1 / 27

ไข้ออกผื่นในเด็ก

ไข้ออกผื่นในเด็ก. ไข้ออกผื่นในเด็ก. 1.การติดเชื้อ (Infection) 1.1 การติดเชื้อไวรัส (viral infection) 1.2 การติดเชื้อแบคทีเรีย (bacterial infection) 1.3 การติดเชื้อ Mycoplasma 1.4 การติดเชื้อ Rickettsiae 2. ผื่นจากสาเหตุอื่นๆ ที่ไม่ใช่การติดเชื้อ (non-infection)

Download Presentation

ไข้ออกผื่นในเด็ก

An Image/Link below is provided (as is) to download presentation Download Policy: Content on the Website is provided to you AS IS for your information and personal use and may not be sold / licensed / shared on other websites without getting consent from its author. Content is provided to you AS IS for your information and personal use only. Download presentation by click this link. While downloading, if for some reason you are not able to download a presentation, the publisher may have deleted the file from their server. During download, if you can't get a presentation, the file might be deleted by the publisher.

E N D

Presentation Transcript


  1. ไข้ออกผื่นในเด็ก

  2. ไข้ออกผื่นในเด็ก 1.การติดเชื้อ (Infection) 1.1 การติดเชื้อไวรัส (viral infection) 1.2 การติดเชื้อแบคทีเรีย (bacterial infection) 1.3 การติดเชื้อ Mycoplasma 1.4 การติดเชื้อ Rickettsiae 2. ผื่นจากสาเหตุอื่นๆ ที่ไม่ใช่การติดเชื้อ (non-infection) 2.1 ผื่นแพ้ยา (cutaneous drug eruption) 2.2 Collagen vascular disease

  3. การติดเชื้อ (infection)

  4. การติดเชื้อไวรัส - ผื่นชนิด classic viral exanthems - ผื่นชนิดไม่เจาะจง

  5. ผื่นชนิด classic viral exanthems หัด (measles) • ส่วนใหญ่มีการระบาดในฤดูหนาว อายุที่พบบ่อยคือช่วงอายุ 1-4 ปี • อาการแสดง มีไข้สูง ไอมาก ตาแดงมีขี้ตา ภายหลังจากมีไข้ 3-4 วัน จะมีจุดสีขาวฐานแดงขนาด 1-3 มม. ที่กระพุ้งแก้ม เรียกว่า Koplik’s spot (ลักษณะเฉพาะ) • ผื่นจะเกิดขึ้นในวันที่ 4 หลังจากเริ่มมีไข้โดยเห็นเป็นผื่นจุดแดงๆเริ่มจากบริเวณหลังหูก่อน จากนั้นจะลามไปที่หน้า ลำตัว แขนและขา โดยพบผื่นมากที่บริเวณลำตัว เมื่อผื่นถึงเท้าไข้จะลดลง ซึ่งใช้เวลาประมาณ 2-3 วัน ภายหลังผื่นหายจะเปลี่ยนเป็นสีดำ (hyperpigment)

  6. ผื่นชนิด classic viral exanthems หัดเยอรมัน (rubella) • โรคนี้พบบ่อยในเด็กโต • เกิดจากเชื้อ rubella virus • ผู้ป่วยจะมีไข้ต่ำๆ ปวดเมื่อยตามตัว • ผื่นจะเกิดขึ้นภายหลังมีไข้ 2-3 วัน โดยผื่นขึ้นที่หน้าก่อน แล้วกระจายอย่างรวดเร็วไปที่คอ ลำตัว แขน ขา ผื่นจะมีอยู่ไม่เกิด 3 วัน และหายได้เองโดยไม่มีสีดำ (hyperpigment) • การตรวจร่างกายพบต่อมน้ำเหลืองโตที่บริเวณท้ายทอย หลังหู และต้นคอ ในปากตรวจพบจุดเลือดออกที่ uvula (Fouchheimer’s spot)

  7. ผื่นชนิด classic viral exanthems หัดดอกกุหลาบ (roseola infantum) • พบบ่อยในเด็กอายุ 3 เดือนถึง 3 ปี • เกิดจากเชื้อ human herpesvirus type 6 • อาการ: ไข้สูง เบื่ออาหาร ร้องกวนหรือโยเย ไม่ไอ ไม่มีน้ำมูก ตาไม่แดง ไข้จะมีอยู่ประมาณ 3-5 วัน แล้วลดลงอย่างรวดเร็ว • หลังจากนั้นจึงมีผื่นลักษณะเป็น maculopapular rash ขึ้นที่ลำตัวก่อนแล้วกระจายไปที่หน้า แขน ขา ผื่นจะอยู่นานไม่เกินสัปดาห์

  8. ผื่นชนิด classic viral exanthems • ลักษณะคล้ายกับผื่นในโรคหัด แต่โรคนี้แยกจากโรคหัดโดยเด็กไม่มีอาการไอ ผื่นขึ้นโดยไม่มีไข้ และผื่นหายโดยไม่มี hyperpigment • การตรวจร่างกายอื่นๆ พบต่อมน้ำเหลืองโตบริเวณหลังหู และคอ • โรคนี้ในช่วงที่เด็กมีไข้สูงมักจะได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ เช่น amoxicillin และเมื่อมีผื่นขึ้นทำให้ทั้งแพทย์และญาติเข้าใจผิดคิดว่าเกิดจากการแพ้ยา

  9. ผื่นชนิด classic viral exanthems Erythema infectiosum (Fifth’s disease) • พบในเด็กวัยเรียนแต่พบได้น้อยในประเทศไทย • เกิดจากการติดเชื้อ human parvovirus B19 • อาการ: มีไข้ต่ำๆ มีผื่นผิวหนัง ซึ่งมีลักษณะจำเพาะ คือ มีผื่นสีแดงที่บริเวณแก้มทั้งสองข้าง (slapped cheek) หลังมีไข้ 1-4 วัน มีผื่นแดงเป็นร่างแหที่บริเวณแขน และขา (lacy or reticulated eythema) ผื่นเป็นๆ หายๆ อยู่นาน 2-3 สัปดาห์

  10. ผื่นชนิด classic viral exanthems Infectious monomucleosis • พบบ่อยในเด็กโต • เกิดจากการติดเชื้อ Epstein-Barr virus (HHV4) • อาการ: มีไข้สูง 4-14 วัน ต่อมน้ำเหลืองโต เจ็บคอร่วมกับมีฝ้าขาวในคอ ตับม้ามโต ตาบวม ตาเหลือง ผื่นพบในสัปดาห์แรกร้อยละ 10-15 ลักษณะผื่นเป็นแบบ maculopapular อาจพบ petechiae, papulovesicular หรือ urticaria

  11. ผื่นชนิด classic viral exanthems ไข้เลือดออก (dengue infection) • เกิดจากการติดเชื้อ dengue virus • อาการ: มีไข้สูง ไม่มีอาการไอหรือน้ำมูก ปวดท้อง อาเจียน ผื่นพบในวันที่ 4-5 หลังจากไข้ลดลง ลักษณะเป็นผื่นแดง มีจุดขาวตรงกลาง (convalescence rash) โดยพบที่แขน ขา และพบจุดเลือดออก อาจพบอาการคันร่วมด้วย • การตรวจร่างกายพบ ตับโต กดเจ็บ การตรวจเลือด complete blood count (CBC) พบ hemoconcentration, atypical lymphocyte เพิ่มขึ้น และเกร็ดเลือดต่ำ

  12. ผื่นชนิดไม่เจาะจง (non-specific virus) เชื้อ enterovirus • ติดต่อผ่านทางเดินอาหาร • อาการที่สำคัญ ได้แก่ อาการทางระบบทางเดินอาหาร เช่น อาเจียน ถ่ายอุจจาระเหลว ผื่นพบได้หลายชนิด เช่น morbilliform, petechiae, vesicular, urticaria

  13. ผื่นชนิดไม่เจาะจง (non-specific virus) เชื้อ adenovirus • มักพบในฤดูหนาว • มักพบอาการทางระบบทางเดินหายใจร่วมกับผื่น • โดยผื่นที่เกิดจากเชื้อนี้อาจต้องแยกจากผื่นแพ้ยาชนิด maculopapular rash ซึ่งการวินิจฉัยที่แน่นอนต้องอาศัย viral culture, serological study

  14. การติดเชื้อแบคทีเรีย ไข้ดำแดง (scarlet fever) • พบมากในเด็กวัยเรียน ปัจจุบันพบโรคนี้น้อยลง • สาเหตุเกิดจากเชื้อ group A Streptococcus • อาการมี: ไข้สูง ปวดศีรษะ เจ็บคอ ภายในปากแดง ลิ้นเป็นฝ้าขาว เห็น papillary บวมแดง (white strawberry tongue) หลังจากนั้นเปลี่ยนเป็น red strawberry tongue

  15. การติดเชื้อแบคทีเรีย • ผื่นปรากฏภายใน 1-2 วันหลังจากมีไข้ ลักษณะเป็นผื่นแดงคล้ายกระดาษทราย (sand-paper like) หน้าแดง แต่บริเวณรอบปากซีด (circumoral pallor) บริเวณข้อพับเห็นเป็นจุดเลือดออกเรียบเป็นเส้น (pastia’s lines) • หลังจากผื่นหายจะมีการลอกของผิวหนังเป็นแผ่นใหญ่ภายใน 1 สัปดาห์ ซึ่งเป็นชัดบริเวณมือ เท้า ลอกเป็นแผ่น แต่ตามตัวลอกเป็นขุย ซึ่งเป็นลักษณะจำเพาะของโรค

  16. การติดเชื้อแบคทีเรีย Staphylococcus scalded skin syndrome (SSSS) • พบในเด็กที่อายุน้อยกว่า 5 ปี • เป็นโรคที่มีอาการรุนแรง เกิดจาก epidermolytic toxin หรือ exfoliative exotoxin A และ B (ETA & ETB) ของ Staphylococcus aureus จากการติดเชื้อที่ nasopharynx สะดือ นัยน์ตา และผิวหนัง • ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูง ร้องกวน ผื่นแดงทั้งตัว (erythroderma) เจ็บบริเวณผิวหนัง (cutaneous tenderness) บริเวณหน้าเห็นเป็นผื่นสะเก็ดรอบปากและตา (periorificial crusting) ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของโรค ต่อมา 24-48 ชั่วโมง ผิวหนังพองเป็นตุ่มน้ำ การตรวจ Nikosky’s sign ให้ผลบวก

  17. การติดเชื้อแบคทีเรีย Toxic shock syndrome • เป็นโรคที่มีความรุนแรงและมีอัตราตายสูงถ้าไม่ได้รับการรักษา • เกิดจาก toxin ของเชื้อ Staphylococcus • อาการแสดงเริ่มด้วยไข้สูง อาเจียน ปวดเมื่อยตามตัว ปวดศีรษะ และมีความดันโลหิตต่ำ หรือในรายรุนแรงอาจมีอาการช็อกร่วมด้วย ลักษณะผื่นเป็นแบบ diffuse macular erythroderma rash หรือ sunburn rash ซึ่งต่อมา 1-2 สัปดาห์หลังมีไข้ผื่นจะลอกทั้งตัว โดยเฉพาะบริเวณฝ่ามือฝ่าเท้าจะลอกเห็นได้ชัด • นอกจากผื่นอาจพบอาการของระบบอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน การทำงานของตับ ไต ระบบประสาท ระบบเลือด ผิดปกติ ถ้าไม่ได้รับการรักษาผู้ป่วยอาจเสียชีวิตได้

  18. การติดเชื้อแบคทีเรีย ไข้กาฬหลังแอ่น (meningococcemia) • พบได้ไม่บ่อยแต่ถ้าไม่ได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้องอาจเกิดโรคแทรกซ้อนที่รุนแรงและทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ • เกิดจากการติดเชื้อ Niesseria meningitides • อาการทางผิวหนัง พบประมาณ 2 ใน 3 ของผู้ที่ติดเชื้อ ลักษณะผื่นเป็น maculopapular rash หรือพบเป็น petechiae หรือ stellate purpura บริเวณแขน ขา ฝ่าเท้า ฝ่ามือ ร่วมกับมีไข้สูง ปวดเมื่อยตามตัว ปวดข้อ ช็อก หรืออาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบ

  19. การติดเชื้อแบคทีเรีย Leptospirosis • เกิดจากการติดเชื้อ Leptospira • ประวัติที่ช่วยในการวินิจฉัย คือ ผู้ป่วยไปเล่นน้ำ ซึ่งสัมผัสกับอุจจาระและปัสสาวะหนูที่มีเชื้อนี้ • อาการสำคัญ คือ ไข้สูง หนาวสั่น ปวดกล้ามเนื้อมาก ตาแดง ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน อาจมีอาการของ aseptic meningitis หรือตัวเหลืองร่วมด้วย ลักษณะผื่นเป็นแบบ erythematus maculopapular rash

  20. การติดเชื้อ Mycoplasma • ส่วนใหญ่พบในเด็กวัยเรียน • ผู้ป่วยจะมีอาการไข้ต่ำๆ ไอมาก • ลักษณะผื่นที่พบบ่อยคือ maculopapular rash แต่สามารถพบผื่นได้ทุกแบบ เช่น urticaria vesiculo-bullous หรือรุนแรงเป็น Stevens-Johnson syndrome

  21. การติดเชื้อ Rickettsiae • เกิดจากถูกไรอ่อนกัด ซึ่งมีเชื้อ Rickettsia tsutsugamushi • พบน้อยในเด็ก มักพบใน endemic area ของเชื้อ • บริเวณที่ถูกกัดเห็นเป็นวงแดงล้อมรอบรอยดำไหม้ตรงกลางคล้ายบุหรี่จี้ (eschar) ซึ่งพบบริเวณในร่มผ้า • ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ไอแห้งๆ ผื่นพบในวันที่ 5-7 ภายหลังได้รับเชื้อ ลักษณะเป็น erythematous maculopapular rash เป็นอยู่นาน 3-4 วัน ผื่นหายเองได้

  22. ผื่นจากสาเหตุอื่นๆ ที่ไม่ใช่การติดเชื้อ (non-infection)

  23. ผื่นแพ้ยา (cutaneous drug eruption) • ผื่นที่พบบ่อยที่สุดของการแพ้ยาได้แก่ exanthematous eruption หรือ maculopapular rash • ผู้ป่วยมักมีผื่นขึ้นหลังการได้รับยาประมาณ 1-2 สัปดาห์ ลักษณะผื่นแพ้ยา เป็น generalized aymmetrical maculopapular rash ขึ้นที่ลำตัว แขนขา อาจมีอาการคันร่วมด้วย • ในรายที่สงสัยว่าอาจเกิดจากการแพ้ยา ควรสัมภาษณ์ประวัติการใช้ยาที่ได้รับมาก่อนภายใน 1-3 สัปดาห์ ก่อนมีผื่นขึ้น ถ้าไม่แน่ใจให้หยุดยาที่อาจเป็นสาเหตุ ถ้าเกิดจากการแพ้ยา ผื่นจะหายภายใน 2-3 วันหลังหยุดยา ทั้งนี้ขึ้นกับค่าครึ่งชีวิตของยาด้วย

  24. Collagen vascular disease Systemic lupus erythematosus (SLE) • พบบ่อยในผู้ป่วยเด็กเพศหญิง • ผู้ป่วยจะมีอาการไข้ร่วมกับผื่นเป็นๆ หายๆ ลักษณะผื่นที่พบในผู้ป่วย SLE มีได้หลายแบบตั้งแต่ผื่นแบบไม่จำเพาะ เช่น maculopapular rash, urticaria จนถึงผื่นที่จำเพาะ เช่น malar rash, discoid LE, vasculitis หรือ photosensitivity • อาการอื่นๆ ที่พบร่วมด้วย เช่น ปวดข้อ ผมร่วง ซีด แผลในปาก ต่อมน้ำเหลืองโต อาการทางประสาท และไต เป็นต้น

  25. Collagen vascular disease Juvenile rheumatoid arthritis (JRA) • ผื่นของโรคนี้มีลักษณะเฉพาะคือ เป็นผื่นแบบ maculopapular rash เห็นได้ชัดเวลาไข้สูง แต่ถ้าไข้ลดลง ผื่นจะหายไป • อาจมีอาการของตับม้ามโต (hepatosplenomegaly) ต่อมน้ำเหลืองโต

  26. Collagen vascular disease Kawasaki disease • เป็นโรคที่พบบ่อยในเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี สาเหตุยังไม่ทราบแน่นนอน การวินิจฉัยอาศัยอาการทางคลินิก โดยมี criteria ในการวินิจฉัย ดังนี้ • ไข้สูง มากกว่า 5 วัน • มีผื่นซึ่งอาจพบเป็น maculopapular rash, urticaria, scarlatiniform, erythema multiform-like แต่ไม่พบ vasicobullous • ตาแดงทั้ง 2 ข้าง โดยไม่มีขี้ตา • การเปลี่ยนแปลงที่ริมฝีปาก โดยปากแดง แห้ง แตก (dryness, redness, fissuring) และลิ้นคล้ายผล strawberry • การเปลี่ยนแปลงที่มือและเท้า อาจพบผื่นแดงในระยะแรก ต่อมาสัปดาห์ที่ 2 ของไข้ ผื่นลอกที่ปลายนิ้วมือ นิ้วเท้า ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของโรค • ต่อมน้ำเหลืองโตส่วนใหญ่เป็นต่อมน้ำเหลืองข้างคอ และมีขนาดมากกว่า 1.5 cm

  27. Collagen vascular disease • การวินิจฉัย ผู้ป่วยต้องมีไข้สูงร่วมกับอาการทางคลินิกอีก 4 ใน 5 ข้อ และต้องวินิจฉัยแยกโรคอื่นๆ ได้ เนื่องจากยังไม่มีผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่ช่วยในการวินิจฉัยที่แน่นอน

More Related