280 likes | 579 Views
CHAPTER 2. SCIENTIFIC INVESTIGATION การวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์. วัตถุประสงค์ในการศึกษา. อธิบายความหมายของการวิจัยตามหลักวิทยาศาสตร์ และยกตัวอย่างของการวิจัยทั้งตามหลักวิทยาศาสตร์และไม่อิงวิทยาศาสตร์ได้ อธิบายคุณสมบัติ 8 ประการของการวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์ได้
E N D
CHAPTER 2 SCIENTIFIC INVESTIGATION การวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์
วัตถุประสงค์ในการศึกษาวัตถุประสงค์ในการศึกษา • อธิบายความหมายของการวิจัยตามหลักวิทยาศาสตร์ และยกตัวอย่างของการวิจัยทั้งตามหลักวิทยาศาสตร์และไม่อิงวิทยาศาสตร์ได้ • อธิบายคุณสมบัติ 8 ประการของการวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์ได้ • อธิบายได้ว่า ทำไมการวิจัยพฤติกรรมองค์กร และการบริหาร จึงไม่สามารถอิงตามหลักวิทยาศาสตร์ได้ทั้งหมด
วัตถุประสงค์ในการศึกษา (ต่อ) • อธิบายการสร้างแนวทางเชิงวิทยาศาสตร์ • อธิบาย 7 ขั้นตอนของวิธีการตั้งสมมติฐานเชิงอนุมาน และการยกตัวอย่าง • อธิบายได้ถึงข้อดีของความรู้เกี่ยวกับการวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์
การวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์การวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์ หมายถึง การแก้ปัญหาโดยใช้วิธีเป็นเหตุเป็นผล เป็นระบบ แบบแผน และความถูกต้องแม่นยำ เพื่อชี้ให้เห็นถึงปัญหา ตลอดจนรวบรวม วิเคราะห์ข้อมูลและการทำสรุปผลได้อย่างถูกต้อง
คุณสมบัติของการวิจัยที่เป็นวิทยาศาสตร์คุณสมบัติของการวิจัยที่เป็นวิทยาศาสตร์ • 1. มีจุดมุ่งหมาย (Purposiveness) • 2. มีความถูกต้องแม่นยำ(Rigor) • 3. สามารถทดสอบได้(Testability) • 4. สามารถทำซ้ำได้(Replicability) • 5. ความถูกต้องเที่ยงตรง และ ความเชื่อมั่น(Precision and Confidence) • 6. การสรุปผลจากข้อเท็จจริง(Objectivity) • 7. สามารถนำไปใช้ได้อย่างกว้างขวาง(Generalizability) • 8. ความง่าย (Parsimony)
1. การมีจุดมุ่งหมาย (Purposiveness) The situation in which research is focused on solving a well-identified And defined problem, rather aimlessly looking for answers to vague questions • ตย. การเพิ่มความผูกพันของพนักงานที่มีต่อ • บริษัทเพื่อ • จำนวนการลาออกน้อยลง • การขาด ลา มาสายน้อยลง • การเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
2. มีความถูกต้องแม่นยำ (Rigor) The theoretical and methodological precision adhered to in conducting research • การปฏิบัติตามหลักทฤษฎี • มีการออกแบบวิธีการที่ดีเพื่อเพิ่มความแม่นยำ • ในการศึกษาค้นคว้าวิจัย
สาเหตุของการขาดความถูกต้องแม่นยำสาเหตุของการขาดความถูกต้องแม่นยำ • กลุ่มตัวอย่างเป็นเพียงกลุ่มเล็ก ๆ • รูปแบบคำถามอาจมีผลทำให้เกิดการเบี่ยงเบน ลำเอียง และมีความไม่ถูกต้องของคำตอบเกิดขึ้น • มีอิทธิพลที่สำคัญอื่น ที่มีผลต่อกลุ่มตัวอย่าง
3. สามารถทดสอบได้ (Testability) The ability to subject the data collected to appropriate statistical tests, in order to substantiate or reject the hypotheses developed for research study.การทดสอบสมมติฐานในทางตรรกศาตร์เพื่อที่จะตรวจสอบ ว่าข้อมูลที่นำมาศึกษาสนับสนุนสมมติฐานหรือไม่ ตย. สมมติฐานที่ว่า พนักงานที่เห็นว่าเป็นโอกาสที่ดีใน การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ จะมีความผูกพันกับบริษัทมากยิ่งขึ้น
การพัฒนาข้อสมมติฐานที่ตั้งไว้การพัฒนาข้อสมมติฐานที่ตั้งไว้ • การรวบรวมข้อมูล • นำข้อมูลไปทดสอบโดยใช้หลาย ๆ วิธี เช่น วิธี Chi - Squar test & t - test • ตรวจสอบว่าข้อมูลที่ศึกษามา สนับสนุนสมมติฐานหรือไม่
4. สามารถพิสูจน์ได้ (Replicability) • หาหลักฐานจากการศึกษาวิจัยโดยองค์กรอื่นๆ • เพื่อพิสูจน์การสนับสนุนข้อมูล • ทดสอบสมมติฐานซ้ำ ในสถานการณ์อื่นๆ • ที่คล้ายคลึงกันเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นในผลการวิจัย
5. ความถูกต้องเที่ยงตรง และความมั่นใจ(Precision and Confidence) • ข้อสรุปจะต้องตรงกับความเป็นจริงมากที่สุด โดยมี • ความถูกต้องเที่ยงตรง หมายถึง ระดับความถูกต้องแม่นยำของผลลัพธ์ที่ได้จากกลุ่มตัวอย่างซึ่งตรงกับความเป็นจริงในภาพรวม • ความเชื่อมั่น หมายถึง ความเป็นไปได้ที่การคาดคะเนถูกต้อง เช่น ระดับความเชื่อมั่น ที่ 95 % ก็คือ มีโอกาสเพียง 5% ที่พบว่าข้อสรุปที่ได้อาจไม่ถูกต้อง - ถูกยอมรับเป็น (Conventional) ระดับความสำคัญที่ .05 • ( p = .05 )
6. การสรุปผลจากข้อเท็จจริง(Objectivity) • บทสรุปที่ได้มาจากการตีความผลวิเคราะห์ข้อมูลควรมา • จากความจริง • วิเคราะห์ข้อมูลซึ่งมีพื้นฐานมาจากข้อเท็จจริง ไม่ใช่มาจาก • ความรู้สึกนึกคิด หรืออารมณ์ของตนเอง • ยึดมั่นข้อมูลจากผลที่ออกมาซึ่งผ่านขบวนการการวิจัย • อย่างถูกต้องครบถ้วนทุกขั้นตอน
7. สามารถนำไปใช้ได้อย่างกว้างขวาง (Generalizability) หมายถึง ขอบเขตของการประยุกต์ใช้ข้อมูลการวิจัยขององค์กรหนึ่งกับองค์กรอื่นๆ
8. ความง่าย (Parsimony) • การใช้หลักการที่ง่าย • จำนวนตัวแปรที่ใช้ในการสร้างทฤษฎีไม่ซับซ้อนเกินไป • การสัมภาษณ์บุคคลที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นทางการ • และไม่เป็นทางการ รวมทั้งการทบทวนงานวิจัยเก่า
อุปสรรคของการวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์อุปสรรคของการวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์ • การประเมินและรวบรวมข้อมูลที่มาจากความ นึกคิด อารมณ์ ทัศนคติ และความรู้สึก จากกลุ่ม ตัวอย่างซึ่งจะถูกจำกัดการนำไปใช้ของผลลัพธ์
กำหนดปัญหา สังเกตการณ์ โครงสร้างทฤษฏีและเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง กลั่นกรองทฤษฎีหรือการปฏิบัติตาม ตั้งสมมติฐาน ประมวลผล กำหนดหลักปฎิบัติงานและคำนิยาม วิเคราะห์ข้อมูล ออกแบบการวิจัย รวบรวมข้อมูล การสร้างแนวทางวิทยาศาสตร์
วิธีอนุมานสมมุติฐาน (Hypothethico - Deductive Method) 1. การสังเกตการณ์ 2. การรวบรวมข้อมูลเบื้องต้น 3. การสร้างทฤษฎี 4. การตั้งสมมติฐาน 5. การรวบรวมข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ 6. การวิเคราะห์ข้อมูล 7. การอนุมาน (สรุป)
การสังเกตการณ์ (Observation) • ความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรม ทัศนคติที่เกิดขึ้นในสภาพแวดล้อม • ต้องมีความรอบรู้และไวต่อสิ่งที่เกิดขึ้น
การวบรวมข้อมูลเบื้องต้น(Preliminary Information Gathering) • การหาข้อมูลในสิ่งที่สังเกตเห็น • การพูดคุยกับบุคคลต่างๆ • การสัมภาษณ์อย่างเป็นทางการ และไม่เป็นทางการ • การหาข้อมูลจากแหล่งอื่นๆ
การกำหนดทฤษฎี (Theory Formulation) • การกำหนดทฤษฎีที่เหมาะสม • รวบรวมข้อมูลโดยใช้หลักตรรกศาสตร์ • ตรวจสอบตัวแปรที่สำคัญเพื่อใช้ในการอธิบายว่าทำไมจึงเกิด ปัญหาขึ้นและจะแก้ไขอย่างไร • เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร เพื่อหาเหตุผลว่าทำไมปัจจัย ต่างๆจึงมีอิทธิพลต่อปัญหาที่เกิดขึ้น
การตั้งสมมติฐาน (Hypothesizing) • การคาดคะเนโดยใช้หลักการ • มีมุมมองที่สร้างสรรค์ • หาสมมติฐานจากการพิสูจน์ข้อเท็จจริง • สร้างสมมติฐานใหม่จากการสังเกตการณ์
การรวบรวมข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ (Further Scientific Data Collection) • หาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับตัวแปรแต่ละตัวในสมมติฐาน • รวบรวมข้อมูลแต่ละตัวแปรในโครงสร้างทฤษฎีจากสมมติฐานที่สร้างขึ้น
การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analysis) • การรวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ • การวิเคราะห์และทดสอบว่าสองตัวแปรมีความสัมพันธ์กันอย่างไร • การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ และ เชิงปริมาณ ข้อมูลเชิงคุณภาพ หมายถึง ข้อมูลที่ได้มาจากการสัมภาษณ์ หรือการสังเกตการณ์ ข้อมูลเชิงปริมาณ หมายถึง เป็นข้อมูลที่ได้มาจากแบบสอบถาม
การอนุมาน (Deduction) หมายถึง ขั้นตอนการสรุปโดยการตีความหมายของผลที่ได้จากข้อเท็จจริงโดยการวิเคราะห์ข้อมูล
ข้อดีของความรู้เกี่ยวกับการวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์ข้อดีของความรู้เกี่ยวกับการวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์ • สามารถนำผลวิจัยในเชิงวิทยาศาสตร์ไปแก้ปัญหาได้ • รู้จักวิธีการวิเคราะห์และทำวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์ที่เน้นถึงการแก้ปัญหาโดยใช้วิธีเป็นเหตุเป็นผลเป็นระบบ แบบแผน • ข้อมูลที่ได้จากการวิจัยสามารถสนับสนุนในการตัดสินใจที่เหมาะสมและแก้ปัญหาเพื่อลดข้อผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้น
บทสรุป • การวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์เป็นการวิจัยเป็นขั้นตอนโดยใช้วิธีอนุมานสมมติฐานซึ่งใช้ในการแก้ไขปัญหาและการตระหนักถึงคุณค่าของการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และทราบถึงความจำเป็นในการวิจัยที่สามารถแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ • การทำงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับองค์กรไม่สามารถให้ผลที่ถูกต้องได้ 100% แต่วิธีแก้ไขปัญหาที่ได้มาตรฐานก็สามารถทำให้เกิดการตัดสินใจได้ถูกต้อง