490 likes | 931 Views
บทที่ 4 (1) ประสิทธิภาพภาษี (Efficiencies ) และภาระภาษีส่วนเกิน (Excess Burden หรือ Deadweight Loss ). เกริ่นนำ. การเก็บภาษีก่อให้เกิดปัญหากับผู้ที่ต้องรับภาระภาษี ดังนั้นทุกๆ ฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะพยายามหลบหลีกที่ต้องรับภาระภาษี
E N D
บทที่ 4 (1)ประสิทธิภาพภาษี(Efficiencies) และภาระภาษีส่วนเกิน (Excess Burden หรือ Deadweight Loss)
เกริ่นนำ • การเก็บภาษีก่อให้เกิดปัญหากับผู้ที่ต้องรับภาระภาษี ดังนั้นทุกๆ ฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะพยายามหลบหลีกที่ต้องรับภาระภาษี • วิธีการหลบหลีกภาษีจะแตกต่างกันไป ตามความสามารถของแต่ละฝ่าย ซึ่งอาจก่อให้เกิดความไม่มีประสิทธิภาพของการใช้ทรัพยากร • ตัวอย่าง กรุงเทพฯ มีรถมอเตอร์ไซด์รับจ้าง รถตู้ให้บริการระหว่างจังหวัด ฯลฯ สะท้อนปัญหาการหลบเลี่ยงภาระภาษี • นั่นคือวอธีการของตลาดที่จะไม่ปล่อยให้ภาษีผ่านมาเฉยๆ แต่จะพยายาม minimize ภาระภาษีมากที่สุด ตราบใดที่สามารถสร้างการทดแทน (substitution) ระหว่างการบริโภคกันได้
เกริ่นนำ • ในบทนี้จึงเป็นการศึกษาถึงผลที่เกิดจากความพยายามหลบเลี่ยงภาษีที่ทำให้เกิดความไม่ประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากร หรือต้นทุนความไม่ประสิทธิภาพ (Cost of Inefficiency) สำหรับสังคม • ในกรณีที่ตลาดทำหน้าที่ได้สมบูรณ์ (โดยไม่มีปัญหาความล้มเหลวของตลาด) ภายใต้ตลาดแข่งขันสมบูรณ์ประสิทธิภาพของสังคม (social efficiency) จะสูงที่สุดโดยที่ไม่มีการแทรกแซงของรัฐบาล
เกริ่นนำ • แต่การเก็บภาษีหรือแทรกแซงของรัฐบาล ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคและใช้ทรัพยากรของสังคม
มอเตอร์ไซค์รับจ้าง กรณีก่อนจะมีการเก็บภาษี การเลือกบริโภคสินค้าทั้งสอง อยู่ที่ C1และ T1 A E1 C1 T1 บริการ Taxi D
เมื่อมีการเก็บภาษีกับการให้บริการแท๊กซี่เมื่อมีการเก็บภาษีกับการให้บริการแท๊กซี่ การใช้บริการของสินค้าทั้งสองเปลี่ยนเป็น C2และT2 จะมีการบริโภคมนเตอร์ไซค์รับจ้างเพิ่มเพื่อเป็นการหนี ภาระภาษี มอเตอร์ไซค์รับจ้าง A E2 C2 E1 C1 F T2 T1 บริการ Taxi D
เมื่อมีการเก็บภาษีกับการให้บริการแท๊กซี่เมื่อมีการเก็บภาษีกับการให้บริการแท๊กซี่ การใช้บริการของสินค้าทั้งสองเปลี่ยนเป็น C2และT2 จะมีการบริโภคมนเตอร์ไซค์รับจ้างเพิ่มเพื่อเป็นการหนี ภาระภาษี หลังภาษีจะได้บริโภค taxi เท่ากับ T2ซึ่งเดิมจะ สามารถบริโภค C ณ T2 ได้เท่ากับ Ca แต่ขณะนี้จะ ได้เพียง Caโดยระยะ ระหว่าง CaC2คือ ความไม่มีประสิทธิภาพจากการต้องเปลี่ยน พฤติกรรมการบริโภค หรืออาจเรียกว่าเป็น ภาระภาษีในรูปของการลดการบริโภคสินค้า ในรูปสนค้าของสินค้า C มอเตอร์ไซค์รับจ้าง: C A Ca E2 C2 E1 C1 F T2 D บริการ Taxi: T T1
เราอาจหามูลค่าของภาษีที่เก็บได้โดย การคูณระยะ CaC2 ด้วย ราคาต่อหน่วยของ C จะได้มูลค่าภาษีทั้งหมด ณ ดุลยภาพใหม่ที่ E2ที่มีความพอใจต่ำกว่าที่ E1 เพราะระยะ GE2เปรียบเสมือนขนาดภาษีที่จ่ายออกไป ดังนั้นอาจใช้ Equivalent Variation มาใช้วัดขนาดของภาระภาษี เพราะการมีภาษีเหมือนทำให้รายได้ลดลง มอเตอร์ไซค์รับจ้าง: C A Ca G E2 C2 E1 C1 F T2 D บริการ Taxi: T T1
มอเตอร์ไซค์รับจ้าง: C Equivalent variation หาได้โดยการลากเส้นขนานกับ AD ณ ความพอใจเท่ากัน จะเห็นได้ว่าขนาดภาระภาษีแท้จริงกับ equivalent variation ไม่เท่ากัน โดยมีส่วนต่างคือ NE2คือภาระภาษี ส่วนเกินนั่นเอง A Ca G H M ภาษี Equivalent Variation C2 E2 N E1 C1 E3 C3 F I T2 T3 T1 D บริการ Taxi: T
ข้อสังเกตุจากตัวอย่างข้อสังเกตุจากตัวอย่าง • หากเปลี่ยนการเก็บภาษีแบบต่อหน่วย (Unit tax) ที่มีผลให้ราคาเปรียบเทียบระวห่างสินค้าเปลี่ยนไป ไปสู่การเก็บภาษีแบบเหมาจ่าย (Lump Sum Tax) ที่ไม่ทำให้ราคาเปรียบเทียบเปลี่ยน จะช่วยแก้ไขปัญหาการเกิดภาระส่วนเกินหรือไม่ • คำตอบ: หากเป็นการเก็บภาษีแบบ Lump sum จะไม่มีภาระส่วนเกินต่อสังคม เพราะราคาเปรียบเทียบไม่ได้เปลี่ยน ไม่มีการเปลี่ยนของพฤติกรรมผู้บริโภค
ข้อสังเกตุจากตัวอย่างข้อสังเกตุจากตัวอย่าง • แต่ทำไมภาษีแบบ lump sum จึงไม่ค่อยเห็นมีการใช้จริง • คำตอบ: เพราะความไม่เป็นธรมมอาจมีผลต่อการเลือกใช้ภาษีแบบ lump sum เนื่องจากผู้มีรายได้น้อยต้องจ่ายภาษีเท่าๆ กับผู้มีรายได้มาก ถึงแม้จะมีความพยายามปรับการเสียภาษีโดยให้เก็บแตกต่างกันตามรายได้ แต่ผลจะทำให้ผู้มีเงินได้ปรับการตัดสินใจการทำงาน และการออมจนทำให้ภาระภาษีไม่แตกต่างกัน ทั้งนี้แต่ละคนยังมีความสามารถปรับระดับการหารายได้ของตนเอง ด้วยเหตุผลดังกล่าวทำให้การใช้ Lump sum tax จึงหันไปเก็บจากฐานความสามารถจ่าย “ability-to-pay” แทน
ข้อสังเกตุจากตัวอย่างข้อสังเกตุจากตัวอย่าง • หากภาษีเงินได้เก็บจากรายได้ของบุคคลแล้ว จะไม่ทำให้มี ภาระส่วนเกินได้หรือไม่? • คำตอบ: ไม่ใช่ เพราะแม้รายได้จะนำไปใช้ในการบริโภคสินค้าต่างๆ การเก็บภาษีเงินได้อาจไม่ทำให้ราคาสินค้าโดยเปรียบเทียบไม่เปลี่ยนแปลง แต่ยังมีการบริโภคอื่นที่ไม่มีราคาในตลาด คือการพักผ่อน ดังนั้นการเก็บภาษีเงินได้ย่อมมีภาระส่วนเกินอยู่ดี • MRSlC = MRTlC • MRSlT = MRTlT • MRSTC = MRTTC
ข้อสังเกตุจากตัวอย่างข้อสังเกตุจากตัวอย่าง • การเก็บภาษีเงินได้เปรียบเสมือนเก็บภาษีกับสินค้าทุกๆ ชนิดในอัตราเดียวกัน แต่ไม่ได้เก็บจากการพักผ่อนของบุคคล • หากการเก็บภาษีเงินได้ทำให้ค่าจ้างที่ลูกจ้างได้เดิมเท่ากับ w กลายเป็น (1-t)*w ทำให้ MRSlC = (1-t)*w/Pc • แต่นายจ้างยังคงคิดการจ้างงานที่อัตราค่าจ้างเท่ากับ w หรือที่ • MRTlC = W/Pc • ดังนั้นเงื่อนไขการจ้างของนายจ้างและลูกจ้างจึงไม่เท่ากัน
ข้อสังเกตุจากตัวอย่างข้อสังเกตุจากตัวอย่าง • หากเส้น demand ไม่เปลี่ยนแปลงการบริโภคเพราะภาษี หมายความว่าจะไม่มีภาระส่วนเกินใช่หรือไม่? • คำตอบ: กรณีนี้คือการที่ demand เป็น inelasticity ไม่มีการเปลี่ยนแปลงขนาดการบริโภคแม้ว่าราคาจะเป็นเท่าใดก็ตามคือที่ T2 = T3 กรณีนี้ยังคงมีภาระส่วนเกินจากภาษีที่เก็บเท่ากับระยะ E1E2 โดยจากรูป (หน้าถัดไป) ภาระส่วนเกินคือ NE2 ขณะที่ equivalent variation = RE3 • เหตุผลเพราะมีการเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค โดยที่ต้องลดการบริโภค C จาก เดิม C1เป็น C2
มอเตอร์ไซค์รับจ้าง: C A C1 E1 H R E2 C2 N E3 C3 F I T2= T3 T1 D บริการ Taxi: T
ข้อสังเกตุจากตัวอย่างข้อสังเกตุจากตัวอย่าง • จากรูปการเคลื่อนจาก E1ไปสู่ E2 คือ uncompensated response เพราะเป็นการบริโภคที่เปลี่ยนทั้งจากรายได้ที่สูญเสียไป บวก กับ การเปลี่ยนแปลงราคาที่ทำให้การบริโภคเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย สามารถแยกออกได้เป็น • E1E2ผลการบริโภคลดลงเพราะภาษีทำให้รายได้ลดลง เรียกว่า income effect • E3E2 ผลการบริโภคที่เปลี่ยนจากราคาเปรียบเทียบเปลี่ยนแปลงไปทำให้ต้องชดเชยรายได้เพื่อรักษาความพอใจให้เท่าเดิม เพราะ T ถูกเก็บภาษี เรียกช่วงนี้ว่า Compensated response หรือ Substitution effect
สรุปผลจากกรณีตัวอย่างสรุปผลจากกรณีตัวอย่าง • แสดงให้เห็นว่าการที่ประชาชนพยายามลดภาระภาษีได้ส่งผลต่อต้นทุนของสังคมในรูปของประสิทธิภาพที่ลดลง • เพราะsocial efficiency สูงสุดในกรณีที่เป็นตลาดแข่งขันสมบูรณ์ ความพยายามทำให้ภาระภาษีลดลงเป็นสาเหตุให้เกิดส่วนเกินของภาระภาษีในรูปของ deadweight loss
ภาษีและความมีประสิทธิภาพทางเศรษฐศาสตร์การวิเคราะห์โดย กราฟ • เป็นการศึกษาบนพื้นฐานของความมีประสิทธิภาพไม่ใช่ความเท่าเทียม • จุดสนใจจะเป็นเรื่องปริมาณแทนที่จะเป็นเรื่องราคา • ตัวอย่างเก็บภาษีเพิ่ม0.50 ต่อgallon • โดยสมมุติให้เป็นภาษ๊กับผู้ผลิตน้ำมัน ดูรูปที่ 1.
รูปที่ 1 Price per gallon (P) S2 S1 ภาษีทำให้เกิด ภาระส่วนเกิน. ภาษีทำให้เส้น supply shift ซ้าย B DWL P2 = 1.80 P1 =1.50 A C 0.50 D1 Q Q2 = 90 Q1 = 100
ภาษีและความมีประสิทธิภาพทางเศรษฐศาสตร์การวิเคราะห์โดย กราฟ • ก่อนภาษีน้ำมันขายที่ 100 หน่วย หลังภาษีปริมาณขายเหลือเพียง90 หน่วย • เส้น demand curve แสดงsocial marginal benefit จากการบริโภคน้ำมัน และเส้นsupply curve แสดง social marginal cost • SMB=SMC ที่ปริมาณบริโภคเท่ากับ100 หน่วย • การผลิตที่น้อยลงทำให้เกิดdeadweight loss
ภาษีและความมีประสิทธิภาพทางเศรษฐศาสตร์ Elasticitiesเป็นปัจจัยกำหนดขนาดความไม่มีประสิทธิภาพของภาษี • ผลต่อประสิทธิภาพจากการเก็บภาษีจะไม่แตกต่างว่าเป็นการเก็บภาษีจากด้าน demand หรือ supply • price elasticitiesของsupply และdemand กำหนดการกระจายของภาระภาษีเหมือนกับการกำหนดความไม่มีประสิทธิภาพของภาษี • elasticitiesหมายถึงการเปลี่ยนขนาดของปริมาณ ซึ่งนำไปสู่การเกิดdeadweight lossมากขึ้นด้วย • รูปที่2แสดงdeadweight loss ที่เพิ่มตามขนาดของค่าความยืดหยุ่น
รูปที่ 2 Demand is fairly inelastic, and DWL is small. (a) Inelastic Demand (b) Elastic demand P P Demand is more elastic, and DWL is larger. S2 S2 S1 S1 B P2 B DWL DWL P2 A P1 P1 A C ภาษ๊ ที่เก็บเพิ่ม 0.50 C D1 ภาษ๊ ที่เก็บเพิ่ม 0.50 D1 Q Q Q2 Q1 Q2 Q1
ภาษีและความมีประสิทธิภาพทางเศรษฐศาสตร์ Elasticitiesเป็นปัจจัยกำหนดขนาดความไม่มีประสิทธิภาพของภาษี • การมี inelastic demand ทำให้มีการเปลี่ยนราคาตลาดมาก แต่ปริมาณเปลี่ยนเล็กน้อย • ตรงกันข้ามการมี elastic demandราคาเปลี่ยนมากกว่า และผู้ผลิตรับภาระภาษีมากกว่า แต่มีการเปลี่ยนจำนวนปริมาณมากกว่า ทำให้deadweight loss มีจำนวนมากขึ้น
ภาษีและความมีประสิทธิภาพทางเศรษฐศาสตร์ Elasticitiesเป็นปัจจัยกำหนดขนาดความไม่มีประสิทธิภาพของภาษี • โดยสรุปความไม่มีประสิทธิภาพที่เกิดจากการเก็บภาษี มาจากการเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อเลี่ยงภาระภาษีของประชาชน ทั้งที่มาจากการเปลี่ยนแปลงการผลิต เช่นการปรับทดแทนการใช้ปัจจัยการผลิตของผู้ผลิต หรือการปรับการบริโภคสินค้าที่ทดแทนกันของผู้บริโภค
ตัวอย่างการเลี่ยงภาษีในประเทศไทยตัวอย่างการเลี่ยงภาษีในประเทศไทย • ในโลกความเป็นจริงพฤติกรรมการเลี่ยงสามารถแสดงอกได้หลายรูปแบบ • ตัวอย่างการเก็บภาษีป้ายของประเทศไทยที่จัดกับป้ายที่มีข้อความภาษาต่างประเทศมากกว่าภาษาไทย ทำให้เพื่อเป้นการเลี่ยงภาระภาษีจึงมีการทำป้ายที่เป็นภาษาไทยตัวเล็ก แต่ภาษาต่างประเทศตัวใหญ่ เพื่อให้มีความเป็นป้ายภาษาไทย
ตัวอย่างรูปแบบภาระส่วนเกินในประเทศไทยตัวอย่างรูปแบบภาระส่วนเกินในประเทศไทย
การคำนวณภาระส่วนเกิน • สูตรการคำนวณภาระส่วนเกินของภาษี พิจารณารูป 3 ประกอบ: • จากสูตรเห็นได้ว่าภาระส่วนเกินของภาษีจะเพิ่มตามขนาดของค่าความยืดหยุ่น และ • ภาระส่วนเกินจะเพิ่มตามขนาดของอัตราภาษี นั่นคือหากขนาดภาษีมากขึ้น ภาระส่วนเกินย่อมจะเพิ่มตามไปด้วย • ค่าภาระส่วนเกินนี้จะติดลบเสมอ เพราะการเก็บภาษีทำให้ q ลดลงเสมอ
รูปที่ 3 P f g (1+tb)Pb S’b ภาระส่วนเกิน i d h Pb Sb รายได้ภาษี Db Q q2 q1
สูตรการหาภาระส่วนเกินสูตรการหาภาระส่วนเกิน • จากรูปที่ 4 พื้นที่ภาระส่วนเกินเท่ากับ dfi • หาขนาดพื้นที่ dfiโดยให้ เป็น A = • df = ∆Pb = (1+tb ) * Pb- Pb = tb * Pb • di = ∆q ที่เกิดจากราคาเปลี่ยนแปลงเพราะภาษี • เพราะว่าค่าความยืดหยุ่น
สูตรการหาภาระส่วนเกินสูตรการหาภาระส่วนเกิน • จัดเทอมใหม่ได้ • แต่เพราะว่า ∆Pb= tb * Pbดังนั้นจะได้
สูตรการหาภาระส่วนเกินสูตรการหาภาระส่วนเกิน • และจาก di = ∆q แทนค่าทั้ง diและ dfกลับใน A จะได้ • =
การกำหนดขนาดของภาระภาษีส่วนเกินการกำหนดขนาดของภาระภาษีส่วนเกิน • การที่สูตรภาระส่วนเกินมีค่ายกกำลัง 2 ของภาษีแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของภาษีที่จะเพิ่มเป็นทวีคูณเมื่อมีการเก็บภาษี • การเพิ่มของภาระภาษีนี้เรียกว่า Marginal deadweight loss คือการเพิ่มของ ต่อหน่วยของภาษีที่เพิ่มขึ้น
รูปที่ 3 S3 P S2 S1 The next $0.10 tax creates a larger marginal DWL, BCDE. D P3 The first $0.10 tax creates little DWL, ABC. B P2 P1 A C 0.10 E 0.10 D1 Q Q3 Q2 Q1
การกำหนดขนาดของภาระภาษีส่วนเกินการกำหนดขนาดของภาระภาษีส่วนเกิน • จากรูปเมื่ออัตราภาษีเพิ่มจาก 0.10 เป็น 0.20 deadweight loss เพิ่มเป็นพื้นที่ DBCE • พื้นที่ DBCEใหญ่กว่าพื้นที่BAC และ deadweight loss รวมคือ DAE • การเก็บภาษีที่ทำให้เคลื่อนห่างออกจากดุลยภาพของตลาดแข่งขันยิ่งทำให้ภาระส่วนเกิดของสังคมยิ่งเพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับ
ภาระส่วนเกินกับการออกแบบภาษีภาระส่วนเกินกับการออกแบบภาษี • จากสูตรการคิดขนาดของภาระส่วนเกินที่อัตราภาษีมีค่ายกกำลัง ทำให้มีผลต่อขนาดภาระส่วนเกินในการออกแบบภาษีในกรณีสำคัญต่อไปนี้ • มีการบิดเบือนก่อนเก็บภาษี Pre-existing distortion • อัตราภาษีก้าวหน้าสร้างการบิดเบือนมากขึ้น
ภาระส่วนเกินกับการออกแบบภาษีภาระส่วนเกินกับการออกแบบภาษี • Preexisting distortionsคือกรณีที่ตลาดมีการิดเบือนการจัดสรรทรัพยากรก่อนที่จะมีการเก็บภาษี ตัวอย่างเช่น • กรรีที่มีผลภายนอก (externalities)
Figure 4 P S2 P S2 S1 S1 In a market with a preexisting distortion, taxes can create larger (or smaller) DWL. SMC B G E A D C F H D1 D1 Q Q Q0 Q2 Q1 Q2 Q1 No positive externality Positive externality
ภาระส่วนเกินกับการออกแบบภาษีภาระส่วนเกินกับการออกแบบภาษี • ภาษีที่ถูกเก็บในรูปแรกมีขนาดของภารส่วนเกินเพียงพื้นที่ BAC เท่านั้น • แต่เมื่อมีการบิดเบือนอยู่ก่อนแล้ว ตัวอย่างจากรูป เห็นได้ว่ามีการเกิดภาระส่วนเกินอยู่แล้วจากการที่ผู้ผลิตนั้นผลิตสินค้าที่น้อยกว่าระดับดุลยภาพ มีภาระส่วนเกิน เท่ากับพื้นที่ (กรณีนี้เป็น positive externalities) แต่เมื่อการภาษีเก็บเพิ่มเข้าไปทำให้ขนาดภาระส่วนเกินกลายเป็น GEFH • ตรงข้ามถ้าเป็น negative externalities การเก็บภาษียิ่งทำให้ผลิตน้อยลง ยิ่งเกิดผลดีมากขึ้น แทนที่จะเป็นผลเสีย
ภาระส่วนเกินกับการออกแบบภาษี: กรณีภาษีอัตราก้าวหน้า • จากปัญหาของภาระส่วนเกิน อาจทำให้ภาษีแบบก้าวหน้าไม่มีประสิทธิภาพได้ • ตัวอย่าง– ภาษีที่เป็นสัดส่วนที่อัตราร้อยละ 20 ของค่าจ้าง เปรียบเทียบกับภาษีที่เก็บอัตราร้อยละ 60 กับคนรวย และร้อยละ 0 กับคนจน
Figure 5 S3 S2 S2 Wage (W) Wage (W) S1 S1 DWL เพิ่มกับอัตราภาษีที่เพิ่มขึ้น ทำให้อัตราที่น้อยจะมีภาระส่วนเกินที่น้อยกว่า G W3=23.90 E B W2=11.18 W2=22.36 D A W1=20.00 W1=10.00 F C D1 D1 I Hours (H) Hours (H) H2=894 H1=1,000 H3=837 H2=894 H1=1,000 ลูกจ้างที่อัตราค่าจ้างน้อย ลูกจ้างที่อัตราค่าจ้างสูง
ภาระส่วนเกินกับการออกแบบภาษี: กรณีภาษีอัตราก้าวหน้า • จากรูปภายใต้ภาษีอัตราเท่ากัน (Proportional tax) ทั้งสองภาคการผลิต ภาระภาษีส่วนเกินคือBACและEDF. • แต่ภาษีอัตราก้าวหน้าภาระส่วนเกินของภาษีเท่ากับ GDIซึ่งเก็บจากผู้มีรายได้มากเท่านั้น
ภาระส่วนเกินกับการออกแบบภาษี: กรณีภาษีอัตราก้าวหน้า • ปัญหาภาระส่วนเกินของภาษีอัตราก้าวหน้าเกิดจาก ที่อัตราภาษีก้าวหน้าเก็บจากฐานภาษีที่แคบ การเพิ่มรายได้จากจำนวนผู้เสียที่มีจำนวนน้อยต้องเพิ่มอัตราให้สูงมากขึ้น ดังนั้นจึงทำให้ภารภาษีเพิ่มมากตามไปด้วย • ด้วยเหตุผลดังกล่าวการออกแบบภาษีจึงไม่ควรกระจุกฐานการจัดเก็บไว้กับกลุ่มคนเพียงบางกลุ่ม แต่ควรกระจายฐานภาษีออกไปให้มากๆ เพราะทำให้ภาระภาษีตกกับทุกๆ คน และภาระส่วนเกินของการเลี่ยงภาษีของผู้จ่ายลดน้อยลง
ภาระส่วนเกินกับการออกแบบภาษี: กรณีภาษีอัตราก้าวหน้า • เพราะสูตรภาระภาษีส่วนเกินมีอัตราภาษีที่ยกกำลังอยู่ ย่อมหมายความว่าภาระส่วนเกินของภาษีหรือ DWL จะเพิ่มตามอัตราภาษี หากรัฐบาลมีความต้องการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นหรือลดลง จึงไม่ควรเพิ่มอัตราภาษีมากๆ เพียงคั้รงเดียว เพราะการปรับอัตราภาษีนำมาซึ่งปัญหาภาระส่วนเกินเสมอ แต่รัฐบาลควรพิจารณาการปรับอัตราภาษีที่กระจายออกไปในช่วงเวลา เพื่อให้สมดุลกับภาระการใช้จ่ายหรือการลดรายจ่ายโดยเฉลี่ยตามช่วงเวลา • ตัวอย่างการเพิ่มรายจ่ายประชานิยมของรัฐบาล จะมีประสิทธิภาพมากกว่าหากกระจายการเพิ่มการใช้จ่ายและเพิ่มอัตราภาษีไปในอนาคตทีละเล็กทีละน้อย แทนการเพิ่มการขาดดุลจำนวนมากในครั้งดียว • วิธีการนี้เรียกว่า “tax smoothing” ซึ่งมีความหมายเหมือนการกระจายการบริโภคของผู้บริโภคไปในอนาคต
ภาระส่วนเกินกับการอุดหนุนภาระส่วนเกินกับการอุดหนุน • ภาระส่วนเกินไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะกับการเก็บภาษีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการที่นโยบายหรือมาตรการของรัฐบาลทำให้เกิดพฤติกรรมประชาชนต้องเปลี่ยนไป เช่น เงินอุดหนุนของรัฐบาลเพื่อซื้อบ้านหลังแรก P u w Sh Ph m ภาระส่วนเกิน v (1-S)Ph S’h r n Q
ภาระภาษีกับการตัดสินใจทำงานนอกบ้านภาระภาษีกับการตัดสินใจทำงานนอกบ้าน Y Y VMPmkt VMPhome Hours Hours ทำงานนอกบ้าน ทำงานบ้าน
ภาระภาษีกับการตัดสินใจทำงานนอกบ้านภาระภาษีกับการตัดสินใจทำงานนอกบ้าน W W a W1 W1 VMPmkt Hours ทำงานนอกบ้าน VMPh Hours ทำงานในบ้าน
ภาระภาษีกับการตัดสินใจทำงานนอกบ้านภาระภาษีกับการตัดสินใจทำงานนอกบ้าน เมื่อทำงานนอกบ้านถูกเก็บภาษีอัตรา t W W ภาระส่วนเกิน b a W2 W1 VMPmkt (1-t)W2 c Hours ทำงานนอกบ้าน VMPh H* Ht Hours ทำงานในบ้าน
ภาระภาษีส่งออกกับการตัดสินใจบริโภคของคนไทยภาระภาษีส่งออกกับการตัดสินใจบริโภคของคนไทย P P Px Pd P’d P’x a Dx การส่งออก Dd Q’d Qx Qd Q’x การบริโภคในประเทศ