั๋วสัญญาใช้เงิน ต่างกันอย่างไร ??? ถ้าผู้กู้และผู้ให้กู้สามารถตกลงกันได้ ในเรื่องปริมาณเงินที่ให้กู้ ระยะเวลา ดอกเบี้ย ก็ไม่มีปัญหา แต่บางครั้ง ก็เกิดปัญหาเพราะความต้องการไม่ตรงกัน จึงเกิดระบบธนาคาร
Bank เงินฝาก เงินฝาก เงินกู้ เงินกู้ สมุดเงินฝาก P/N Note สัญญา สัญญา บริษัทเงินทุน
ตลาดการเงิน ( Financial Market ) • ตลาดการเงิน คือ ตลาดที่อำนวยความสะดวกในการโอนเงินจากหน่วยเศรษฐกิจที่มีเงินออมไปยังหน่วยเศรษฐกิจที่ต้องการเงินออมเพื่อไปลงทุนในอนาคต • ตลาดเงิน คือ ตลาดที่มีการระดมทุนและการให้สินเชื่อระยะสั้นที่ไม่เกิน 1 ปี • ตลาดทุน คือ ตลาดที่มีการระดมเงินออมระยะยาวและให้สินเชื่อระยะยาวตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป
ตลาดเงิน ( Money Market ) • สามารถแบ่งเป็นตลาดเงินในระบบ ( เช่น ธนาคารพาณิชย์ บริษัทเงินทุน บริษัทหลักทรัพย์ ธนาคารกลาง ) และตลาดเงินนอกระบบ ( เช่น การกู้ยืมโดยไม่มีกฎหมายรับรอง ) • กิจกรรมสำคัญ คือ การกู้ระหว่างธนาคาร การกู้โดยตรง การเบิกเงินเกินบัญชี การซื้อขายตราสารการเงินระยะสั้น • ตราสารที่อยู่ในตลาดเงิน เช่น ตั๋วแลกเงิน ตั๋วสัญญาใช้เงิน ตั๋วเงินคลัง ตราสารการค้า • บริษัทเงินทุน และ บริษัทหลักทรัพย์ต่างกันอย่างไร ???
ตลาดทุน ( Capital Market ) • สถาบันการเงิน ได้แก่ ธนาคารพาณิชย์ บริษัทเงินทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ธกส. ธอส. ออมสิน บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สหกรณ์ออมทรัพย์ บริษัทเครดิตฟองซิเอร์ สหกรณ์การเกษตร ที่ให้สินเชื่อระยะยาวเกิน 1 ปี • ตราสาร คือ หุ้นกู้ หุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิ พันธบัตรรัฐบาลและเอกชน ( ตราสารเหล่านี้ต่างกันอย่างไร??? ) • ตลาดแรกและตลาดรองต่างกันอย่างไร ???
ตลาดแรก ผู้ลงทุน ผู้ลงทุน ผู้ลงทุน เงินทุน บริษัทที่ต้องการเงินทุน หุ้นสามัญ เงิน หุ้นสามัญ ตลาดรอง หุ้นสามัญ เงิน ตลาดหลักทรัพย์
ความสำคัญของตลาดการเงินความสำคัญของตลาดการเงิน • เป็นแหล่งระดมทุนจากผู้มีเงินออมไปยังผู้ที่ต้องการเงินทุน • มีการจัดสรรเงินทุนอย่างมีประสิทธิภาพ • รักษาอัตราความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ • สร้างความมั่นคงให้กับระบบเศรษฐกิจ
ธนาคารพาณิชย์ • สาหตุที่พิจารณาธนาคารพาณิชย์เป็นหลักเพราะเป็นสถาบันการเงินที่มีเงินทุนอยู่เป็นสัดส่วนที่มากที่สุดเมื่อเทียบกับสถาบันการอื่นๆ เช่น บริษัทเงินทุน บริษัทหลักทรัพย์ กองทุนรวม บริษัทประกันภัย • ธนาคารพาณิชย์สามารถสร้างเงินฝากได้ โดยมีข้อกำหนดบางประการเช่นการกันสำรองตามกฎหมาย ( Legal Reserve Requirement ) • สำรองตามกฎหมาย 20% หมายความว่า ถ้าธนาคารพาณิชย์มีเงินฝากกระแสรายวัน 100 บาท จะต้องกันสำรองไว้ 20 บาท
การสร้างเงินฝาก • เงินฝากขั้นแรก ( Primary Deposit ) คือ เงินสดที่มีผู้นำมาฝากเข้าบัญชีกระแสรายวันที่ ธพ. • เงินฝากขั้นต่อไป ( Derivative Deposit ) คือเงินฝากที่เกิดจากการให้ลูกค้าของธนาคารกู้ยืม คือ กู้จากธนาคารแล้วฝากเงินต่อไป • อัตราเงินสดสำรองตามกฎหมาย คือ อัตราเงินสดสำรองที่ต้องดำรง ( Legal Reserve Ratio ) เป็นอัตราขั้นต่ำที่ธนาคารกลางกำนหดให้ทุน ธพ. ต้องทำตาม
เงินสดสำรองตามกฎหมาย หรือ เงินสดสำรองที่ต้องดำรง ( Legal Reserve Requirement ) คือจำนวนเงินสดที่ ธพ. ต้องดำรงเมื่อเทียบกับเงินฝากกระแสรายวัน โดยเงินจำนวนนี้ต้องฝากไว้กับธนาคารกลาง • เงินสดสำรองทั้งสิ้น ( Cash Reserve ) คือ เงินสดทั้งสิ้นที่ ธพ. มีอยู่ ซึ่งได้แก่เงินสดสำรองที่ต้องดำรง รวมกับ เงินสดสำรองส่วนเกิน • เงินสดสำรองส่วนเกิน ( Excess Reserve ) คือเงินสดที่เหลือทั้งสิ้นหลังจากที่หักเงินสดสำรองที่ต้องดำรงออกไปแล้ว ซึ่งส่วนนี้ ธพ.สามารถนำไปใช้ประโยชน์
ตัวอย่าง • สมมติธนาคารพาณิชย์ มีเงินฝากกระแสรายวันทั้งสิ้น 100 ล้านบาท และระเบียบธนาคารแห่งประเทศไทย ( Bank of Thailand: BOT ; www.bot.or.th ) กำหนดว่า ธนาคารพาณิชย์ต้องดำรงเงินฝากไว้ 7% ซึ่งในปัจจุบันธนาคารมีเงินสดสำรองทั้งสิ้น 15 ล้านบาท ดังนั้นแสดงว่าธนาคารนั้นมีเงินสดสำรองส่วนเกินอยู่ 8 ล้านบาท • เงินสดที่ต้องดำรง คือ 7% ของ 100 ล้าน คือ 7 ล้านบาท • เงินสดสำรองทั้งสิ้น 15 ล้าน แสดงว่ามีส่วนเกินอยู่ 8 ล้านบาท • จะเกิดอะไรหาก ธปท. เพิ่มอัตราสำรอง และกระทบอย่างไรต่อปริมาณเงินในระบบ ???
กระบวนการสร้างเงินฝากกระบวนการสร้างเงินฝาก • เริ่มจากเงินฝากขั้นแรก เข้ามาที่ธนาคารแล้วถูกหักสำรอง เหลือเท่าไรให้ลูกค้ากู้ต่อ เมื่อลูกค้ากู้ไปฝากกับธนาคารก็จะเกิดกระบวนการนี้ต่อไปเรื่อยๆ แต่ปริมาณที่ให้กู้ได้จะลดลงเรื่อยๆ แต่ปริมาณเงินทั้งระบบจะเพิ่มขึ้น • ธนาคารสามารถสร้างเงินสูงสุดได้ต่อเมื่อ ผู้กู้ต้องฝากเงินต่อกับธนาคารไม่ได้เบิกเป็นเงินสด ธนาคารมีส่วนเกินสำรองตามที่กฎหมายต้องการเท่าไรต้องปล่อยกู้จนหมด อัตราสำรองต้องไม่เกิน 100%
สมมติ มีผู้ฝากเงิน 100 บาท และอัตราสำรอง 10% กันสำรอง 10 + 9 เงินฝาก 100 + 90 ก ข ง ค ปล่อยกู้ 90 ฝาก 100 ฝาก 90 กันสำรอง 10 เงินฝาก 100 ปล่อยกู้ 81 ฝาก 72.9 ปล่อยกู้ 72.9 ฝาก 81 กันสำรอง 10 + 9 + 8.1 + 7.29 เงินฝาก 100 + 90 + 81 + 72.9 กันสำรอง 10 + 9 + 8.1 เงินฝาก 100 + 90 + 81 แล้วหากเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ ปริมาณเงินฝากจะเป็นเท่าไร
จากเงื่อนไขข้างต้น สามารถคำนวณปริมาณเงินฝากสูงสุดที่ธนาคารสามารถสร้างได้ ตามสูตร M คือ เงินฝากรวม D คือ เงินฝากที่ธนาคารสร้างขึ้น P คือ เงินฝากขั้นแรก R คือ อัตราสำรองตามกฎหมาย A คือ เงินสดสำรองส่วนเกิน
จากตัวอย่าง • เงินฝากขั้นต้น ( P ) มีค่าเท่ากับ 100 บาท • อัตราสำรองตามกฎหมาย ( R ) มีค่าเท่ากับ 10% ( 0.10 ) • เงินสดสำรองส่วนเกินเริ่มต้น ( A ) มีค่าเท่ากับ 90 บาท
ข้อสังเกต • การปรับเปลี่ยนอัตราสำรอง ส่งผลกระทบต่อปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ • ถ้าอัตราสำรองสูงขึ้นปริมาณเงินในระบบจะลดลง ในทางกลับกันหากอัตราสำรองลดลงปริมาณเงินในระบบก็จะเพิ่มขึ้น • สาเหตุที่สนใจที่อัตราสำรองเพราะเป็นนโยบายทางการเงินตัวหนึ่งที่ใช้ควบคุมปริมาณเงินในระบบ • อัตราสำรองปัจจุบันมีค่าเท่าไร ???
การทำลายเงินฝาก • ธนาคารจะทำลายเงินฝากโดยการเรียกเงินกู้กลับคืนเมื่อเงินสดสำรองส่วนเกินลดลง เช่น อาจเกิดจากการที่ ธปท. ปรับเปลี่ยนนโยบายเรื่องอัตราสำรองตามกฎหมาย • ธนาคารอาจลดเงินฝากเท่ากับเงินสดสำรองส่วนเกินที่ลดลง หรืออาจกำหนดเป็นนโยบายอื่นๆ เช่น ทำลายเงินฝากเป็ 80 เปอร์เซ็นต์ของเงินสดสำรองที่ลดลง
ตัวอย่าง • ธนาคารมีเงินฝากขั้นต้น 1 ล้านบาท อัตราสำรองขณะนั้น คือ 10% ถ้าธนาคารนี้มีนโยบายปล่อยกู้โดยให้มีเงินสดสำรองเกินอยู่ 20 ล้านบาทหากต่อมาธนาคารแห่งประเทศไทยขึ้นอัตราเงินสดสำรองเป็น 11% ธนาคารจะต้องทำลายเงินฝากเท่าไร โดยสมมติให้ธนาคารธนาคารทำลายเงินฝากเท่ากับเงินสดส่วนเกินที่ลดลง
ธนาคารในไทย • ธนาคารพาณิชย์ไทย • ธนาคารต่างชาติ • ธนาคารที่ตั้งขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ • สถาบันการเงินอื่นๆ • จำนวน ประเภทและข้อจำกัดการทำธุรกรรม ความแตกต่าง???
ดุลยภาพในตลาดเงิน • ปริมาณในที่นี้คือ ปริมาณเงินในระบบ ( Money Supply ) และราคาของเงินก็คือผลตอบแทนจากการใช้เงิน นั่นือ ดอกเบี้ย ( Interest ) • ดุลยภาพ คือ จุดที่อุปสงค์ต่อการถือเงินมีค่าเท่ากับอุปทานของเงิน • อุปสงค์ต่อการถือเงิน ( Demand for Money ) คือ ปริมาณเงินทั้งสิ้นที่ระบบเศรษฐกิจต้องการถือไว้ในขณะใดขณะหนึ่ง ซึ่งขึ้นกับการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันและอัตราดอกเบี้ย ( เพื่อลงทุน และ เก็งกำไร ) อีกส่วนกันไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน • อุปทานของเงิน ( Money Supply ) คือปริมาณเงินตามนิยาม มักใช้ M2 ไม่ขึ้นกับอัตราดอกเบี้ย ( เส้นอุปทาน จะมีหน้าตาอย่างไร??? ) แต่ขึ้นกับนโยบายการเงิน
Demand and Supply of Money ราคา / อัตราดอกเบี้ย ปริมาณเงิน Supply Demand
Change in Supply of Money ราคา / อัตราดอกเบี้ย S* S R* R Demand M* M ปริมาณเงิน
หน้าที่ของธนาคารกลาง • เป็นนายธนาคารของธนาคารพาณิชย์ • เป็นนายธนาคารของรัฐบาล • ออกธนบัตร ( ธนาคารกลางไม่ออกเหรียญ ) • เป็นผู้ให้กู้ยืมแหล่งสุดท้ายของธนาคารพาณิชย์ • กำกับ ดูแล การดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์ให้เป็นตามนโยบาย • เป็นผู้ควบคุมปริมาณเงินผ่าน นโยบายการเงิน
นโยบายการเงิน ( Monetary Policy ) • นโยบายการเงิน คือ การดูแลปริมาณเงินและสินเชื่อเพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางเศรษฐกิจ เช่น การรักษาเสถียรภาพของราคา ส่งเสริมการจ้างงาน การรักษาความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ การรักษาดุลการชำระเงินระหว่างประเทศ การกระจายรายได้ที่เป็นธรรม • แบ่งนโยบายได้เป็น 2 ประเภท คือ นโยบายการเงินแบบเข้มงวด (ทำให้ปริมาณเงินลดลง ) และ นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย ๖ ทำให้ปริมาณเงินเพิ่มขึ้น ) • ในแต่ละนโยบายควรใช้เมื่อใด ???
เครื่องมือของนโยบายการเงินเครื่องมือของนโยบายการเงิน • การควบคุมทางปริมาณหรือโดยทั่วไป • การซื้อขายหลักทรัพย์ ซึ่งก็คือ พันธบัตรรัฐบาล ( Open-market Operation ) • อัตรารับช่วงซื้อลด ( Rediscount Rate ) • อัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน ( Bank Rate ) • เงินสำรองที่ต้องดำรง ( Reserve Requirement )
ธนาคารกลาง เหตุใดธนาคารพาณิชย์จึงซื้อหลักทรัพย์ในรูปพันธบัตร เงิน ธนาคารพาณิชย์ พันธบัตรรัฐบาล ธนาคารพาณิชย์อาจขายพันธบัตรคืน ขึ้นกับอัตรารับช่วงซื้อลด และส่งผลอย่างไรต่อปริมาณเงินในระบบ
การควบคุมเครดิตทางคุณภาพด้วยวิธีเลือกสรร • เครดิต เช่น เครดิตเพื่อการซื้อขายหลักทรัพย์ เครดิตเพื่อการบริโภค เครดิตเพื่อซื้อบ้านและที่ดิน • การชักชวนให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติตาม